xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 317 “คนเราเลิกกิน ‘ยาโง่’ เสียเถิด!”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้...จิบกาแฟขม ต้องขอกราบเรียนท่านผู้อ่านว่า ผู้เขียนกำลังจับตาดูการพิจารณากฎหมายของสภาเผด็จการ ที่เข้ามาวางก้ามออกกฎหมาย ระยะนี้เป็นพิเศษ เพราะคนที่เข้ามาไร้ความชอบธรรมเหล่านี้ กำลังเร่งออกกฎหมายกันเป็นการใหญ่ แต่สมาชิกส่วนใหญ่ ที่ได้รับเงินค่าตอบแทนไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปมุดหัวกบาลหรือส้องสุมกัน ณ. ที่ใด กลับไม่ค่อยมาร่วมประชุมกันตามหน้าที่

จนไม่น่าเชื่อว่า...
บางวันถึงขนาด กฎหมายผ่านขั้นการรับหลักการ มีคนมาร่วมประชุมเพียง ๔๐-๕๐ คน ซึ่งน้อยกว่า “สภาสันหลังยาว” ที่สื่อบ้านเรา เคยเรียกขานสภาผู้แทนราษฎรสมัยก่อนกันเสียอีก ขอบอกว่า
...น่าทุเรศ...เป็นที่สุด!

เมื่อวันศุกร์ต้นเดือน “ไทยรัฐ” รายงานว่า สภาที่มีนายกบาลใส มีชัย ฤชุพันธุ์ นั่งอยู่บนเอ้เหมึง เป็นประธานหน้าบานอยู่นั้น ได้ผ่านร่างกฎหมาย ออกมาวันเดียว ๓๒ ฉบับ เฉลี่ยแล้วสภาโลซกชุดนี้ ใช้เวลา ๑ ชั่วโมงผ่านกฎหมาย ๔ ฉบับ หรือฉบับละ ๑๕ นาที (คิดเวลาทำงาน ๘ ชั่วโมงเต็ม) น่าเอาไปลงกินเนสบุ๊คจริงๆ

หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ เขายังวิจารณ์ ต่อไปอีกว่า
ไม่รู้พวกสมาชิกสภา (ที่ร่วมกันออกสิ่งที่ผมเรียกว่า “กฎหมายสากกระเบือ” กรุณาดู กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๙๔ “กฎหมายของพวกรัฐประหาร คือ กฎหมายสากกระเบือ!?”) ใช้ส่วนไหนของร่างกาย ในการพิจารณากฎหมายเหล่านี้?

นอกจากนี้ นายมีชัยฯยังเรียกประชุมสภา ทั้งๆที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง และยังมีการ
ส่งร่างกฎหมายรอคิว ให้ยกมือผ่านอีก๔๕ ฉบับ

เดชะบุญ อาจารย์จอน อึ้งภากรณ์ กับพวกทนไม่ได้ ยกพวกบุกสภาสากกระเบือ มัน
ซะเลย...

ให้มันรู้ไปซะบ้างว่า ผู้คนเขาไม่ชอบขี้หน้า ที่มาทำกันแบบนี้ เวลาพวกนี้จะออกกฎหมายกดกบาลชาวบ้าน จะได้คิดกันให้หนักๆว่า

ประชาชนเขาไม่ไว้ใจ “สภาสากกระเบือ” ของพวกยึดอำนาจ!
ขอปรบมือ และเอาใจช่วย อาจารย์จอนฯกับพวก ที่ต่อสู้ในแนวทางของท่านด้วย และการกระทำของอาจารย์นั้น “ได้ใจ” ชาวบ้านอย่างผม ไปเต็มๆ!!

วันนี้ รีบออกจากบ้านตั้งแต่ ๑๑ โมง เพื่อไปร้านอาหารที่นัดกินข้าวกับพรรคพวก ที่กำลังวุ่นอยู่กับการช่วยลูกหลานหาเสียง เพื่อชัยชนะในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

เพื่อนบางคนกำลังชิงชัยในการเลือกตั้ง ที่กำลังจะมาถึง บางคนก็คิดจะไปสมัคร ชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาอีกครั้ง

