xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 315 “แค่ได้ยินรับสั่งว่า ‘ฉันหนุ่มขึ้น’ ....ก็ปลื้มล้นเหลือแล้ว พระพุทธเจ้าข้าฯ”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว ต้องเรียนท่านผู้อ่านว่า ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ เป็นฉบับแรกการเริ่มต้น ปีที่ ๗ ของคอลัมน์นี้ ไม่น่าเชื่อว่า

เวลาช่างผ่านไป รวดเร็วเสียเหลือเกิน

จากวันที่เริ่มต้นคอลัมน์ถึงวันนี้ หากเป็นเด็กก็ผ่านชั้นอนุบาลขึ้นประถมศึกษา และกำลังอยู่ในวัย ที่อยากรู้อยากเรียน หรือ หากจะไปเปรียบเทียบตอนที่เริ่มเขียน ว่าเป็นเฟรชชี่ที่เพิ่งเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย ก็จบการปริญญาตรีไปเรียบร้อย และเริ่มชีวิตการทำงาน มาได้สองปีแล้ว

ถ้าหากเรียนปริญญาโทต่อ ก็จบการศึกษาพอดี หรือหากเรียนแพทย์ปีนี้ก็จะเข้า
อินเทอร์นชิพ หรือจบออกมาเป็นแพทย์ฝึกหัด กำลังเริ่มต้นชีวิตความเป็น ‘คุณหมอ’ กันอย่างเต็มตัว

ที่เปรียบเทียบกับการเรียนแพทย์ เพราะผมมีลูกสาวของเพื่อนสนิท เริ่มการศึกษามหาวิทยาลัย หลังจากที่ผมเขียนคอลัมน์นี้ ประมาณ ๕ เดือน ถึงวันนี้เธอกำลังจะจบแพทย์เชียงใหม่ในไม่กี่เดือนข้างหน้า

ไม่น่าเชื่อว่าจากเด็กที่หน้าตาดูธรรมดาๆ ฟันดูจะเหยินหน่อยๆ แต่เมื่อโตขึ้นพร้อมกับการดัดฟัน จะกลายเป็นคุณหมอสาว ที่ดูสวยสล้างสะพร่างตาไปได้ และด้วยการเป็นเด็กที่มีความมุ่งมั่นสูง เชื่อว่าเธอจะเป็นกำลังของชาติ และดูแลคุณพ่อที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อลูก ซึ่งเริ่มมีอายุมากขึ้นได้เป็นอย่างดี

ปีนี้ ได้ตั้งใจว่าจะทำบุญสองวันติด เพราะวันพรุ่งนี้ จะครบรอบวันมหามงคลที่คนไทยทั้งหลายรอคอย คือ วันเฉลิมฉลองครบรอบ ๘๐ พระชันษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ของชาวไทยเรา!

มื่อปลายเดือนที่แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเยี่ยมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงฉลองพระองค์สีสดใส ไทยรัฐพาดหัว ฉบับ ๒๐ พ.ย.๒๕๕๐ ทรงมีรับสั่งว่า

“ฉันหนุ่มขึ้น”

พระราชกระแสรับสั่งนี้ มีต้นเค้ามาจาก คุณสุนทร ชนะศรีโยธิน เจ้าของร้าน
‘วินสัน เทเลอร์’ ย่านสี่แยกเกษตร ถนนพหลโยธิน ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ภายหลังมีข่าวเผยแพร่ออกไปว่า เป็นร้านตัดสูทฉลองพระองค์มานานหลายสิบปี ได้ตัดฉลองพระองค์ที่มีสีสดใสถึง ๗ สี ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมาก แห่พากันมาสัมภาษณ์คุณสุนทรฯ

ผู้สื่อข่าวคนหนึ่ง ถามว่า

เคยเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว หรือไม่?

