xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 312 ‘จมูกมด’... ‘สายสวรรค์ ขยันยิ่ง’ ถึงคน ‘หน้าโป๊กเกอร์’

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว นั่งดูรายการ ‘จมูกมด’ อยู่คนเดียว เพราะลูกพี่ของผมเข้ากรุงเทพไปตั้งแต่เมื่อวาน เลยขาดคู่ถกเถียง เรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองไป ทำให้เหงาไปหน่อย

ถึงกระนั้น ก็ยังรู้สึกดีๆ ที่บ้านเมืองของเรา ได้กลับมาอยู่ในบรรยากาศของการเลือกตั้ง อันเป็นสัญญาณว่า ระบอบประชาธิปไตยในประเทศ จะก้าวเดินในทางที่ควร ต่อไปได้

สังเกตเห็นผู้คน ที่เข้าไปร่วมในสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ในวันรับสมัครเลือกตั้งเมื่อสัปดาห์ก่อน ต่างพากันยิ้มแย้มแจ่มใส คึกคัก ส่วนพวกคอกาแฟตาม ‘โกปี๊เตี๊ยม’ หรือร้านกาแฟต่างจังหวัดนั้น ก็ดูจะอารมณ์ดีกันถ้วนหน้า ได้พูดจาสนทนาเรื่องการเมือง รวมทั้งเชียร์พรรคการเมืองที่ตัวเองชอบ แบบพรรคใครพรรคมัน สนุกสนานดีจริงๆ

ไม่เหมือนตอนอยู่ใน ‘บรรยากาศ-อัปรีย์’ ที่เหล่าเผด็จการ เข้าครอบงำบ้านเมือง ไอ้พวกนี้มันทำบาปหนัก พาชาติของเราตกต่ำลงไปเสียแทบทุกเรื่อง ให้อับอายชาวโลกเขายิ่งนัก

คนไทยเรา พากันหดหู่ใจเป็นที่สุด!

ารที่โทรทัศน์ทุกช่องแข่งขันกัน ในด้านการเสนอข่าวสารกับประชาชน เป็นผลดีสำหรับผู้สูงอายุ ที่ลุกขึ้นมาตั้งแต่ตอนดึกอย่างคนเขียน เพราะทุกวันนี้ตื่นตีสามประจำ ต้องเปิดดู CNN ทางเคเบิลก่อน

พอใกล้ตีห้า เปลี่ยนดูและฟังข่าวต่างประเทศ จาก คุณแคลร์ ปัจฉิมานนท์ (ผมเรียกเธอว่า “เรเน่ เซลเวเกอร์ (Renee Zellweger) –เมืองไทย”) ไม่เห็นหน้าสาวสวยคนนี้วันไหน

วันนั้น ก็ดูจะสดใสน้อยไปเลย...ฮั่นแน่!

พอได้เวลาหกโมงครึ่ง ก็ได้ดูรายการ ‘จมูกมด’ ที่มี คุณสายสวรรค์ ขยันยิ่ง,
คุณพิสิทธิ์ ‘หว่อง’ กีรติการกุล และคุณกนก รักวงษ์สกุล เป็นพิธีกรร่วม

สำหรับผมแล้ว รายการนี้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายดี เพราะฟังไปได้เรื่อยๆ ไม่หวือหวานัก เหมือนมีเพื่อนมานั่งคุยกันตอนเช้าๆ พอถึงวันศุกร์ มีคุณพิษณุ นิลกลัด มาร่วมรายการ ก็ได้รสชาติแปลกไปอีก เหมือนได้จิบกาแฟแบรนด์โปรด ในวันปลายสัปดาห์ อย่างนั้นเลยทีเดียว

ที่รู้สึกว่า ชอบดูรายการที่มีคุณสายสวรรค์ ไม่ใช่เพราะความสวยของพิธีกรคนนี้ เพราะหากจะว่าไปแล้ว คุณสายสวรรค์ เธอก็ไม่ได้ “เช้ง..เฉียบขาด!” แบบภาษานักเลงเขาเรียกกัน หรือสวยในองศาเดียวกับ

“สวย...จนหยด”

คือ ต้องถึงขนาดเห็นแล้ว ความสวยหยดรดหัวใจ จนสั่นริกๆ เหมือนจะขาดผึงไป ซึ่งอาการอย่างที่ว่ามานั้น บอกตรงๆว่า ในชีวิตเคยเกิดขึ้นกับตัวเองแค่ ๒ ครั้ง เท่านั้น

เพราะบังเอิญไปเจอะ คนสวยระเบิดระเบ้อเข้าให้!

