ในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งทางการเมือง การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การถือข้างผู้นำของพลเมืองไทย ทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิดฝังรากลึกลงไปถึงหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมคือครอบครัวดังที่รับรู้กันโดยทั่วไปนั้น นับเป็นเรื่องที่น่าตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง คงไม่เคยมีช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์ที่ความขัดแย้งทางความคิดในทางการเมืองจะหยั่งลึกจนยากจะแก้ไขได้ถึงเพียงนี้ หากยังอยู่ต่อไปนานวันเข้า ความขัดแย้งจะจบลงแบบใดก็ไม่อาจรู้ได้ และคงยากที่จะลงเอยแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง
ความขัดแย้งดังกล่าวนอกจากดำรงอยู่ในโลกจริงแล้ว ยังได้เคลื่อนย้ายไปสู่โลกไซเบอร์ อันเป็นอาณาเขตที่ไม่มีพรมแดน ไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลาเหมือนในโลกจริง ความขัดแย้งที่เคลื่อนเข้าสู่โลกไซเบอร์นั้น ได้ก่อรูปร่างเป็นความรุนแรงที่คู่ขัดแย้งต่างกระทำต่อกัน ผ่านวาทกรรมมากมายหลายหลากที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อทำร้ายฝ่ายตรงกันข้าม มีการรับส่งกันอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ต่างยึดกุมวาทกรรมที่ถูกใจตรงจริตและความคิดของตนเอาไว้อย่างเหนียวแน่น เมื่อถึงเวลาและจังหวะอันเหมาะสม ก็นำออกมาใช้ในทันที
วาทกรรมที่สำคัญซึ่งกระจายอยู่ในโลกไซเบอร์ อันได้แก่เว็บไซต์ บล็อก กระดานสนทนา และโซเชียลมีเดียอย่างทวิตเตอร์กับเฟซบุก มีอยู่ด้วยกัน 3 คำ นั่นคือ “ควายแดง” “แมลงสาบ” และ “สลิ่ม” ซึ่งคำว่า “สลิ่ม” บางครั้งมีคำขยายคุณลักษณะต่อท้ายคือ “กลางกลวง” เป็น “สลิ่มกลางกลวง”
“ควายแดง” เป็นคำที่กลุ่มตรงกันข้ามใช้เรียกกลุ่มคนเสื้อแดง มีความหมายว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนที่โง่เขลา ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ถูกชักจูงจากผู้นำ เปรียบเสมือนควายเทียมไถ ไม่มีปัญญาจะพิจารณาสิ่งต่างๆให้เห็นจริง สรุปแล้วก็คือ กลุ่มคนเสื้อแดงนั้นโง่เหมือนควาย นั่นเอง (กรุณาอย่าตัดตอนเฉพาะย่อหน้านี้ไปอ้างอิง เพราะจะทำให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อนได้)
“แมลงสาบ” เป็นคำที่กลุ่มเสื้อแดงหรือสนับสนุนเสื้อแดงใช้เรียกฝ่ายตรงกันข้ามกับตน มีความหมายไม่ต่างกันนัก นั่นคือ เป็นพวกที่ไม่มีปัญญา ไร้ค่า เหมือนแมลงสาบที่ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ควรที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำไป (กรุณาอย่าตัดตอนเฉพาะย่อหน้านี้ไปอ้างอิง เพราะจะทำให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อนได้)
“สลิ่ม” หรือ “สลิ่มกลางกลวง” หมายถึงกลุ่มคนที่ไม่เลือกข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เป็นกลุ่มคนที่ประกาศตัวเป็นกลาง ที่ยืนยันว่าตนมีอิสระที่จะเลือกเชื่อใครหรือเรื่องใดโดยไม่ต้องถูกชักจูงจากใครหรือฝ่ายใด พวกสลิ่มจึงมักจะถูกเยาะเย้ย ด่าว่า จากทั้งสองฝ่ายว่าเป็นพวกไม่มีจุดยืน ไม่มีสมอง เป็น “กลาง” ที่ “สมองกลวง” นั่นเอง (กรุณาอย่าตัดตอนเฉพาะย่อหน้านี้ไปอ้างอิง เพราะจะทำให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อนได้)
