xs
xsm
sm
md
lg

ตอน 313 “กรี๊ด!...กรี๊ด!!...ทนไม่ได้ กับหนังสือไฉไลชื่อ “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ...!!!”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้....ไม่จิบแล้วกาแฟขม แต่จะกราบเรียนฟ้องท่านผู้อ่านว่า ตอนนี้คนเขียนโดนทั้งชายหญิงรุมรังแกกันใหญ่เลย เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ โทรศัพท์ทั้งมือถือและที่บ้านผมดังระงมไปหมด เพราะทั้งข่าวหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ระดมโจมตีหนังสือเรื่อง “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ”ซึ่ง ซึ่งเป็นชื่อหนังสือรวมบทความของผม อันเกี่ยวเนื่องด้วยการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำระยำของผู้ที่ใช้อำนาจเถื่อน เข้ามายึดอำนาจในบ้านเมือง โดยละเมิดพระราชอำนาจอย่างชัดแจ้ง

และมีฐานะเป็น “กบฏ” ต่อแผ่นดิน!

ไม่ว่าจะเรียกการกระทำของตัวเองว่า การปฎิรูป, รัฐประหาร, ปฏิวัติ, ปฏิเวรฯลฯ หรืออะไรก็ตามแต่จะว่ากันไป แต่การกระทำของคนพวกนี้ เป็นการกระทำความผิดฐานเป็น “กบฏ” ในพระราชอาณาจักร

ส่วนใครจะจูบตูดคนพวกนี้ แล้วสรรเสริญคุณงามความดี ก็คงไม่หนักหัวกบาลผม แต่การที่คนเป็นสื่อแล้ว ออกทำท่าอวดเก่งเบ่งก๋ามาป้องกัน คนที่ให้น้ำข้าว เพราะเขาตั้งเป็นใหญ่ ให้มีตำแหน่งแห่งที่ในองค์กรของรัฐ และการยกโขยงเข้าไปอยู่ในสภาโจรานุโจร ทั้งสภาโจร ๑ กับ สภาโจร ๒ นั้น

ดูท่าจะเป็นบุญคุณใหญ่หลวง ที่ติดค้างกันมากจริงๆ

พอเจ้านายของตัว โดนผมหยอกเอินเข้าหน่อยเดียว ออกมาเห่าขู่ส่งเสียงกันเกรียว แต่ท่านผู้อ่านที่เคารพรัก อย่าเป็นห่วงผมเลย เพราะผมรู้จักสันดานของพวกสุวารเหล่านี้ดี...

รับรองว่ามีน้ำร้อนตั้งยู่ น้ำกรดไว้ในขวดโหล คอยสาดกลับตลอดเวลา ในอัตราเดียวกันหรือมากกว่า

กลัวอะไรกัน...กับอีแค่สงครามปาก!

ยิ่งมาถึงวันนี้ด้วยแล้ว สถานการณ์มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อย่างที่ผมเขียนชัดเจนในคอลัมน์นี้ เมื่อสองตอนที่ผ่านมาหยกๆว่า

“ปฏิวัติเที่ยวนี้ มันเหมือน ‘แร้งลงชาติ’ ของเรา เลยทีเดียว เผลอไม่ได้...มันแดกกันเรียบ!”

พี่น้องประชาชนที่เขารักชาติ รักประชาธิปไตย รับรู้กันจนทั่ว
จะต้องไปกลัวอะไร กับพวกมัน!

ระหว่างยุคทหารครองเมืองอยู่นี้ คนมีปากกาอย่างผม ได้วิพากษ์วิจารณ์ ความไม่ชอบธรรม ของการเข้าสู่อำนาจอย่างมิชอบ มาโดยตลอด

ฟาดเอาตรงๆก็มาก เสียดสีก็แยะ เพราะถือว่าตัวเองทำอยู่ในสื่อสมัยใหม่คืออินเตอร์เน็ต ซึ่งก็มีคนเข้ามาดูคอลัมน์ตัวเองเกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ คลิก (หนึ่งล้านคลิก) แล้ว ก็ขนาดเวปของ สุทธิชัย หยุ่น ที่ว่าแน่ๆ ยังมีคนเข้าไปดูไม่ถึง ๘ แสนคลิก บวกกับน้อง เทพชัย หย่อง (คนนี้ด่าผมว่า “เป็นคนไม่มี taste” ทางวิทยุ ) ก็อีกไม่ถึง ๓ แสนคลิก

เอาทั้งสองคนมารวมกัน...ยังน้อยกว่าผมด้วยซ้ำไป!

ขอเรียนว่า ตลอด ๖ ปีกำลังจะเต็ม ที่ผ่านมา ก็ตั้งใจทุ่มเททำงานตามหน้าที่
คอลัมนิสต์ของตัวอย่างเต็มที่ เหมือนตอนเป็นตำรวจ อย่างไรอย่างนั้น ไม่ได้ต่างกัน

แต่ไม่น่าเชื่อเลย ว่า
คนบ้านเราหลายคน แค่เห็นหัวหนังสือเล่มเล็กๆของผม ที่ใช้ชื่อว่า “รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ!” ซึ่งตัดมาจาก กาแฟขม ขนมหวาน ตอนที่ 297 “รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ!” (จะเอาไข่หงส์ แต่ได้ไข่เหี้ย!!)