ไม่น่าเชื่อว่า เห็นแล้วแข้งขาของตัวเอง เกิดอาการกระดิกกระดุก จนถึงกับกระตุก แล้วมันก็พาร่างกายเรา ให้ก้าวเดินตามสาวเจ้าไปเอง อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหมือนถูกมนต์สะกด พอได้สติก็สะดุ้ง เล่นเอาต้องภาวนา

“ยุบหนอ-พองหนอ”
กว่าจะสงบจิตใจลงได้ ต้องยุบๆพองๆยู่ตั้งนาน จนยวบยุบลงได้ ซึ่งกินเวลาพอควร
แหม...แค่นึกถึง ใจยังเต้นสั่น พองขึ้นมาอีกแล้ว...ดูซี่!...๕๕๕

คุณสายสวรรค์ฯนั้น เป็นผู้หญิงหน้าตาดีที่เก๋ไก๋ ที่เด่นมากคือ มีนัยน์ตาคู่สวยที่มีประกายกลิ้ง วะวับวาบอยู่วิ้งๆ

เหมือนใช้หยาดแม่คะนิ้ง มาหยดแทนยาหยอดตางาม ทั้งสองข้าง!...๕๕๕

หากแต่ดูจริงใจ...เห็นแล้วอบอุ่นดีจัง

มองแล้วให้ความรู้สึกราวกับ เธอเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ไม่ใช่หมู่บ้านจัดสรรกรุงเทพหรือชานเมืองนะ หากเป็นหมู่บ้านในต่างจังหวัด อย่างบ้านผมโน่น ซึ่งเราสามารถพูดคุยกันได้สนุกสนาน หรือฟังเธอคุยข้างเดียวได้อย่างเป็นกันเอง เหมือนเป็นญาติคนหนึ่งอย่างนั้นเลย

นอกจากนั้น ภาษากายของคุณสายสวรรค์ ขยันตลอด นั้น ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง เธอก็ระมัดระวังตลอดเหมือนความขยัน ไม่เผลอแยกแข้ง-แยกขา เหมือนผู้ร่วมรายการชาย อย่างมิสเตอร์หว่องหรืออีตากนกฯแต่อย่างใด โดยเฉพาะคนหลังนี่ ขอให้ท่านผู้อ่านลองสังเกตดูดีๆ

บางครั้งแกเผลอเข้า ก็ปล่อยตัวนั่งกระดิกขา เขย่ามือ คล้ายประสาทกระตุก ระริกๆ ให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่พอแกนึกขึ้นมาได้ ก็รีบปรับท่าทางทันที

แม้ไม่น่าเกลียดมาก แต่ก็ยังมองทัน จนจับได้!

ารที่คุณสายสวรรค์ สามารถวางท่าทางได้ดี ตลอดการออกรายการ ท่านผู้อ่านจะเห็นเธอนั่งหลังตรง เข่าติด ทำให้ต้นขาชิดกัน แล้วเบนปลายเท้า ให้เอียงไปด้านน้อยๆไปด้านหนึ่ง พอเมื่อย ก็เบนเปลี่ยนข้าง แต่มือไม้ยังวางบนหัวเข่าได้เหมาะเจาะ เรียกว่า

ดูเนียน...สวยไปทั้งหมด...นั้น
พอมีคนบอกว่า เธอเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนนาฏศิลป์ ของกรมศิลปากร ผมจึงไม่แปลกใจเลย เพราะตอนเป็นนายตำรวจใหม่ๆ ตัวเองก็เคยขี่มอเตอร์ไซด์ ไปดักดูนักเรียนสาวๆโรงเรียนนาฏศิลป์ข้างโรงละครแห่งชาติ

ได้สังเกตเห็นว่า

นักเรียนโรงเรียนนี้ เดินสวยงามน่าดูกันแทบจะทุกคน (ไม่เชื่อ ลองไปดูเอง) เพราะเธอเหล่านั้นได้รับการฝึกฝนมา ในเรื่องการเดิน การวางท่าทาง การจัดระเบียบกาย วิธีการวางมือไม้ต่างๆ ซึ่งโรงเรียนผู้หญิงอื่น ไม่ค่อยจะมีสอนกันสักเท่าใด เพราะแค่วิชาเรียนก็หนักพออยู่แล้ว แต่จำได้ว่า

