ว่ากันไปแล้ว พระบาทกับบิ๊กจิ๋วพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นั้นรู้จักใกล้ชิดกันดีในฐานะที่ทำงานให้กัน งานที่ว่านี้ก็แปลก เพราะต้องไปพบกันในทำเนียบอาทิตย์ละครั้ง โดยพบกันตัวต่อตัวเท่านั้น และบิ๊กจิ๋วมีหน้าที่รับฟังการประเมินว่า ภายในอาทิตย์หน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านหรือบ้านเมืองบ้าง
พูดง่ายๆ มันกึ่งๆ กรองสถานการณ์ กึ่งวิเคราะห์และพยากรณ์โดยใช้สถิติประยุกต์จากวิชาที่มาจาก 2-3 ฐานข้อมูล คือ จากกระบวนการจัดระบบข้อมูลสื่อสารมวลชน, วิทยุ และโทรทัศน์ กระบวนการที่สองจากการสนทนากับบุคลากรในวงการทูต กระบวนการที่สามได้ฟังบรรยายสรุปและอ่านจากเอกสารประมวลงานข่าวจากหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง
ทั้ง 3 ฐาน ข้อมูลนี้มารวมกัน เป็นเอกสารที่ผมเอาไปให้กับบิ๊กจิ๋วโดย “คุยกัน” ประมาณ 1 ชั่วโมง แลกเปลี่ยนและซักถามข้อมูล รวมทั้งยืนยันข้อมูลกันด้วย
เวลานั้นพลเอกชวลิต เป็นนายกรัฐมนตรี และเรายังไม่มีปัญหาการเงินที่จะลดค่าเงินบาท แม้จะส่อเค้าบ้างแล้ว
เหตุที่พระบาทต้องไปทำเรื่องแบบนี้ ก็เพราะถูกหลายฝ่ายเลือกให้เป็นตัวแทน
ไม่ใช่อยากไปนะครับ เพราะพระบาทไม่นิยมใกล้ชิดกับ “อำนาจ” แบบนี้อยู่แล้ว
ความจริงก็เคยเป็นตัวแทนแบบนี้ให้กับคนอื่นๆ ที่ต้องการมาแล้ว บอกชื่อก็ได้ เช่น คุณบุญชู โรจนเสถียร ก็ช่วยกันอยู่ 2-3 ปี และก็เพื่อนบิดาอย่าง พลตำรวจเอกสุรพล จุลละพราหมณ์ หรือรุ่นน้องบิดา พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ ก็เคย บางคนขอร้องให้ช่วย แต่พระบาทปฏิเสธไป 2-3 ราย
แต่กับบิ๊กจิ๋วนี้เป็นคนสุดท้ายที่หยุดช่วยใครอีก วิชาที่เคยทำมาก็ไม่ได้ต่อยอด ทั้งๆ ที่มีประโยชน์ เพราะมันไม่ใช่การวิเคราะห์เนื้อหาสื่อสิ่งพิมพ์ธรรมดาๆ แต่มันล้ำหน้า กระทั่งมีฝรั่งสนใจให้ช่วยทำให้อยู่ 2 ปี
กว่าจะมารู้ตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตมหาอำนาจแห่งหนึ่งก็ทำให้มากไป หลังเลิกทำแล้วก็ยังคบหาสมาคมกันได้ในฐานะคนรู้จัก กระทั่งฝรั่งคนนั้นย้ายไปประเทศอื่น
กลับมาถึงบิ๊กจิ๋ว ความจริงเรื่องปากหวานนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะท่านไม่เคยปฏิเสธใคร และการที่ไม่ปฏิเสธใครมักสร้างปัญหา การรับปากกับคนทุกคน อาจทำให้ทุกคนพอใจ แต่หากจะต้องตัดสินใจเลือกให้ตำแหน่งก็ไม่อาจให้กับคนทุกคนได้หมด
บิ๊กจิ๋วก็อุตส่าห์มีทางเลือกสำหรับคนที่ไม่ได้ตำแหน่งไว้ โดยให้อย่างอื่นแทน แม้จะไม่ใช่เงิน แต่ก็ทำให้คนพอใจได้
การที่พระบาทไปพบแบบตัวต่อตัว อาจมีคนสงสัยว่าคนใกล้ชิด จะไม่เขม่นเอาหรือ หรือไม่มีใครเข้ามาขอร้องให้ช่วยพูดขอตำแหน่งบ้างหรือ
บอกได้ว่าไม่มีครับ