เท่านั้นเองแหละครับ...ทองลอกออกมาเลย!

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ระเบ็งเซ็งแซ่ ว่า ทำไมจึงหยาบคาย คิดได้อย่างไร ไม่สมเป็นลูกผู้ดีมีสกุลตระกูลเก่า ปากจัดยังกะแม่ค้า ฉันทนไม่ได้ อุบาทว์เหลือกำลัง ฯลฯ
อะไรในทำนองนี้

แห่กันมาสารพัดสาระเพ ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งสถานีโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ที่มากหน่อยเห็นจะเป็นวิทยุ รวมทั้งรายการภาษาอังกฤษ คลื่น “ร้อยห่า” ที่โฆษกอีสานออกเสียงตัว H (เอช) เป็น “เฮ็ด”

อย่างที่หนูป้อม ‘คัทลียา’ ไทยรัฐ ซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนวัฒนาเคยพูด ว่า
“เฮ็ดพ่อ...เฮ็ดแม่อะไร ก็ไม่รู้”
นั่นแหละครับ

เอาละ ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น เฒ่าฟันดำ ด๊อกเตอร์วาณี (คลื่นเก้าเจ็ด) หนูเวรพัน หนูสะมอนภา หนูไศวิลี นายถักมะซำ

นายเทิงกะ นายถ่องพะเยบ หนูการุนะ คลื่น “ร้อยห่า” รวมทั้งหนูและนายอื่นๆที่ปวดแสบปวดร้อนเพราะ ‘คำผวน’ จงมานั่งเรียงกันให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วพนมมือตั้งสมาธิ ตั้งอกตั้งใจฟังผมไขขาน เพื่อสดับสติปัญญากันไว้บ้าง แบบฟังหลวงพ่อปัญญาท่านเทศน์ เผื่อจะได้ไม่อายใครเขา เวลาวิพากษ์วิจารณ์สื่อออนไลน์อย่างผม

จะได้เข้าใจ ให้ถูกต้องกันเสียที

ผมได้บอกหลายครั้งหลายหนแล้วว่า คนไทยเราเป็นกลุ่มชนที่มี “อารมณ์ขัน” คนในชาติเราจึงมีคารมคมคาย โปรดปรานการประชันคารม รักการด่าทอ ติดใจการต่อล้อต่อเถียงกันเป็นอย่างยิ่ง

ดูอย่างเพลงฉ่อย อีแซว เพลงบอก ของภาคกลาง เพลงซอเมืองเหนือ หรือเพลงโคราช ล้วนแต่แสดงถึง ปฏิภาณไหวพริบในการตอบโต้กัน ซึ่งคนไทยชอบหนักหนา

บอกว่า...สนุกดี!
ท่านลองดู โคลงบทนี้ซิครับ

๏ เฉน็งไอมาเวิ่งเว้า        วู่กา
รูกับกาวเมิงแต่ยา          มู่ไร้
ปิดเซ็นจะมู่ซา              เคราทู่
ฉะแต่จะตอบห้วยไม้      หลิ่งกล้นกลนถนางฯ

โคลงนี้ พอผวนออกมาเป็นภาษาธรรมดา ก็จะเป็น...

๏ไฉนเอ็งจึ่งเว้า              ว่ากู
ราวกับกูมาแต่เยิง           (เยิง แปลว่า ป่า) ไม่รู้
เป็นศิษย์จะมาสู้             ครูเฒ่า
ชอบแต่จะเตะให้ม้วย       หล่นกลิ้งกลางถนนฯ


รับรองว่าผมไม่ได้เป็นคนแต่ง (ทั้งๆที่อยากเตะ คนพูดจาใส่ร้ายเต็มแก่)
โคลงที่เห็นข้างบนน่ะ ฝีมือท่านอัครกวีสุนทรภู่นะครับ

ท่านก็เหมือนคนไทยทั่วๆไป คือนอกจากความชอบอย่างที่บอกไปข้างต้นแล้ว ยังชอบ “คำผวน” เป็นที่สุด ไม่อย่างนั้น ท่านภู่จะแต่งออกมา ให้พวกที่บังอาจวิจารณ์ว่าท่านเป็น “กวีไร้ฝีมือ” อ่านกันเล่นหรือครับ?