โรงเรียนเก่าของคนเขียน คือมาแตร์เดอี วิทยาลัย (ผมเรียนตอนอยู่ชั้น KG) เมื่อครั้งยังมี finishing course อยู่ มีการฝึกสอนการเดิน มารยาทสังคมฯ ในหลักสูตรดังกล่าว ที่จำได้เพราะผู้ใหญ่ที่เคารพ เคยเรียนและถ่ายทอดให้ฟัง

ดังนั้น นักเรียนโรงเรียนนาฏศิลป์ ไม่ว่าจะตั้งในกรุงเทพ หรือต่างจังหวัด เดินเหินสวยแทบจะทั้งนั้น ไม่ต้องดูไกลหรอกครับ แค่เด็กที่ไปกำลังหัดเรียนเต้นรำ ซึ่งตอนนี้ก็พอมีอยู่หลายโรงเรียน ลองดูพวกที่ฝึกนานพอจะลงแข่งได้เท่านั้น

ท่าทางเดิน ก็จะสวยสง่าแทบทุกคน

ที่พูดอย่างนี้ได้ เพราะตัวคนเขียนเองเป็นนักเต้นรำ ถ้าไม่เป็นตำรวจ ป่านนี้คงจะไปเป็นนักเต้นรำอาชีพไปแล้ว เพราะตอนเป็นวัยรุ่น เคยลงแข่งมาก็หลายครั้ง ชนะก็หลายหน ส่วนจะเดินสวยหรือไม่ ตัวเองคงบอกไม่ถูกนัก แต่ที่พอจะเป็นเครื่องรับประกันได้ ก็คือ

การเป็นดรัมเมยอร์ ๒ โรงเรียน คือวชิราวุธ วิทยาลัยกับเตรียมทหาร ทั้งสองโรงเรียนก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างพอสมควร

ท่านผู้อ่าน...ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน (วันนี้ไม่ถล่มตัวเลย ...๕๕๕)

สำหรับโรงเรียนนายร้อยตำรวจนั้น ผมไม่ได้เป็นดรัมเมเยอร์ เพราะสถานศึกษาแห่งนี้เขาไม่มีวงโยธวาทิต เวลามีงานก็ใช้วงดนตรีของกรมตำรวจ นำขบวนกองเกียรติยศ อย่างที่เราได้เห็นกันแล้ว ในงานสาบานธงของเหล่าชาวสามพราน ทุกๆปี

ท่านผู้อ่านคงจะนึกว่า อีตา ‘วาทตะวัน’ นี่ช่างสังเกตจริงหนอ หรือไม่ก็ต้องเป็นพวกผู้ชาย “ช่างติ” แน่ๆ

ขอรับรองว่า ไม่ใช่อย่างที่เข้าใจ ทั้งนี้ก็เพราะ...

การที่เราเป็นนายตำรวจ ต้องรู้จักการอ่านท่าทาง ศึกษาเรื่องภาษากายของบุคคล รวมทั้งเรื่องการอ่านสีหน้า และต้องมีพื้นฐานทางจิตวิทยา สมัยผมนั้น เรียนกับอาจารย์หมออรุณ ภาคสุวรรณ จิตแพทย์ที่มีชื่อเสียง และเป็นผู้จุดประกายการรักษาโรคทางจิตในประเทศเรา ท่านเคยเป็นผู้อำนวยการ โรงพยาลสมเด็จเจ้าพระยาหลายปีทีเดียว

ผมเองสนใจในวิชานี้มาก ได้เรียนกับท่านถึง ๒ ปี ทีเดียว พอไปเรียนต่างประเทศยิ่งสนใจหนักขึ้น แม้จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังหมั่นค้นคว้าอยู่เสมอ

ความรู้เรื่องภาษากายนี้ ในโรงเรียนนายร้อยตำรวจสมัยที่ผมเรียน ยังไม่เป็นที่สนใจกันอย่างจริงจังมาก เพราะเป็นของใหม่ เพิ่งเริ่มการศึกษากันเท่านั้น แต่ต่อมาเมื่อผมสอบชิงทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ ก็สนใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น เพราะเมืองนอกเขามีให้เรียน

