เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว ออกจากบ้านไปรับประทานอาหาร กับเพื่อนรุ่นเด็กกว่า คือพวกนี้จะอยู่ในวัย ๔๐ กว่าปี สูงสุดก็ ๕๐ ปี เท่านั้น แต่เป็นพวกที่ทำงานในฐานะผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการเกือบทั้งหมด มีรับราชการอยู่เพียงคนเดียว โดยมีผมเป็นตัวชูโรงในการเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เขาฟัง
การที่ทำหน้าที่เป็นคนเขียนคอลัมน์ ทำให้พรรคพวกเขาพากันคิดว่า ผมคงอยู่ใกล้ชิดกับข้อมูล แต่ความจริงแล้ว ก็ไม่ได้มีมีข้อมูลดีกว่าคนอื่นสักเท่าใดนัก เพียงแต่ว่า หากมีการพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง หรือได้รับคำถาม ที่ตัวเองยังไม่ทราบคำตอบ แต่ด้วยการที่อยู่ในหน่วยที่ทำหน้าที่ข่าวกรองมานาน
ทำให้ผมรู้ว่า
ควรนำปัญหานี้ไปสอบถาม หรือค้นคว้าข้อมูลจากใคร เพราะเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันนั้น ก็มีผู้หลายคนที่เคยดำรงตำแหน่งระดับสูง ซึ่งผูกพันกับองค์กรต่างๆหลายสาขา และมีเพื่อนสนิทบางคน ที่เป็นมือข่าวกรองชั้นเยี่ยมของประเทศ แต่อยู่ในวงการอื่นที่ไม่ใช่ตำรวจ ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งสูงสุด ของฝ่ายข่าวกรองมาด้วย
เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี ของผมทั้งสิ้น!

พรรคพวกถามว่า ผมมีความเห็นอย่างไร ในเรื่องการยื่นญัตติขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาปัญหาด้านคุณธรรม และจริยธรรมในการบริหารงานของรัฐบาล อันเป็นตัวนายกรัฐมนตรี กรณีครอบครองที่ดินเขายายเที่ยงเป็นอาทิ นอกจากนั้นก็มีลูกกะโล่ของรัฐบาล ที่พลอยฟ้าพลอยฝน โดนหางเครื่องไปด้วย
ได้ตอบพรรคพวกไปว่า เป็นความไม่ฉลาดของผู้ยื่นญัตติ เพราะหากหารือกับผมก่อน จะไม่มีวันยอมให้ยื่นไป ขายหน้าชาวบ้าเขาเปล่าๆปลี้ๆเป็นอันขาด เพราะนอกจากผู้ยื่นและคณะไม่ได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นแล้ว ยังกลับทำให้ความเชื่อถือของพวกตัว ลดลงเสียด้วยซ้ำไป เพราะไม่มีลูกกระสุนหรือสะเก็ดตะกั่วเม็ดใด จากการอภิปรายเพียงเศษเสี้ยว ที่ทำความระคายเคืองให้กับเป้าหมายใหญ่ คือนายกรัฐมนตรีได้แม้แต่น้อย แต่จะกลับทำให้เจ้าของเขายายเที่ยงแมนชั่น เป็นฝ่ายได้คะแนนสงสารเข้าไปอีก
สาเหตุเป็นเพราะอะไรนั้น จะขอพูดให้ฟังกัน ดังต่อไปนี้
อยากให้ท่านผู้อ่าน ที่ไม่เคยทำงานเรื่องเกี่ยวกับ “ความเป็นธรรม” ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความเป็นธรรม ให้ความเป็นธรรม หรือนำความเป็นธรรมไปให้ชาวบ้านฯลฯ ต้องเข้าใจในคำที่เป็นนามธรรมเสียก่อน เพราะว่า
คำว่า “ความเป็นธรรม” นั้น ในความเห็นของผู้เขียนแล้ว แท้ที่จริงน่าจะ ขึ้นอยู่กับมุมมอง ของแต่ละบุคคล เป็นสำคัญ
นี่สำคัญมาก
นอกจากมุมมองที่บุคคลนั้นๆจะใช้เป็น ‘จุดดู’ หรือจุดเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างๆ ตัวของผู้ดูเอง ยังต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลายประการ เช่นข้อมูลที่ได้รับ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นของผู้มอง ภูมิหลัง ฐานะครอบครัวและสังคม ที่ผู้มองนั้นเติบโตขึ้นมา การศึกษา ศีลธรรมจรรยา อีกทั้งแนวความคิดทางการเมือง ฯลฯ แล้วนำมาประมวลลงและตัดสินใจว่าเรื่องนั้น
“จะเป็นธรรมหรือไม่?”
ขอยกตัวอย่างของจริง ที่ถึงกับนำไปเป็นประเด็น โต้เถียงกันในสภา แต่ทั้งฝ่ายผู้ยื่นญัตติ หรือรัฐมนตรีที่ออกมาเป็นกระบอกเสียงให้นายกฯ โดยนายกฯไม่ต้องพูดเองให้เจ็บคอ ไม่มีฝ่ายไหนเลย ที่จะพูดได้ถูกใจผม หรือเพียงพอที่จะทำให้ชาวบ้านเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่มีข้อสงสัยต่อไปอีก นั่นคือ
การที่ภริยานายก เข้าครอบครองที่ดินเขายายเที่ยงที่เป็นปัญหานั้น จะเป็นการผิดกฎหมายหรือไม่?
