คุณสมัคร สุนทรเวช เสียชีวิตไปท่ามกลางความอาลัยของครอบครัวและญาติมิตร ตลอดจนเพื่อนฝูงที่เคยใกล้ชิดกับท่าน ตัวผมนั้นไม่เคยใกล้ชิด ถามว่ารู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ หากถามว่า รู้จักกันเพราะการงานหรือเปล่า อันนี้ตอบได้ว่ารู้จักกันดี หรือที่ว่าดีนั้นเพราะพบกันอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะงานการบินไทยและงานหนังสือพิมพ์
งานหนังสือพิมพ์รู้จักผ่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งอุปถัมภ์เดลิมิเร่อร์อยู่ เวลานั้นหน้าที่ของประชาสัมพันธ์การบินไทย เลือกมิตรแยกศัตรูไม่ได้หรอกครับ ดังนั้นผมกับคุณสมัครจึงพบกันค่อนข้างสม่ำเสมอ แม้จะเห็นคนละด้านเรื่องการเมือง ก็ละไว้ โดยคุณสมัครไม่ทราบว่าผมคิดอย่างไร และไม่รู้ด้วยว่าสกุลรุนชาติผมเป็นอย่างไร คุณสมัครเคยก่อวีรกรรมสมัย 6 ตุลาคม จนผมเจ็บด้วยใจ และเยียวยาจนบัดนี้ก็ยังไม่หาย เห็นภาพอยู่เสมอ และเสียง “ฆ่ามัน” ที่ผ่านวิทยุยานเกราะจากพันเอกอุทาน สนิทวงศ์ ก็ดังก้องหู
ญาติผมทางพ่อก็สกุลสนิทวงศ์ ทั้งเป็นญาติสองชั้น ครอบครัวเราไปอยู่กับท่านหญิงหม่อมย่า และลูกๆ ของท่านก็นักเรียนโรงเรียนเก่าเป็นรุ่นพี่ เวลารวมญาติ หม่อมย่า พบอุทานหนใดก็ต่อว่าทุกครั้งว่าทำไมไปด่าหลานชายซึ่งเป็นที่รักของปู่และย่า พันเอกอุทานเคยพบผมต้องรีบมาพบผม ขอโทษขอโพย บอกไม่เคยว่าผมเลย ว่าแต่เด็กๆ และเสียใจมากไม่นึกว่าเรื่องจะบานปลาย
ส่วนคุณสมัครไม่เคยรื้อฟื้นกรณี 6 ตุลาฯ ทั้งๆ ที่จุดเริ่มต้นก็มาจากท่านแต่เมื่อท่านไม่พูด ผมก็ไม่ซักให้เสียบรรยากาศ กับผมท่านก็คุยสนุกสนานประสาคนชอบกัน ที่ไหนอร่อยก็บอกให้ไปชิม ผมก็บอกท่านเหมือนกัน ถ้าท่านไม่เคยไปก็จะไป พบกันครั้งหน้าท่านก็บอกว่าอร่อยจริง เหมือนร้านบางร้าน แล้วบอกชื่อให้ผมไปลองกินดูบ้าง
สรุปแล้วผมกับคุณสมัครรู้จักกันก็ตามมารยาททางสังคมและการงาน ซึ่งก็เหมือนกับคุณชวน หลีกภัย หรือคนในพรรคประชาธิปัตย์อีกจำนวนหนึ่ง
การที่ผมพบนักการเมืองมาก หาได้เป็นเพราะอยากเป็นนักการเมือง แต่มันสืบเนื่องมาจากเพื่อนผมเคยเป็น ส.ส. และผมก็เคยเป็นแคมเปญ แมนเนเจอร์จนเขาได้รับเลือกตั้งด้วยการทำการบริหารคะแนนตามหลักวิชาการ และการใช้เทคโนโลยีวีดิโอทูโฮม หรือส่งโทรทัศน์ด้วยเครื่องส่งขนาดจิ๋วไปยังหมู่บ้านแค่ 3-400 หลังคาเรือนได้เท่านั้น
หลังจากมารับหน้าที่ประธานองค์กรกลางฝ่ายเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ผมจึงยุติบทบาทช่วยเหลือเพื่อนฝูง และกลับไปสอนหนังสือระยะหนึ่งเป็นการสอนพิเศษ