เหตุผลก็คือ เรามาจาก “คนนอก” มาจากคนละอาชีพและแน่ละ เราอาจรู้การเมืองเยอะ (เวลานั้น) แต่เราไม่มีพรรคการเมือง หรือมีสังกัดกับกลุ่มการเมือง มีแต่มิตรในหลายคน
จนหัวหน้าพรรคบางพรรค อย่างคุณณรงค์ วงศ์วรรณ เคยบอกว่า อยากให้ใครไปอยู่พรรคไหน เข้าที่ไหน ให้พระบาทไปมันเข้าไปลึกๆ ได้ทุกพรรคนะ
ที่ว่าลึกๆ ก็เพราะบางพรรค หัวหน้าพรรค จะต้องถามว่าควรให้ลูกพรรคที่ล้านในการหาเสียงก็ยังเคย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เคยคุมการเงินของพรรคนั้น
การที่เรารู้ความลับของพรรค แล้วเก็บไว้เป็นความลับก็ทำให้หลายพรรคไว้ใจ ส.ส.บางคนก็น่าสงสาร บางคนเราเคยเห็นขาดเงิน แค่ 2-3 แสนในช่วงสุดท้าย และรู้ว่าเขาได้ล้านเปอร์เซ็นต์ พอมาบอกที่พรรค กลับถูก ส.ส.ด้วยกันกีดกันหรือให้พระบาทสำรองจ่ายไปก่อนก็มี
สำหรับ พลเอกชวลิต เป็นอีกคนที่มีความลับ แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรมาก
วันหนึ่ง... หลังจากรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันสองคนเสร็จแล้ว ท่านหันมาบอกว่า
“เมื่อวานนี้ ผมเอาเอกสารมาอ่านย้อนหลังนะ พบว่าส่วนใหญ่มันถูกเหมือนว่าเรารู้ก่อน แต่เราไม่ทำหลายอย่างเลย”
ก่อนที่ผมจะเลิกราที่จะทำงานในฐานะตัวแทนของกลุ่มคนที่เขาอาสาให้ทำแทนนี้ ท่านพยายามที่จะให้เงินผมจำนวนหนึ่ง ซึ่งผมแปลกใจมาก เลยบอกว่าผมเคยทำงานกับหลายคน บางคนให้ผ้าเช็ดตัวเป็นชุด, บางคนให้ปากกา ท่านกลับให้เงินแถมตั้งหลายแสน ท่านไม่มีไฟแช็กหรืออะไรหรือ? ท่านไม่ว่าอะไรกลับบอกว่า... งั้นวันหลังจะให้อย่างอื่น จนบัดนี้ยังไม่พบกันเลย
พูดง่ายๆ มันกึ่งๆ กรองสถานการณ์ กึ่งวิเคราะห์และพยากรณ์โดยใช้สถิติประยุกต์จากวิชาที่มาจาก 2-3 ฐานข้อมูล คือ จากกระบวนการจัดระบบข้อมูลสื่อสารมวลชน, วิทยุ และโทรทัศน์ กระบวนการที่สองจากการสนทนากับบุคลากรในวงการทูต กระบวนการที่สามได้ฟังบรรยายสรุปและอ่านจากเอกสารประมวลงานข่าวจากหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง
ทั้ง 3 ฐาน ข้อมูลนี้มารวมกัน เป็นเอกสารที่ผมเอาไปให้กับบิ๊กจิ๋วโดย “คุยกัน” ประมาณ 1 ชั่วโมง แลกเปลี่ยนและซักถามข้อมูล รวมทั้งยืนยันข้อมูลกันด้วย
เวลานั้นพลเอกชวลิต เป็นนายกรัฐมนตรี และเรายังไม่มีปัญหาการเงินที่จะลดค่าเงินบาท แม้จะส่อเค้าบ้างแล้ว
เหตุที่พระบาทต้องไปทำเรื่องแบบนี้ ก็เพราะถูกหลายฝ่ายเลือกให้เป็นตัวแทน
ไม่ใช่อยากไปนะครับ เพราะพระบาทไม่นิยมใกล้ชิดกับ “อำนาจ” แบบนี้อยู่แล้ว
ความจริงก็เคยเป็นตัวแทนแบบนี้ให้กับคนอื่นๆ ที่ต้องการมาแล้ว บอกชื่อก็ได้ เช่น คุณบุญชู โรจนเสถียร ก็ช่วยกันอยู่ 2-3 ปี และก็เพื่อนบิดาอย่าง พลตำรวจเอกสุรพล จุลละพราหมณ์ หรือรุ่นน้องบิดา พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ ก็เคย บางคนขอร้องให้ช่วย แต่พระบาทปฏิเสธไป 2-3 ราย