ที่คิดถึงท่านสุนทรภู่ เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เห็นใครต่อใครต้องกลายเป็นพวก
“ทองลอก” ให้ผู้คนเห็น เพราะไปสัมผัสเอา กับปกหนังสือของผมเข้า
ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับ ว่าพอเห็นปกหรือเห็นข่าวแล้ว ต่างก็ตั้งหน้าผวนคำกันใหญ่ทั้งๆที่ไม่มีใครใช้ให้ผวน สมกับเป็นคนไทยยิ่งนัก เพราะคำผวนนี่แหละครับ คนไทยเราชอบและศึกษากันอย่างเอาจริงเอาจัง อย่างวาทกรรมชื่อ

“สรรพลี้หวน” (อ่านว่า สับ-ลี้-หวน)

ซึ่งเป็นวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ (จังหวัดนครศรีธรรมราช)ที่เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ลักษณะการประพันธ์ เป็นแบบ นิทานคำกลอน หรือ กลอนสุภาพหรือ กลอนแปดตามขนบนิยม

เนื้อหาเป็นคำผวนออกทางหยาบโลน มีความยาวถึง ๑๙๗ บท เนื้อหายังไม่จบสมบูรณ์ ซึ่งรวบรวมไว้ในหนังสือวรรณกรรมทักษิณ วรรณกรรมคัดสรร เล่ม ๗ ผลงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี

ซึ่งตอนต้นของหนังสือ ยังสั่งเสียคนอ่านไว้ว่า

๏ สรรพลี้หวนควรอ่านตามบ้านร้าง
หนำหรือห้างทะเลนอกเคหา
จะดีร้ายปลายคำเป็นธรรมดา
บอกภาษานิทาน...อ่านอย่าแปล


นอกจากนั้น ขอยกคำผวนตามกลอน มาดูสักหน่อยก็ได้

๏ นครยังมีเท่าผีแหน         กว้างยาวแสนหนึ่งคืบสืบยศถา
เมืองห้างกวีรีหับระยับตา     พันหญ้าคาปูรากเป็นฉากบัง
สูงพอดีหยีหิบพอหยิบติด    ทองอังกฤษสลับสีด้วยหนีหัง
กำแพงมีรีหายไว้ขอดัง       เจ้าจอมวังพระราโช...‘ท้าวโคตวย’


นี่ไงครับหนังตัวอย่าง หากนำมาเทียบกันระหว่างรัดทำมะนวยของผม กับท้าวโคตวยของสรรพลี้หวน ของดีเมืองนคร ที่พี่น้องนักศึกษาราชภัฎปักษ์ใต้ กำลังศึกษากันอย่างเคร่งเครียดนั้น

ทำให้ผมต้องอายม้วนต้วน ต้องซบหลบหน้าลงไปทันทีทันใด เหมือน...

“หิ่งห้อยหรือหาญสู้พระสุริยา”...๕๕๕

อย่างนั้นเลย ทีเดียวเชียวนะ

แต่นั่นแหละเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คนไทยนั้นเรื่องอักษรศาสตร์เฟื่องฟูแต่โบราณ และมี ‘อารมณ์ขัน’ กำกับในการศึกษาอีกด้วย

หากรู้ว่าพวกนักอ่านทองลอก จะวี๊ดว้ายกับปกหนังสือผมขนาดนี้ ผมคงจะขอยืมท่อนอินโทร “บอกภาษานิทาน...อ่านอย่าแปล” มาปะไว้บนปกซะนานแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่า พวกสื่อสารมวลชนทั้งหลาย ทั้งชายหญิง โดนแค่ “รัดทำมะนวยหัวคูณ” ของผมเข้าหน่อยเดียวเท่านั้น ทองลอกเยิ้มออกมาเลย เพราะไม่ได้เป็นทองแท้ มั่นคงทนไฟ เหมือน “พ่อร้อยชั่ง” อย่างที่เขาร้องในเพลง “พระทอง” ซึ่งเป็นเพลงชมความหล่อของเจ้าบ่าว ที่ดูไปแล้วเนื้อตัว

เหมือนทำด้วยทองแท้...หนักถึงร้อยชั่ง

เพลง“พระทอง” นี้เป็นเพลงสำหรับพิธีแต่งงานในสมัยอยุธยา อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า ปัจจุบันเพลงไทยสำหรับการแต่งงาน มีชื่อเรียกรวมๆ อย่างน่ารักว่า “เพลงกล่อมหอ” ซึ่งเรามักจะได้ยินเขาเล่นเป็นชุดด้วยกันคือ ตับสามลาว ประกอบด้วย ลาวคำหอม ลาวดำเนินทราย ลาวดวงเดือน และตับวิวาห์พระสมุทร ซึ่งมีคลื่นกระทบฝั่ง บังใบ แขกสาหร่าย

สำหรับสื่อชายหญิงที่ผมเอ่ยมา เหมือนแค่รูปพรรณที่มีแค่กาไหล่ทองเคลือบไว้ ไม่ได้เป็นทองแท้ที่ไม่หลอมละลายโดยง่าย เพราะคนพวกนี้...

แค่ผมจุดไม้ขีดตรา “รัดทำมะนวย” แค่ก้านเดียวเท่านั้น...ก้านเดียวจริงๆ
ฮู้ยยยยยย.........กรี๊ดสนั่น กรั๊นสะหนีด กันดีจริงๆ เหลือเชื่อว่ะ!

แห่กันออกมาตีโพยตีพาย ร้องร่ำคร่ำครวญกันให้สนั่นลั่นเมือง ผมต้องยกมือขึ้นลูบอกรำพึงกับตัวเองว่า

“ทำไมพวกมัน บ้ากันได้ ถึงขนาดนี้ วะ!?"