ส่วนคนที่เมื่อสอบได้ครั้งที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีโอกาสเดินเข้าไปทำหน้าที่ในสภากัน เพราะดันเกิดมีการปฏิวัติเสียก่อน เลยต้องพลาดโอกาสไปทำหน้าที่สำคัญ อวดสติปัญญากันในรัฐสภา จนต้องเลี้ยงปลอบขวัญหรือปลอบใจกันไปรอบหนึ่ง เมื่อปีกลายมาแล้วครั้งหนึ่ง นั้น

มาคราวนี้ ได้โอกาสมาเลี้ยงกันใหม่ เป็นการเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า และฉลองในโอกาสที่ชาติของเรา กำลังพ้นจากยุคอัปรีย์จังไร เพราะการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งให้บ้านเมืองของเรา ต้องตกต่ำลงในทุกๆด้าน อีกทั้งชื่อเสียงของชาติไทย ก็เสียหายยับเยินในสังคมระหว่างประเทศอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ต้องขอให้คนไทยเรา ช่วยกันจดจำ “ยุคแห่งความมืดมน” นี้กันไว้ให้จงดี อย่าให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด
ถ้ามันผู้ใดยกกันเข้ามา เพื่อยึดอำนาจในบ้านในเมือง และก่อความแตกแยกให้เกิดขึ้นอย่างนี้อีก

ต้องร่วมใจกันลุกขึ้น ต่อสู้อย่างห้าวหาญ ดังที่ประชาชนคนไทยเรา เคยทำมาจนชนะมาแล้ว!

ระหว่างรับประทานอาหาร ฟังพรรคพวกหลายคน ที่สอบตกพูด มีประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือการขาดกระสุนดินดำในการต่อตีกับข้าศึก พูดง่ายๆคือ การขาดปัจจัยทางการเงิน ที่ไม่มีเอาไว้ แจกแข่งกับผู้สมัครคนอื่นนั่นเอง

มิตรสนิทอีกคนหนึ่งของผม เป็นคนต่างจังหวัด ตลอดชีวิตรับราชการ เจ้าตัวคิดถึงอำเภอที่บ้านเกิด เมื่อตอนมีอำนาจวาสนาขึ้นมา ก็ได้ตั้งกองทุนสำหรับเด็กยากจน และแจกทุนติดต่อกันมาเป็นสิบปี

นอกจากนั้นกองทุนของเขา ยังมีเงินสำหรับคนชรา ที่ขาดแคลนเงินทอง ซึ่งอาศัยในตำบลเดียวกันกับเขา อีกเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ต่อเดือน/คน

เมื่อดอกเบี้ยเงินฝากประจำมูลนิธิลดน้อยลง เขาก็ยังไม่งดให้ทุน แต่ปรับลดเงินจ่ายคนชราคนละ ๕๐๐ บาท ต่อเดือน/คน

เพื่อนของผมคนนี้ แจกทุนนักเรียน ก่อนโรงเรียนเปิดภาคเรียนแรก แต่ปีการศึกษาที่ผ่านมาไม่ได้แจก เพราะติดเลือกตั้ง กลัวว่าแจกแล้ว จะเป็นการซื้อเสียง

ถึงกระนั้นเขาก็สอบไม่ผ่าน แม้จะได้คะแนนไม่ขี้เหล่ คือเกือบสองหมื่นเสียง ถึงอย่างนั้นคะแนนยังไม่สูงพอที่จะได้รับการเลือกตั้ง
แต่ที่เจ้าตัว คั่งแค้นใจเป็นที่สุด คือ

ในอำเภอบ้านเกิด ที่ตัวเองสู้อุตส่าห์ดูแลมา ตั้งแต่เป็นนายตำรวจระดับเด็กๆ จนขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาควบคุมภาค แม้เกษียณไปแล้ว ก็ไม่เคยทอดทิ้งพื้นที่เลย ได้ให้การช่วยเหลือผู้คนมาโดยตลอดอย่างที่ผมเล่าให้ฟัง แต่ครั้งถึงวันเลือกตั้ง แทนที่จะได้เสียงในอำเภอนี้เป็นลำดับที่หนึ่ง กลับพ่ายแพ้คนต่างอำเภอที่อายุยังน้อย และไม่ได้มาดูแลพื้นที่ต่อเนื่องอย่างเขา เพราะคู่แข่งคนนี้เอาเงินมาเป็นเข่ง ทุ่มเข้าสู้

ทำให้เพื่อนผู้อาภัพของผม เข้ามาเป็นลำดับที่สองในอำเภอที่เขาดูแลมายาวนาน
เจ้าตัวบอกว่า
“ช้ำใจมาก เพราะถ้าแพ้ที่อำเภออื่น คงไม่รู้สึกอะไร แต่นี่แพ้ที่บ้านเกิดตัวเองด้วย!”

