xs
xsm
sm
md
lg

ปูดัน ๓๐๐ ปชป.เละเทะ

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

เข้าโค้งสุดท้ายแล้วครับ การหาเสียงเหลือแค่สิบกว่าวันเท่านั้น เราเห็นกันหมดเปลือกแล้วว่าใครมีกลยุทธโค้งสุดท้ายอย่างไรกันบ้าง

น่าเสียใจที่พรรคประชาธิปัตย์กลับหันไปใช้กลยุทธแบบไดโนเสาร์ นั่นคือ การหาเสียงแบบจ้วงจาบกล่าวให้ร้ายคู่ต่อสู้อย่างไม่เป็นธรรม ด้วยการนำเอาเหตุการณ์ที่ราชประสงค์มาตอกย้ำการเผาบ้านเผาเมืองมาใช้อีกครั้ง

มันเป็นการตอกลิ่มสวนทางกับนโยบายปรองดองสมานฉันท์ของคุณยิ่งลักษณ์แห่งพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนั้นปชป.ยังใช้แนวทางป้ายความผิด ด้วยการพาดพิงไปถึงทักษิณแบบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น มันเป็นกลยุทธการหาเสียงช่วงสุดท้ายที่เมามันมากสำหรับพรรคการเมืองเก่าแก่มากพรรคนี้

แต่จากการประเมินทั้งนักวิชาการ สถาบันต่างๆ และจากประชาชนทั่วๆ ไป กลับเห็นว่าการหาเสียงแบบจ้วงจาบไม่ได้ส่งผลดี แต่เป็นกลยุทธติดลบไปเสียแล้ว และได้ผลตรงข้าม นั่นหมายความว่าส่งผลดีต่อผู้ถูกประณามมากกว่าทำให้ผู้จ้วงจาบได้คะแนนจากการพูดเช่นนั้น

พูดง่ายๆ มันเป็นการดิสเครดิตตัวเองของพรรคประชาธิปัตย์

มันทำให้เราน่าจะมีข้อสรุปได้ ๒ ประการคือ

๑.พรรคประชาธิปัตย์น่าจะรู้แล้วว่าตนเองแพ้พรรคเพื่อไทยอย่างย่อยยับแล้ว จึงหันมาใช้กลยุทธแบบ “สามาลย์” มาสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน โดยหวังให้ประชาชนระลึกถึงเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง

๒.พรรคประชาธิปัตย์ใช้กลยุทธ “ประจาน”และ “สามาลย์”กับพรรคเพื่อไทย โดยโยงถึงทักษิณเพราะพรรคประชาธิปัตย์กลัวทักษิณ เห็นว่าทักษิณยังครองใจคนต่างจังหวัด ซึ่งประชาธิปัตย์พบว่า เพื่อไทยมีคะแนนนิยมเหนือกว่าและทิ้งพรรคประชาธิปัตย์อย่างไม่เห็นฝุ่นในต่างจังหวัดจึงโยงไปว่ายังมีบารมีของทักษิณอยู่
ทั้งสองประเด็นนี้เป็นข้อสรุปว่าทำไมจึงทำให้พรรคประชาธิปัตย์จำต้องใช้กลยุทธไดโนเสาร์กับพรรคเพื่อไทย โดยใส่ความปูยิ่งลักษณ์และดิสเครดิตพรรคเพื่อไทยโดยพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้หวังเพิ่มคะแนนให้พรรคของตัวเองแม้แต่น้อย แต่หวังทำลายชื่อเสียงคู่แข่งขันเท่านั้น

การที่ประชาธิปัตย์ทำแบบนี้เป็นเรื่องน่าคิดเพราะมีหลายประเด็นที่เราต้องพิจารณา

ประเด็นแรก ลึกๆ แล้ว ปชป.เชื่อว่าเพื่อไทยจะได้ ส.ส.ถึง ๓๐๐ ดังนั้น จึงต้องใช้กลยุทธจ้วงจาบและดิสเครดิตเพื่อลดคะแนนของพรรคเพื่อไทยให้น้อยลง และถ้าน้อยลงได้ก็อาจทำให้ปชป.ได้คะแนนเพิ่มโดยอัตโนมัติ (ถ้าโชคช่วย) ปชป.โจมตีไปที่ปูยิ่งลักษณ์เป็นหลักในโค้งสุดท้ายโดยพ่วงทักษิณเข้าไปด้วย