แต่กับบิ๊กจิ๋วนี้เป็นคนสุดท้ายที่หยุดช่วยใครอีก วิชาที่เคยทำมาก็ไม่ได้ต่อยอด ทั้งๆ ที่มีประโยชน์ เพราะมันไม่ใช่การวิเคราะห์เนื้อหาสื่อสิ่งพิมพ์ธรรมดาๆ แต่มันล้ำหน้า กระทั่งมีฝรั่งสนใจให้ช่วยทำให้อยู่ 2 ปี
กว่าจะมารู้ตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตมหาอำนาจแห่งหนึ่งก็ทำให้มากไป หลังเลิกทำแล้วก็ยังคบหาสมาคมกันได้ในฐานะคนรู้จัก กระทั่งฝรั่งคนนั้นย้ายไปประเทศอื่น
กลับมาถึงบิ๊กจิ๋ว ความจริงเรื่องปากหวานนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะท่านไม่เคยปฏิเสธใคร และการที่ไม่ปฏิเสธใครมักสร้างปัญหา การรับปากกับคนทุกคน อาจทำให้ทุกคนพอใจ แต่หากจะต้องตัดสินใจเลือกให้ตำแหน่งก็ไม่อาจให้กับคนทุกคนได้หมด
บิ๊กจิ๋วก็อุตส่าห์มีทางเลือกสำหรับคนที่ไม่ได้ตำแหน่งไว้ โดยให้อย่างอื่นแทน แม้จะไม่ใช่เงิน แต่ก็ทำให้คนพอใจได้
การที่พระบาทไปพบแบบตัวต่อตัว อาจมีคนสงสัยว่าคนใกล้ชิด จะไม่เขม่นเอาหรือ หรือไม่มีใครเข้ามาขอร้องให้ช่วยพูดขอตำแหน่งบ้างหรือ
บอกได้ว่าไม่มีครับ
เหตุผลก็คือ เรามาจาก “คนนอก” มาจากคนละอาชีพและแน่ละ เราอาจรู้การเมืองเยอะ (เวลานั้น) แต่เราไม่มีพรรคการเมือง หรือมีสังกัดกับกลุ่มการเมือง มีแต่มิตรในหลายคน
จนหัวหน้าพรรคบางพรรค อย่างคุณณรงค์ วงศ์วรรณ เคยบอกว่า อยากให้ใครไปอยู่พรรคไหน เข้าที่ไหน ให้พระบาทไปมันเข้าไปลึกๆ ได้ทุกพรรคนะ
ที่ว่าลึกๆ ก็เพราะบางพรรค หัวหน้าพรรค จะต้องถามว่าควรให้ลูกพรรคที่ล้านในการหาเสียงก็ยังเคย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เคยคุมการเงินของพรรคนั้น
การที่เรารู้ความลับของพรรค แล้วเก็บไว้เป็นความลับก็ทำให้หลายพรรคไว้ใจ ส.ส.บางคนก็น่าสงสาร บางคนเราเคยเห็นขาดเงิน แค่ 2-3 แสนในช่วงสุดท้าย และรู้ว่าเขาได้ล้านเปอร์เซ็นต์ พอมาบอกที่พรรค กลับถูก ส.ส.ด้วยกันกีดกันหรือให้พระบาทสำรองจ่ายไปก่อนก็มี
สำหรับ พลเอกชวลิต เป็นอีกคนที่มีความลับ แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรมาก
วันหนึ่ง... หลังจากรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันสองคนเสร็จแล้ว ท่านหันมาบอกว่า
“เมื่อวานนี้ ผมเอาเอกสารมาอ่านย้อนหลังนะ พบว่าส่วนใหญ่มันถูกเหมือนว่าเรารู้ก่อน แต่เราไม่ทำหลายอย่างเลย”
ก่อนที่ผมจะเลิกราที่จะทำงานในฐานะตัวแทนของกลุ่มคนที่เขาอาสาให้ทำแทนนี้ ท่านพยายามที่จะให้เงินผมจำนวนหนึ่ง ซึ่งผมแปลกใจมาก เลยบอกว่าผมเคยทำงานกับหลายคน บางคนให้ผ้าเช็ดตัวเป็นชุด, บางคนให้ปากกา ท่านกลับให้เงินแถมตั้งหลายแสน ท่านไม่มีไฟแช็กหรืออะไรหรือ? ท่านไม่ว่าอะไรกลับบอกว่า... งั้นวันหลังจะให้อย่างอื่น จนบัดนี้ยังไม่พบกันเลย