ผมคิดว่าอายุปูนนี้ ผ่านโลกมาจนควรเกษียณตัวเองได้แล้ว บางครั้งเราก็มองย้อนไปถึงวันวาน นึกถึงเมื่อยังเยาว์ ที่ยังมองโลกอย่างเดียงสา ทุกหนทุกแห่งไร้ทุกข์ แต่สนุก
วันหนึ่งมีความหมาย
คือวันสงกรานต์
เป็นวันที่ครอบครัวผมมักไม่ค่อยอยู่ติดกรุงเทพฯ แต่มักไปหาญาติผู้ใหญ่ โดยที่ญาติเราฝ่ายพ่ออยู่เชียงใหม่ ทางแม่อยู่ระยอง
คราวนึงพี่ซึ่งเป็นญาติคือพี่วิเชียร วัฒนคุณ เวลานั้นทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศแล้ว มีรถเฟียต 11 พาผม, พี่ชาย และลูกป้าอีกคนไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดระยอง
เมื่อหลายสิบปี ถนนยังไม่ราดยาง แต่ถ้าราดยางก็แค่สัตหีบเท่านั้น จำได้ว่าถนนพ้นราดยาง เป็นถนนราดกรวด หรือถนนอัดแน่นด้วยดินสีแดง
เด็กๆ ก็คะนอง เชียร์ให้พี่วิเชียร แซงรถทุกคนที่อยู่ข้างหน้า
พี่วิเชียรก็เอาใจพวกน้องๆ
เหยียบจมคันเร่ง พ้นรถคันหน้ามาได้ แค่สองร้อยเมตรเจ้าเฟียต 11 ก็พลิกคว่ำ ชนิด 4 ล้อชี้ฟ้า
พวกเราต้องค่อยๆ คลานกันออกมา ผมจำได้ว่า ร้องว่า “เอาอีกๆ” คือให้แซงจนคว่ำอีก
นั่นเป็นสงกรานต์เมื่อผมอายุไม่ถึง 10 ขวบ ต้องไปโรงพยาบาลให้เช็คร่างกาย แต่ก็ไม่เป็นอะไรกันสักคน
ส่วนเจ้าเฟียต 11 ก็ไม่เป็นอะไร
จนกระทั่งผมกลับจากต่างประเทศ รถยนต์คันแรกก็เป็นรถเฟียตสีมัสตาร์ด ซื้อจากพี่ชายของพี่วิเชียร ที่ชื่อพี่อำนาจซึ่งใช้ในการขับเที่ยวยุโรปเท่านั้น
เฟียตรุ่นดีเป็นรุ่น 850 ขับว่องไว เร็วพอประมาณ และมันแซงรถทุกรุ่นได้โดยไม่คว่ำเลย
สงกรานต์ในความทรงจำอีกครั้งคือ ทริปไปเชียงใหม่ เวลานั้นเชียงใหม่ยังเป็นเมืองวัฒนธรรม ไม่มีคนกรุงเทพฯ ดัดจริตอ้างตนเป็นคนรักเชียงใหม่ แล้วไปทำอะไรเสล่อๆ ที่นั่น ไม่มีคอนโด ศูนย์การค้า คอฟฟี่ช้อป หรืออาชญากรรม
การเดินทางไปเชียงใหม่นั้น สะดวกที่สุดก็คือไปโดยการนั่งรถไฟนี่แหละ
เราไปขบวนตู้นอน โดยเวลานั้นไม่มีตู้นอนแยก แต่มีตู้รวม
เวลานั้นผมอายุเท่าไรแน่ก็ไม่ทราบ แต่ก็ตัวไม่เล็กมาก และผมนอนไม่เคยดิ้น
ที่นั่งบนตู้นอนนั้น จะมีที่สำหรับวางของและเอาไว้รับประทานอาหารพักเก็บได้
ยาวประมาณหนึ่งไม้บรรทัดครึ่งหรือ 18 นิ้ว กว้างก็ขนาด 12 นิ้ว
เชื่อไหมครับ .... ผมนอนบนเจ้าไม้นี่ตลอดทั้งคืน ตั้งแต่ 4 ทุ่ม ยันตี 5 เมื่อใกล้ถึงเชียงใหม่