คุณสุนทรฯตอบว่า เคยเข้าเฝ้าฯเบื้องพระพักตร์ สำหรับสูทที่ถวายจะเป็นสีสด ได้มีเสียงทักท้วงจากหลายท่านว่า สีฉูดฉาดเกินไป แต่เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นสูท ที่ตัดถวายแล้ว ทางต้นบรรทมบอกว่า พระองค์ทรงมีรับสั่งว่า

“เดี๋ยวนี้...ฉันหนุ่มขึ้นแล้วนะ”

ทำให้คุณสุนทรฯ รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นที่ยิ่ง

ใช่แต่คุณสุนทรฯปลาบปลื้มเพียงคนเดียว ชาวไทยทั้งประเทศ ก็มีความรู้สึกไม่ได้แตกต่างจากช่างตัดฉลองพระองค์ผู้ มีชื่อเสียงท่านนี้

ผู้เขียนก็เหมือนคนไทยทั้งมวล เมื่อได้ทราบข่าวดีและได้เห็นว่า เจ้านายของพวกเรา ทรงกระฉับกระเฉง สีพระพักตร์สดใสอย่างนั้น ก็ชื่นชมโสมนัส ความปลาบปลื้มก็เอ่อล้นขึ้นเต็มหัวใจ เฉกเช่นเดียวกับ คุณสุนทร ชนะศรีโยธิน ช่างเสื้อของพระองค์ท่าน!

หากมีวาสนา ได้ยินพระสุระเสียงด้วยตนเอง ด้วยพระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ คงร้องกราบบังคมทูลไปว่า

“แค่ได้ยินรับสั่งว่า ‘ฉันหนุ่มขึ้น’ ....ก็ปลื้มล้นเหลือแล้ว พระพุทธเจ้าข้าฯ”

นอกจากนั้น ยังคิดเลยต่อไปว่า

ถ้าความ“หนุ่ม” เป็นเสมือนสิ่งของ ที่จะนำขึ้นทูลเกล้าถวาย พระเจ้าแผ่นดินของพวกเราได้ ผมเชื่อว่า คนหนุ่มเมืองไทยที่สุขภาพดีจำนวนมากมาย ยินดียอมให้ตนเองอายุสูงขึ้น หากตนเองสามารถน้อมเกล้าเกล้าฯ ถวายความหนุ่มแน่นและแข็งแรงแห่งตน แด่ในหลวงของเรา

เพื่อให้พระองค์ทรง “หนุ่ม” ตลอดกาล จะได้มีพระกำลัง ทรงงานช่วยเหลือราษฎรของพระองค์ และประทับอยู่...


เป็นมิ่งขวัญชาวไทย ต่อไปอีกนานแสนนาน!

คยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า มีบุญได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครั้งแรกในชีวิตนั้น ยังเป็นเด็กอยู่มาก วันนั้นพ่อพาไปยืนเฝ้าชมพระบารมี อยู่บริเวณสนามไชย

ในหลวงท่านเสด็จออกมุขพระที่นั่ง ในพระบรมมหาราชวัง ด้านถนนสนามไชย มีประชาชนไปเฝ้าแหนกันมากมาย ผมเองเห็นพระองค์ท่านในระยะไกลมองไม่ถนัด เพราะผู้คนแน่นเบียดเสียดกันมาก

พ่อผมซึ่งสูงกว่า ๖ ฟุต ตัวใหญ่และแข็งแรง แต่งเครื่องแบบตำรวจด้วยในวันนั้น คว้าเอวผมด้วยมือสองข้าง และชูผมให้เห็นถนัด แต่ก็เห็นพระองค์ท่านได้เพียงแค่อึดใจเดียว และจำได้ไม่มีวันลืมเลย ได้ยินเสียงพ่อร้องสั่งว่า

“ไหว้ในหลวงท่านซะลูก!”