ประเด็นที่สอง การจ้วงจาบโจมตีในโค้งสุดท้ายเป็นทางรอดทางเดียวที่เหลือ เพราะที่ผ่านมากลยุทธใดๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้มานั้นไม่ได้ผลเลย

ประเด็นที่สาม ที่ผ่านมามีข้อผิดพลาดในวิธีหาเสียงด้วยการปิดโพสเตอร์ตามริมถนนใหญ่และในซอยของปชป.โดยไม่มีรถวิ่งเข้าซอยเล็กซอยน้อยในปริมาณที่มาก ทำให้พื้นที่รับรู้ข่าวสารของพรรคมีน้อย มาดีขึ้นในช่วงต่อมาทำให้โพลของพรรคกระเตื้องขึ้นแต่ก็ไม่ทันกาล

ประเด็นที่สี่ ประเด็นนี้ดังที่พูดแล้ว ว่ากลยุทธจ้วงจาบมีผลตรงข้าม ยิ่งพูดหยาบคายต่อเพื่อไทย ให้ร้ายมาก เวทีคนฟังเพื่อไทยจะมีคนมาฟังมากขึ้นเท่านั้น และคนจะเห็นใจยิ่งลักษณ์มากขึ้นเท่านั้น

ประเด็นที่ห้า มีข้อสรุปว่าโพลในพรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มว่าเพื่อไทยจะได้ส.ส.ถึง ๓๐๐ ที่นั่งโดยชนะแบบถล่มทะลายทั้งในกทม.และต่างจังหวัด

ส่วนปชป.จะหดตัวลงจากการใช้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่เละเทะเอง พูดสั้นว่าแพ้เพราะตัวเอง

สรุปจากห้าข้อนี้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้แพ้คะแนน แต่แพ้แบบโดนน็อคเอ้าท์อย่างหมดรูปในการเลือกตั้งครั้งนี้ และแพ้จากการดูคะแนนในแต่ละยกด้วย

ถ้าสงสัยว่าประชาธิปัตย์แพ้อย่างไรก็มีตัวอย่าง เช่น การทำประชาสัมพันธ์ของพรรคนี้ในเขตม้งที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยนายอภิสิทธิ์ไปช่วยนายบุญติ่ง อุ่นแก้ว ผู้สมัครของพรรคในเขตม้ง นายบุญติ่งก็ไปจัดตั้งให้ชาวบ้านในเขตหมู่บ้านม้งแห่งหนึ่ง มีเวทีต้อนรับนายกฯ แต่มีคนมาฟังปราศรัยแค่ไม่กี่สิบคน ซึ่งตามหลักแล้วถือว่าล้มเหลวไม่ได้คะแนนแน่ เมื่อขึ้นไปหาเสียงก็ได้แต่ปัญหาจากทหารและมีปัญหาจากชาวม้ง ๕๐๐ กว่าคน ซึ่งเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยซึ่งยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากทางการอีก

นี่คือความล้มเหลวจากการหาเสียงในเขตม้ง และเสียหายมากจากการจะเอาชาวม้งเป็นเครื่องมือในการโฆษณาประชาสัมพันธ์

อีกเรื่องหนึ่งคือการพูดหรือให้สัมภาษณ์บ่อยๆ ครั้งว่า พรรคประชาสัมพันธ์จะได้ ส.ส.ประมาณ ๒๐๐ เสียง หรือคะแนนของพรรคกับคู่แข่งจะสูสีกัน เป็นการให้สัมภาษณ์ทั้งกับสื่อในประเทศและสื่อต่างประเทศโดยนายกฯอภิสิทธิ์ และแกนนำพรรคคนอื่นๆ

แท้จริงแล้ว นักจิตวิเคราะห์เห็นว่านี่คือ การพูดแบบ “ปลอบใจตัวเอง”ไม่มีสาระของความรู้จริงใจแต่ประการใด เป็นอาการของคนพูดจาก “ความกลัวที่จะแพ้”นั่นเอง

เหตุที่กลัวเพราะลึกๆ รู้ว่าโพลที่แม่นยำที่สุดก็คือโพลของพรรคเพื่อไทยที่ประเมินว่า เพื่อไทยจะได้ส.ส.ถึง ๓๐๐ คน และชนะพรรคประชาธิปัตย์แบบลอยลำนั่นเองและนั่นหมายความว่า

ปูยิ่งลักษณ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ

และก็จะไม่มีอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป

พรรคประชาธิปัตย์ก็จะขาดผู้นำที่เป็นผู้นำจริงๆ ไปอีกนาน
กำลังโหลดความคิดเห็น