เป็นเรื่องปกติของคนที่สังเกตการณ์ด้านข้างจะสังเกตเห็นรายละเอียดตลอดถึงแง่มุมสถานการณ์ได้ครอบคลุมกว่าผู้กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ในสนาม
ผมตั้งข้อสังเกตมาหลายวันก่อนหน้าผ่านโซเชียลมีเดียว่าขบวนการ เสธ.อ้ายมีจุดอ่อนควรแก้ไขในแนวรบการสื่อสารยิ่งเวลายิ่งผ่านก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าแนวรบด้านนี้(เหลืออีก 5 วัน)ก่อนวันประกาศชุมนุมก็ยังเป็นรองฝ่ายรัฐบาล
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าฝ่ายใดมีสื่อที่สั่งการได้และคอยช่วยประโคมข่าวในช่องทางและปริมาณความถี่มากกว่า เพราะในยุคปัจจุบันผู้คนสามารถเลือกที่จะขวนขวายรับสารเองได้ ต่อให้หนังสือพิมพ์ ทีวีไม่รายงานแต่คนก็ยังสามารถคลิกเข้าไปดูในเว็บเพจ หน้าเฟซบุ๊ก หรือหาดูจากทีวีดาวเทียมช่องที่นำเสนอข่าวขององค์การพิทักษ์สยามได้
ปัญหาที่แท้จริงของแนวรบด้านการสื่อสารอยู่ที่ฝ่ายไหนช่วงชิงทำให้สังคมเชื่อถือฝ่ายตนมากกว่าฝ่ายตรงกันข้าม
อย่าลืมนะครับในสนามการเมืองจริง Perception มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า Fact
ในสนามการเมืองจริง การสร้างความหมายจากวาทกรรม อาศัยข้อมูลจริงบ้าง-ลวงบ้าง-หลอกและบลัฟบ้างช่วงชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ ถึงขนาดป้ายสีสวมหมวกให้กับอีกฝ่ายก็จำเป็นหากมั่นใจว่าทำให้สังคมเชื่อตนและไม่เอาด้วยกับอีกฝ่าย ดังนั้นการปะทะประหมัดกันก่อนนัดหมายชุมนุม 24 พ.ย.ย่อมถือเป็นส่วนหนึ่งของสมรภูมิการต่อสู้ทางการเมืองที่ต้องนับคะแนนเข้าไปด้วย หาใช่เรื่องของมวยนอกเวลาไว้ดูกันเพลินๆ ซะที่ไหน
รัฐบาลประเมินให้น้ำหนักม็อบ เสธ.อ้ายเอาไว้สูงทีเดียว ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเป้าหมายภาคเครือข่ายฝ่ายไม่เอารัฐบาลทุกกลุ่มทุกฝ่ายถูกจับตาความเคลื่อนไหวกันถี่ยิบ แม้กระทั่งแกนนำมวลชนระดับกลางๆ ในพื้นที่ ... ซึ่งถ้าไม่มีการจับตาเป็นพิเศษทักษิณคงไม่สามารถรู้ถึงขนาด พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีบ เข้าร่วมประชุมกับแกนนำองค์การพิทักษ์สยามด้วย
ด้วยประสบการณ์ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการข่าวระหว่างม็อบมาตั้งแต่ 2548 เป็นทั้งผู้ไล่ติดตามข่าวสารคนอื่นและยังเคยมีประสบการณ์เป็นคนอื่นไล่ตามเราด้วย (ที่รู้เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบุคคลรับผิดชอบเขาก็มากระซิบว่าเฮ้ย ! ชื่อเอ็งก็มีอยู่ในแฟ้มนะ) ก็เห็นๆกันอยู่ว่าวิธีการ “หาข่าว-เกาะข่าว” เขาทำกันแบบไหน ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับตอนที่เสื้อแดงชุมนุม 52-53 ผมก็อาศัยเครือข่ายข้อมูลหน่วยงานการข่าวเหล่านี้แหละประมวลการเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดง ดังนั้นจึงเชื่อว่างานเสธ.