ผมเขียนลงหนังสือพิมพ์มาตั้งแต่อยู่ต่างประเทศ เวลากลับมาเยี่ยมบ้านก็เขียนโดยได้ลงทุกเรื่องในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ เวลาเอาต้นฉบับไปส่ง ผมเด็กมาก คนรับต้นฉบับเป็นผู้ใหญ่มาก ผมจะบอกว่า “ท่านให้นำส่งครับ” แล้วก็รีบกลับ เขียนอยู่หลายสิบเรื่อง โดยใช้นามแฝงซึ่งก็ให้ชื่อเหมือนคนธรรมดาสามัญนี่แหละ
บรรณาธิการเคยบอกตอนผมไปส่งต้นฉบับว่าคนเขียนนี่ใช้ภาษาแปลกไม่เหมือนใครนะ จะว่าอายุมากก็ไม่ได้ จะว่าเด็กอายุ 19-20 ก็ไม่น่าเป็นไปได้
ตอนนั้นผมอายุ 18 ย่าง 19 เท่านั้นเอง ไม่มีความรู้เรื่องเมืองไทยเลย เพราะไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เล็ก
เดชะบุญที่สมัยเรียนหนังสือครูภาษาไทยกลัวลืมเลยให้ตำราไปเล่มหนึ่ง เพื่อผมจะได้ใช้ซึ่งได้ผลพอสมควร
หลังจากนั้นก็เขียนหนังสือพิมพ์เรื่อยมา เจ้าของเดลิมิเร่อร์อยากให้ผมเขียนคอลัมน์บ้าง แต่ผมขัดเรื่องอุดมคติเพียงแต่ไม่บอกตรงๆ ก็ไม่ได้เขียน
นิตยสารของเจ้าพ่อชื่อดังคนหนึ่ง เคยให้ผมเขียนลงนิตยสารของท่าน โดย บ.ก.ที่ผมรักเป็นรุ่นน้องไม่ยอมบอกเจ้าพ่อว่าผมเป็นใคร ในชีวิตผมไม่เคยเขียนอะไรที่ดุเดือดเลือดพล่าน จนหลายครั้งเจ้าพ่อชอบใจมากๆ เพราะคนที่เขียนถึงต้องคลานมาหาเจ้าพ่อถึงขั้นขี้เยี่ยวแตกเรี่ยราดเพราะความกลัว และไม่กล้าทำผิดกฎหมายอีก
อย่างนี้ก็มี ผมเขียนแบบบู๊ตะบันรากอยู่ 2 ปีก็เลิก
ทนทุเรศตัวเองไม่ไหว ถ้าบอกนามปากกาเมื่อไหร่ ผมคงโดนยิงตาย ไม่ก็ถูกเจ้าทุกข์รุมกระทืบแน่อยู่แล้ว
ก็อโหสิกรรมไว้ด้วย คราวหน้าคงทำอีก ถ้ามันยังเลวกันอยู่
ครับ... เรื่องของคุณสมัคร ผมไปอ่านในเว็บหลายเว็บเห็นมีคนไปซ้ำเติมแก บางคนก็รุนแรง ผมน่ะเข้าใจ แต่ก็อย่างว่านะ มันมีอารมณ์กันได้
สำหรับผมความทรงจำที่มีอยู่ มันเป็นความรู้สึกว่าพอเรามีอายุ จิตใจคล้อยไปในทางให้อภัยมากกว่าที่จะคิดอย่างอื่น
ถ้าวิญญาณมีจริง
คุณสมัครคงทราบแล้ว ว่าเสียงที่บริภาษท่านนั้นมีมากน้อยแค่ไหน วิญญาณคุณสมัครก็คงให้อภัย และคงอโหสิกรรมกับสิ่งที่ทำผิดทำพลาดไปในอดีต
ผมอยากให้ญาติพี่น้องวีรชนของเหยื่อ 6 ตุลาคม 2519 ได้อโหสิกรรมกับผู้ตายด้วย คุณสมัครพ้นจากโลกนี้ไปแกก็คงรู้แล้วว่าบาปกรรมที่ทำมันตามทันอยู่แล้ว
ชำระบาปในชีวิตที่เรามีอยู่จริงเวลานี้ ดีกว่ารอให้เราตายไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย... สาธุ!
