xs
xsm
sm
md
lg

ส.ปูน กับ ส.เต้น: วิถีอำมาตย์ใหม่

เผยแพร่:   โดย: บัณรส บัวคลี่

หลายวันมานี้มีจังหวะได้ลงปักษ์ใต้ สัมผัสเพื่อนฝูงญาติมิตรจากสุราษฏร์ฯ นครศรีฯ ทำให้ได้รู้เห็นเข้าใจความกลมกลอกของคนที่เป้นแกนนำมวลชนบางคนมากยิ่งขึ้น

เริ่มจาก ส.เต้น อันที่จริง ส.เต้นไม่เกี่ยวอะไรกับสหายและพรรคคอมมิวนิสต์ อายุก็ไม่มากตอนที่ป่าแตก ส.เต้นยังเบบี๋อยู่เลย ส.คนนี้เติบโตมากับวิถีทางแบบทุนเสรีเต็มขั้นประมาณว่าเป็นเซเลปดาราทีวีแต่เด็ก ห้าวหาญมั่นใจตนเองประสาเด็กบ้านนอกที่กล้ากระโจนขึ้นขบวนรถไฟสายโอกาส เขาอยากเป็นนักการเมืองเป็นใหญ่เป็นโตมาตั้งแต่เริ่มรุ่น ขนาดที่บอกความในใจกับอาจารย์ที่เคารพนับถือว่าอยากเป็นนักการเมืองและเสนาบดี เมื่อมีโอกาสแรกลงสมัครส.ส. ไปขอปชป.เขาไม่ให้ก็ไปหันไปลงชาติพัฒนาเพราะตอนนั้นทรท. ยังไม่ดัง แล้วค่อยมาเข้าพวก ทรท.ภายหลัง

ส.เต้น ถูกอวยให้เป็น “สหายกิตติมศักดิ์” จากแวดวงสหายเก่าชาวเสื้อแดงเพราะสามารถจุดประเด็นไพร่-อำมาตย์ขึ้นมาจนกลายเป็นกระแส.. อันที่จริง ไพร่-อำมาตย์ จัดเป็นยุทธวิธีที่แยบยลมากของกุนซือเสื้อแดงเพราะว่ามันเข้ากับอารมณ์ร่วมของชนชั้นกลางต่ำลงไปถึงรากหญ้าอันเป็นมวลชนหลัก ยิ่งขับเน้นความได้เปรียบเสียเปรียบกระตุ้นอารมณ์ของมวลชนได้ดีนักแล จนยุทธวิธีจุดกระแสไพร่สำเร็จขึ้นมา ขนาดที่มวลชนบางกลุ่มเกิดความเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามระดับฆ่าได้ก็ฆ่าด้วยซ้ำไป

คนในแวดวงทราบกันว่าผู้ที่เป็นกุนซือบอกบท คอยส่งสคริปต์ป้อนประเด็นเบื้องหลังนักพูดปากดีของเวทีเสื้อแดงก็คือ ส.ปูน ธิดา ถาวรเศรษฐ ดังนั้นคนในแวดวงสหายจึงคล้อยรับ ส.เต้น ซึ่งเป็นเหมือนศิษย์นอกสำนักของส.ปูน เป็นสหายรุ่นใหม่ร่วมแนวอีกคนหนึ่ง

มีครั้งหนึ่งที่ ส.เต้น ขึ้นเวทีพูดเรื่องรามายณะฉบับไพร่ เล่าความทำนองว่าพวกพระราม พระลักษณ์นั้นคือฝ่ายอธรรมคือเป็นพวกอำมาตย์กดขี่ข่มเหงส่วนฝ่ายยักษ์ทศกัณฑ์แท้จริงเป็นพวกที่ถูกกดขี่มาแต่ครั้งเป็นนนทกเฝ้าบันไดให้พวกเทวดาเขกหัวเล่นโน่น ครั้นนนทกเกิดถูกหวยเลื่อนชั้นมีนิ้วเพชร เกิดมีฤทธิ์ขึ้นมาพวกเทวดาก็ยังเล่นไม่ซื่อส่งพระนารายณ์ปลอมเป็นหญิงงามหลอกให้ชี้นิ้วเข้าตัวเองตาย เพราะถ้ารบกันจริงอำมาตย์เอ้ยพวกเทวดาก็สู้ไม่ได้ ก่อนตายนนทกยังคับข้องใจว่าถูกเอาเปรียบร่ำไป พระนารายณ์จึงลั่นว่าให้กลับชาติไปเกิดมี 10 หน้า 20 มือทรงฤทธิ์เดช ส่วนตนจะอวตารเป็นมนุษย์สองมือไปปราบจนเกิดเรื่องรามายณะขึ้นมา