หน้าหนาวเชียงใหม่เวลานั้นหนาวมากครับ ผมมีเสื้อหนาวแบบที่เขาใส่กันทั่วไปสีน้ำเงิน ราคาถูก เข้าใจว่ามาจากเมืองจีน พ่อซื้อมาฝาก หลังจากเป็นคนแรกที่ไปพบกับนายพลจูเต้
สงกรานต์ที่เชียงใหม่สนุกมาก รดน้ำผู้ใหญ่ สาดน้ำก็สะอาดไม่มีการจับต้องของสงวนเหมือนสมัยนี้
นึกถึงยุคปัจจุบัน
ผมไม่ได้ไปสงกรานต์ที่ไหน และชอบกรุงเทพฯ ยามที่ถนนโล่งเวลาขับรถผ่านเมือง คนมายืนรอริมถนน ริมซอย คอยสาดน้ำให้กับรถหรือรถเมล์
ปืนฉีดน้ำขายดี แต่คุณภาพของน้ำแย่ลงครับ
สงกรานต์ของผม คือไปเยี่ยมญาติในกรุงเทพฯ เท่านั้น ก็รดน้ำขอศีลขอพร
กลับบ้านก็รดน้ำพระพุทธรูป และได้โอกาสทำความสะอาดไปด้วย
ในอนาคต ผมว่าสงกรานต์คงจะต้องใช้การสูบน้ำคลองหรือจากแม่น้ำเล่นกัน
ดื่มน้ำขาดแคลน และเราต้องจ่ายเงินซื้อน้ำขวดที่คิดเปรียบเทียบกับน้ำมันแล้วแพงกว่าอีก
ตอนเรียนอยู่ต่างประเทศ สงกรานต์ก็มีแต่ทำกันเงียบๆ ในสถานทูต สาวๆ คนไทยแต่ชุดไทย รำไทย กินข้าวไทยกัน และรดน้ำพระพุทธรูป รวมทั้งท่านทูต ภรรยา และคนไทยที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่
แต่สาดน้ำกันนั้น ทำกันตามอพาร์ทเม้นท์ครับ
เราเคยสาดและเล่นกับเพื่อนบ้านสาวๆ สนุกดี ฝรั่งชอบใจ โดยเราบอกเป็นประเพณีไทยครับ
วันหนึ่งมีความหมาย
คือวันสงกรานต์
เป็นวันที่ครอบครัวผมมักไม่ค่อยอยู่ติดกรุงเทพฯ แต่มักไปหาญาติผู้ใหญ่ โดยที่ญาติเราฝ่ายพ่ออยู่เชียงใหม่ ทางแม่อยู่ระยอง
คราวนึงพี่ซึ่งเป็นญาติคือพี่วิเชียร วัฒนคุณ เวลานั้นทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศแล้ว มีรถเฟียต 11 พาผม, พี่ชาย และลูกป้าอีกคนไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดระยอง
เมื่อหลายสิบปี ถนนยังไม่ราดยาง แต่ถ้าราดยางก็แค่สัตหีบเท่านั้น จำได้ว่าถนนพ้นราดยาง เป็นถนนราดกรวด หรือถนนอัดแน่นด้วยดินสีแดง
เด็กๆ ก็คะนอง เชียร์ให้พี่วิเชียร แซงรถทุกคนที่อยู่ข้างหน้า
พี่วิเชียรก็เอาใจพวกน้องๆ
เหยียบจมคันเร่ง พ้นรถคันหน้ามาได้ แค่สองร้อยเมตรเจ้าเฟียต 11 ก็พลิกคว่ำ ชนิด 4 ล้อชี้ฟ้า
พวกเราต้องค่อยๆ คลานกันออกมา ผมจำได้ว่า ร้องว่า “เอาอีกๆ” คือให้แซงจนคว่ำอีก
นั่นเป็นสงกรานต์เมื่อผมอายุไม่ถึง 10 ขวบ ต้องไปโรงพยาบาลให้เช็คร่างกาย แต่ก็ไม่เป็นอะไรกันสักคน
ส่วนเจ้าเฟียต 11 ก็ไม่เป็นอะไร