ครั้นได้กลับไปศึกษาต่อที่ FBI Academy พบว่า มีการเรียนเรื่องนี้กันเอาจริงเอาจังมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่สีหน้า และภาษากายเท่านั้น หากแต่ยังมีแม้กระทั่ง วิชาการอ่านลายมือลายเขียน แล้ววิเคราะห์สภาพจิต ตามลายมือที่ปรากฏ เช่น

ในกรณีเรียกค่าไถ่ หรือในกรณีจับตัวประกัน และคนร้ายไม่ยอมสื่อสารด้วยการโทรศัพท์เจรจากัน หากแต่ใช้ใช้การเขียนข้อความ ติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่

ดังนั้น ทีมเข้าแย่งชิงตัวประกัน ในชุดเจรจาต่อรอง นอกจากมีผู้เจรจาหลักแล้ว ยังต้องมีผู้เจรจารอง อีกทั้งในทีมยังต้องประกอบด้วยนักจิตวิทยา จิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ หมอ และจะต้องมี

นักอ่านลายมือ ประจำชุดเจรจานั้นอีกด้วย !

การอ่านสีหน้านั้น รับรองได้ว่า ตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนจากประสบการณ์ การทำงานมานานปีเข้า แค่สัมผัสกันเท่านั้น เราก็รู้แล้วว่า

ใครพูดจริง...หรือไม่จริง

ในเมืองไทย นักอ่านสีหน้าและภาษากาย ยังไม่เฟื่องฟู แต่ในประเทศระดับมหาอำนาจนั้น ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ เป็นที่ต้องการมาก แต่การเรียนไม่ใช่ศึกษาเอาจากตำราเท่านั้น หากต้องลงสนามปฏิบัติด้วย โดยควรจะต้องเป็น เจ้าหน้าที่ฝ่ายซักถาม หรือตำรวจ หรือเคยเป็นผู้สืบสวนและสอบสวนมาก่อนด้วย แล้วมาเรียนเพิ่มเติมเอา ในเรื่องนี้โดยเฉพาะ

ใครก็ตามถ้า ได้มีโอกาสไปเข้าหลักสูตร ‘การซักถาม’ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐ เขาจะมีวีดีโอ ที่ถ่ายทำจากการซักถามจริงๆ ให้ดูอากัปกริยาของผู้ต้องหา หรือผู้ถูกสอบปากคำ มาให้นักเรียนดูเป็นตัวอย่าง แล้วหัดวิเคราะห์กัน แต่นั่นแหละครับ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ และต้องสั่งสมประสบการณ์กัน จากการทำงานภาคสนามมาระยะเวลา นานพอควรด้วย!

วันนี้ จะขอเล่าเรื่องเจ้าหน้าที่ เอฟบีไอ. หรือ FBI Agent คนหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงในด้านนี้เป็นอย่างมาก ให้ฟังพอเป็นแนวทาง ทำความเข้าใจเรื่องนี้
จเซฟ ‘spy catcher’ นาวาโร
เอเย่นต์เก่าของ FBI ซึ่งทำภารกิจให้องค์กรผู้รักษากฎหมายแห่งสหรัฐ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่เป็น spy catcher หรือผู้จับกุม ‘สายลับ’ คือ นาย Joseph Navarro ผู้มีความสามารถในการระบุตัว หรือคนที่ทรยศต่อองค์กร ได้ด้วยวิธีการง่ายๆ

ทุกวันนี้ นาวาโรซึงเกษียณอายุจาก FBI แล้ว เขาใช้ประสบการณ์อันช่ำชองในด้านนี้ ไปใช้ในงานอาชีพใหม่ เพื่อถ่ายทอดกลเม็ดวิชาการนักสืบ ให้กับผู้ที่ประสงค์จะร่ำเรียนวิชาในการจับพิรุธคู่ปรับ เพื่อจะได้ก้าวไปสู่ชัยชนะ ในสงครามบนโต๊ะ

‘โป๊กเกอร์ !’