สาเหตุสำคัญคือ
แม้เขาจะไม่ขาดเงินสด ที่จะพอแจกได้ในวันเลือกตั้ง แต่เจ้าตัวบอกว่าหัวเด็ดตีนขาดไม่ยอมแจก ตรงนี้ผมเชื่อ เพราะเพื่อนเป็นคนที่ยึดหลักการเหนียวแน่นพอตัว และรักศักดิ์ศรีมากคนหนึ่ง

ผมถามเขาว่า
“แล้วยังจะแจกทุนการศึกษา ต่อไปอีกหรือไม่?” เขาตอบสั้นๆว่า
“แจก”
เออแฮะ...คนที่เขามีหลักการ...เป็นอย่างนี้

ารแจกเงินของนักการเมืองนั้น มีพัฒนามาตามลำดับ ก่อนถึงจะแปรรูปมาเป็นการแจกเงิน นั่นคือการแจกสิ่งของให้กับชาวบ้าน

ความจริงแล้ว การแจกของให้ชาวบ้านไม่ใช่เรื่องแปลก นักการเมืองญี่ปุ่นก็แจกสิ่งของก่อนการเลือกตั้ง เช่น สมุดโน้ต ดินสอ ปากกาลูกลื่น โดยเขียนชื่อและเบอร์ของตนเอาไว้ด้วย

การแจกสิ่งของในบ้านเรานั้น ปรากฏตามหลักฐานครั้งแรกนั้น ไม่ใช่สิ่งของเครื่องใช้ แต่กลับกลายเป็นของบริโภค คือ
“ปลาทูเค็ม”

ผู้แจกคือ นาย สุจินต์ เชาว์วิศิษฐ เสี่ยใหญ่ค้าอะไหล่ผู้ก่อตั้ง บจก. โตโยต้า ทูโช
(ไทยแลนด์) ซึ่งไม่ใช่คนพื้นที่ แต่ได้รับการชักชวนจากนายสง่า วัชราภรณ์ ให้ไปสมัครที่จังหวัดศรีสะเกษ ในการเลือกตั้ง ปี พ.ศ.๒๕๑๒ สังกัดพรรคสหประชาไทย ที่มีจอมพลถนอม กิติขจร เป็นหัวหน้าพรรค และจอมพลประภาส จารุเสถียร เป็นเลขาธิการพรรค

เสี่ยสุจินต์ เชาววิศิษฐ์ แกเป็นพ่อค้าหัวดี ระหว่างหาเสียงเอา “ปลาทูเค็ม” ไปแจกชาวบ้านด้วย คนอีสานตอนนั้นก็ยากจนมากๆ (ผมเองรับราชการ อยู่อีสานพอดีในตอนนั้น) เด็กๆกลางวันไม่มีอะไรจะกิน กินดินก็ยังมีให้เห็น ดังนั้น
ปลาทูเค็มจึงเป็นของ ‘มีค่า’ อย่างยิ่ง

ที่เป็นดังนี้ ก็เพราะคนอีสานคุ้นแต่ปลาทูเค็มเท่านั้น ขนาดชาวบ้านในตัวอำเภอ นานๆครั้งจึงจะได้บริโภคปลาทูนึ่ง ส่วนปลาทูสดอย่าไปฝันถึง เพราะสมัยนั้นรถห้องเย็นไม่ค่อยมีให้ ตามบ้านนอก บ้านไหนย่างปลาทูเค็มให้กลิ่นฟุ้งไปถึงบ้านอื่น ก็ถือว่ารวยแล้ว
กินเสร็จเดินออกจากบ้านไปเรอกลิ่นปลาทูเค็ม ให้เพื่อนบ้านอิจฉาเล่น ก็ยังมี!