เรื่องนี้ ถ้าเราตรวจสอบดูหลักฐาน ที่ทั้งสองฝ่ายนำเสนอแล้ว ก็อาจมองได้ว่า
ที่ดินแปลงที่เป็นปัญหา และบริเวณใกล้เคียง แต่เดิมนั้นมีบุคคลเข้าไปบุกรุกแผ้วถางอยู่ก่อน และทางการอนุญาต ได้จัดให้ผู้บุกรุก ได้ทำกินในที่ดินแปลงดังกล่าว เพียงเสียภาษีบำรุงท้องที่ ตามแบบ ภบท.๕ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ภาษี-ดอกหญ้า’ นั้น ไม่สามารถใช้เป็นเอกสารสิทธิ์ ที่จะก่อ โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ์ได้แต่อย่างใด แต่ต่อมาก็มีการเปลี่ยนมือ โดยมีหลักฐานเพียงการรับรู้ของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ด้วยการเปลี่ยนชื่อผู้เสียภาษีตามแบบ ภบท.๕ เท่านั้น ซึ่งกฎหมายก็ไม่ถือเป็นสิทธิครอบครอง ไม่เข้าข่าย
“การได้มาตาม กฎหมายที่ดิน”
อย่างไรก็ตาม ทางราชการเรา ก็ได้แสดงการรับรู้ ถึงการครอบครองที่ดินของราษฎรบริเวณนั้น โดยมีการตัดถนนเข้าไปเพื่อการสัญจรไปมาของชาวบ้าน มีการต่อไฟฟ้าเข้าไปให้ใช้บ้านเรือนทุกหลัง และยังเดินท่อประปาเพื่อสุขอนามัย เป็นการอำนวยความสะดวกให้ตามสมควร ไม่ได้แตกต่างกับคนในเมืองเลย
ยิ่งกว่านั้น เมื่อมีการปลูกสร้างอาคารโดยชาวบ้านแล้ว ทางราชการก็ยังไปออกเลขที่บ้านให้เขาด้วย หากใครจะโยกย้ายเข้าไปอยู่ในบ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองก็จะออกหลักฐานทางทะเบียนราษฎร์ ให้เรียบร้อยด้วย
แล้วอย่างนี้...จะผิดกฎหมายหรือไม่?
ในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนมาก่อน ก็บอกได้ว่า เรื่องนี้หากจะค้นคว้าหาตัวผู้กระทำความผิดกันจริงๆ คนที่จะถูกตำรวจจับ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ “นายเบ้า” ผู้ครอบครองรายแรก ที่มีหลักฐานว่า เป็นผู้แผ้วฐานป่าเป็นคนแรกนั่นเอง แต่ผู้ครอบครองรายต่อๆมานั้น...
...ไม่ว่าผู้ที่จ่ายเงิน ๗ แสน ให้นายเบ้าและซื้อเป็นมือสอง หรือ นายทหารที่ซื้อต่ออีกจากมือสองอีกที ซึ่งได้จ่ายเงินค่าตอบแทนไป ๕ หมื่น (ซื้อได้ถูกดีจัง) และมาบอกว่า ขายต่อให้ภริยานายกฯ (แต่หลักฐานกลับบอกว่า ‘ยกให้’) และท่านผู้หญิงก็เสียภาษีบำรุงท้องที่ต่อไปนั้น...ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครป็นผู้บุกรุกเข้าไปแผ้วถางป่าแม้แต่คนเดียว
ถามว่า หากผมจะมองอย่างนี้แล้ว จะ “เป็นธรรม” หรือเป็นการ “ให้ความเป็นธรรม” กับนายกฯและภริยาแล้ว...ใช่หรือไม่?
ตอบได้เลยว่า ตามที่ผู้เขียนได้ลำดับ ให้ท่านผู้อ่านทราบทั้งหมดนั้น ล้วนแต่มีความเป็นเหตุเป็นผลทั้งสิ้น ยากที่ใครจะโต้แย้งได้ เพราะผมได้มองจาก ‘มุม’ ที่เอาตัวเองเป็นพนักงานสอบสวน ที่จะเอาผิดเฉพาะผู้ที่ “บุกรุก” เข้าไป “แผ้วถางป่า” เท่านั้น
จะไม่มีวันเอาผิด กับผู้ที่ครอบครองที่ดินถัดไป เพราะไม่ได้เป็นผู้บุกรุกแผ้วถางเอง!
ใช่แต่แค่นั้นนะครับ การที่รัฐรับรองอำนวยความสะดวก ให้กับผู้ที่ครอบครองที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านที่ไม่ใช่นายกฯ ไม่ว่า วัด มัสยิด รวมถึงการออกเลขบ้านให้ เหล่านี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า...
รัฐได้ยอมรับ ถึงการดำรงอยู่ ของชุมชนแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว!
ดังนั้น หากมองจากมุมนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับกระทำความผิดทางอาญา จะเห็นได้ว่า “เจตนา” ในการกระทำความผิด ของท่านผู้หญิงภริยาและตัวนายกฯ นั้น
ไม่มีอย่างแน่นอน!
อีกทั้งท่านนายกฯเองไม่ได้เป็นผู้มีชื่อ ในหลักฐานการซื้อ หรือครอบครองที่ดินแปลงปัญหา หากแต่เป็นภริยาท่านต่างหาก ที่เป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงนี้
ตรงนี้ นายกฯก็สบายไปอีก เพราะความผิดอาญา เป็นเรื่องเฉพาะตัว หากภริยาทำผิด ตำรวจก็ไปจับเอาตัวท่านผู้หญิงไปโรงพัก
จะไปลากเอาตัวนายกฯ ไปเป็นผู้ต้องหา ได้อย่างไรกันเล่า!?