นาวาโรนักสืบมือดี ระดับอาจารย์ของสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ ได้ใช้สายตานักสืบของเขา ในการสังเกตดูอากัปกริยา สีหน้าของผู้ที่ถือไพ่ในโต๊ะโป๊กเกอร์ ซึ่งผู้เล่นได้แสดงกริยาต่างๆนาๆ เช่นการกัดริมฝีปาก หรือโยกศีรษะ เมื่อตัวเองไพ่ติดเสตรทฟลัช หรือตอนลักไก่

ยอดนักสืบ บอกว่า

“นักโป๊กเกอร์นั้น โกหกตอแหลตลอดเวลา บางคนก็ทำท่าเข้มแข็งเมื่อไพ่บนมือนั้นอ่อนยวบ ไม่มีอะไรเลย แต่บางครั้งก็ออกกริยาอาการป้อแป้ เมื่อไพ่ของตัวแข็งโป๊ก ความจริงเรื่องพวกนี้ มันอ่านกันได้ไม่ยาก ถึงแม้ว่าคุณจะมีโป๊กเกอร์เฟซ (Poker Face) หมายถึงใบหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความรู้สึกรู้สา แต่สำหรับผมแล้ว เคยเห็นแม้แต่คนที่มีร่างกายเป็น โป๊กเกอร์บอดี้ (Poker Body) ด้วยซ้ำไป”

ในโลกของโป๊กเกอร์นั้น สิ่งทีจะเปิดโปงออกมาโดยท่าทางนั้น เรียกกันว่า “Tells” หรือ “Poker tells” คือ อากัปกิริยาของผู้เล่น ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง ที่ส่อแสดงความมั่นอกมั่นใจ หรือท่าทาง ที่ทำเป็นเสมือนจะไม่สบาย หรือไม่สบอารมณ์ ก็สามารถบอกได้ว่า

คนนั้นกำลังจะถือไพ่ดี หรือเลวอย่างไร?

ความชำนาญในอาชีพแรกของนาวาโร คือ การเป็นผู้จับสปายหรือสายลับ หน้าที่นี้เองที่ทำให้เขาได้รับงานประจำในปัจจุบัน โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Instructor หรือผู้ฝึกสอน ในวิทยาลัยการโป๊กเกอร์ ที่มีชื่อว่า “ World Series of Poker Academy” ซึ่งเป็นแหล่งชุมนุม ของบรรดาเซียนโป๊กเกอร์ มือระดับโลกเลยทีเดียว

ตรงนี้ต้องบอกว่า เกมโปีกเกอร์ในสหรัฐนั้นกว้างขวางมาก ทั้งในระดับชาวบ้าน และอาชีพ คนอเมริกันสามัญทั่วไป มักมี ‘วันเล่นไพ่’ ซึ่งส่วนมากก็นิยมโป๊กเกอร์ โดยเล่นเอาความเพลิดเพลินในสังคม เอาเงินนิดหน่อยแบบเพื่อนฝูง ไปจนถึง

การเล่นได้เสียกันขนาดหนัก!

ขณะที่ยังปฏิบัติหน้าที่ อยู่ในหน่วยต่อต้านการจารกรรม ซึ่งนาวาโรทำมายาวนานกว่าหนึ่งในสี่ของศตวรรษ เอเย่นต์เอฟบีไอ.คนนี้ ได้รับการยกย่องจากสื่อทุกแขนงในสหรัฐว่า เป็นเจ้ายุทธจักร และสุดยอดในวิชาภาษากายและพฤติกรรมที่ไร้คำพูด หรือที่เรียกว่า

“non-verbal behavior”

นักสืบนาวาโรมีส่วนร่วม ในการสอบสวนปากคำ คดีจารกรรมทุกคดี ที่เกิดขึ้นในดินแดนสหรัฐ ตั้งแต่ปี ๑๙๙๓ ถึง ปี ๒๐๐๓ นับเป็นเวลายาวนานถึง ๑๐ ปีเต็มเลยทีเดียว ยากที่จะหาใครเสมอเหมือน รวมทั้งคดีดังระเบิดระบังอย่างคดี ของ Aldrich Ames และ Robert Hansen ด้วย

าวาโรไม่ได้เกิดในสหรัฐ แต่เขาเป็นผู้อพยพชาวคิวบา ติดตามผู้ปกครองเข้ามาในประเทศนี้ เมื่อปี ๑๙๖๑ หลังจากเหตุการณ์ยกพลขึ้นบก ของฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดี ฟิเดล คาสโตร ที่ Bay of Pigs หรืออ่าวหมู ที่ไม่ใช่หมูๆเหมือนชื่อ เพราะคนอเมริกันเชื้อสายคิวบา ที่ปฏิบัติการครั้งนั้น โดนการตั้งรับสุดตัวของคาโตร จนตายเป็นเบือ