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เสี่ยคนแจก ได้ใจชาวบ้านจนได้รับเลือกเข้าสภา เข้าป้ายมาเป็นอันดับสุดท้ายที่ คืออันดับที่ ๕ ของจังหวัดศรีสะเกษ ได้เป็น ส.ส.กับเขาในที่สุด พร้อมฉายา ว่าเป็น “ส.ส.ปลาทูเค็ม”

จากนั้นก็มีการลือกันถึงยุทธวิธีแจกของแลกเสียง ตั้งแต่แจกรองเท้าให้ข้างเดียว หากเลือกตั้งได้แล้ว ให้มาเอาข้างที่เหลือไปได้อย่างนี้เป็นต้น

สำหรับการแจกเงินนั้น เริ่มตั้งแต่โรคร้อยเอ็ดยุค พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และพัฒนาเรื่อยมาจนถึงการแจกเงินใน ‘คืนหมาหอน’ จนถึงยุคออนไลน์
คราวนี้โอนเงินให้กันทางบัญชี ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป!

ที่ตลกขบขันกันเป็นอย่างมาก หนังสือพิมพ์อย่างผู้จัดการถึงกับพาดหัวเมื่อ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ว่า

สุดฉาว! สื่อนอกแฉผู้สมัคร ส.ส.ของไทยแจก “ไวอากร้า” แลกคะแนนเสียง
กลายเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลก หลังเจ้าหน้าที่ของไทยระบุ ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อเสียงจากชาวบ้านในจังหวัดปทุมธานี ซึ่งในครั้งนี้สิ่งของที่นักการเมืองนำมาล่อใจชาวบ้านกลับไม่ใช่การใช้เงินซื้อเสียงเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นยาแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอย่างไวอากร้า

ผมไม่รู้ว่า แต่ละคน...ได้รับ “ยาปลอม” กันไปคนละกี่เม็ด!?...๕๕๕

เรื่องไวอากร้านั้น ยังไม่เท่าไหร่ อยากให้ย้อนไปดูหลักฐาน จากการปาฐกถาพิเศษของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา (ประธานสภานิติบัญญัติชาติปัจจุบัน ที่ประชาชนยกไปไล่ ให้ออกไปเสียที เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง!) เรื่อง "ระบอบรัฐธรรมนูญไทยอยู่ที่ไหน และจะก้าวไปทางใด" ที่ห้องประชุมสหประชาชาติ ถนนราชดำเนิน ในการประชุมวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสน์ศาสตร์เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๓ ในโอกาสวันรัฐธรรมนูญ

นายกบาลใสได้กล่าวเอาไว้ ตอนหนึ่งว่า
“ผมดูหนังดิสคัฟเวอรี่ ดูตัวฮายีน่า(หมาป่าพันธุ์หนึ่ง) ที่มันทำได้ทุกรูปแบบจนคนคาดเดาไม่ได้ แต่ในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ มีการหาเสียงถึงขนาดใช้ยาบ้าเข้ามาด้วย ผมคิดว่าถ้าตัวฮายีน่ามาเห็นมันต่างพากันฆ่าตัวตายแน่นอน เพราะไม่คิดว่าคนจะเลวได้อย่างนี้”

ฟังแล้วไม่รู้ว่า นายกบาลใสแกพูดอย่างนั้น ได้อย่างไรกัน? ไปเอาข้อมูลมาจากไหนก็ไม่ทราบ? เพราะผมเองก็ไม่เคยได้ยิน ลองสอบถามนายตำรวจตัวเด่นๆ ที่รับผิดชอบเรื่องยาเสพติดหลายคน ก็ไม่มีใครทราบ ทำหน้างงกันทั้งนั้น

เอาเถอะ...ถึงอย่างนั้น พวกเราก็ต้อง รับฟังกันเอาไว้เป็นข้อมูลกันบ้าง
แต่ที่ได้ยินมาแน่ๆคือ
ขณะนี้ มียาบ้ามาจ่อที่ชายแดน ๒๐ ล้านเม็ด เพราะผลการไม่เอาใจใส่ ปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล...นายกฯแห่ง ‘วังเขายายเที่ยง’ คนนี้!