อ้ายรอบนี้มีการระดมเครือข่ายการข่าวครั้งใหญ่ติดตามและประเมินการเคลื่อนไหวทุกระดับ ทั้งบน กลาง และล่าง ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับรถทัวร์รถบัสที่ถูกจองใช้งานระหว่างนั้นมีรายงานขึ้นไปหมดแล้วล่ะ เพื่อจะประเมินจำนวนและพิกัดต้นทาง
การปะทะกันในแนวรบการข่าวไม่ใช่แค่เรื่องรู้เขา-รู้เราเท่านั้น แนวรบการสื่อสารที่แหลมคมที่สุดคือการ “ทำให้สังคมโดยรวมเชื่อฝ่ายเรามากกว่าฝ่ายเขา” สังเกตอะไรมั้ยครับว่าแม้จะมีการแถลงและอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเป้าหมายขององค์การพิทักษ์สยามไม่ใช่แช่แข็งประเทศหากเป็นแช่แข็งนักการเมือง แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ยังมุ่งเจาะยางชูวาทกรรมแช่แข็งประเทศต่อเนื่อง ประมาณว่ามึงปฏิเสธก็ทำไปแต่กูก็จะตอกย้ำภาพพจน์แช่แข็งประเทศนี่แหละ
บอกแล้วไงว่าการเมือง Perception สำคัญกว่า Fact คนที่ติดตามข่าวสารทั้งฝ่ายเชียร์ฝ่าย เสธ.อ้ายและเชียร์นายกปูส่วนใหญ่เขาก็รู้แล้วล่ะว่าไม่ใช่แช่แข็งประเทศแล้วก็เลือกเล่นคนละบท ฝ่ายรัฐบาลต่อให้รู้ทั้งรู้ก็ยังต้องพูดย้ำว่าแช่แข็งเพราะนี่คือการป้ายสีทำลายภาพลักษณ์ เพื่อผลักให้อีกฝ่ายเป็นผู้ร้าย แช่แข็งยังไม่พอถึงขนาดฟันธงไปเลยว่านี่คือการเรียกให้มีรัฐประหารด้วยซ้ำ...
การดูการปะทะกันในแนวรบข่าวสารดูให้สนุกก็สนุกครับ เช่นฝ่าย เสธ.อ้ายชูว่า ครอบครัวชินวัตรก็มาอีกหรอบเดิมขนลูกเมียไปนอกประเทศทิ้งให้แนวร่วมทำศึกอยู่เมืองไทย เปิดข่าวว่าเฉลิม อยู่บำรุงก็ทิ้งเมืองหลวงไปตั้งหลักพร้อมเผ่นเชียงราย อีกฝ่ายก็ชูการจำลองสถานการณ์ถึงขั้นว่าเสธ.อ้ายต้องเร่งเผด็จศึก สร้างสถานการณ์ให้มีการปะทะก่อสถานการณ์วุ่นวายเพื่อเรียกให้มีการเปลี่ยนแปลงในอีกระดับ โดยนัยก็เพื่อจะสร้างภาพว่าการชุมนุมไม่ปลอดภัยไม่ให้คนมาร่วม
แกนนำที่คุมเกมของฝ่ายรัฐบาลดูจะมีประสบการณ์รับมือม็อบมาพอสมควร จากยุคแรกๆ ปี 2548 พอคุณสนธินัดหมายชุมนุมล่วงหน้าเมื่อไรเชื่อได้เลยว่าจะมีลิ่วล้อโง่ๆ ของรัฐบาลออกมาช่วยเรียกแขกทุกทีไป เพราะองคาพยพของรัฐบาลมันใหญ่มีคนอยากเสนอหน้า อยากอวดผลงานแต่ยิ่งทำยิ่งทำให้คนอยากออกมาชุมนุมมากขึ้น แต่มารอบนี้แรกๆ ก็มีอยู่นะ..เช่นโกตี๋ทำท่าขึงขังบอกพร้อมเคลื่อนแดงปทุมมาชน หรือล่าสุดคนระดับรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยซึ่งแกคงไม่รู้หรอกกว่ามหาดไทยมีระบบรายงานข่าวของตนเองไม่รู้แกอ่านหรือเปล่าจู่ๆ ก็ออกมาเรียกแขกโง่ๆ ว่ามีการจ้างวานหัวละ 2 พันบาท