ส.เต้นปราศรัยรามเกียรติ์ฉบับไพร่ได้จับใจมากระดับที่สหายเสื้อแดงรุ่นน้าอาซี้ดปากชมเชยกันเป็นแถว บางคนไฟมอดไปแล้วยังอุตส่าห์กระฉับกระเฉงลุกขึ้นมาร่วมขบวนเสื้อแดงเพราะคิดว่านี่คือการปฏิวัติสังคมไทยอีกรอบ

เบื้องหลังสคริปต์คำปราศรัยรามเกียรติ์ฉบับไพร่ของส.เต้นครั้งนั้นมีที่มาจากแนวคิดมาร์กซิสม์ชัดเจน โดยมีต้นธารความคิดจากหนังสือเรื่อง “ความเป็นมาของคำสยาม ไทย,ลาวและขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ” ของจิตร ภูมิศักดิ์

รามายณะ แม้จะเป็นมหากาพย์ที่มาจากการรบกันระหว่างอารยันที่เข้ามารุกรานอินเดียขับไล่คนพื้นเมืองคือพวกฑราวิต หรือ ดราวิเดียนจนสุดทะเลข้ามไปอยู่เกาะลังกา คนอารยันผิวขาวเลยกลายเป็นฝ่ายปกครอง ดังคำกล่าวว่าผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ดูได้จากเรื่องนี้ มหากาพย์ซึ่งเขียนโดยฝ่ายชนะทำให้คนพื้นเมืองที่ถูกกระทำแท้ๆ กลายเป็นพวกมารคือยักษ์ผิวดำ ทศกัณฐ์ไป ขณะที่พวกลิงเหล่าวานรสุครีพ หนุมาณทั้งหลายแท้จริงก็คือชนพื้นเมืองอีกกลุ่มที่เข้าร่วมเป็นไพร่พลของอารยันผู้ปกครองนั่นเอง

แต่ความเรื่องนี้ของ ส.เต้น ไม่ได้แค่ปราศรัยเอามันปลุกไพร่อำมาตย์ดอกนะครับเพราะยังโยงกระทบไปถึงความเชื่อธรรมเนียมการปกครองของไทยเราด้วยโดยตรง เพราะรูปแบบการปกครองสยามหรือไทยแต่โบราณว่าด้วยลัทธิเทวราชาเกี่ยวข้องกับแบบแผนความเชื่อว่าเหล่ารามาคือผู้ปกครองเป็นแบบแผนรองรับสิทธิธรรมของผู้ปกครองเรื่อยมา พระเจ้าอู่ทองจึงเป็น “ราม” อวตารสมเด็จคือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ครองอโยธยานั่นยังไง และก็ยังสืบทอด “องค์รามาธิบดี” มาจนถึงรัตนโกสินทร์ คำปราศรัยของ ส.เต้น สหายใหม่ที่ได้รับสคริปต์การชี้แนะจากสหายเก่า ส.ปูน ครั้งนั้นจึงสะเทือนไปถึงโครงสร้างความเชื่อรูปแบบการปกครองที่ถือกันมาถึงปัจจุบันพร้อมกันด้วย ประมาณว่าถ้าเป็นยุคก่อนคงถูกจับตัดหัวกันบ้างแล้ว

ดูเผินๆ เหมือน ส.เต้น จะดื่มด่ำกับแนวทางของสหายมาร์กซิสม์ โดยเฉพาะแนวทางที่ ส.ปูน ผู้เป็นกุนซือชี้แนะถึงการเชิดชูไพร่ไล่อำมาตย์ แต่ทว่าแท้จริงหาใช่เลย... เวลายิ่งผ่านไรก็ยิ่งพิสูจน์ว่านั่นก็แค่คำปราศรัยปลุกระดมหลอกให้ไพร่ฮึกเหิมเท่านั้น เนื้อแท้ของ “ส.เต้น” หาใช่สหายดอก หากแต่เป็น” ศ.เต้น” หรือ เศรษฐีเต้นต่างหาก ความใฝ่ฝันทางการเมืองของเต้นไม่ใช่สหายปลุกไพร่รบนายอะไรหรอก ความใฝ่ฝันดั้งเดิมคือเป็นส.ส.และเสนาบดีเท่านั้นและตอนนี้ก็สำเร็จขึ้นวอเป็น ฯพณฯ อำมาตย์เต้นไปแล้ว ไม่ใช่แค่กล่องเท่านั้นการทำมาหากินก่อนหน้าของพวกสหายก็แอบอิงอยู่กับเครือข่ายอำนาจและเงินของหลวงนี่แหละ คำว่าสองมาตรฐานธรรมาภิบาลเครือข่ายแวดวงฯลฯ ล้วนแต่เป็นคำกล่าวเอามันบนเวทีทั้งนั้น

พอเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ส.เต้น เอ๊ย อำมาตย์เต้นจึงลืมๆ ไปแล้วว่าที่ผ่านมาเคยปราศรัยอะไรในประเด็นว่าด้วย “พระผู้ทรงอวตาร” ที่เป็นฝ่ายกดขี่ข่มเหงเอาไว้อย่างไรบ้าง สวมชุดปกติขาวเข้ารับตำแหน่งที่ทรงโปรดเกล้าฯ อย่างผ่าเผย แล้วก็สนุกสนานกับงบซื้อยางมาเผา เอ๊ย งบพยุงราคายาง ตลอดถึงการแผ่บารมีในพื้นที่ภาคใต้ตามแนวทางของนักการเมืองไทย อำมาตย์ ผู้ได้เปรียบ และผู้ปกครองที่ตนเองเคยด่าว่าไว้

รุ่นพี่เบญจมราชูทิศของ ส. เต้น คนสิชลบ้านอยู่ไม่ไกลจากเขาพลายดำบอกว่าป้ายคัตเอาท์ใหญ่โตที่ติดอยู่ตามสะพานลอย หน้าสถานที่ราชการและตามแยกต่างๆ ในอำเภอเพื่อเชลียร์เสนาบดีคนสิชลนั้นมันก็แค่การสร้างภาพของคนแวดล้อมหยิบมือเดียว คนสิชลส่วนใหญ่ไม่มีใครตื่นเต้นไปกับเสนาบดีหรอกมีแต่พวกทำมาหากิน ฉวยโอกาสโหนเข้าไปกอบโกยเอาประโยชน์ทั้งนั้น

ถ้าส.เต้นไม่เข้าใจความต่างระหว่างขวากับซ้ายขอบอกให้รู้ว่าวิธีการที่เน้นรูปแบบรุงรัง ประมาณว่ามีพิธีกรรม มีพร๊อพฯ เอาป้ายขึ้นชู มีภาพใหญ่ๆ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นวิธีดั้งเดิมของอำมาตย์ และฝ่ายขวาทั้งสิ้น

พรรคพวกจากเบญจมราชูทิศนครศรีฯ เล่าว่าเมื่อหลายเดือนก่อนคือหลังจาก ฯพณฯ อำมาตย์เต้นได้รับตำแหน่ง มีการบอกเล่าให้เครือข่ายพรรคพวก รุ่นพี่น้องเบญจมฯ พรรคพวกของญาติตลอดถึงเครือข่ายสีแดงในภาคใต้ไปพบที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งที่ภูเก็ตใครอยากได้อะไรขอให้บอกน้องเต้น เรื่องแบบนี้มีแต่คนทำมาหากินกับหลวงเท่านั้นที่รู้ว่าต้องทำกันยังไงเพราะพวกของอำมาตย์เต้นมีประสบการณ์ช่ำชองเพราะมีบริษัทใกล้ชิดทำมาหากินกับงบประมาณของ ปตท.อย่างอิ่มหมีพีมันมาก่อนหน้า ขณะที่เพื่อนอีกคนอยู่ในวงตำรวจบอกว่า ตอนนี้ตำรวจทั้งภาคใต้วิ่งเข้าหาอำมาตย์เต้นกันฝุ่นตลบ

ไพร่เสื้อแดงจะรู้ไหมหนอว่าคนที่เคยปราศรัยเรื่องยักษ์นนทกถูกกดขี่ข่มเหงกำลังสนุกสนานกับวิถีเทวดาเสียแล้ว !