มื่อการหาเสียงได้กลายเป็นการต่อสู้กัน ด้วยจำนวนเงินที่มีอยู่ในกระเป๋า และจิตใจที่กล้าได้กล้าเสีย โดยต่างฝ่ายก็หวังว่า

หากได้รับการเลือกตั้ง ชีวิตจะดีขึ้นกว่าเก่า หรืออาจเกื้อกูลต่อธุรกิจที่ตนเองทำอยู่ ให้ก้าวหน้าร่ำรวยมั่งคั่งยิ่งไปอีก

ดังนั้น ผู้สมัครหลายต่อหลายคน จึงกล้าเสี่ยงในการทุ่มเทเงินทองอย่างเต็มที่ ตลอดจนกล้าในการใช้เงิน เพื่อขจัดผู้ที่เป็นขวากหนามทางการเมือง แม้จะด้วยการกระทำที่รุนแรงเช่น
การฆาตกรรมคู่แข่งขันชิงตำแหน่ง ก็ปรากฏมีให้เห็น!

การซื้อสิทธิขายเสียงอย่างที่ว่า จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดา แม้ในหมู่ผู้คนที่มีการศึกษา เช่นเป็นข้าราชการ แต่พ่อแม่ยังอยู่ในหมู่บ้าน ถึงเวลาเขาก็เอาเงินมาแจก ให้คนที่อยู่ทางบ้าน เรียกพวกที่ไปทำงานกรุงเทพ กลับมาลงคะแนนให้คนแจกเงิน

ดังนั้น การเลือกตั้งจึงเป็นโอกาสดีอีกวาระหนึ่ง ที่ลูกหลานจะได้กลับมาหาผู้เป็นบิดามารดา มาพบญาติพี่น้อง โดยมีเงินค่าใช้จ่ายที่เรียกว่าเป็นค่ารถค่าเรือ

รวมทั้งเงินสด ที่พอจะได้เลี้ยงดู สนุกสนานกันได้มื้อครึ่งมื้อ!
การเลือกตั้ง จึงกลับกลายเป็นการชุมนุมญาติมิตร ที่สนุกสนาน เหมือนกับการกลับบ้านงานสงกรานต์ไม่มีผิด
ที่สำคัญคือ ไม่เสียค่าใช้จ่าย เหมือนกลับตอนสงกรานต์ด้วย!!

อกได้เลยว่า คนที่ยากไร้ที่ไม่ใช่เฉพาะยากจนแค่เรื่องเงินทอง แต่รวมไปถึงขาดการศึกษาด้วย การรับเงินในการขายเสียงของพวกเขา จะดำรงคงอยู่ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
และไม่น่าเชื่อว่า แม้เป็นพวกมีการศึกษา แต่ก็เห็นการรับเงินเป็นเรื่องสนุก เพราะได้กลับบ้านไปสังสรรค์กับญาติพี่น้อง

ในความเห็นของผมแล้ว การแจกเงินและการรับเงินในการเลือกตั้ง ยังอยู่คู่บ้านเมืองของเราไปอีกนานแสนนาน ตราบเท่าที่การศึกษาและสติปัญญาของผู้คน ยังไม่ก้าวไกลไปจน

ถึงขั้นไม่ยินยอม ‘รับเงิน’ ในการเลือกตั้ง

ขอย้อนกลับไปที่เพื่อนของผมคนที่แจกทุนการศึกษา และดูแลคนในอำเภอบ้านเกิดของตนมานานนับสิบปี แต่พ่ายแพ้การเลือกตั้งวุฒิสมาชิก ได้เล่าความรู้สึกของตนให้ผมฟังว่า

ลูกน้องคนสนิทของเขา ที่เพื่อนผมเกื้อกูลมาโดยตลอด มาบอกกับเขาด้วยกริยาหดหู่ อย่างยิ่งว่า
“นายอย่าเสียใจนะครับ ที่แม่ผมไม่เลือกนาย”
เขาเรียกเพื่อนผมว่า “นาย”
เมือเพื่อนผมถามเหตุผล ลูกน้องบอกว่าตอบว่า
“แม่ผมบอกว่า ‘แม่รับเงินเขามาแล้ว ถ้าไม่ลงคะแนนให้เขามันบาปนะลูก ต้องไปใช้หนี้เขาชาติหน้า เอ็งก็พูดเอาแต่ได้ เพราะเอ็งไม่ได้ตามไปใช้กับแม่ด้วยนี่!’ ผมอึ้งเลยครับนาย”
เพื่อนผมก็อึ้ง เพราะ ‘ขำ’ ไม่ออก