แต่โดยรวมแล้วมองได้ว่ารัฐบาลรัดกุมขึ้นกว่ายุคเผชิญกับพันธมิตรอยู่พอสมควร อาจเพราะต่างก็ผ่านเหตุการณ์ใหญ่ๆ มามากไม่โฉ่งฉ่างทำอะไรโง่ๆ เช่น ระดมป่าไม้เอาอาวุธปืนมาฝึกที่เขาใหญ่ให้เป็นข่าวล่วงหน้า หรือเอาตำรวจอยากดังมาไล่ฟ้องแกนนำเสธ.อ้ายข้อหากบฏเพื่อจะปิดปากแบบที่เคยทำมา วันอังคารมีข่าวว่าจะเตรียมประกาศใช้กฏหมายพิเศษเพื่อควบคุมม็อบ แต่ผมกลับเชื่อว่ายังไม่ประกาศ แค่เตรียมเอาไว้ ขอฟันธงตอนปิดต้นฉบับเที่ยงวันจันทร์ 19 พ.ย.ว่าอังคารนี้ยังไม่ประกาศหรอกเนื่องจากรัฐบาลไม่ได้มีแค่ ประชา ประสพดี (ที่ถนัดกับการเรียกแขกและหมั่นขยันทำเรื่องไม่เป็นเรื่องไม่สมตำแหน่ง) และที่สำคัญทักษิณประกาศเองให้แดงอยู่ในที่ตั้ง ไม่ได้ปล่อยให้กลุ่มโน้นกลุ่มนี้แสดงตามใจฉันสะท้อนว่ามีการตั้งหลักกันอยู่พอสมควรโดยกลุ่มคนที่ “ตัดสินใจสูงสุด” ซึ่งขยับเข้ามาทำหน้าที่แล้ว
อย่าลืมว่าคนในเครื่องแบบอย่าง พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก พล.อ.มนัส เปาริก ฯลฯ เหล่านี้เคยมีบทบาทอยู่หลังม็อบ นปช.ย่อมมองเห็นและรู้กระบวนการหลังม็อบได้พอสมควร ไอ้การปลอมทหารในราชการมาม็อบที่โยนข้อหามาใส่ฝ่าย เสธ.อ้ายน่ะไม่ได้เกิดครั้งแรกครั้งนี้ คนในกองทัพภาคที่ 3 เองก็รู้กันว่าทหารม้าเพชรบูรณ์-พะเยา-แพร่-อุตรดิตถ์ สนิทกับเจ้านายเสื้อแดงนายทหารม้าด้วยกันขนาดไหน การขยับตัวของนายพลเบื้องหลังม็อบแดงสะท้อนอะไรออกมาพอสมควรว่ามีการตั้งรับ เสธ.อ้ายกันแบบไหน
นอกจากประเด็นที่กล่าวมา สิ่งที่ยังสนใจอยากเห็นเป็นพิเศษอีกเรื่องหนึ่งท่าทีของพวกที่บอกว่าเป็นปัญญาชน นักเขียน นักข่าวคอลัมนิสต์ นักวิชาการ อาจารย์มหาลัยบางคน นักเคลื่อนไหว สื่อหัวแดง ฯลฯ คือพวกที่ปิดตาข้างหนึ่งแล้วเชื่อโดยไม่ต้องขมิบรูตูดว่า นปช.คือขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยแบบอหิงสา ไม่มีรุนแรงเป็นฝ่ายที่น่าเห็นใจต้องออกมาปกป้องเถียงแทนอยู่เสมอ คนเหล่านี้ต่อให้รู้ว่ามีขบวนการติดอาวุธใช้เอ็ม 79 ปืนสงครามอยู่ในม็อบก็แสร้งทำไม่รู้ คนเหล่านี้ต่อให้ม็อบแสดงอาการถ่อยยังไงก็ทำเป็นไม่เห็น เช่น ไปบุกโรงพยาบาล หรือเอายางรถยนต์มาเผาบนถนนก็ยังแก้ตัวให้ว่าเพื่อบดบังสายตาของทหารกลายเป็นคนน่าเห็นใจไปซะงั้น