นั่นเป็นมุมมอง และวิธีคิด สำหรับการให้ความเป็นธรรม เพียงแง่มุมหนึ่งเท่านั้น คือเป็นการมองแบบตำรวจพื้นที่ ซึ่งหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะพรรคพวกท่านนายกฯ ก็อยากให้ผู้คนทั้งหลาย มองกันเฉพาะแต่มุมนี้เท่านั้น
ซึ่งก็คิดกันได้...ไม่ผิดแต่อย่างใด
แต่หากให้คนเขียนคอลัมน์นี้ ไปเป็นคนอภิปรายแทนคุณประสงค์ฯ ที่แฟนๆต่างพากันผิดหวัง เพราะปราศรัยในสภาหน่อมแน้ม แห้งแล้ง ขาดอารมณ์เหลือกำลัง ไม่ได้ดุเดือดสมกับการร่ายรำ ตั้งท่า เงื้อง่าที่มีแต่ราคาคุย
ผมก็จะอภิปราย ด้วยการร่ายยาว ว่า
...การที่นายกฯ เคยใช้คำพูดว่า ที่ดินแปลงนี้มีความ “ก้ำกึ่ง” นั้น อยากจะถามว่า ท่านนายกฯพูดน่าเกลียดอย่างนั้น ได้อย่างไรกัน?
พูดอย่างนี้ ผมจะเหมาแปลเอาได้ว่า “ที่ดินแปลงนี้จะผิดหรือถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่นั้น มีความเป็นไปได้พอๆกัน” (แปลตามพจนานุกรมฯ)
คำว่าก้ำกึ่งเพียงคำเดียวเท่านั้น ก็เพียงพอที่จะเปิดช่อง ให้นักกฎหมายสมาชิก (เก่า) พรรคประชาธิปัตย์ อย่างนาย ปรีชา สุวรรณทัต ถึงกับตีปีก ถลันพรวดออกมาเขียนบทวิเคราะห์ข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องทันที ใน ‘มติชน’ รายวัน ฉบับประจำวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๔๙ โดยบอกว่า
“...คำรับของท่านพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ว่า เราก็ทราบดีว่าเป็นพื้นที่ที่ ‘ก้ำกึ่ง’คำพูดนี้จึงเป็นการปิดปาก ไม่ให้ท่านเถียงและแก้ตัวว่า ไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นป่าสงวนตามพระราชกฤษฎีกา เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๗...”
ไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้นนะครับ หากอยู่ในตำแหน่งคุณประสงค์ฟันงาม ผมยังจะถามต่อไปอีก ดังนี้
คนอย่างท่านนายกฯไม่รู้เลยหรือครับว่า ไอ้เจ้าเอกสาร ภบท.๕ นั้น ความมุ่งหมายของทางราชการ ให้เฉพาะชาวบ้านที่ ‘ยากจน’ ไม่มีที่ทำกิน ได้มีโอกาสเข้าไปทำมาหากิน ในที่ดินของรัฐ
เขาไม่ได้มีความประสงค์ ให้คนที่มีฐานะดี เข้าไปถือครองเป็นประโยชน์ส่วนตัวเลย คนรวยที่เข้าไปถือครองอย่างท่านนายกฯ นั้น
เป็นพวกที่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นใจคนจน!
จากนั้น ผมก็จะกระทุ้งหมัดเด็ดสวนตูมลงไปทันที...
“ศีลธรรมจรรยา ความรับผิดชอบชั่วดี หายไปไหนหมดครับ...ท่านนายก!!?”
ถ้าเจ้าของคฤหาสน์เขายายเที่ยง ปฏิเสธว่า “ผมไม่รู้” ในฐานะผู้อภิปราย จะย้อนถามกลับอีก ว่า
...ตอนที่ท่านนายกฯ ยังรับราชการอยู่กองทัพภาคที่ ๒ พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และใกล้เคียง อยู่ในความดูแลของกองทัพภาค ที่นายกฯเคยเป็น ‘แม่ทัพ’ และผิดชอบโดยตรง ซึ่งท่านมีทั้ง ฝ่าย สธ.๒ นายทหารแผนที่ นายทหารภูมิอากาศ เจ้าหน้าที่รวบรวมข่าวสารอีกแผงใหญ่ ทำหน้าที่วิเคราะห์พื้นที่ปฏิบัติการให้
ท่านไม่ทราบเลยหรือครับ ว่า
ที่ดินแปลงนี้เป็น ‘ป่า’ ซึ่งคนเป็นแม่ทัพอย่างท่าน มีหน้าที่ปกปักรักษาเอาไว้ ให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน สำหรับลูกไทยหลานไทยในวันข้างหน้า หรือให้คนจนได้อาศัยทำกิน สมดังความมุ่งหมายของทางราชการ
ทำไมกลับปล่อยให้ภริยาตัวเอง เข้าไปถือครองเป็นประโยชน์ตนเอง ได้ลงคออย่างนี้...
“ไม่รู้จัก ‘เกรงใจ’ ชาวบ้านตาดำๆบ้างเลย...หรือครับท่านนายก!?”...
ถามตรงๆอย่างนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าของยายเที่ยงแมนชั่น จะตอบคนถามเขาว่าอย่างไร?
ผมเองก็อยากรู้จริงๆ
ผู้อภิปรายอย่างผม จะขอย้ำว่า ที่ดินตาม ภบท.๕ นั้น ทางราชการให้เฉพาะชาวบ้านที่ยากจน ไม่มีที่ทางจะทำกิน เข้าไปครอบครองเพียงเพื่อทำมาหากินได้เท่านั้น รัฐไม่ได้มีความประสงค์ ที่ให้เศรษฐีร้อยล้านอย่างนายกฯกับภริยา เข้าไปครอบครอง และปลูกบ้านพักตากอากาศโก้หรู เสียเมื่อไหร่กัน?