สื่อธรรมดารายอื่นไม่เท่าไหร่ แต่ “มติชน” ที่เป็นสื่อใหญ่ น่าจะเป็นหลักที่พึ่งพาของราษฎรยามทุกข์ยากได้อย่างมั่นคง เหมือนเสาใหญ่ฝังรากยาวลึก ทนต่อดินน้ำลมไฟ หรือเมื่อชาติโดนอำนาจเถื่อน จากเผด็จการทหาร ที่ยกกันเข้ามาครอบครองบ้านเมืองโดยมิชอบ ทำลายล้างระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง นั้น

สื่อใหญ่อย่างมติชน เห็นอันตรายมาถึงชาติ ต้องโดดออกมานำพี่น้องประชาชน กระโจนใส่พวกเผด็จการอย่างหาญกล้า แล้วเปิดฉาก ทำสงครามน้ำหมึก...

...สู้รบกับไอ้พวกเผด็จการ ให้มันรู้ชั่วไปกันข้างหนึ่ง !

นั่นต่างหาก ที่มติชนพึงทำ และต้องทำ
แต่นี่อะไรกัน

กลับดันอ้าขาผวาปีก แอ่นอกออกรับแทนเผด็จการ ทั้งๆที่ผมแค่จุดไม้ขีดแค่ก้านเดียว เพื่อหาเหรียญประชาธิปไตยที่ตกหายไป แต่กลับทำเหมือนผมจะเผากรุงลงกา เอ๊ย กรุงเทพให้วอดไปทั้งเมือง แล้วลุกลามไหม้ไปทั้งประเทศ

ไม่ช่วยพี่น้องไทย และประชาธิปไตยของพวกเราแล้ว พวกท่านอยู่เฉยๆ ก็ยังไม่เป็นไร หรือไม่อยากมองเห็นการกระทำที่ไม่ชอบ แต่เพราะรับอามิสจากตำแหน่งหน้าที่ ของเจ้านายเผด็จการเข้าไปแล้ว ก็เพียงแต่โก้งโค้งตัวลง เอาหัวกบาลไปยัดลงตรงที่รูตูด เพื่อจะได้มีมีตาเอาไว้ ให้แหกมองความฉิบหายของบ้านเมืองอีกต่อไปเท่านั้น

ยังไม่มีใครเขาว่า...แต่กลับไม่ทำ

ยังดันเสือกทะลึ่งออกมาด่า คนที่เขาต่อสู้รบกับเผด็จการไม่ลดละ อย่างผมเข้าให้อีก

แน่ะ...ดูมันทำซิครับ

ไม่อายลูกหลาน หรืออายใจตัวเอง บ้างหรืออย่างไร!?

เอาแค่นี้เท่านั้น โต้ตอบกันพอเลือดซึมให้เหม็นปากเหม็นคอ อย่างนักเลงเมืองสุพรรณไม่ว่ากันยาว

ก็ใครจะปล่อยให้ชกข้างเดียว มีมือมีตีน เอ๊ย ปากกาเหมือนกันนี่..๕๕๕

คราวนี้จะขอเสริมเรื่อง “คำผวน” อีกสักหน่อย จะได้เอาไว้ให้ลูกหลานศึกษากัน เพราะผมยังทำหน้าที่ครูอยู่

ท่านทั้งหลาย อย่าได้นึกเอาว่า มีแต่คนไทยเราเท่านั้นที่มี “คำผวน” ในฐานะครูภาษาอังกฤษเก่าแก่ จะขออธิบายว่า ภาษาอังกฤษก็มี

ต้นตอของคำผวนภาษาอังกฤษมาจาก Professor William Archibald Spooner (ค.ศ. 1844-1930) จนเขาเรียกการผวนคำตามชื่อแกว่า

Spoonerism

ศาสตราจารย์สปูนเนอร์แกเป็นที่นับถือ แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ในยุคควีนวิคตอเรีย เพราะเป็นผู้ทรงภูมิซึ่งสอนวิชาประวัติศาสตร์ ศาสนา และปรัชญาอยู่ที่นั่น

ตามที่เล่ากัน ท่านสปูนเนอร์มีลักษณะของ “ศาสตราจารย์สติเฟื่อง” อย่างในหนังอยู่ไม่น้อย

ท่านเป็นตัวเล็กหัวโต ผิวซีด ตาสั้น และขี้หลงขี้ลืมเป็นที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นครูแท้ๆ

ฉลาดลึกซึ้ง เมตตากรุณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับพวกลูกศิษย์

ท่านศาสตราจารย์มักพูดเป็นคำผวน โดยไม่ได้ตั้งใจ จนกลายเป็นที่ขบขัน ของคนทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย

ครั้งหนึ่งท่านแกล้งไล่นักศึกษาขี้เกียจ แทนที่จะบอกว่าให้ไปพ้นๆ ขึ้นรถไฟไปเลย next train down (เน็กซ เทรน ดาวน์)