ผมยกมือไหว้ไปในทิศทาง ที่เห็นในหลวงท่านทรงยืนประทับอยู่ กำลังโบกพระหัตถ์ให้ฝูงชนเบื้องล่าง เมื่อกลับบ้านแล้ว พ่อก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ให้ฟัง จึงมีความรู้ว่า

บ้านเมืองของเรามี... “ในหลวง”

หลังจากนั้นผมมีโอกาสเห็นพระองค์ท่าน เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรภาพยนตร์ ที่ศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งเป็นโรงหนังใกล้บ้าน คนในบ้านก็พาไปเฝ้ารับเสด็จอีกครั้ง

ครั้นเมื่อเข้าโรงเรียนประจำที่วชิราวุธ วิทยาลัย ก็มีโอกาสได้เฝ้าทุกครั้งเมื่อเสด็จพระราชดำเนินที่โรงเรียน โดยเฉพาะเมื่อเสด็จพระราชทานประกาศนียบัตร และทอดพระเนตรการแข่งขันกรีฑานักเรียน

ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ เป็นประเพณีที่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินกลับ นักเรียนจะร่วมกันเข็นรถพระที่นั่ง และต่อมาเมื่อสำเร็จการศึกษา ก็ได้มีโอกาสเฝ้าแหนหลายครั้งตามหน้าที่ราชการ

ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์นั้น นักเรียนวชิราวุธ วิทยาลัย อย่างผมได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก มีบทเพลงร้อง บทสวดมนต์ที่สรรเสริญพระคุณพระมหากษัตริย์ นักเรียนในโรงเรียนนี้ จึงได้มีคติประจำใจทุกคนว่า

“รู้รักชาติศาสน์กษัตริย์ เป็นฉัตรไชย อีกรู้เสียสละได้ด้วยใจงาม!”

สำหรับตัวผู้เขียนเองแล้ว ความจงรักภักดี และมั่นคงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ได้ซึมซับเข้ามาในจิตใจตั้งแต่เยาว์วัย จนกลายเป็นแก่นของชีวิตโดยไม่รู้ตัว ต่อมาเมื่อเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ความจงรักภักดีได้ทวียิ่งขึ้น พร้อมกับมีสำนึกเพิ่มมาอีกว่า

ในอาชีพของตนนั้น มีหน้าที่จะต้องพิทักษ์รักษาประเทศชาติ และราชบัลลังก์ แม้ต้องสามารถสละชีวิต ก็จะต้องทำได้ด้วยความเต็มใจยิ่ง ถึงจะเสี่ยงอันตราย หรือแม้แต่ความตายจะมาปรากฏลงที่ตรงหน้า หากเป็นภารกิจเพื่อประเทศชาติและราชบัลลังก์ ก็ไม่เคยนึกประหวั่นพรั่นพรึง เต็มใจที่จะเผชิญเหตุทุกครั้งไป ซึ่งเป็นเรื่องที่นายทหาร ตำรวจ ที่ได้รับการฝึกอบรมมา

ล้วนยึดถือกันเป็น ‘คัมภีร์ชีวิต’

ความทรงจำครั้งแรกของผมนั้น แจ่มใสมาก ล่วงมาถึงวันที่เป็น “คุณปู่” แล้วก็ยังจำได้ว่าวันแรกมีความรู้สึกตื่นเต้น เพราะยังเป็นเด็กไม่เคยเห็นในหลวงมาก่อน พอได้มีโอกาสเห็นเต็มตาแล้ว ก็ได้ไปคุยไปเล่าให้ผู้คนฟัง มีลูกของตนก็เล่าให้ลูกฟัง

แน่ละต้องเล่าให้หลานฟังด้วย ว่า ‘ปู่’ นั้นมีความรู้สึกอย่างไร คงเหมือนกับที่ได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังในคอลัมน์นี้

ทุกวันนี้ สิ่งที่ผมทำเป็นนิสัยก่อนออกจากบ้าน คือการกราบพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ติดอยู่บนปฏิทิน รำลึกถึงพระคุณของพระองค์ และขอพระบารมีปกเกล้าฯ คุ้มครองให้ปลอดภัยไร้ทุกข์