แม้นายกฯจะบอกว่า ไม่ได้อาศัยอยู่เป็นประจำในบ้านหลังนั้น จึงไม่ได้มีเจตนาถือครองเป็นการถาวร หลวงเรียกคืนเมื่อไหร่ก็จะให้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องผิดอะไร
ถ้าคิดกันอย่างนี้แล้ว ถ้าฝรั่งมังค่าที่ฐานะดีและมีเมียเป็นคนไทย ก็จะอาศัยช่องนี้ อ้างเหตุผลเข้ามาครอบครองที่ดินเมืองไทยได้ เช่น
ให้เมียไทยเข้ามาครอบครองแทน เสียภาษีบำรุงท้องที่อย่างท่านผู้หญิง โดยบอกว่าไม่ได้อยู่ประจำ แค่หนีหนาวจากบ้านเขา เข้ามาอยู่ในบ้านเราปีละไม่กี่เดือน ซึ่งก็คงจะเอาอย่างผู้นำประเทศของเราได้ อย่างนี้เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าหากผมจะใช้ ‘มุม’ หลังนี้ มองกรณีนายกฯเขายายเที่ยง ซึ่งแตกต่างไปจากมุมแรก ที่ผมมองเข้าข้างคุณสุรยุทธิ์ฯแล้วบอกว่า “นี่คือความเป็นธรรมที่แท้จริง” ส่วนไอ้ที่ผมให้เหตุผลว่า
นายกฯไม่ได้มีความผิดอะไร ตามที่กล่าวอ้างมาท่อนแรกตั้งแต่ต้นนั้น นั่นไม่ใช่เรื่องความเป็นธรรมหรอก
ต้องเหตุผลอย่างหลังนี่ซิ ถึงจะเป็นธรรม ทั้งยังพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนด้วยว่า
นายกฯ บกพร่องในเรื่องคุณธรรม และขาดจริยธรรมของผู้นำ อย่างชัดเจน!
อรรถาธิบายมาทั้งหมด โดยสังเขปแล้ว ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า
กรณีอย่างเรื่องนายกฯเขายายเที่ยงนั้น ผมสามารถพูดได้ อย่างมีเหตุมีผลถึงสองแบบ ยากที่คนธรรมดาจะทำความเข้าใจ หรือชี้ได้ว่า เหตุผลอย่างแรกหรืออย่างหลัง ตามที่คนเขียนกล่าวอ้าง นั้น
เหตุผลอย่างไหน มันถูกต้องกันแน่!!
ต้องขอกราบเรียน กับท่านผู้อ่านว่า เรื่องของความเป็นธรรม แล้วแต่ ใครจะมอง และมองจากมุมไหนนั่นเอง แต่เรื่องที่ร้ายที่สุด ก็คือ
ความเป็นธรรมที่ขึ้นอยู่กับ การมองจากมุมที่เอื้อประโยชน์ ให้แต่กับพวกของตนเท่านั้น หรือ พูดให้กระชับและตรงไปตรงมา คือ
“ความเป็นธรรม...แล้วแต่ใครกำหนด” ...เท่านั้นจริงๆ!
ผมเรียบเรียงคำพูดอย่างนี้ ให้พรรคพวกรุ่นน้องฟัง เขาก็ถามสวนมาทันทีว่า
“พี่ครับ...ถ้าความเป็นธรรมแตกต่างกันเพราะมุมมองอย่างนี้ แล้วจะเอาอะไรมาวัดความเป็นธรรม กันเล่าครับ?”
ผมตอบเขาอย่างไม่ลังเลเลยว่า
“ก็ทำให้มัน ‘ยุติ’ เสียซิ!”
พวกเขามีสีหน้างุนงง เลยต้องเอื้อนเอ่ย อธิบายขยายความ ต่อไปอีกว่า
“เรื่องอย่างนี้ ไม่มีทางอื่นที่จะทำให้ยุติได้ ไม่ว่าจะตีฝีปากกันในสภา หรือเขย่ากันทางสื่อหรือหน้าหนังสือพิมพ์ แต่มันจะ ‘ยุติได้โดยธรรม’ ตามพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสั่งสอนคนไทยเรา”
นั่นคือ จะยุติได้ด้วย ‘กระบวนการยุติธรรม’ เท่านั้น!
.......................
หมายเหตุ การยุติโดยธรรม ด้วยกระบวนการยุติธรรมนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ซึ่งช้าและเนิ่นนานมากในความรู้สึกของผู้คน และกว่าจะถึงวันที่กระบวนการทั้งหลาย ดำเนินไปจนถึงขั้นยุติลงได้ นั้น
ตัวอย่าง ก็มีให้เห็นกัน อย่างที่พรรคการเมืองเก่ากะลา เอาที่ดินไปแจกให้พรรคพวกที่เป็นเศรษฐี ในสภาเขาก็อภิปรายทักท้วงกันหนัก แต่พวกนักการเมืองที่ไม่รู้จักอายทั้งหลาย ก็ไม่ยินยอม ต้องฟ้องร้องให้ลากไปจบกันชั้นศาลฎีกา กินเวลานานกว่าสิบปี
ชาวบ้านอาจลืมเรื่องราว ที่เกิดขึ้นในสภาไปแล้ว นึกเท่าไหร่ก็ไม่ออก หรือคนที่เป็นปัญหาวันนี้ ถึงวันที่กระบวนการยุติลง อาจตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว เพราะบางเรื่องกินเวลาพิพาทกันนานเกิดทศวรรษ
แต่ทุกเรื่อง จะจบได้ง่ายๆ
เพียงแค่คนที่เป็นตัวปัญหา หรือถ้าผู้ที่ถูกกล่าวหา เป็นชาวพุทธที่รู้จัก “หิริ-โอตตัปปะ” หรือเพียงแค่ “อายชั่ว-กลัวบาป” เท่านั้น
ก็ไม่เห็นต้องให้ใครมา...ยื่นญัตติให้ขายหน้าแต่อย่างใด
ปัญหาทุกอย่าง จะจบลงทันที...อย่างมีเกียรติด้วย!!