ผมไม่รู้ว่า เสธ.อ้ายจะเอายังไงในวันที่ 24 เพราะเขาปิดลับ แต่มันจะน่าสนใจไม่น้อยหาก เสธ.อ้ายเลือกใช้วิธีย้อนเกล็ดเดินตามรอยการชุมนุมของ นปช.ทุกเม็ด อยากจะรู้จริงๆ ว่าคนเสื้อแดงตลอดถึงรัฐบาล แกนนำ นปช. เหวง ตู่ เต้น ธิดา และที่สำคัญคือสื่อ นักวิชาการ ฯลฯ ที่กล่าวถึงเมื่อกี้จะพูดยังไง เพราะคนเหล่านี้ให้นิยามการชุมนุมของ นปช.ไปแล้วว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบเรียบร้อย เป็นประชาธิปไตย
อันที่จริงคนที่อยู่ตรงกลาง ที่ไม่ปิดตาตัวเองเชียร์เขาก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่าการบุกโรงพยาบาล ดั้งด่านเอาถังแก๊สมาวาง เอายางมาเผา มีกองกำลังติดอาวุธอยู่ใกล้เคียงยิงใส่ทหารและประชาชนอย่างที่แยกศาลาแดงฝั่งสีลม การส้องสุมกำลังในสวนลุมพินีระหว่างชุมนุม ฯลฯ มันไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ
จะมีก็แต่สื่อมวลชนกะเท่เร่ นักวิชาการแกล้งทำมึน ปนยาชันทั้งหลายที่เลือกจะเชียร์แบบปิดตาตัวเองข้างจึงมองไม่เห็นความรุนแรงของฝั่ง นปช. มองเห็นแต่ความรุนแรงของฝั่งรัฐบาลด้านเดียว
สมมติถ้าม็อบ เสธ.อ้ายเกิดของขึ้นเลียนแบบ นปช. ไปบุกโรงพยาบาล เอายางรถยนต์มาเผาบนถนนพร้อมถังแก๊ส ไปบุกสถานีดาวเทียม และมีกกล.ไม่ทราบฝ่ายมาช่วยยิงเอ็ม 79 ป่วนสถานการณ์ตามที่ต่างๆ ฯลฯ ขึ้นมาจริง ผมคนหนึ่งล่ะจะขอประกาศโดยไม่รีรอว่าม็อบเสธ.อ้ายชุมนุมโดยไม่อยู่ในกรอบไม่สงบจริงและจะประณามวิธีการแบบนั้นโดยไม่ลังเล
แต่หากสมมติ หมอเหวง ตู่ เต้น ปู นปช.ทั้งหลาย สื่อแดง นักวิชาการ นักเขียน เอ็นจีโอหัวก้าวหน้า ปนยาชัน ฯลฯ เกิดมีใครดัดจริตออกมาบอกว่า ม็อบเสธ.อ้าย (ที่เลียนแบบนชป.) ทำไม่ถูก ไม่อยู่ในกรอบ ไปบุกโรงพยาบาล มี กกล.ติดเอ็ม 79 ปิดถนนเผายางตั้งด่านเอาถังแก๊สมาข่มขู่สังคมและควรจะถูกปราบปราม ผมก็จะขออนุญาตถุยน้ำลายใส่พวกหัวก้าวหน้านักประชาธิปไตยเหล่านั้นสักถุยใหญ่
ม็อบ เสธ.อ้ายจะถึงขนาดไหนไม่รู้เพราะเขาไม่เปิดไต๋ออกมา แต่ที่แน่ๆ การได้เห็นการตั้งรับของรัฐบาล ได้เห็นคนนั้นคนนี้ออกมาพูดจาให้ข่าวประเภททีพวกตัวเองทำได้เป็นขบวนการประชาธิปไตย อีกฝ่ายต้องเผด็จการทรราชเท่านั้น พอทีตัวเองก่อม็อบไม่เป็นไรอีกฝ่ายจัดบอกว่าบ้านเมืองกำลังดี ขอให้อยู่ในกรอบ โธ่เอ้ย ไอ้ปากพวกรักประชาธิปไตยไม่สองมาตรฐาน
เห็นม็อบ เสธ.อ้ายแล้วยังมองสะท้อนต่อไปถึงสันดานคนได้อีก ! นี่ขนาดยังไม่ได้ชุมนุมเลยนะนี่ยังเปิดเปลือยได้ขนาดนี้ ถ้าชุมนุมวันที่ 24 แล้วไม่อยากนึกเลยว่าจะเห็นสันดานคนทั้งนักการเมือง สื่อ ปนยาชันผู้ประกาศตัวเป็นนักประชาธิปไตยได้อีกขนาดไหน