กราบเสร็จจะมองดูปฏิทิน ซึ่งนอกจากดูวันที่แล้ว ก็จะดูข้อความที่ตัวเองบันทึกสั้นๆบนเลขวันที่ เพื่อการช่วยจำเอาไว้

สำหรับปฏิทิน ที่มีพระบรมสาทิสลักษณ์นั้น ผมติดไว้บนผนังข้างประตู ที่จะเปิดไปสู่บันใดทางออกนอกตัวบ้าน ลงไปสู่โรงจอดรถ เพื่อตัวเองจะได้เห็น และกราบพระบรมสาทิสลักษณ์ ประดุจได้ถวายบังคมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกวัน ก่อนออกจากบ้าน เพื่อเป็นสิริมงคลแห่งตน

ที่ทำอย่างนี้ไม่ได้คิดเอาเอง หากแต่เห็นผู้บังคับบัญชา ที่ผมเคารพรักมากปฏิบัติเป็นประจำ และมีนายตำรวจผู้ใหญ่อีกหลายนาย ที่ทำอย่างเดียวกัน

บางคนกราบที่บ้าน บางท่านก่อนนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน จะต้องกราบพระ คำนับธงชาติ และกราบพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นสิ่งดี และเป็นมงคลต่อตัวเอง

ผมจึงถือเอาเป็นแบบอย่าง และทำตามมาจนถึงทุกวันนี้

นมหามงคลครบรอบฉลองสิริราชสมบัติ เมื่อปีที่ผ่านมานั้น เหตุการณ์ร้ายแรงอย่างการ ‘รัฐประหาร’ ได้เกิดขึ้น ซึ่งน่าเศร้าใจเป็นอย่างมาก เพราะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของชาติไทย ในสายตาของสังคมโลก

ความเชื่อมั่นที่นานาอารยะประเทศ มีต่อบ้านเมืองของเรา...ทรุดลงทันที!

ครั้นมาถึงปีนี้ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๐ พระชันษา อันเป็นมหามงคลอีกปีหนึ่ง แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาเกือบตลอดศักราช ก็แทบไม่มีเรื่องที่ทำให้คนไทย ได้ชื่นใจกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนก็ยังมองเห็นความเสื่อมลงของชาติ ในแทบจะทุกด้าน ทั้งคณะรัฐประหารก็ไม่ได้เป็นที่นิยมของประชาชน อีกทั้งรัฐบาลของพวกเขา บริหารราชการงานแผ่นดิน ด้วยประสิทธิภาพที่ต่ำต้อยอย่างเหลือเชื่อ

นอกจากนั้นแล้ว...

เรื่องราวการทุจริต และประพฤติมิชอบในหน่วยราชการในยุครัฐบาลนี้ โผล่ออกมาให้ประชาชนเห็น ชัดเจน อย่างกรณีเงินค่าจัดพิมพ์ เอกสารร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการแจกจ่าย ก็กินกำไรเป็นเท่าตัว ชาติเสียหายเกือบสองร้อยล้านบาท และก็ไม่ได้มีการลงโทษกันอย่างจริงจัง การสอบสวนทางวินัยดำเนินการไปอย่างอ้อยอิ่ง อีกทั้งเรื่องราวคอรัปชั่นในกองทัพ...

ก็ขจรขจาย ดังอื้ออึงออกมา จนเต็มสองหูชาวไทยทั้งในและต่างประเทศ!
ทั้งน่าเศร้า และน่าอับอายขายหน้าเหลือเกิน...


ในขณะเดียวกัน ดัชนีชี้วัดความเจริญก้าวหน้าของประเทศ ที่จัดทำโดยสถาบันในระดับที่เป็นสากล ได้ปรากฏให้ประชาชนชัดเจนขึ้นทุกขณะ ว่า

เสื่อมทรามลง แทบจะทุกด้าน!