การสร้างวาทกรรมขึ้นมากล่าวร้ายกันเช่นนี้ แม้มองอย่างผิวเผินจะเห็นว่า เป็นเพียงถ้อยคำธรรมดาที่ใช่ด่าว่ากันเท่านั้น หากแต่มองลึกลงไปถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้ว จะเห็นได้ว่า วาทกรรมดังกล่าวเป็นเมล็ดพันธุ์ของความรุนแรงดีๆ นี่เอง
กรณีศึกษาเรื่องอิทธิพลของวาทกรรมที่มีต่อพฤติกรรมของคนที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติก็คือ กรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศรวันดาเมื่อปี พ.ศ.2537 (ค.ศ.1994) โดยมีการปลุกเร้าทางสถานีวิทยุให้มีการเกลียดชังกัน ด้วยการเรียกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นศัตรูหรือ “แมลงสาบ” ต้องถูกกำจัด หากใครกำจัดพวกแมลงสาบก็เป็นการทำเพื่อประเทศชาติ เมื่อมีการสอบสวนโดยศาลอาญาระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในประเทศรวันดา ปี พ.ศ.2546 (ค.ศ.2003 ) ผู้ประกาศข่าววิทยุ 2 คน กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ 1 คน มีความผิดฐานยุยงให้คนฆ่ากันด้วยวาทกรรมดังกล่าว ผู้ลงมือฆ่าจำนวน 12 เปอร์เซ็นต์บอกว่าได้รับอิทธิพลจากการฟังวิทยุ อีก 45 เปอร์เซ็นต์บอกว่าทำเพื่อชาติ (อ่านรายละเอียดที่ผู้เขียน เขียนไว้ในบทความชื่อ เมื่อสื่อถูกใช้ปั้นน้ำเป็นตัวอะไรจะขึ้นกับคนและสังคม ที่ http://mediatalkblog.wordpress.com/2008/05/07/media-and-violent) จึงนับว่าผลที่เกิดจากการสร้างและตอกย้ำวาทกรรมเพื่อการทำร้ายกันนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
วาทกรรม “ควายแดง” “แมลงสาบ” “สลิ่ม” ที่ได้รับการตอกย้ำอยู่ในโลกไซเบอร์โดยคนไทยในขณะนี้นั้น จึงไม่ควรเป็นเรื่องที่จะมองผ่านเลยไปโดยไม่ใส่ใจ เพราะร่องรอยแห่งความรุนแรงที่เกิดจากวาทกรรมนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน นั่นคือ มีคนจำนวนมากทั้งในฝ่าย “ควายแดง” และฝ่าย “แมลงสาบ” ต่าง “ฆ่ากัน” ด้วยถ้อยคำอยู่ทุกๆ วัน หากนับศพที่เกิดขึ้นจากการฆ่ากันในแค่เฉพาะเฟซบุ๊กนั้นก็อาจจะนับศพกันไม่ถ้วนแล้ว หากเลือดสามารถไหลนองในโลกไซเบอร์ได้ ก็คงเต็มไปด้วยเลือดในทุกๆแห่งที่มี ควายแดง แมลงสาบ และ สลิ่ม สถิตอยู่ โดยเฉพาะพวกสลิ่มนั้น มักถูกกระทำจากทั้งสองฝ่าย ในโทษฐานที่ไม่เข้าข้างและไม่มีจุดยืน
หากความขัดแย้งที่เคลื่อนย้ายเข้าไปเพาะเชื่อความรุนแรงในโลกไซเบอร์จนเจริญเติบโตอย่างเต็มที่แล้วนั้น ได้โอกาสเคลื่อนย้ายกลับออกมาสู่โลกภายนอกเมื่อใด ก็เป็นที่น่ากลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นในรวันดาได้ ซึ่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาก็หมิ่นเหม่ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นหลายครั้ง จึงเป็นเรื่องที่ควรจะต้องวิตกกังวลและหาทางยับยั้งมิให้เกิดขึ้น นี่เป็นโจทย์อันยุ่งยากสำหรับสังคมไทย
ความรุนแรงนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วยากที่สงบลงได้ ดังนั้น ขอจงอย่าเคลื่อนย้ายจากโลกไซเบอร์มาสู่โลกภายนอกเลย ไม่ว่า “ควายแดง “แมลงสาบ” หรือ “สลิ่ม” ก็คือพลเมืองของรัฐไทย มีศักดิ์และศรีในความเป็นคนเช่นเดียวกัน ดังนั้น ไม่ควรที่ใครจะถูกทำร้ายโดยใคร ฉะนั้น จงช่วยกันยับยั้งวาทกรรมแห่งการฆ่าให้จำกัดอยู่แต่ในโลกไซเบอร์และค่อยๆ สลายวาทกรรมนั้นให้สิ้นไป
เว้นเสียแต่ว่ามีใครต้องการให้วาทกรรมแห่งการฆ่านั้นเป็นจริงในทางปฏิบัติ เช่นนั้นก็ยากที่ใครจะห้ามปรามได้
ความขัดแย้งดังกล่าวนอกจากดำรงอยู่ในโลกจริงแล้ว ยังได้เคลื่อนย้ายไปสู่โลกไซเบอร์ อันเป็นอาณาเขตที่ไม่มีพรมแดน ไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลาเหมือนในโลกจริง ความขัดแย้งที่เคลื่อนเข้าสู่โลกไซเบอร์นั้น ได้ก่อรูปร่างเป็นความรุนแรงที่คู่ขัดแย้งต่างกระทำต่อกัน ผ่านวาทกรรมมากมายหลายหลากที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อทำร้ายฝ่ายตรงกันข้าม มีการรับส่งกันอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ต่างยึดกุมวาทกรรมที่ถูกใจตรงจริตและความคิดของตนเอาไว้อย่างเหนียวแน่น เมื่อถึงเวลาและจังหวะอันเหมาะสม ก็นำออกมาใช้ในทันที
วาทกรรมที่สำคัญซึ่งกระจายอยู่ในโลกไซเบอร์ อันได้แก่เว็บไซต์ บล็อก กระดานสนทนา และโซเชียลมีเดียอย่างทวิตเตอร์กับเฟซบุก มีอยู่ด้วยกัน 3 คำ นั่นคือ “ควายแดง” “แมลงสาบ” และ “สลิ่ม” ซึ่งคำว่า “สลิ่ม” บางครั้งมีคำขยายคุณลักษณะต่อท้ายคือ “กลางกลวง” เป็น “สลิ่มกลางกลวง”
“ควายแดง” เป็นคำที่กลุ่มตรงกันข้ามใช้เรียกกลุ่มคนเสื้อแดง มีความหมายว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนที่โง่เขลา ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ถูกชักจูงจากผู้นำ เปรียบเสมือนควายเทียมไถ ไม่มีปัญญาจะพิจารณาสิ่งต่างๆให้เห็นจริง สรุปแล้วก็คือ กลุ่มคนเสื้อแดงนั้นโง่เหมือนควาย นั่นเอง (กรุณาอย่าตัดตอนเฉพาะย่อหน้านี้ไปอ้างอิง เพราะจะทำให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อนได้)
“แมลงสาบ” เป็นคำที่กลุ่มเสื้อแดงหรือสนับสนุนเสื้อแดงใช้เรียกฝ่ายตรงกันข้ามกับตน มีความหมายไม่ต่างกันนัก นั่นคือ เป็นพวกที่ไม่มีปัญญา ไร้ค่า เหมือนแมลงสาบที่ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ควรที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำไป (กรุณาอย่าตัดตอนเฉพาะย่อหน้านี้ไปอ้างอิง เพราะจะทำให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อนได้)
“สลิ่ม” หรือ “สลิ่มกลางกลวง” หมายถึงกลุ่มคนที่ไม่เลือกข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เป็นกลุ่มคนที่ประกาศตัวเป็นกลาง ที่ยืนยันว่าตนมีอิสระที่จะเลือกเชื่อใครหรือเรื่องใดโดยไม่ต้องถูกชักจูงจากใครหรือฝ่ายใด พวกสลิ่มจึงมักจะถูกเยาะเย้ย ด่าว่า จากทั้งสองฝ่ายว่าเป็นพวกไม่มีจุดยืน ไม่มีสมอง เป็น “กลาง” ที่ “สมองกลวง” นั่นเอง (กรุณาอย่าตัดตอนเฉพาะย่อหน้านี้ไปอ้างอิง เพราะจะทำให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อนได้)
การสร้างวาทกรรมขึ้นมากล่าวร้ายกันเช่นนี้ แม้มองอย่างผิวเผินจะเห็นว่า เป็นเพียงถ้อยคำธรรมดาที่ใช่ด่าว่ากันเท่านั้น หากแต่มองลึกลงไปถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้ว จะเห็นได้ว่า วาทกรรมดังกล่าวเป็นเมล็ดพันธุ์ของความรุนแรงดีๆ นี่เอง