งานหนังสือพิมพ์รู้จักผ่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งอุปถัมภ์เดลิมิเร่อร์อยู่ เวลานั้นหน้าที่ของประชาสัมพันธ์การบินไทย เลือกมิตรแยกศัตรูไม่ได้หรอกครับ ดังนั้นผมกับคุณสมัครจึงพบกันค่อนข้างสม่ำเสมอ แม้จะเห็นคนละด้านเรื่องการเมือง ก็ละไว้ โดยคุณสมัครไม่ทราบว่าผมคิดอย่างไร และไม่รู้ด้วยว่าสกุลรุนชาติผมเป็นอย่างไร คุณสมัครเคยก่อวีรกรรมสมัย 6 ตุลาคม จนผมเจ็บด้วยใจ และเยียวยาจนบัดนี้ก็ยังไม่หาย เห็นภาพอยู่เสมอ และเสียง “ฆ่ามัน” ที่ผ่านวิทยุยานเกราะจากพันเอกอุทาน สนิทวงศ์ ก็ดังก้องหู
ญาติผมทางพ่อก็สกุลสนิทวงศ์ ทั้งเป็นญาติสองชั้น ครอบครัวเราไปอยู่กับท่านหญิงหม่อมย่า และลูกๆ ของท่านก็นักเรียนโรงเรียนเก่าเป็นรุ่นพี่ เวลารวมญาติ หม่อมย่า พบอุทานหนใดก็ต่อว่าทุกครั้งว่าทำไมไปด่าหลานชายซึ่งเป็นที่รักของปู่และย่า พันเอกอุทานเคยพบผมต้องรีบมาพบผม ขอโทษขอโพย บอกไม่เคยว่าผมเลย ว่าแต่เด็กๆ และเสียใจมากไม่นึกว่าเรื่องจะบานปลาย
ส่วนคุณสมัครไม่เคยรื้อฟื้นกรณี 6 ตุลาฯ ทั้งๆ ที่จุดเริ่มต้นก็มาจากท่านแต่เมื่อท่านไม่พูด ผมก็ไม่ซักให้เสียบรรยากาศ กับผมท่านก็คุยสนุกสนานประสาคนชอบกัน ที่ไหนอร่อยก็บอกให้ไปชิม ผมก็บอกท่านเหมือนกัน ถ้าท่านไม่เคยไปก็จะไป พบกันครั้งหน้าท่านก็บอกว่าอร่อยจริง เหมือนร้านบางร้าน แล้วบอกชื่อให้ผมไปลองกินดูบ้าง
สรุปแล้วผมกับคุณสมัครรู้จักกันก็ตามมารยาททางสังคมและการงาน ซึ่งก็เหมือนกับคุณชวน หลีกภัย หรือคนในพรรคประชาธิปัตย์อีกจำนวนหนึ่ง
การที่ผมพบนักการเมืองมาก หาได้เป็นเพราะอยากเป็นนักการเมือง แต่มันสืบเนื่องมาจากเพื่อนผมเคยเป็น ส.ส. และผมก็เคยเป็นแคมเปญ แมนเนเจอร์จนเขาได้รับเลือกตั้งด้วยการทำการบริหารคะแนนตามหลักวิชาการ และการใช้เทคโนโลยีวีดิโอทูโฮม หรือส่งโทรทัศน์ด้วยเครื่องส่งขนาดจิ๋วไปยังหมู่บ้านแค่ 3-400 หลังคาเรือนได้เท่านั้น
หลังจากมารับหน้าที่ประธานองค์กรกลางฝ่ายเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ผมจึงยุติบทบาทช่วยเหลือเพื่อนฝูง และกลับไปสอนหนังสือระยะหนึ่งเป็นการสอนพิเศษ