การที่ทำหน้าที่เป็นคนเขียนคอลัมน์ ทำให้พรรคพวกเขาพากันคิดว่า ผมคงอยู่ใกล้ชิดกับข้อมูล แต่ความจริงแล้ว ก็ไม่ได้มีมีข้อมูลดีกว่าคนอื่นสักเท่าใดนัก เพียงแต่ว่า หากมีการพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง หรือได้รับคำถาม ที่ตัวเองยังไม่ทราบคำตอบ แต่ด้วยการที่อยู่ในหน่วยที่ทำหน้าที่ข่าวกรองมานาน
ทำให้ผมรู้ว่า
ควรนำปัญหานี้ไปสอบถาม หรือค้นคว้าข้อมูลจากใคร เพราะเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันนั้น ก็มีผู้หลายคนที่เคยดำรงตำแหน่งระดับสูง ซึ่งผูกพันกับองค์กรต่างๆหลายสาขา และมีเพื่อนสนิทบางคน ที่เป็นมือข่าวกรองชั้นเยี่ยมของประเทศ แต่อยู่ในวงการอื่นที่ไม่ใช่ตำรวจ ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งสูงสุด ของฝ่ายข่าวกรองมาด้วย
เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี ของผมทั้งสิ้น!
พรรคพวกถามว่า ผมมีความเห็นอย่างไร ในเรื่องการยื่นญัตติขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาปัญหาด้านคุณธรรม และจริยธรรมในการบริหารงานของรัฐบาล อันเป็นตัวนายกรัฐมนตรี กรณีครอบครองที่ดินเขายายเที่ยงเป็นอาทิ นอกจากนั้นก็มีลูกกะโล่ของรัฐบาล ที่พลอยฟ้าพลอยฝน โดนหางเครื่องไปด้วย
ได้ตอบพรรคพวกไปว่า เป็นความไม่ฉลาดของผู้ยื่นญัตติ เพราะหากหารือกับผมก่อน จะไม่มีวันยอมให้ยื่นไป ขายหน้าชาวบ้าเขาเปล่าๆปลี้ๆเป็นอันขาด เพราะนอกจากผู้ยื่นและคณะไม่ได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นแล้ว ยังกลับทำให้ความเชื่อถือของพวกตัว ลดลงเสียด้วยซ้ำไป เพราะไม่มีลูกกระสุนหรือสะเก็ดตะกั่วเม็ดใด จากการอภิปรายเพียงเศษเสี้ยว ที่ทำความระคายเคืองให้กับเป้าหมายใหญ่ คือนายกรัฐมนตรีได้แม้แต่น้อย แต่จะกลับทำให้เจ้าของเขายายเที่ยงแมนชั่น เป็นฝ่ายได้คะแนนสงสารเข้าไปอีก
สาเหตุเป็นเพราะอะไรนั้น จะขอพูดให้ฟังกัน ดังต่อไปนี้
อยากให้ท่านผู้อ่าน ที่ไม่เคยทำงานเรื่องเกี่ยวกับ “ความเป็นธรรม” ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความเป็นธรรม ให้ความเป็นธรรม หรือนำความเป็นธรรมไปให้ชาวบ้านฯลฯ ต้องเข้าใจในคำที่เป็นนามธรรมเสียก่อน เพราะว่า
คำว่า “ความเป็นธรรม” นั้น ในความเห็นของผู้เขียนแล้ว แท้ที่จริงน่าจะ ขึ้นอยู่กับมุมมอง ของแต่ละบุคคล เป็นสำคัญ
นี่สำคัญมาก
นอกจากมุมมองที่บุคคลนั้นๆจะใช้เป็น ‘จุดดู’ หรือจุดเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างๆ ตัวของผู้ดูเอง ยังต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลายประการ เช่นข้อมูลที่ได้รับ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นของผู้มอง ภูมิหลัง ฐานะครอบครัวและสังคม ที่ผู้มองนั้นเติบโตขึ้นมา การศึกษา ศีลธรรมจรรยา อีกทั้งแนวความคิดทางการเมือง ฯลฯ แล้วนำมาประมวลลงและตัดสินใจว่าเรื่องนั้น
“จะเป็นธรรมหรือไม่?”
ขอยกตัวอย่างของจริง ที่ถึงกับนำไปเป็นประเด็น โต้เถียงกันในสภา แต่ทั้งฝ่ายผู้ยื่นญัตติ หรือรัฐมนตรีที่ออกมาเป็นกระบอกเสียงให้นายกฯ โดยนายกฯไม่ต้องพูดเองให้เจ็บคอ ไม่มีฝ่ายไหนเลย ที่จะพูดได้ถูกใจผม หรือเพียงพอที่จะทำให้ชาวบ้านเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่มีข้อสงสัยต่อไปอีก นั่นคือ
การที่ภริยานายก เข้าครอบครองที่ดินเขายายเที่ยงที่เป็นปัญหานั้น จะเป็นการผิดกฎหมายหรือไม่?