ท่านกลับพูดว่า
next town drain (เน็กซ์ ทาว เดรน) ซึ่งแปลได้ว่า (ไปลง)ท่อน้ำทิ้งที่เมืองถัดไป

หรือคราวท่านบอกผู้หญิงคนหนึ่งว่า เก้าอี้ในโบสถ์ (pew) มีคนจองอยู่แล้วแทนที่จะบอกว่า This pew is occupied (ดิส พยู อิส ออกคิวพายด์) กลับบอกว่า This pie is occupee (ดิส พาย อิส ออกคิวพี)

คนก็ฮากันไปเท่านั้น

อย่างตอนที่ท่านเรียกชื่อเพลงสวด Conquering Kings (คองเคอริง คิงส์) เป็น
Kinkering Congs (คิงเคอริง คองส์)

ขนาดพูดก่อนที่เขาจะสร้างหนัง ‘คิงคอง’...คนยังแอบฮากันตรึม

ที่ฮือฮากันสุดขีดทั่วอังกฤษ เหมือนกับรัดทำมะนวยดังในเมืองไทยตอนนี้ เป็นครั้งที่ท่านพบกับควีนวิคตอเรีย แล้วแทนที่จะพูดว่า

Dear old queen (เดียร์ โอลด์ ควีน) กลับพูดเป็น
Dean old queer (ดีน โอลด์ เควีย)

ซึ่งแปลได้ว่า “คณบดีเฒ่า ผู้พิลึกพิลั่น” ให้บังเอิญที่ตัวท่านศาสตราจารย์ ก็กำลังกินตำแหน่งคณบดีอยู่ด้วย (ในสมัยใหม่คำว่า queer แปลว่า “ตุ๊ด” ด้วย old queer จึงอ่านแปลได้ว่า “ไอ้ตุ๊ดเฒ่า”...แปลอย่างนี้ สะเทือนใจผู้เฒ่า หรือ ‘ป๋า’ คนไหนก็ต้องขออภัย)

เล่นเอาควีนทรงแย้มโอษฐ์ และทรงยิ้มออกมาแวบหนึ่ง
เป็นแว่บเดียว ในประวัติศาสตร์

เท่านี้คนอังกฤษโจษจันและให้ความเคารพนับถือท่านอย่างยิ่ง เหตุผลก็เพราะปกติ
ควีนวิคตอเรียนั้น ทรงเคร่งครัดเรื่องอะไรต่อมิอะไรต่างๆ จนคนอังกฤษแอบล้อว่าถ้อยคำที่ติดพระโอษฐ์มากที่สุดคือ

“We are not amused!”
หรือ “เราไม่เห็นขัน!”

โอโฮ...แม่เจ้าโวย

เก่งขนาดควีนวิคตอเรียผู้ทรงเคร่งครัด ยังแย้มพระสรวลกับคำผวนของท่านศาสตราจารย์

แล้วอย่างนี้ ผมจะไปรู้หรือว่า ท่านผู้ใหญ่ขวัญอ่อนในเมืองไทย แค่เห็น “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” เข้าเท่านั้น จะลุกขึ้นมาแหกปาก ประสานเสียงร้องเป็นคอรัส ว่า

“We are not amused!”

ไม่น่าเชื่อว่า กะอีแค่ปกหนังสือเล่มเล็กๆของผมเท่านั้น ขนาดคนเป็นผู้หลักบักใหญ่ของบ้านเมือง ยังเป็นไปได้ถึงเพียงนี้

แล้วต่อนี้ไป ขอให้เลิกพูดกันทีได้ไหมว่า

รัฐธรรมนูญเป็นของสูง ไม่ควรเอามาพูดสองแง่สองง่าม

อ้าว....แล้วไอ้เวรตะไลที่ไหน มันที่เอาของสูงที่ว่านั้น มาฉีกทิ้งเล่น จนป่วนไปทั้งประเทศอย่างนั้น

ไม่เห็นท่านทั้งหลาย ตามไปฟาดหัวฟาดหาง เอากับพวกมันเลย

ทำไมเพิ่งมาทำโกรธ ออกอาการกระตุ้งกระติ้ง จะเอาเรื่องกับ “รัดทำมะนวย” ในตอนนี้ กันล่ะ?

บอกตรงๆ เลยนะว่า ทำอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ก็เพราะได้เขียนก่อนมีรัฐธรรมนูญตั้งนาน และยังมีสภาพเป็น “วุ้น” ..รัดทำมะนวยด้วยซ้ำ

ดังนั้น ถ้าจะหาเรื่องเป็นคดีความกัน ขอบอกว่า เพื่อความสงบสุขของพวกท่านและครอบครัว ก็จงไปถามคนที่รู้จักผมดูก่อน

รับรองว่า สู้ขาดใจในทุกมิติ ไม่มีถอยหรือเลิกเด็ดขาด...ตายเป็นตาย!

ก็เตือนกันไว้แค่นี้ ถ้าไม่เชื่อ ลองดูก็ได้ ไม่เห็นมีอะไรขัดข้องนี่!!