ผมตั้งข้อสังเกตมาหลายวันก่อนหน้าผ่านโซเชียลมีเดียว่าขบวนการ เสธ.อ้ายมีจุดอ่อนควรแก้ไขในแนวรบการสื่อสารยิ่งเวลายิ่งผ่านก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าแนวรบด้านนี้(เหลืออีก 5 วัน)ก่อนวันประกาศชุมนุมก็ยังเป็นรองฝ่ายรัฐบาล
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าฝ่ายใดมีสื่อที่สั่งการได้และคอยช่วยประโคมข่าวในช่องทางและปริมาณความถี่มากกว่า เพราะในยุคปัจจุบันผู้คนสามารถเลือกที่จะขวนขวายรับสารเองได้ ต่อให้หนังสือพิมพ์ ทีวีไม่รายงานแต่คนก็ยังสามารถคลิกเข้าไปดูในเว็บเพจ หน้าเฟซบุ๊ก หรือหาดูจากทีวีดาวเทียมช่องที่นำเสนอข่าวขององค์การพิทักษ์สยามได้
ปัญหาที่แท้จริงของแนวรบด้านการสื่อสารอยู่ที่ฝ่ายไหนช่วงชิงทำให้สังคมเชื่อถือฝ่ายตนมากกว่าฝ่ายตรงกันข้าม
อย่าลืมนะครับในสนามการเมืองจริง Perception มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า Fact
ในสนามการเมืองจริง การสร้างความหมายจากวาทกรรม อาศัยข้อมูลจริงบ้าง-ลวงบ้าง-หลอกและบลัฟบ้างช่วงชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ ถึงขนาดป้ายสีสวมหมวกให้กับอีกฝ่ายก็จำเป็นหากมั่นใจว่าทำให้สังคมเชื่อตนและไม่เอาด้วยกับอีกฝ่าย ดังนั้นการปะทะประหมัดกันก่อนนัดหมายชุมนุม 24 พ.ย.ย่อมถือเป็นส่วนหนึ่งของสมรภูมิการต่อสู้ทางการเมืองที่ต้องนับคะแนนเข้าไปด้วย หาใช่เรื่องของมวยนอกเวลาไว้ดูกันเพลินๆ ซะที่ไหน
รัฐบาลประเมินให้น้ำหนักม็อบ เสธ.อ้ายเอาไว้สูงทีเดียว ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเป้าหมายภาคเครือข่ายฝ่ายไม่เอารัฐบาลทุกกลุ่มทุกฝ่ายถูกจับตาความเคลื่อนไหวกันถี่ยิบ แม้กระทั่งแกนนำมวลชนระดับกลางๆ ในพื้นที่ ... ซึ่งถ้าไม่มีการจับตาเป็นพิเศษทักษิณคงไม่สามารถรู้ถึงขนาด พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีบ เข้าร่วมประชุมกับแกนนำองค์การพิทักษ์สยามด้วย
ด้วยประสบการณ์ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการข่าวระหว่างม็อบมาตั้งแต่ 2548 เป็นทั้งผู้ไล่ติดตามข่าวสารคนอื่นและยังเคยมีประสบการณ์เป็นคนอื่นไล่ตามเราด้วย (ที่รู้เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบุคคลรับผิดชอบเขาก็มากระซิบว่าเฮ้ย ! ชื่อเอ็งก็มีอยู่ในแฟ้มนะ) ก็เห็นๆกันอยู่ว่าวิธีการ “หาข่าว-เกาะข่าว” เขาทำกันแบบไหน ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับตอนที่เสื้อแดงชุมนุม 52-53 ผมก็อาศัยเครือข่ายข้อมูลหน่วยงานการข่าวเหล่านี้แหละประมวลการเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดง ดังนั้นจึงเชื่อว่างานเสธ.