กรณีศึกษาเรื่องอิทธิพลของวาทกรรมที่มีต่อพฤติกรรมของคนที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติก็คือ กรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศรวันดาเมื่อปี พ.ศ.2537 (ค.ศ.1994) โดยมีการปลุกเร้าทางสถานีวิทยุให้มีการเกลียดชังกัน ด้วยการเรียกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นศัตรูหรือ “แมลงสาบ” ต้องถูกกำจัด หากใครกำจัดพวกแมลงสาบก็เป็นการทำเพื่อประเทศชาติ เมื่อมีการสอบสวนโดยศาลอาญาระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในประเทศรวันดา ปี พ.ศ.2546 (ค.ศ.2003 ) ผู้ประกาศข่าววิทยุ 2 คน กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ 1 คน มีความผิดฐานยุยงให้คนฆ่ากันด้วยวาทกรรมดังกล่าว ผู้ลงมือฆ่าจำนวน 12 เปอร์เซ็นต์บอกว่าได้รับอิทธิพลจากการฟังวิทยุ อีก 45 เปอร์เซ็นต์บอกว่าทำเพื่อชาติ (อ่านรายละเอียดที่ผู้เขียน เขียนไว้ในบทความชื่อ เมื่อสื่อถูกใช้ปั้นน้ำเป็นตัวอะไรจะขึ้นกับคนและสังคม ที่ http://mediatalkblog.wordpress.com/2008/05/07/media-and-violent) จึงนับว่าผลที่เกิดจากการสร้างและตอกย้ำวาทกรรมเพื่อการทำร้ายกันนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
วาทกรรม “ควายแดง” “แมลงสาบ” “สลิ่ม” ที่ได้รับการตอกย้ำอยู่ในโลกไซเบอร์โดยคนไทยในขณะนี้นั้น จึงไม่ควรเป็นเรื่องที่จะมองผ่านเลยไปโดยไม่ใส่ใจ เพราะร่องรอยแห่งความรุนแรงที่เกิดจากวาทกรรมนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน นั่นคือ มีคนจำนวนมากทั้งในฝ่าย “ควายแดง” และฝ่าย “แมลงสาบ” ต่าง “ฆ่ากัน” ด้วยถ้อยคำอยู่ทุกๆ วัน หากนับศพที่เกิดขึ้นจากการฆ่ากันในแค่เฉพาะเฟซบุ๊กนั้นก็อาจจะนับศพกันไม่ถ้วนแล้ว หากเลือดสามารถไหลนองในโลกไซเบอร์ได้ ก็คงเต็มไปด้วยเลือดในทุกๆแห่งที่มี ควายแดง แมลงสาบ และ สลิ่ม สถิตอยู่ โดยเฉพาะพวกสลิ่มนั้น มักถูกกระทำจากทั้งสองฝ่าย ในโทษฐานที่ไม่เข้าข้างและไม่มีจุดยืน
หากความขัดแย้งที่เคลื่อนย้ายเข้าไปเพาะเชื่อความรุนแรงในโลกไซเบอร์จนเจริญเติบโตอย่างเต็มที่แล้วนั้น ได้โอกาสเคลื่อนย้ายกลับออกมาสู่โลกภายนอกเมื่อใด ก็เป็นที่น่ากลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นในรวันดาได้ ซึ่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาก็หมิ่นเหม่ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นหลายครั้ง จึงเป็นเรื่องที่ควรจะต้องวิตกกังวลและหาทางยับยั้งมิให้เกิดขึ้น นี่เป็นโจทย์อันยุ่งยากสำหรับสังคมไทย
ความรุนแรงนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วยากที่สงบลงได้ ดังนั้น ขอจงอย่าเคลื่อนย้ายจากโลกไซเบอร์มาสู่โลกภายนอกเลย ไม่ว่า “ควายแดง “แมลงสาบ” หรือ “สลิ่ม” ก็คือพลเมืองของรัฐไทย มีศักดิ์และศรีในความเป็นคนเช่นเดียวกัน ดังนั้น ไม่ควรที่ใครจะถูกทำร้ายโดยใคร ฉะนั้น จงช่วยกันยับยั้งวาทกรรมแห่งการฆ่าให้จำกัดอยู่แต่ในโลกไซเบอร์และค่อยๆ สลายวาทกรรมนั้นให้สิ้นไป
เว้นเสียแต่ว่ามีใครต้องการให้วาทกรรมแห่งการฆ่านั้นเป็นจริงในทางปฏิบัติ เช่นนั้นก็ยากที่ใครจะห้ามปรามได้