เรื่องนี้ ถ้าเราตรวจสอบดูหลักฐาน ที่ทั้งสองฝ่ายนำเสนอแล้ว ก็อาจมองได้ว่า
ที่ดินแปลงที่เป็นปัญหา และบริเวณใกล้เคียง แต่เดิมนั้นมีบุคคลเข้าไปบุกรุกแผ้วถางอยู่ก่อน และทางการอนุญาต ได้จัดให้ผู้บุกรุก ได้ทำกินในที่ดินแปลงดังกล่าว เพียงเสียภาษีบำรุงท้องที่ ตามแบบ ภบท.๕ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ภาษี-ดอกหญ้า’ นั้น ไม่สามารถใช้เป็นเอกสารสิทธิ์ ที่จะก่อ โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ์ได้แต่อย่างใด แต่ต่อมาก็มีการเปลี่ยนมือ โดยมีหลักฐานเพียงการรับรู้ของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ด้วยการเปลี่ยนชื่อผู้เสียภาษีตามแบบ ภบท.๕ เท่านั้น ซึ่งกฎหมายก็ไม่ถือเป็นสิทธิครอบครอง ไม่เข้าข่าย
“การได้มาตาม กฎหมายที่ดิน”
อย่างไรก็ตาม ทางราชการเรา ก็ได้แสดงการรับรู้ ถึงการครอบครองที่ดินของราษฎรบริเวณนั้น โดยมีการตัดถนนเข้าไปเพื่อการสัญจรไปมาของชาวบ้าน มีการต่อไฟฟ้าเข้าไปให้ใช้บ้านเรือนทุกหลัง และยังเดินท่อประปาเพื่อสุขอนามัย เป็นการอำนวยความสะดวกให้ตามสมควร ไม่ได้แตกต่างกับคนในเมืองเลย
ยิ่งกว่านั้น เมื่อมีการปลูกสร้างอาคารโดยชาวบ้านแล้ว ทางราชการก็ยังไปออกเลขที่บ้านให้เขาด้วย หากใครจะโยกย้ายเข้าไปอยู่ในบ้าน เจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองก็จะออกหลักฐานทางทะเบียนราษฎร์ ให้เรียบร้อยด้วย
แล้วอย่างนี้...จะผิดกฎหมายหรือไม่?
ในฐานะที่ผมเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนมาก่อน ก็บอกได้ว่า เรื่องนี้หากจะค้นคว้าหาตัวผู้กระทำความผิดกันจริงๆ คนที่จะถูกตำรวจจับ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ “นายเบ้า” ผู้ครอบครองรายแรก ที่มีหลักฐานว่า เป็นผู้แผ้วฐานป่าเป็นคนแรกนั่นเอง แต่ผู้ครอบครองรายต่อๆมานั้น...
...ไม่ว่าผู้ที่จ่ายเงิน ๗ แสน ให้นายเบ้าและซื้อเป็นมือสอง หรือ นายทหารที่ซื้อต่ออีกจากมือสองอีกที ซึ่งได้จ่ายเงินค่าตอบแทนไป ๕ หมื่น (ซื้อได้ถูกดีจัง) และมาบอกว่า ขายต่อให้ภริยานายกฯ (แต่หลักฐานกลับบอกว่า ‘ยกให้’) และท่านผู้หญิงก็เสียภาษีบำรุงท้องที่ต่อไปนั้น...ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครป็นผู้บุกรุกเข้าไปแผ้วถางป่าแม้แต่คนเดียว
ถามว่า หากผมจะมองอย่างนี้แล้ว จะ “เป็นธรรม” หรือเป็นการ “ให้ความเป็นธรรม” กับนายกฯและภริยาแล้ว...ใช่หรือไม่?
ตอบได้เลยว่า ตามที่ผู้เขียนได้ลำดับ ให้ท่านผู้อ่านทราบทั้งหมดนั้น ล้วนแต่มีความเป็นเหตุเป็นผลทั้งสิ้น ยากที่ใครจะโต้แย้งได้ เพราะผมได้มองจาก ‘มุม’ ที่เอาตัวเองเป็นพนักงานสอบสวน ที่จะเอาผิดเฉพาะผู้ที่ “บุกรุก” เข้าไป “แผ้วถางป่า” เท่านั้น
จะไม่มีวันเอาผิด กับผู้ที่ครอบครองที่ดินถัดไป เพราะไม่ได้เป็นผู้บุกรุกแผ้วถางเอง!
ใช่แต่แค่นั้นนะครับ การที่รัฐรับรองอำนวยความสะดวก ให้กับผู้ที่ครอบครองที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านที่ไม่ใช่นายกฯ ไม่ว่า วัด มัสยิด รวมถึงการออกเลขบ้านให้ เหล่านี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า...
รัฐได้ยอมรับ ถึงการดำรงอยู่ ของชุมชนแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว!
ดังนั้น หากมองจากมุมนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับกระทำความผิดทางอาญา จะเห็นได้ว่า “เจตนา” ในการกระทำความผิด ของท่านผู้หญิงภริยาและตัวนายกฯ นั้น
ไม่มีอย่างแน่นอน!
อีกทั้งท่านนายกฯเองไม่ได้เป็นผู้มีชื่อ ในหลักฐานการซื้อ หรือครอบครองที่ดินแปลงปัญหา หากแต่เป็นภริยาท่านต่างหาก ที่เป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงนี้
ตรงนี้ นายกฯก็สบายไปอีก เพราะความผิดอาญา เป็นเรื่องเฉพาะตัว หากภริยาทำผิด ตำรวจก็ไปจับเอาตัวท่านผู้หญิงไปโรงพัก
จะไปลากเอาตัวนายกฯ ไปเป็นผู้ต้องหา ได้อย่างไรกันเล่า!?