เขาได้รับสัญชาติสหรัฐ เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี นักสืบชื่อดังคนนี้ รีไทร์จากเอฟบีไอ.เมื่อ ๒๐๐๓ แต่ยังคงสอนในสถาบันขององค์กรผู้รักษากฎหมาย และหน่วยงานข่าวกรอง ในวิชาที่ตัวเองจัดเจน คือการสอบสวนจารชนให้กับทั้ง FBI และ CIA ของสหรัฐ

เจ้าตัวบอกว่า

“เมื่อคุณมีความรู้สึกดี หรือถ้าไพ่ของคุณขึ้นมือมา อย่างดีเลิศประเสริฐศรี
มณีเด้ง ชนิดฆ่าผู้ร่วมวงคนอื่นได้ทุกมือ ร่างกายของคุณจะมีการแสดงออกให้เห็น ชัดเจนเหมือนรายการสินค้าที่พิมพ์ปรากฏในใบส่งสินค้า เลยทีเดียว...”

“...เท้าคุณจะสบาย กระดิกขึ้นลงคึกคัก เหมือนเด็กๆเต้นเริงร่าอยู่ในดีสนีย์แลนด์!”

นาวาโรกล่าว

“แต่ถ้าในทางกลับกัน เกิดไพ่ขึ้นมือมาเลวบรรลัยวายตลิ่ง ปากของคุณจะห่อเข้า จมูกกระตุก ตาทั้งคู่จะดูส่อนล่อกๆแล่กๆไปมา...”

และเสริมอีกว่า

“...คนเรานั้น ตาจะออกอาการไม่สามัคคีทันที เมื่อเราพบเห็นสิ่งที่เราไม่ชอบ เหมือนตาของคลิ้นท์ อีสต์วู้ด ตอนแสดงหนังคาวบอยตะวันตก ยังไงยังงั้น เลยทีเดียว ”

นาวาโรยังมั่นใจ ถึงขนาดกล้าระบุว่า

ต่อให้เป็นเซียนไพ่ ระดับเกจิด้วยซ้ำ เขาสามารถดูออกได้ ภายในไม่กี่นาทีเท่านั้น!

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ

เขียนเรื่องนาวโรแล้ว นึกถึงเมื่อครั้งยังทำหน้าที่สืบสวนสอบสวน ผมและเพื่อนที่มีฉายา “ผู้การเอลวิส ” เป็นอดีตผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ผู้มีรูปติดอยู่หลายมุมเมือง ตามโฆษณาต่อต้านยาเสพติด เพราะเจ้าตัวเป็นนายกสมคม ‘พลังแผ่นดิน’ องค์กรชาวบ้าน ที่เข้มแข็งมากในการต่อต้านยานรก มหาภัยตัวร้ายของชาติเรา

“ผู้การเอลวิส ” หรือ “เอลวิส-บางปะหัน” เป็นนักสืบนามกระเดื่องคนหนึ่งใน
ยุทธจักรนักสืบ

เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยทำงาน ผมเป็นอาจารย์สอนการสอบสวนคดีอาญา ส่วนเขาเป็นอาจารย์สอนการสืบสวน เราสองคนชอบไปนั่งที่ร้านไอศกรีมหลังโรงหนังสยาม ซึ่งทางร้านเขาใช้กระจกใสเป็นฝากั้น และสามารถมองทะลุออกไปได้

ระหว่างที่นั่งทานไอติมกัน ก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้ว่าง โดยแข่งกันประเมินผู้คนที่เดินผ่านมาตามบาทวิถี ซึ่งเราทั้งคู่เห็นผ่านกระจกนั้น เช่น

มาจากจังหวัดไหน?...ทำงานอะไร?... ดูการแต่งเนื้อแต่งตัว ท่าทาง สีหน้าแววตาแล้ว เขาหรือเธอในขณะนั้น กำลังจะมุ่งหน้า ไปทำอะไรในทิศทางไหน? ฯลฯ

หากคนที่เราหมายตา บังเอิญเข้ามาในร้านไอศกรีม ก็จะได้รายละเอียดมากขึ้น โดยดูจากสีหน้าท่าทาง อากัปกริยา ท่าทีรับประทานอาหาร เฝ้ามองอาการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย การพูดจาของเป้าหมายเรา กับเพื่อนของเขาหรือเธอที่มาด้วยกัน หรือบางครั้ง เราเก็บรายละเอียดได้แล้ว ก็มาลองทายกันต่อไปอีกว่า

เขาหรือเธอคนนั้น มีคุณภาพแค่ไหน มาจากชนชั้นใด หมายถึง class ที่เธอสังกัดอยู่นั้น ควรจะอยู่ลำดับ ไฮคลาส หรือ โลว์คลาส แค่ไหน?