ผมเขียนลงหนังสือพิมพ์มาตั้งแต่อยู่ต่างประเทศ เวลากลับมาเยี่ยมบ้านก็เขียนโดยได้ลงทุกเรื่องในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ เวลาเอาต้นฉบับไปส่ง ผมเด็กมาก คนรับต้นฉบับเป็นผู้ใหญ่มาก ผมจะบอกว่า “ท่านให้นำส่งครับ” แล้วก็รีบกลับ เขียนอยู่หลายสิบเรื่อง โดยใช้นามแฝงซึ่งก็ให้ชื่อเหมือนคนธรรมดาสามัญนี่แหละ
บรรณาธิการเคยบอกตอนผมไปส่งต้นฉบับว่าคนเขียนนี่ใช้ภาษาแปลกไม่เหมือนใครนะ จะว่าอายุมากก็ไม่ได้ จะว่าเด็กอายุ 19-20 ก็ไม่น่าเป็นไปได้
ตอนนั้นผมอายุ 18 ย่าง 19 เท่านั้นเอง ไม่มีความรู้เรื่องเมืองไทยเลย เพราะไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เล็ก
เดชะบุญที่สมัยเรียนหนังสือครูภาษาไทยกลัวลืมเลยให้ตำราไปเล่มหนึ่ง เพื่อผมจะได้ใช้ซึ่งได้ผลพอสมควร
หลังจากนั้นก็เขียนหนังสือพิมพ์เรื่อยมา เจ้าของเดลิมิเร่อร์อยากให้ผมเขียนคอลัมน์บ้าง แต่ผมขัดเรื่องอุดมคติเพียงแต่ไม่บอกตรงๆ ก็ไม่ได้เขียน
นิตยสารของเจ้าพ่อชื่อดังคนหนึ่ง เคยให้ผมเขียนลงนิตยสารของท่าน โดย บ.ก.ที่ผมรักเป็นรุ่นน้องไม่ยอมบอกเจ้าพ่อว่าผมเป็นใคร ในชีวิตผมไม่เคยเขียนอะไรที่ดุเดือดเลือดพล่าน จนหลายครั้งเจ้าพ่อชอบใจมากๆ เพราะคนที่เขียนถึงต้องคลานมาหาเจ้าพ่อถึงขั้นขี้เยี่ยวแตกเรี่ยราดเพราะความกลัว และไม่กล้าทำผิดกฎหมายอีก
อย่างนี้ก็มี ผมเขียนแบบบู๊ตะบันรากอยู่ 2 ปีก็เลิก
ทนทุเรศตัวเองไม่ไหว ถ้าบอกนามปากกาเมื่อไหร่ ผมคงโดนยิงตาย ไม่ก็ถูกเจ้าทุกข์รุมกระทืบแน่อยู่แล้ว
ก็อโหสิกรรมไว้ด้วย คราวหน้าคงทำอีก ถ้ามันยังเลวกันอยู่
ครับ... เรื่องของคุณสมัคร ผมไปอ่านในเว็บหลายเว็บเห็นมีคนไปซ้ำเติมแก บางคนก็รุนแรง ผมน่ะเข้าใจ แต่ก็อย่างว่านะ มันมีอารมณ์กันได้
สำหรับผมความทรงจำที่มีอยู่ มันเป็นความรู้สึกว่าพอเรามีอายุ จิตใจคล้อยไปในทางให้อภัยมากกว่าที่จะคิดอย่างอื่น
ถ้าวิญญาณมีจริง
คุณสมัครคงทราบแล้ว ว่าเสียงที่บริภาษท่านนั้นมีมากน้อยแค่ไหน วิญญาณคุณสมัครก็คงให้อภัย และคงอโหสิกรรมกับสิ่งที่ทำผิดทำพลาดไปในอดีต
ผมอยากให้ญาติพี่น้องวีรชนของเหยื่อ 6 ตุลาคม 2519 ได้อโหสิกรรมกับผู้ตายด้วย คุณสมัครพ้นจากโลกนี้ไปแกก็คงรู้แล้วว่าบาปกรรมที่ทำมันตามทันอยู่แล้ว
ชำระบาปในชีวิตที่เรามีอยู่จริงเวลานี้ ดีกว่ารอให้เราตายไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย... สาธุ!