ท่านผู้อ่านเคยสังเกตบ้างไหมครับว่า การผวนคำนี่เป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องในหัวของแต่ละคนนะครับ เช่นเดียวกับคำพระท่านว่ามันเป็น....

ปจฺจตฺตํ

แปลว่า “รู้ได้เฉพาะตน”

คือ ผวนในหัวกบาลของตัวเองจริง...และใครจะผวนก็ได้ หรือไม่ผวนก็ได้ บางคนผวนบ้างในบางครั้ง แต่บางคนผวนเอง ไม่เป็นเอาเลย ต้องให้คนอื่นผวนให้และอธิบายความให้ซ้ำอีก

มันไม่เหมือนกันจริงๆ

เหตุที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าคนเหล่านี้ได้รับการอบรมมาดีประการที่ ๑ ชีวิตเขาไม่ค่อยได้มีโอกาสเกลือกกลั้วกับของเสียของเน่า และของไม่ดีทั้งหลายจริงๆ เป็นประการที่ ๒ จึงไม่เข้าใจคำผวน ผมเคยเห็นแพทย์ระดับศาสตราจารย์

แต่กลับพูดคำผวน ไม่เป็นเอาเลยจริงๆ !
ผิดกับบางคนผวนเก่ง (อย่างคนแถวซอยละลายทรัพย์ ที่เคยได้ยินพวกเธอพูด) ได้ยินอะไรๆก็ผวนๆๆๆ วุ่นวายอยู่ในใจคนเดียว

...ดูอย่างเด็กเล็กๆ ที่หัวใจยังสะอาดอยู่
ถึงแกจะได้ยินอะไร...แกก็ไม่ผวน หรอกครับ !

ทั้งนี้เพราะผวนไม่เป็น ไม่เชื่อก็ลองไปพูด ให้เด็กสามสี่ขวบพูดตามซิว่า “รัดทำมะนวย หัวคูณ” ร้อยทั้งร้อย เด็กจะพูดตามอย่างซื่อๆ

รับรองได้ว่า
ไม่มีเด็กคนไหนจะผวนคำ...อย่างผู้ใหญ่...ใจสัปดน
ทำนองเดียวกัน กับที่รัฐบาลท่านออกมาบอก ว่า
“คนดี ไม่ขายเสียง”

พวกเราคงพูดได้ว่า
“คนหัวใจสะอาด...ก็ไม่ผวนคำ” หรือ “คนใจไม่สัปดน...ก็ไม่ผวนคำ”
ถูกหรือเปล่าครับ?
ผมคิดว่า ท่านต้องเห็นด้วยแหงๆอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะความสัปดน เป็นเรื่องส่วนตัวโดยแท้

วาทตะวันคนนี้ จะไปบอกว่าใครที่หนวย ว่า

“เอ็งต้องผวน เอ๊ย…ข้าฯ พูดแล้วเอ็งต้องผวน......ห้ามขัดคำสั่งเด็ดขาด!”
ผมบังคับท่าน ไม่ได้หรอกครับ ความคิดอยู่ในหัว ความคิดอยู่ในใจ
ใครก็บังคับ...ท่านไม่ได้!!

ดังนั้น การที่ท่านทั้งหลาย ที่ออกมาพูดจาต่อว่าต่อขานกันนั้น เห็นปกหนังสือผมแล้วท่านผวนคำฉับๆๆ อยู่ในใจ

จะแปลได้ไหมว่า
ฮะแอ้ม...ท่านนั้น...ใจสัปดน!

ไอ้ที่ผมใช้คำว่า “ผวนในใจ” นั้น ก็เพราะว่า...

...แต่ละท่านได้แต่ด่าทอต่อว่าต่อขาน ว่าถ้อยคำที่ผมใช้นั้นหยาบคาย เหลือกำลังลาก แต่...

ไม่ยักมีสักท่านเดียว ที่พูดออกมาว่าไอ้ที่หยาบนั้น เมื่อผวนแล้วกลายเป็นคำว่าอะไร!?

ปกหนังสือเขียนสองบรรทัด “รัดทำมะนวย” บรรทัดหนึ่ง “ฉบับหัวคูณ” อีกบรรทัดหนึ่งอย่างนี้ ผวนแยกกัน จาก “รัดทำมะนวย...ฉบับหัวคูณ” เป็น

“รวยทำมะนัด...ฉะบูนหัวขับ” ได้ไหม?

พับผ่า!!
เท่านี้...ก็จะไม่เป็นเรื่องหยาบโลนตรงไหนเลย...!!!

ผมสังเกตดู หลายท่านทั้งหญิงชาย (หญิงอย่างคลื่นซอยละลายทรัพย์ เก่งกว่าชายเสียอีกแน่ะ) ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มปัญญาชน ต่างคนก็ต่างใจ

แต่เอ๊ะ…
...ทำไมต่างคนต่าง ช่างผวนกันได้ แคล่วคล่องเป็นสามารถ

ติ๋งต่างว่าท่านผวนมาได้เป็นคำเดียวกัน หยาบคายหรือสัปดนเหมือนกัน ก็ออกน่าเลื่อมใสจริงๆ

อย่างนี้หรือเปล่าครับ ที่ฝรั่งเขาบอกว่า

Great minds think alike?