มฟังแล้ว นึกว่าคนไทยนี้ดี รู้จักบาปบุญคุณโทษ รับเงินเขามาแล้ว ก็ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญา ไปลงคะแนนให้ตามที่เอาเงินมาซื้อเสียงไปแล้ว ไม่รู้จักเบี้ยวเพราะกลัวบาป แต่ตอนรับไม่ยักกลัวจะเป็นบาป เพราะเสียงของใครก็เสียงของมัน จะเอาไปขาย ไปเซ้งหรือลงให้หมูหมาที่ไหน

ก็ไม่เห็นจะ หนักกบาลใคร!
สำหรับนักการเมืองนั้น เมื่อจ่ายเงินก็ถือว่า ซื้อขาดกันแล้ว เมื่อเข้าไปบริหารชาติบ้านเมือง เปิดฉากสวาปามกันป่นปี้กันอย่างไร ก็ทำกันได้ตามอำเภอใจ เพราะจำเป็นต้อง
ถอนทุน พอถึงตอนเลือกตั้งครั้งใหม่ ค่อยเอาเงินไปแจกกันใหม่

เป็นวัฎจักรวนเวียน อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ถึงกระนั้น การซื้อเสียงก็ยากที่จะจับได้ไล่ทัน ตัวอย่างที่ออกมาให้ชาวบ้านได้เห็นกันสดๆร้อนๆก็คือ สมาชิกแก๊งการเมือง ที่คนโตของคนพวกนี้ มักคร่ำครวญกล่าวหาคนอื่นว่า
ใช้วิธีการแจกเงินซื้อเสียง พวกตนไม่เคยซื้อเสียงเลย จึงสู้เขาไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยมีนักการเมืองของก๊กไหนเลย ที่ถูกจับได้เจ๋งเป้ง เหมือนนักการเมืองพวกตัว ที่เพิ่งถูกศาลสูงสุด...

ตัดสินจำคุก ประจานเข้าให้!
หนอยแน่...ยังทำมาน้อมรับคำพิพากษา จนผู้คนเขาหัวเราะเยาะกันทั้งเมือง บอกว่า ทำชั่วแล้ว ไม่ต้องเสือกมาทำ น้อมรับน้อมแร๊บอะไร ให้ทุเรศทุรังกากันแล้ว เพราะแก๊งการเมืองนี้คนโตพรรคก็เอาที่ดินหลวงราคาแพง ไปแจกให้มหาเศรษฐีที่เป็นพรรคพวก...

แค่จังหวัดเดียว ศาลฎีกาท่านก็สั่งให้คืนหลวงไปแล้วถึง ๓ คดี อาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งอ่านคำพิพากษาคดีที่ ๓ ก็ทำปาดน้ำตาน้อมรับ แต่ผู้คนเขากลับสะใจ บอกว่า
ไอ้พวกโจร ที่รุมปล้นบ้านปล้นเมืองก๊กนี้ มัน ‘แพ้ทาง’ ศาลสูงสุดท่านจริงๆ...๕๕๕


ก่อนจบวันนี้ อยากนำถ้อยคำของหลวงพ่อคูณ ที่ท่านสอนเอาไว้ ไปพิมพ์แจกชาวบ้านจริงๆ เพราะคำสอนหลวงพ่อ ถูกใจเหลือหลาย หนังสือพิมพ์หลายฉบับ เคยลงคำ
สั่งสอนของท่าน แต่ก็ผ่านมานานพอสมควร

จึงขอบันทึกถ้อยคำสอน ของหลวงพ่อคูณไว้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการรับเตรียมการเลือกตั้งล่วงหน้า เพราะท่านสอนเอาไว้ดีเหลือเกิน
หลวงพ่อสอน อย่างนี้ครับ....

“ใครให้เงินมึงรับไว้ไม่บาป มึงมัน ‘คนมีบุญ’ เขามาให้ถึงบ้าน มึงจะได้ซื้อหอม น้ำปลา ให้ลูกเมียมึงกิน...
...มึงชอบใครมึงก็ลงคนนั้น กูว่าคนแจกเงินเป็นคนไม่ดี ถ้าคนดีเขาไม่แจก...”
ก่อนท่านจะตบท้าย ว่า

“...คนเราเลิกกิน ‘ยาโง่’ เสียเถิด!”

สาธุ! สาธุ!สาธุ!!!
........................

กำลังโหลดความคิดเห็น