หรือว่าเป็นของเทียม แบบ “คุณหญิงเก๊” ที่ถูกตำรวจ จับกุมไปเมื่อเร็วๆนี้

การลับสมองแบบนี้ ทำให้ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ทั้งความรู้ความชำนาญซึ่งกันและกัน และยังเพิ่มพูนความรู้ จากการยกเหตุผลขึ้นมาถกเถียงกัน เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายด้วย

ท่านผู้อ่านอาจไม่เชื่อ ว่า
ถ้าเห็นผู้หญิงนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ เพียงแค่ชำเลืองดูการจับตะเกียบของเธอเท่านั้น ผมก็บอกได้แล้วว่า สาวเจ้ามาจากครอบครัวที่อยู่ใน class ไหน?

ยิ่งเห็นตอนใช้มือส่งตะเกียบ คีบเส้นส่งเข้าปากตัวเอง หากได้มองเห็นตอนเคี้ยวแว่บเดียวเท่านั้น รับรองว่าทายผิด...ยากกกกกกกกส์

นี่เรื่องจริง ไม่ได้พูดเอาสนุกนะครับ...๕๕๕
แต่วิธีการจะ ‘ดู’ อย่างไรนั้น ถ้าแฟนๆคอลัมน์สนใจ คงต้องติดตามกันต่อไป

ความชำนาญอย่างนี้ ถ้าลองได้เห็นผู้คนนั่งจับกลุ่มพูดคุยกัน หรือมองผู้ที่ขึ้นเวทีแสดงปาฐกถา หรือสังเกตกิริยาอาการของนักการเมือง เวลาพวกเขาพูดจาออกทางโทรทัศน์ ฟังเพลินๆ ไปสักพักเดียว ไม่น่าจะเกิน ๑๐-๑๕ นาที เท่านั้น

ก็จะจับได้ แล้วครับ...ว่า
คนที่พูดอยู่นั้น มีความรู้ ในเรื่องที่ตัวกำลังพูดหรือไม่ ?
เขาพูดจาอย่างจริงใจ หรือว่า ยังมีสิ่งใดที่ยังซ่อนเร้น หลอกลวง ปิดบังเราผู้ฟังอยู่

ผู้พูดนั้น กล่าววาจาอย่างสัตย์ซื่อ หรือโกหกตอแหล!?

มันยังไงกันแน่นะ?...หากท่านเรียนรู้ศาสตร์นี้ แล้วมีโอกาสทำงานในสนาม อย่างที่ผมว่าไว้ สัก ๕ ปี ก็สามารถประเมินได้ ไม่ยากแล้วครับ!

เขียนมาถึงตรงนี้ หากท่านจะให้ผมตีค่า หรือประเมินราคา ตัวหัวหน้าคณะปฏิรูป อดีตประธาน คมช. จากคำพูดการที่แกไปแสดงในที่สาธารณะ หรือออกปรากฏตัวพูดจา กับประชาชนทางโทรทัศน์ อย่างที่เราได้เห็นกันแล้ว

ตัวผู้เขียนจะมีความเห็นส่วนตัว หรือจะวิพากษ์วิจารณ์ ออกมาให้ฟังกันได้อย่างไร?
ถามกันอย่างนี้...และต้องการคำตอบจริงๆ เห็นทีจะต้องตอบ ว่า...

...สำหรับอีตาบัง ที่ตอนนี้ดูไม่ค่อยจะ ‘บิ๊ก’ แล้วนั้น คงไม่ต้องถึงให้ระดับผู้การเอลวิส หรือเพื่อนของแก มานั่งตอบให้หรอกครับ

เพราะไม่ใช่ เรื่องยากเย็นอะไรเลยนี่!

เอาแค่หัวหน้าตำรวจตู้ยามธรรมดา หรืออย่างเก่งก็นายดาบตำรวจ มือระดับหัวหน้าสายสืบสถานีตำรวจตำบล เท่านั้น

ก็พอจะอ่านกันได้แล้ว...และคงอ่าน ‘ไม่ผิด’ หรอกครับ...๕๕๕!!

..............................
กำลังโหลดความคิดเห็น