ผู้มีปัญญายิ่งใหญ่....มักจะคิดเหมือนๆกัน...
แต่นี่กลายเป็น

“ผู้มีปัญญายิ่งใหญ่ กลับใฝ่ใจเรื่อง...สัปดน” เหมือนๆกัน...๕๕๕...

บทกลอนในมติชนตั้งแต่ก่อนรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ จะร่างเสร็จ และได้ใจผมมากคือ

“ไอ้ขุนทองไม่มา
มาแต่ไอ้ขุนทวย
ช่วยกันร่างรัดทำมะนวย
ฉวยอำนาจประชาชน”


เห็นไหมครับว่าคุณชนะ ศรีมงคล เจ้าของบทประพันธ์ ท่านก็เรียก “รัดทำมะนวย” เหมือนกัน แถมยังเรียกผู้มาร่างรัดทำมะนวยว่า “ไอ้ขุนทวย” อีกด้วย

หากที่คุณชนะเขียนเป็นจริง เราก็เลยรู้ว่า “ไอ้ขุนทวย” ต่างหากที่ร่างรัดทำมะนวย ไม่ใช่...

ผมรู้สึกจั๊กจี้ กับสื่อหญิงชายที่ผวนได้แคล่วคล่อง แต่ที่จั๊กจี้มากที่สุดเห็นจะเป็น
คุณวิชา มหาคุณ ผู้พิพากษาศาลสูง ที่ปัจจุบัน ได้มาดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช.

ท่านให้สัมภาษณ์ออกความเห็นเรื่อง “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” ในวันศุกร์ที่ผ่านมาหยกๆว่า ช่างไม่เหมาะสม คนทำหนังสือเล่มนี้ต้องมีวุฒิภาวะต่ำอะไรเทือกนั้น

แต่ตัวท่านเองซึ่งควรจะมีวุฒิภาวะสูง เห็นปกหนังสือรัดทำมะนวยแล้ว ก็คงรีบร้อนผวนคำเร็วไปหน่อยกระมัง

...เลยติดอยู่แค่ปก เพราะยอมรับโต้งๆในประโยคต่อมาว่า
ยังไม่ได้อ่านเนื้อใน ของหนังสือเล่มนี้เลย !!!!

ฟังแล้วผมไม่เชื่อหูตัวเอง
นี่ขนาดคนเป็นผู้พิพากษา ยังตัดสินคนเขียน ทั้งๆที่ยังอ่านหนังสือไม่พ้นปก
เท่ากับว่า ท่านตัดสินหนังสือด้วยปก...

เขาว่า ท่านเป็น ‘นักเรียนนอก’ น่าจะต้องทราบดีกว่า ‘นักเรียนใน’ ว่า ฝรั่งเขาเตือนกันมาแต่ยุคโบราณเอาไว้หนักหนา คือ

Do not judge the book by its cover!

อย่างนี้ เวลาจำเลยที่รูปลักษณ์ไม่เข้าตาท่านมาสู่ศาล ยังไม่ทันไต่สวนสวนทวนความ สืบพยานกัน ท่านมิพิพากษาประหารชีวิตเขาไปเลยหรือครับ?

ผมนึกไม่ถึงว่า ตุลาการที่มีชื่อเสียงอย่างท่าน กลับลืม “หลักอินทภาษ” อันหมายถึง “โอวาทของพระอินทร์” ซึ่งเสด็จลงจากเทวโลก มาประทานคำสอนบรรดาตุลาการทั้งหลาย ในครั้งบรรพกาลว่า

ยามจะพิพากษาอรรถคดีทั้งปวง จะต้องทำตนให้ปลอดจากอคติทั้งสี่ คือ โมหาคติ(โง่) โทสาคติ(โกรธ) ฉันทาคติ(หลง/รัก) ภยาคติ(กลัว)

ลืมเสียแล้วทั้งสิ้น แม้กระทั่งหลักการของเทวดา ที่พวกนักเรียนกฎหมาย บอกผมเมื่อตรวจสอบไปว่า...ท่านเคยสอน ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเองด้วยซ้ำ...
อย่างนั้นหรือครับ...

...ถึงได้วินิจฉัยผม และงานของผมออกมาอย่างนี้?

ไม่ได้อยากพูดจาว่ากล่าว คนดีๆอย่างท่าน แต่เมื่อมากล่าวหากัน โดยไม่เบิ่งตาอ่านที่ผมเขียนนั้น ว่าอย่างไรเสียก่อน

จึงต้องขออนุญาตพูดจาว่ากล่าว และตักเตือนสติกันเอาไว้บ้าง
ถึงกระนั้นผมก็มองในแง่ดีว่า คุณวิชาฯท่านไม่ได้รังเกียจปกหนังสือหรอกแต่ที่ท่านว่าหยาบคายนั้นอาจจะเพราะพอท่านอ่านชื่อหนังสือปั๊บ ปุ่มในหัวท่านก็...