อ้ายรอบนี้มีการระดมเครือข่ายการข่าวครั้งใหญ่ติดตามและประเมินการเคลื่อนไหวทุกระดับ ทั้งบน กลาง และล่าง ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับรถทัวร์รถบัสที่ถูกจองใช้งานระหว่างนั้นมีรายงานขึ้นไปหมดแล้วล่ะ เพื่อจะประเมินจำนวนและพิกัดต้นทาง
การปะทะกันในแนวรบการข่าวไม่ใช่แค่เรื่องรู้เขา-รู้เราเท่านั้น แนวรบการสื่อสารที่แหลมคมที่สุดคือการ “ทำให้สังคมโดยรวมเชื่อฝ่ายเรามากกว่าฝ่ายเขา” สังเกตอะไรมั้ยครับว่าแม้จะมีการแถลงและอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเป้าหมายขององค์การพิทักษ์สยามไม่ใช่แช่แข็งประเทศหากเป็นแช่แข็งนักการเมือง แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ยังมุ่งเจาะยางชูวาทกรรมแช่แข็งประเทศต่อเนื่อง ประมาณว่ามึงปฏิเสธก็ทำไปแต่กูก็จะตอกย้ำภาพพจน์แช่แข็งประเทศนี่แหละ
บอกแล้วไงว่าการเมือง Perception สำคัญกว่า Fact คนที่ติดตามข่าวสารทั้งฝ่ายเชียร์ฝ่าย เสธ.อ้ายและเชียร์นายกปูส่วนใหญ่เขาก็รู้แล้วล่ะว่าไม่ใช่แช่แข็งประเทศแล้วก็เลือกเล่นคนละบท ฝ่ายรัฐบาลต่อให้รู้ทั้งรู้ก็ยังต้องพูดย้ำว่าแช่แข็งเพราะนี่คือการป้ายสีทำลายภาพลักษณ์ เพื่อผลักให้อีกฝ่ายเป็นผู้ร้าย แช่แข็งยังไม่พอถึงขนาดฟันธงไปเลยว่านี่คือการเรียกให้มีรัฐประหารด้วยซ้ำ...
การดูการปะทะกันในแนวรบข่าวสารดูให้สนุกก็สนุกครับ เช่นฝ่าย เสธ.อ้ายชูว่า ครอบครัวชินวัตรก็มาอีกหรอบเดิมขนลูกเมียไปนอกประเทศทิ้งให้แนวร่วมทำศึกอยู่เมืองไทย เปิดข่าวว่าเฉลิม อยู่บำรุงก็ทิ้งเมืองหลวงไปตั้งหลักพร้อมเผ่นเชียงราย อีกฝ่ายก็ชูการจำลองสถานการณ์ถึงขั้นว่าเสธ.อ้ายต้องเร่งเผด็จศึก สร้างสถานการณ์ให้มีการปะทะก่อสถานการณ์วุ่นวายเพื่อเรียกให้มีการเปลี่ยนแปลงในอีกระดับ โดยนัยก็เพื่อจะสร้างภาพว่าการชุมนุมไม่ปลอดภัยไม่ให้คนมาร่วม
แกนนำที่คุมเกมของฝ่ายรัฐบาลดูจะมีประสบการณ์รับมือม็อบมาพอสมควร จากยุคแรกๆ ปี 2548 พอคุณสนธินัดหมายชุมนุมล่วงหน้าเมื่อไรเชื่อได้เลยว่าจะมีลิ่วล้อโง่ๆ ของรัฐบาลออกมาช่วยเรียกแขกทุกทีไป เพราะองคาพยพของรัฐบาลมันใหญ่มีคนอยากเสนอหน้า อยากอวดผลงานแต่ยิ่งทำยิ่งทำให้คนอยากออกมาชุมนุมมากขึ้น แต่มารอบนี้แรกๆ ก็มีอยู่นะ..เช่นโกตี๋ทำท่าขึงขังบอกพร้อมเคลื่อนแดงปทุมมาชน หรือล่าสุดคนระดับรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยซึ่งแกคงไม่รู้หรอกกว่ามหาดไทยมีระบบรายงานข่าวของตนเองไม่รู้แกอ่านหรือเปล่าจู่ๆ ก็ออกมาเรียกแขกโง่ๆ ว่ามีการจ้างวานหัวละ 2 พันบาท