นั่นเป็นมุมมอง และวิธีคิด สำหรับการให้ความเป็นธรรม เพียงแง่มุมหนึ่งเท่านั้น คือเป็นการมองแบบตำรวจพื้นที่ ซึ่งหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะพรรคพวกท่านนายกฯ ก็อยากให้ผู้คนทั้งหลาย มองกันเฉพาะแต่มุมนี้เท่านั้น
ซึ่งก็คิดกันได้...ไม่ผิดแต่อย่างใด
แต่หากให้คนเขียนคอลัมน์นี้ ไปเป็นคนอภิปรายแทนคุณประสงค์ฯ ที่แฟนๆต่างพากันผิดหวัง เพราะปราศรัยในสภาหน่อมแน้ม แห้งแล้ง ขาดอารมณ์เหลือกำลัง ไม่ได้ดุเดือดสมกับการร่ายรำ ตั้งท่า เงื้อง่าที่มีแต่ราคาคุย
ผมก็จะอภิปราย ด้วยการร่ายยาว ว่า
...การที่นายกฯ เคยใช้คำพูดว่า ที่ดินแปลงนี้มีความ “ก้ำกึ่ง” นั้น อยากจะถามว่า ท่านนายกฯพูดน่าเกลียดอย่างนั้น ได้อย่างไรกัน?
พูดอย่างนี้ ผมจะเหมาแปลเอาได้ว่า “ที่ดินแปลงนี้จะผิดหรือถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่นั้น มีความเป็นไปได้พอๆกัน” (แปลตามพจนานุกรมฯ)
คำว่าก้ำกึ่งเพียงคำเดียวเท่านั้น ก็เพียงพอที่จะเปิดช่อง ให้นักกฎหมายสมาชิก (เก่า) พรรคประชาธิปัตย์ อย่างนาย ปรีชา สุวรรณทัต ถึงกับตีปีก ถลันพรวดออกมาเขียนบทวิเคราะห์ข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องทันที ใน ‘มติชน’ รายวัน ฉบับประจำวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๔๙ โดยบอกว่า
“...คำรับของท่านพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ว่า เราก็ทราบดีว่าเป็นพื้นที่ที่ ‘ก้ำกึ่ง’คำพูดนี้จึงเป็นการปิดปาก ไม่ให้ท่านเถียงและแก้ตัวว่า ไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นป่าสงวนตามพระราชกฤษฎีกา เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๗...”
ไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้นนะครับ หากอยู่ในตำแหน่งคุณประสงค์ฟันงาม ผมยังจะถามต่อไปอีก ดังนี้
คนอย่างท่านนายกฯไม่รู้เลยหรือครับว่า ไอ้เจ้าเอกสาร ภบท.๕ นั้น ความมุ่งหมายของทางราชการ ให้เฉพาะชาวบ้านที่ ‘ยากจน’ ไม่มีที่ทำกิน ได้มีโอกาสเข้าไปทำมาหากิน ในที่ดินของรัฐ
เขาไม่ได้มีความประสงค์ ให้คนที่มีฐานะดี เข้าไปถือครองเป็นประโยชน์ส่วนตัวเลย คนรวยที่เข้าไปถือครองอย่างท่านนายกฯ นั้น
เป็นพวกที่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นใจคนจน!
จากนั้น ผมก็จะกระทุ้งหมัดเด็ดสวนตูมลงไปทันที...
“ศีลธรรมจรรยา ความรับผิดชอบชั่วดี หายไปไหนหมดครับ...ท่านนายก!!?”
ถ้าเจ้าของคฤหาสน์เขายายเที่ยง ปฏิเสธว่า “ผมไม่รู้” ในฐานะผู้อภิปราย จะย้อนถามกลับอีก ว่า
...ตอนที่ท่านนายกฯ ยังรับราชการอยู่กองทัพภาคที่ ๒ พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่และใกล้เคียง อยู่ในความดูแลของกองทัพภาค ที่นายกฯเคยเป็น ‘แม่ทัพ’ และผิดชอบโดยตรง ซึ่งท่านมีทั้ง ฝ่าย สธ.๒ นายทหารแผนที่ นายทหารภูมิอากาศ เจ้าหน้าที่รวบรวมข่าวสารอีกแผงใหญ่ ทำหน้าที่วิเคราะห์พื้นที่ปฏิบัติการให้
ท่านไม่ทราบเลยหรือครับ ว่า
ที่ดินแปลงนี้เป็น ‘ป่า’ ซึ่งคนเป็นแม่ทัพอย่างท่าน มีหน้าที่ปกปักรักษาเอาไว้ ให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน สำหรับลูกไทยหลานไทยในวันข้างหน้า หรือให้คนจนได้อาศัยทำกิน สมดังความมุ่งหมายของทางราชการ
ทำไมกลับปล่อยให้ภริยาตัวเอง เข้าไปถือครองเป็นประโยชน์ตนเอง ได้ลงคออย่างนี้...
“ไม่รู้จัก ‘เกรงใจ’ ชาวบ้านตาดำๆบ้างเลย...หรือครับท่านนายก!?”...
ถามตรงๆอย่างนี้ ไม่รู้ว่าเจ้าของยายเที่ยงแมนชั่น จะตอบคนถามเขาว่าอย่างไร?
ผมเองก็อยากรู้จริงๆ
ผู้อภิปรายอย่างผม จะขอย้ำว่า ที่ดินตาม ภบท.๕ นั้น ทางราชการให้เฉพาะชาวบ้านที่ยากจน ไม่มีที่ทางจะทำกิน เข้าไปครอบครองเพียงเพื่อทำมาหากินได้เท่านั้น รัฐไม่ได้มีความประสงค์ ที่ให้เศรษฐีร้อยล้านอย่างนายกฯกับภริยา เข้าไปครอบครอง และปลูกบ้านพักตากอากาศโก้หรู เสียเมื่อไหร่กัน?