...แอ่นแอ๊น เปิดออกโดยอัตโนมัติ แล้วเสียงผวนก็ดังแบบไซเรนเสียงโหยหวน ก็แผดจนกึกก้อง ให้ได้ยิน...

เต็มหัวกบาล...ของท่านวิชาฯเองต่างหาก

จริงหรือ...ไม่จริงล่ะ!?

ยังไงๆ ผมก็ต้องเรียนว่า ผมไม่ทราบว่าพวกท่านที่โกรธผม ผวนหน้าปกหนังสือได้เป็นคำอะไร บอกกันบ้างได้ไหมเอ่ย?

สมมุติว่าเป็นคำสัปดน...ก็น่าเสียดายแทนอยู่
เพราะแทนที่ท่านจะ ยึดวลีทองของคุณประยูร จรรยาวงศ์ ว่า

“สัปดนวันละนิด จิตแจ่มใส”
ท่านก็กลับ
“สัปดนวันละนิด....จิตขุ่นมัว

ก่อนจะจบ ขอให้ท่านดูภาพการ์ตูน (ถ้าเขานำมาขึ้นให้ทัน) รูปคนแต่งเครื่องแบบตำรวจสมัยตำรวจก้าวเข้าสู่ระบบใหม่ หลังที่ ร.๕ ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน พอมาถึง ร.๖ เครื่องแบบก็พัฒนาไปเป้นอย่างภาพ

แต่ศีรษะตำรวจตามภาพ กลายเป็นรูปขวด คือกายเป็นตำรวจ แต่หัวเป็นขวด ซึ่งภาพนี้เป็นภาพฝีพระหัตถ์ล้อตำรวจ ด้วยพระราชอารมณ์ขัน ด้วยตำรวจนั้นยืนตรงเข้ายาม เหมือนกับขวดบรรจุของเหลว ไม่ว่ายาหรือน้ำ ถ้าวางเอาไว้เฉยๆ ก็ตั้งอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง จนกว่าจะมีการโยกย้าย

เปรียบดั่งตำรวจที่เคร่งครัดในการรักษาหน้าที่ ยืนยามแข็งขันไม่กระดุกกระดิก ทรงทอดพระเนตรดั่งนั้น ทรงใช้เป็นแบบวาดการ์ตูน ด้วยพระอารมณ์ขันอย่างที่ว่า ทั้งยังทรงมีพระราชหัตถเลขา บรรยายภาพว่า

“ตำรวย”

ดูซิครับ แม้แต่ในหลวงท่าน ยังทรง ‘ขัน’ กับคำผวนเลย

ฉะนั้น อย่าโกรธผมเลยครับ จงมาหัวเราะกันเป็นเรื่องขบขัน แบบไทยๆ กันดีกว่า หากพวกคุณคิดมาก แล้วผมจะทำยังไงกันดี?

ถ้าท่านยังย้ำคิดกันหนักแบบนี้ ต่อไปนักเขียน “มิลเลียนคลิก” อย่างผม คงจะไม่มีวันกล้า ที่จะเอาอะไรต่อมิอะไร มาต่อท้ายสุ่มสี่สุ่มห้า

เช่น จะบอกว่าชอบเล่นหวย ก็ไม่กล้า เพราะจะกลายเป็นนักเขียน...
“มิลเลียนคลิก...ผู้ชอบหวย”

จะชกมวยก็กลัวอีก กลัวจะกลายเป็น...
“มิลเลียนคลิก..ผู้เก่งมวย”

อะไรอย่างนี้ เป็นต้น
ถึงกระนั้น ผมยืนยันอย่างแข็งแรงว่า จะขอความกรุณาจากท่านผู้อ่าน ให้ยกเว้นเฉพาะ
“มิลเลียนคลิก...ผู้ชอบคนสวย” เท่านั้น

...เพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ...๕๕๕

เอาละ อย่าทะเลาะกันต่อไป มาสมานสามัคคีกันดีกว่า ในฐานะที่ท่านทั้งหลาย ที่มานั่งฟังผมพูดวันนี้ ทุกคนก็ต่างเป็น ‘คนหัวสัปดน’ เหมือนๆกันทั้งนั้น มานั่งร้องเพลงกับผมกันดีกว่า เพลงนี้ชื่อเพลง “ลมผวน” ขึ้นว่า....

ลมผวน...ชวนให้คิด (ฮือฮื้อ)...ถึงความหลัง
ภวังค์..(ฮือฮื่อฮื)...จิต..คิดขื่นขมระทมระทวย...”

(ใครฝีปาก และฝีมือกลอนดีๆ ลองต่อให้หน่อยซิครับ)

อารมณ์เย็นเมื่อไหร่ ผมจะขอเชิญท่านที่เอ่ยนามมาทั้งหมด ไปดูเพลงฉ่อยหรือฟัง
ลำตัดกัน......


ให้มันบันเทิง...หัวจายยยยย! (ไม่ใช่ ‘หัวคูณ’ นะ)

...๕๕๕...๕๕๕...๕๕๕...
กำลังโหลดความคิดเห็น