ไม่ใช่แค่ลูกศิษย์ ส.เต้นเท่านั้น หันมาทางพระอาจารย์-กุนซือแดงอย่าง ส.ปูน ธิดา ถาวรเศรษฐ ผู้มีสถานะเป็นถึงภริยา ฯพณฯ ส.ส.เหวง โตจิราการเองก็เริ่มจะหลุดจากภาพลักษณ์สหายเพื่อไพร่ที่สร้างสมมาไปทุกขณะเช่นกัน

มีแต่คนใกล้ชิด เพื่อนเก่าญาติมิตรเท่านั้นที่พอจะรู้ความเป็นจริงของเหวง-ธิดา นับจากออกจากป่ามาก็อยู่ในวิถีทุนมาโดยตลอด โดยเฉพาะบทบาทนายหน้าค้าที่ดินยุคที่ดินบูม และก็เป็นนักสะสมที่ดินตัวยง บัญชีทรัพย์สินสองคนรวมกันมากกว่า 130 ไร่ เมื่อรู้เช่นนี้จึงไม่ประหลาดใจอะไรที่เมื่ออาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนบทความสะเทือนขบวนแดงยุให้จัดการอะไรสักอย่างกับพรรคเพื่อไทยที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้มีนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ไม่มีนโยบายด้านโครงสร้างความเป็นธรรมเรื่องภาษีที่ดิน แต่ ส.ปูน ผู้ประกาศตนรบเพื่อไพร่กลับแสดงท่าทีไม่สนองรับบอก นปช.ไม่เกี่ยวเรื่องนี้

จึงพอจะเข้าใจได้ว่าคนที่เป็นนายทุนน้อยถือครองที่ดินกว่า 100 ไร่ก็คงไม่อยากเห็นภาษีก้าวหน้าและการกระจายการถือครองที่ดินให้เข้าเนื้อตัวเองหรอก ดังนั้นจึงมาสู่บทสรุปว่าแนวทางของตนเสื้อแดงภายใต้การนำของ ส.ปูน จึงไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับการเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปความเหลื่อมล้ำรายได้และการถือครองที่ดิน นปช.ภายใต้ส.ปูนจึงเต้นย็อกแย็กๆ อยู่กับการจัดอีเวนท์ การปล่อยข่าวจะมีการรัฐประหารให้พี่น้องเสื้อแดงเตรียมพร้อม รึไม่ก็หนุนหลังให้ไปไล่อภิสิทธิ์ตามเรื่องตามราวเพราะการคงสภาพขบวนของมวลชนจำนวนมากนั้นแกนนำต้องมีกิจกรรมเพื่อขยับมวลชนตลอดเวลา แต่เมื่อฝ่ายตนเองได้อำนาจรัฐมาแล้วเป้าหมายของกิจกรรมย่อมน้อยลงไปเป็นหน้าที่ของแกนนำต้องหากิจกรรมมากระตุ้น เช่นจัดครบรอบวันโน้นนี่ไปเรื่อยๆ

แกนนำ นปช.ที่มีเบื้องหลังจากสหายเข้าป่ามีศัตรูเดิมที่เป็นวาระในใจ เรื่องแบบนี้บางคนเปิดเผย บางคนเก็บซ่อน ซึ่งที่สุดก็คือมุ่งไปที่เครือข่ายอำนาจเก่า องคมนตรี ข้าราชการ ทหาร ตุลาการและทุนฝ่ายตรงกันข้ามกับตัวเอง แล้วก็หลอกรากหญ้ามวลชนทั้งหลายให้พุ่งเป้าไปยังกลุ่มคนที่อยู่ในโครงสร้างส่วนบนดังกล่าว แต่ก็ไม่มอง ไม่จัดการ ทำเป็นไม่เห็นคนที่ได้เปรียบที่อยู่ในโครงสร้างส่วนบนอีกกลุ่มคือมีข้าราชการ ทหารตำรวจสีแดง อัยการตุลาการฝ่ายตน ตลอดถึงทุนเก่า-ใหม่ซึ่งก็คือพวกที่ได้เปรียบในสังคมกดที่อยู่ฝ่ายเดียวกับตน คนที่ได้เปรียบกลุ่มนี้เมื่อมีอำนาจรัฐในมือก็รับสุขรับเงินรับโครงการกันไป ส่วนมวลชนทั้งหลายเอาบัตรเครดิต(ที่ต้องควักจ่ายเองในอนาคต)ไปปลอบใจพลางๆ