แม้นายกฯจะบอกว่า ไม่ได้อาศัยอยู่เป็นประจำในบ้านหลังนั้น จึงไม่ได้มีเจตนาถือครองเป็นการถาวร หลวงเรียกคืนเมื่อไหร่ก็จะให้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องผิดอะไร
ถ้าคิดกันอย่างนี้แล้ว ถ้าฝรั่งมังค่าที่ฐานะดีและมีเมียเป็นคนไทย ก็จะอาศัยช่องนี้ อ้างเหตุผลเข้ามาครอบครองที่ดินเมืองไทยได้ เช่น
ให้เมียไทยเข้ามาครอบครองแทน เสียภาษีบำรุงท้องที่อย่างท่านผู้หญิง โดยบอกว่าไม่ได้อยู่ประจำ แค่หนีหนาวจากบ้านเขา เข้ามาอยู่ในบ้านเราปีละไม่กี่เดือน ซึ่งก็คงจะเอาอย่างผู้นำประเทศของเราได้ อย่างนี้เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าหากผมจะใช้ ‘มุม’ หลังนี้ มองกรณีนายกฯเขายายเที่ยง ซึ่งแตกต่างไปจากมุมแรก ที่ผมมองเข้าข้างคุณสุรยุทธิ์ฯแล้วบอกว่า “นี่คือความเป็นธรรมที่แท้จริง” ส่วนไอ้ที่ผมให้เหตุผลว่า
นายกฯไม่ได้มีความผิดอะไร ตามที่กล่าวอ้างมาท่อนแรกตั้งแต่ต้นนั้น นั่นไม่ใช่เรื่องความเป็นธรรมหรอก
ต้องเหตุผลอย่างหลังนี่ซิ ถึงจะเป็นธรรม ทั้งยังพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนด้วยว่า
นายกฯ บกพร่องในเรื่องคุณธรรม และขาดจริยธรรมของผู้นำ อย่างชัดเจน!
อรรถาธิบายมาทั้งหมด โดยสังเขปแล้ว ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า
กรณีอย่างเรื่องนายกฯเขายายเที่ยงนั้น ผมสามารถพูดได้ อย่างมีเหตุมีผลถึงสองแบบ ยากที่คนธรรมดาจะทำความเข้าใจ หรือชี้ได้ว่า เหตุผลอย่างแรกหรืออย่างหลัง ตามที่คนเขียนกล่าวอ้าง นั้น
เหตุผลอย่างไหน มันถูกต้องกันแน่!!
ต้องขอกราบเรียน กับท่านผู้อ่านว่า เรื่องของความเป็นธรรม แล้วแต่ ใครจะมอง และมองจากมุมไหนนั่นเอง แต่เรื่องที่ร้ายที่สุด ก็คือ
ความเป็นธรรมที่ขึ้นอยู่กับ การมองจากมุมที่เอื้อประโยชน์ ให้แต่กับพวกของตนเท่านั้น หรือ พูดให้กระชับและตรงไปตรงมา คือ
“ความเป็นธรรม...แล้วแต่ใครกำหนด” ...เท่านั้นจริงๆ!
ผมเรียบเรียงคำพูดอย่างนี้ ให้พรรคพวกรุ่นน้องฟัง เขาก็ถามสวนมาทันทีว่า
“พี่ครับ...ถ้าความเป็นธรรมแตกต่างกันเพราะมุมมองอย่างนี้ แล้วจะเอาอะไรมาวัดความเป็นธรรม กันเล่าครับ?”
ผมตอบเขาอย่างไม่ลังเลเลยว่า
“ก็ทำให้มัน ‘ยุติ’ เสียซิ!”
พวกเขามีสีหน้างุนงง เลยต้องเอื้อนเอ่ย อธิบายขยายความ ต่อไปอีกว่า
“เรื่องอย่างนี้ ไม่มีทางอื่นที่จะทำให้ยุติได้ ไม่ว่าจะตีฝีปากกันในสภา หรือเขย่ากันทางสื่อหรือหน้าหนังสือพิมพ์ แต่มันจะ ‘ยุติได้โดยธรรม’ ตามพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงสั่งสอนคนไทยเรา”
นั่นคือ จะยุติได้ด้วย ‘กระบวนการยุติธรรม’ เท่านั้น!
.......................
หมายเหตุ การยุติโดยธรรม ด้วยกระบวนการยุติธรรมนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ซึ่งช้าและเนิ่นนานมากในความรู้สึกของผู้คน และกว่าจะถึงวันที่กระบวนการทั้งหลาย ดำเนินไปจนถึงขั้นยุติลงได้ นั้น
ตัวอย่าง ก็มีให้เห็นกัน อย่างที่พรรคการเมืองเก่ากะลา เอาที่ดินไปแจกให้พรรคพวกที่เป็นเศรษฐี ในสภาเขาก็อภิปรายทักท้วงกันหนัก แต่พวกนักการเมืองที่ไม่รู้จักอายทั้งหลาย ก็ไม่ยินยอม ต้องฟ้องร้องให้ลากไปจบกันชั้นศาลฎีกา กินเวลานานกว่าสิบปี
ชาวบ้านอาจลืมเรื่องราว ที่เกิดขึ้นในสภาไปแล้ว นึกเท่าไหร่ก็ไม่ออก หรือคนที่เป็นปัญหาวันนี้ ถึงวันที่กระบวนการยุติลง อาจตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว เพราะบางเรื่องกินเวลาพิพาทกันนานเกิดทศวรรษ
แต่ทุกเรื่อง จะจบได้ง่ายๆ
เพียงแค่คนที่เป็นตัวปัญหา หรือถ้าผู้ที่ถูกกล่าวหา เป็นชาวพุทธที่รู้จัก “หิริ-โอตตัปปะ” หรือเพียงแค่ “อายชั่ว-กลัวบาป” เท่านั้น
ก็ไม่เห็นต้องให้ใครมา...ยื่นญัตติให้ขายหน้าแต่อย่างใด
ปัญหาทุกอย่าง จะจบลงทันที...อย่างมีเกียรติด้วย!!