แต่โดยรวมแล้วมองได้ว่ารัฐบาลรัดกุมขึ้นกว่ายุคเผชิญกับพันธมิตรอยู่พอสมควร อาจเพราะต่างก็ผ่านเหตุการณ์ใหญ่ๆ มามากไม่โฉ่งฉ่างทำอะไรโง่ๆ เช่น ระดมป่าไม้เอาอาวุธปืนมาฝึกที่เขาใหญ่ให้เป็นข่าวล่วงหน้า หรือเอาตำรวจอยากดังมาไล่ฟ้องแกนนำเสธ.อ้ายข้อหากบฏเพื่อจะปิดปากแบบที่เคยทำมา วันอังคารมีข่าวว่าจะเตรียมประกาศใช้กฏหมายพิเศษเพื่อควบคุมม็อบ แต่ผมกลับเชื่อว่ายังไม่ประกาศ แค่เตรียมเอาไว้ ขอฟันธงตอนปิดต้นฉบับเที่ยงวันจันทร์ 19 พ.ย.ว่าอังคารนี้ยังไม่ประกาศหรอกเนื่องจากรัฐบาลไม่ได้มีแค่ ประชา ประสพดี (ที่ถนัดกับการเรียกแขกและหมั่นขยันทำเรื่องไม่เป็นเรื่องไม่สมตำแหน่ง) และที่สำคัญทักษิณประกาศเองให้แดงอยู่ในที่ตั้ง ไม่ได้ปล่อยให้กลุ่มโน้นกลุ่มนี้แสดงตามใจฉันสะท้อนว่ามีการตั้งหลักกันอยู่พอสมควรโดยกลุ่มคนที่ “ตัดสินใจสูงสุด” ซึ่งขยับเข้ามาทำหน้าที่แล้ว
อย่าลืมว่าคนในเครื่องแบบอย่าง พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก พล.อ.มนัส เปาริก ฯลฯ เหล่านี้เคยมีบทบาทอยู่หลังม็อบ นปช.ย่อมมองเห็นและรู้กระบวนการหลังม็อบได้พอสมควร ไอ้การปลอมทหารในราชการมาม็อบที่โยนข้อหามาใส่ฝ่าย เสธ.อ้ายน่ะไม่ได้เกิดครั้งแรกครั้งนี้ คนในกองทัพภาคที่ 3 เองก็รู้กันว่าทหารม้าเพชรบูรณ์-พะเยา-แพร่-อุตรดิตถ์ สนิทกับเจ้านายเสื้อแดงนายทหารม้าด้วยกันขนาดไหน การขยับตัวของนายพลเบื้องหลังม็อบแดงสะท้อนอะไรออกมาพอสมควรว่ามีการตั้งรับ เสธ.อ้ายกันแบบไหน
นอกจากประเด็นที่กล่าวมา สิ่งที่ยังสนใจอยากเห็นเป็นพิเศษอีกเรื่องหนึ่งท่าทีของพวกที่บอกว่าเป็นปัญญาชน นักเขียน นักข่าวคอลัมนิสต์ นักวิชาการ อาจารย์มหาลัยบางคน นักเคลื่อนไหว สื่อหัวแดง ฯลฯ คือพวกที่ปิดตาข้างหนึ่งแล้วเชื่อโดยไม่ต้องขมิบรูตูดว่า นปช.คือขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยแบบอหิงสา ไม่มีรุนแรงเป็นฝ่ายที่น่าเห็นใจต้องออกมาปกป้องเถียงแทนอยู่เสมอ คนเหล่านี้ต่อให้รู้ว่ามีขบวนการติดอาวุธใช้เอ็ม 79 ปืนสงครามอยู่ในม็อบก็แสร้งทำไม่รู้ คนเหล่านี้ต่อให้ม็อบแสดงอาการถ่อยยังไงก็ทำเป็นไม่เห็น เช่น ไปบุกโรงพยาบาล หรือเอายางรถยนต์มาเผาบนถนนก็ยังแก้ตัวให้ว่าเพื่อบดบังสายตาของทหารกลายเป็นคนน่าเห็นใจไปซะงั้น