เวลามันพิสูจน์ด้วยตัวเอง คนย่อมประจักษ์ชัดว่าเหล่าแกนนำมวลชนที่มีวาทกรรมแบบไพร่ หรือมีภาพลักษณ์คนเข้าป่าแต่แท้จริงแล้วเป็นนายทุนน้อย เป็นนักวิ่งเต้นหรือผู้ประกอบการหากินกับเงินของรัฐอาศัยเส้นสายการเมืองให้ตนได้งานแทบทั้งนั้น อย่างบริษัทโฆษณารับเคลียร์มวลชนที่ใกล้ชิดกับเต้น บริษัทรับเหมางานก่อก๊าซของก่อแก้ว แกนนำเหล่านี้ล้วนจัดอยู่ในระดับเศรษฐีเมื่อถึงเวลาได้อำนาจแกนนำเหล่านี้จึงละเลยทำเป็นมองข้ามประเด็นปัญหาที่สำคัญที่สุดของโครงสร้างสังคมคือการกระจายรายได้ การขจัดความเหลื่อมล้ำ เวลายิ่งผ่านนับวันยิ่งตลก ส.ปูนผู้มีบุคลิกสองหน้า หน้าหนึ่งเป็นกุนซือซ้ายเก่า เที่ยวชี้แนะให้ใครๆ จุดกระแสไพร่อำมาตย์ แต่เมื่อถึงเวลาที่มีผู้แนะนำให้ทำเพื่อประโยชน์ของไพร่จริงๆ แกนนำสองหน้ากลับโบ้ยบ้ายเบี่ยงไปเสีย แล้วก็หลับตาข้างหนึ่งให้กับการทำมาหากินกับงบหลวงของฝ่ายเดียวกัน

คนที่รู้จักธิดา เล่าให้ฟังว่าตอนที่หนีเข้าป่าพบรักกับสหายเหวลอบออกจากป่ามากรุงเทพฯเพื่อแต่งงานเงียบๆ ต่อหน้าพ่อ (เฮ้ง แซ่ด่าน หรือ บัญชา ถาวรเศรษฐ) แล้วก็เข้าป่าไปผลักดันอุดมการณ์ปลดปล่อยสังคมไทยให้เป็นสังคมนิยมกันต่อ มีคนให้ข้อมูลว่าระหว่างที่เข้าป่านั้นสองผัวเมียยังไม่ละทิ้งอารมณ์นายทุนน้อยซื้อสวนซื้อไร่แถวบ้านนาสาร สุราษฏร์ธานีทิ้งไว้ เท็จจริงยังไงมีคนสุราษฏร์ฯที่รู้เรื่องนี้เขาพูดกัน ถ้าจริงมันก็น่าขำเพราะอุดมการณ์สังคมนิยมคือยึดที่ดินมาเป็นส่วนกลาง ไม่มีนายทุนน้อยที่ได้กรรมสิทธิ์ครอบครอง แต่ในระหว่างที่ต่อสู้ผลักดันอุดมการณ์สหายก็ซื้อที่ทางไร่สวนเก็บไว้เอง.. ช่างรอบคอบเผื่อทางถอยดีแท้สหายเอ๋ย

จึงไม่แปลกที่การนำมวลชนแดงหลังพรรคเพื่อไทยได้อำนาจรัฐ จึงวนเวียนอยู่กับการปล่อยข่าวว่าทหารจะยึดอำนาจ ศาลจะรัฐประหารโดยคำพิพากษาขอให้มวลชนเตรียมพร้อม แล้วก็จัดอีเวนท์รำลึกโน่นนี่ประคองกระแสมวลชนไปวันๆ อีกทางหนึ่งแกนนำผู้มีภาพสหายบังหน้าก็เสวยสุขเป็นอำมาตย์ใหม่กันถ้วนหน้า แม้กระทั่งสหายปูนก็ถือเป็นแวดวงอำมาตย์เพราะภริยาสมาชิกสภาแห่งรัฐใหญ่โตไม่หยอก มีงบประมาณไปต่างประเทศในนามการทำงานให้นปช. ร่าถ่ายภาพคู่ผัวเมียเริงดี๊ด๊าสะดวกสบาย

ส.ปูน ซึ่งทำมาหากินในแวดวงทุนเป็นนายทุนน้อยมาก่อนจึงจัดเป็นอำมาตย์ใหม่อีกคนภาพสหายผู้ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยสังคมอะไรนั่นมันก็แค่ภาพลักษณ์และวาทกรรมในขบวนเท่านั้น บทบาทของส.ปูน จึงมุ่งไปที่การจัดการกับอำนาจเก่าที่เป็น “ศัตรูเดิม” ที่ตัวฝังใจเท่านั้น หาใช่ดื่มด่ำกับวิถีแห่งไพร่ การปลดปล่อยไพร่ การทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ไพร่อะไรเลยในเชิงโครงสร้างที่แท้จริง

ส.ปูน แกคงลืมวิถียักษ์นนทกผู้ทุกข์ยากที่เคยเอามาปลุกคนเป็นยังไงเพราะหลงไปกับบทบาทเทวดา ร่วมบันเทิงสุขไปกับเหล่าเทวดาขั้วใหม่บนสรวงสวรรค์เสียแล้วไพร่เอ๋ย
กำลังโหลดความคิดเห็น