ประชาชนชาวไทย เริ่มชิงชังคณะรัฐประหาร และรัฐบาลของพวกเขามากขึ้นทุกที!!
ยิ่งได้เห็นชาติอื่นบ้านใกล้เรือนเคียง เขากำลังเจริญรุดหน้า มุ่งไปสู่อนาคตที่สดใสกว่าอย่างแข็งขัน ในขณะที่บ้านของเราเอง กลับหล่นลงมาอยู่รั้งท้ายในหลายๆ ด้าน

ยิ่งทำให้ผู้คนหดหู่...ท้อแท้

เมื่อข่าวดีไม่ปรากฏให้เห็น อีกทั้งข่าวร้ายก็กระจายไปในทุกหย่อมหญ้า ประชาชนชาวไทยรู้สึก...สิ้นหวัง

ต่างพากันแหงนขึ้นไปเบื้องบน หมายพึ่งพระมหาบารมี...พระผ่านเกล้าชาวไทย!!!

รื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศ ไม่อาจเล็ดลอดไปจากสายพระเนตรอันกว้างไกล และเชื่อกันว่า ได้นำมาซึ่งความไม่สบายพระราชหฤทัย

ผมจึงอยากให้ทุกท่าน ย้อนกลับไปรำลึกถึงพระราชดำรัสเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๔ ซึ่งพระราชทานแด่บรรดาผู้เข้าเฝ้า ถวายคำอวยพร เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ ทรงมีพระราชดำรัสในตอนท้ายว่า

“… ฉะนั้น ถ้าท่านอยากให้กิจการใดๆ สำเร็จ ก็ขอให้ทำอย่างที่ว่า อย่างที่บอกก็ขอบใจท่าน ที่สามารถปฏิบัติให้พระเจ้าแผ่นดินมีความสุข...เหมือนพระเจ้าแผ่นดิน...”

ฟังพระราชดำรัสนี้แล้ว สะท้อนใจ จึงตั้งโจทก์ถามตัวเองว่า แล้วทำอย่างไร จึงจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา...

Happy as a King

ผมคิดว่า บรรดาผู้มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ทั้งที่เป็นบุคคลในคณะรัฐมนตรี นักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ที่จะอำนวยความสุขให้กับประชาชน ต่างมีพันธะกิจสำคัญ ที่จะต้องทำให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา

ทรงมีความสุขทั้งพระวรกาย และพระราชหฤทัย ด้วยการที่พวกท่าน ต้องทำให้ประชาชนในชาติของเราอยู่เย็นเป็นสุข

เพราะผมแน่ใจว่า
ความสุขของประชาชน คือความสุขของ...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว!

หลังจากไปทำบุญมาแล้ว ดังที่ได้กล่าวนำไว้ข้างต้น ถ้าหากท่านผู้อ่านจะถามว่า ถ้าจะให้ขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในวันนี้ได้ จะขอสิ่งใดจากพระองค์?

ขอตอบซ้ำ ด้วยข้อเขียนปิดท้ายของ กาแฟขม...ขนมหวานตอนที่ ๑๐๐ “ร้อยแล้ว...จ้า” ที่เขียนเอาไว้ ดังนี้...

...ผมต้องตอบว่า จะอธิษฐานขอเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ

ขอมีชีวิตอยู่จนได้เห็น และได้เขียนคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” ในวันที่ชาวไทยเราทั้งชาติ ร่วมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบหนึ่งศตวรรษ หรือ ๑๐๐ ปีเท่านี้เอง...

ชีวิตนี้จะไม่ขออะไร..มากไปกว่านี้อีกแล้ว!...”


มาวันนี้ เห็นทีจะต้องขอเพิ่มคำอธิษฐาน ให้ยาวต่อไปอีกนิด นั่นคือหลังจากท่อนที่ว่า ชีวิตนี้จะไม่ขออะไร..มากไปกว่านี้อีกแล้ว!...

จะขอใส่ข้อความ เติมลงไป ว่า


จะได้เตรียมตัวฉลอง...ครบรอบ ๑๒๐ พระชันษา...ปีรุ่งขึ้น นั่นเอง!!

ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ...ยิ่งยืนนาน!!!
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า


วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

*******************
กำลังโหลดความคิดเห็น