จนกระทั่งผมกลับจากต่างประเทศ รถยนต์คันแรกก็เป็นรถเฟียตสีมัสตาร์ด ซื้อจากพี่ชายของพี่วิเชียร ที่ชื่อพี่อำนาจซึ่งใช้ในการขับเที่ยวยุโรปเท่านั้น
เฟียตรุ่นดีเป็นรุ่น 850 ขับว่องไว เร็วพอประมาณ และมันแซงรถทุกรุ่นได้โดยไม่คว่ำเลย
สงกรานต์ในความทรงจำอีกครั้งคือ ทริปไปเชียงใหม่ เวลานั้นเชียงใหม่ยังเป็นเมืองวัฒนธรรม ไม่มีคนกรุงเทพฯ ดัดจริตอ้างตนเป็นคนรักเชียงใหม่ แล้วไปทำอะไรเสล่อๆ ที่นั่น ไม่มีคอนโด ศูนย์การค้า คอฟฟี่ช้อป หรืออาชญากรรม
การเดินทางไปเชียงใหม่นั้น สะดวกที่สุดก็คือไปโดยการนั่งรถไฟนี่แหละ
เราไปขบวนตู้นอน โดยเวลานั้นไม่มีตู้นอนแยก แต่มีตู้รวม
เวลานั้นผมอายุเท่าไรแน่ก็ไม่ทราบ แต่ก็ตัวไม่เล็กมาก และผมนอนไม่เคยดิ้น
ที่นั่งบนตู้นอนนั้น จะมีที่สำหรับวางของและเอาไว้รับประทานอาหารพักเก็บได้
ยาวประมาณหนึ่งไม้บรรทัดครึ่งหรือ 18 นิ้ว กว้างก็ขนาด 12 นิ้ว
เชื่อไหมครับ .... ผมนอนบนเจ้าไม้นี่ตลอดทั้งคืน ตั้งแต่ 4 ทุ่ม ยันตี 5 เมื่อใกล้ถึงเชียงใหม่
หน้าหนาวเชียงใหม่เวลานั้นหนาวมากครับ ผมมีเสื้อหนาวแบบที่เขาใส่กันทั่วไปสีน้ำเงิน ราคาถูก เข้าใจว่ามาจากเมืองจีน พ่อซื้อมาฝาก หลังจากเป็นคนแรกที่ไปพบกับนายพลจูเต้
สงกรานต์ที่เชียงใหม่สนุกมาก รดน้ำผู้ใหญ่ สาดน้ำก็สะอาดไม่มีการจับต้องของสงวนเหมือนสมัยนี้
นึกถึงยุคปัจจุบัน
ผมไม่ได้ไปสงกรานต์ที่ไหน และชอบกรุงเทพฯ ยามที่ถนนโล่งเวลาขับรถผ่านเมือง คนมายืนรอริมถนน ริมซอย คอยสาดน้ำให้กับรถหรือรถเมล์
ปืนฉีดน้ำขายดี แต่คุณภาพของน้ำแย่ลงครับ
สงกรานต์ของผม คือไปเยี่ยมญาติในกรุงเทพฯ เท่านั้น ก็รดน้ำขอศีลขอพร
กลับบ้านก็รดน้ำพระพุทธรูป และได้โอกาสทำความสะอาดไปด้วย
ในอนาคต ผมว่าสงกรานต์คงจะต้องใช้การสูบน้ำคลองหรือจากแม่น้ำเล่นกัน
ดื่มน้ำขาดแคลน และเราต้องจ่ายเงินซื้อน้ำขวดที่คิดเปรียบเทียบกับน้ำมันแล้วแพงกว่าอีก
ตอนเรียนอยู่ต่างประเทศ สงกรานต์ก็มีแต่ทำกันเงียบๆ ในสถานทูต สาวๆ คนไทยแต่ชุดไทย รำไทย กินข้าวไทยกัน และรดน้ำพระพุทธรูป รวมทั้งท่านทูต ภรรยา และคนไทยที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่
แต่สาดน้ำกันนั้น ทำกันตามอพาร์ทเม้นท์ครับ
เราเคยสาดและเล่นกับเพื่อนบ้านสาวๆ สนุกดี ฝรั่งชอบใจ โดยเราบอกเป็นประเพณีไทยครับ