ผมไม่รู้ว่า เสธ.อ้ายจะเอายังไงในวันที่ 24 เพราะเขาปิดลับ แต่มันจะน่าสนใจไม่น้อยหาก เสธ.อ้ายเลือกใช้วิธีย้อนเกล็ดเดินตามรอยการชุมนุมของ นปช.ทุกเม็ด อยากจะรู้จริงๆ ว่าคนเสื้อแดงตลอดถึงรัฐบาล แกนนำ นปช. เหวง ตู่ เต้น ธิดา และที่สำคัญคือสื่อ นักวิชาการ ฯลฯ ที่กล่าวถึงเมื่อกี้จะพูดยังไง เพราะคนเหล่านี้ให้นิยามการชุมนุมของ นปช.ไปแล้วว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบเรียบร้อย เป็นประชาธิปไตย
อันที่จริงคนที่อยู่ตรงกลาง ที่ไม่ปิดตาตัวเองเชียร์เขาก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่าการบุกโรงพยาบาล ดั้งด่านเอาถังแก๊สมาวาง เอายางมาเผา มีกองกำลังติดอาวุธอยู่ใกล้เคียงยิงใส่ทหารและประชาชนอย่างที่แยกศาลาแดงฝั่งสีลม การส้องสุมกำลังในสวนลุมพินีระหว่างชุมนุม ฯลฯ มันไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ
จะมีก็แต่สื่อมวลชนกะเท่เร่ นักวิชาการแกล้งทำมึน ปนยาชันทั้งหลายที่เลือกจะเชียร์แบบปิดตาตัวเองข้างจึงมองไม่เห็นความรุนแรงของฝั่ง นปช. มองเห็นแต่ความรุนแรงของฝั่งรัฐบาลด้านเดียว
สมมติถ้าม็อบ เสธ.อ้ายเกิดของขึ้นเลียนแบบ นปช. ไปบุกโรงพยาบาล เอายางรถยนต์มาเผาบนถนนพร้อมถังแก๊ส ไปบุกสถานีดาวเทียม และมีกกล.ไม่ทราบฝ่ายมาช่วยยิงเอ็ม 79 ป่วนสถานการณ์ตามที่ต่างๆ ฯลฯ ขึ้นมาจริง ผมคนหนึ่งล่ะจะขอประกาศโดยไม่รีรอว่าม็อบเสธ.อ้ายชุมนุมโดยไม่อยู่ในกรอบไม่สงบจริงและจะประณามวิธีการแบบนั้นโดยไม่ลังเล
แต่หากสมมติ หมอเหวง ตู่ เต้น ปู นปช.ทั้งหลาย สื่อแดง นักวิชาการ นักเขียน เอ็นจีโอหัวก้าวหน้า ปนยาชัน ฯลฯ เกิดมีใครดัดจริตออกมาบอกว่า ม็อบเสธ.อ้าย (ที่เลียนแบบนชป.) ทำไม่ถูก ไม่อยู่ในกรอบ ไปบุกโรงพยาบาล มี กกล.ติดเอ็ม 79 ปิดถนนเผายางตั้งด่านเอาถังแก๊สมาข่มขู่สังคมและควรจะถูกปราบปราม ผมก็จะขออนุญาตถุยน้ำลายใส่พวกหัวก้าวหน้านักประชาธิปไตยเหล่านั้นสักถุยใหญ่
ม็อบ เสธ.อ้ายจะถึงขนาดไหนไม่รู้เพราะเขาไม่เปิดไต๋ออกมา แต่ที่แน่ๆ การได้เห็นการตั้งรับของรัฐบาล ได้เห็นคนนั้นคนนี้ออกมาพูดจาให้ข่าวประเภททีพวกตัวเองทำได้เป็นขบวนการประชาธิปไตย อีกฝ่ายต้องเผด็จการทรราชเท่านั้น พอทีตัวเองก่อม็อบไม่เป็นไรอีกฝ่ายจัดบอกว่าบ้านเมืองกำลังดี ขอให้อยู่ในกรอบ โธ่เอ้ย ไอ้ปากพวกรักประชาธิปไตยไม่สองมาตรฐาน
เห็นม็อบ เสธ.อ้ายแล้วยังมองสะท้อนต่อไปถึงสันดานคนได้อีก ! นี่ขนาดยังไม่ได้ชุมนุมเลยนะนี่ยังเปิดเปลือยได้ขนาดนี้ ถ้าชุมนุมวันที่ 24 แล้วไม่อยากนึกเลยว่าจะเห็นสันดานคนทั้งนักการเมือง สื่อ ปนยาชันผู้ประกาศตัวเป็นนักประชาธิปไตยได้อีกขนาดไหน