เช้าวันนี้...จิบกาแฟขม ฟังข่าวพระภิกษุพม่าประท้วงรัฐบาลแล้ว ก็จัดข้าวของเพื่อเตรียมไปใส่บาตรพระสงฆ์ เหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติมาทุกวัน ซึ่งทำมานมนานแล้ว หากวันใดไม่ได้เห็นพระสงฆ์ห่มจีวรสีเหลือง เสมือนสีธงชัยของพระศาสนา ออกมาโปรดสัตว์ตามกิจของท่านยาวอรุณรุ่งแล้ว รู้สึกว่าวันนั้น จะเป็นวันที่ไม่สมบูรณ์เอาเลยทีเดียว
เมื่อไม่นานมานี้ ก่อนออกไปใส่บาตรพระสงฆ์ ดูข่าวตอนเช้าของช่อง ๓ ฟังผู้ดำเนินรายการข่าว ตอนตี ๔ อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ กรณีพระภิกษุสงฆ์ประพฤติไม่เหมาะสมด้วยสมณะสารูป แถมยกภาพในหนังสือโชว์ผู้ชมด้วย ทำให้รู้สึกคลื่นเหียนวิงเวียนขึ้นมาทันที
ความจริงนั้น...น่าจะเข้าใจว่า
พระสงฆ์นั้นก็เป็นลูกชาวบ้าน ทำความผิดได้ไม่ต่างไปจากคนทั่วไป แต่เมื่อหนังสือพิมพ์ก็ลง วิทยุก็ออกข่าวแล้ว โทรทัศน์ก็ไม่เห็นจำเป็น ต้องนำข่าวเดียวกันมาอ่านซ้ำ แถมยังยกรูปภาพโชว์ให้ทุเรศด้วย ทั้งๆที่เป็นข่าวของหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่ข่าวที่สถานีโทรทัศน์ที่โฆษกนั้นสังกัดอยู่ จัดทีมงานไปหาข่าวมาเองเสียเมื่อไหร่กัน ซึ่งเป็นการกระทำละเมิดหนังสือพิมพ์เขาชัดเจน เพียงแต่บ้านเรานั้น ยังไม่มีการฟ้องร้อง เอาเป็นคดีตัวอย่างกันเท่านั้น
ใช่แต่แค่นั้น ลอกข่าวรอบแรกตี ๔ เท่านั้นยังไม่พอ ตอนหกโมงสิบห้า นำข่าวเดียวกันมาออกรายการ “เรื่องเก่าเช้านี้” ใส่สีตีไข่ ใส่ข่าวเก่าๆกันอีกรอบ...เป็นอย่างนั้นไป
การนำข่าวไม่เป็นมงคล และเป็นความเศร้าหมองสำหรับชาวพุทธ มาเสนอในเวลาดีๆอย่างในตอนเช้าๆ ยามที่พุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อย เพิ่งจะตื่นกันมา และกำลังสาละวนจัดเตรียมข้าวของ จะไปใส่บาตรทำบุญกันนั้น ในความเห็นส่วนตัวของผม
มันเป็นเรื่อง...ไม่เข้าท่าจริงๆ!
การที่มีพระสงฆ์ละเมิดพระวินัยมากขึ้น เป็นเหตุให้หลายคนคิดว่า การ ‘บวช’ เป็นพระในบ้านเรานั้น ทำกันได้ง่ายดายเกินไป เพราะเป็นการกระทำกันตามประเพณี แต่ในสมัยก่อนนั้น การบวชยังมีจุดมุ่งหมายพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือบวชเพื่อจะได้ไปเรียนหนังสือหนังหาในพระอาราม ด้วยว่าสมัยก่อนรัชกาลที่ ๕ เราไม่มีโรงเรียนให้กุลบุตรได้เข้าเล่าเรียนกัน
การศึกษาจึงมีอยู่แห่งเดียวคือ ‘วัด’ จึงมีคำว่า “บวช-เรียน” เกิดขึ้น จนผู้คนพูดกันติดปากคือ เมื่อบวชแล้ว จะได้เรียนหนังสือไปด้วยนั่นเอง
ประจักษ์พยานการศึกษาของชาติ สืบทอดจากวัดหรืออาศัยบารมีของวัด จะเห็นได้จากโรงเรียนเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงทุกวันนี้ หลายแห่ง ตั้งอยู่ในวัด สมัยก่อนก็มีคำว่า ‘วัด’ นำหน้า แต่ตอนหลังเกิดอับอายอะไรก็ไม่ทราบได้ จึงตัดคำว่า ‘วัด’ ข้างหน้าทิ้งไป
หากยังคงมีคำว่า ‘วัด’ นำหน้าแล้ว จะทำให้สถาบันของตัว ดูลดค่าลงไปหรืออย่างไรไม่ทราบได้ ทั้งๆอาคารที่ตั้งโรงเรียน ก็ยังอาศัยที่วัดอยู่ ไม่ได้ขยับขยายออกไปตั้งที่ไหน เช่น โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ เป็นต้น ซึ่งเดี๋ยวนี้ทิ้งคำว่า ‘วัด’นำหน้า ไปเรียบร้อยแล้ว แต่สถานศึกษาแห่งนี้ ไม่ได้ขยับขยายไปไหน ก็ยังคงอาศัยที่พระอารมหลวงนั่นแหละ
หากศิษย์เก่าที่มีฐานะแล้ว ไม่อยากพึ่งพาวัดอีกต่อไป น่าจะรวบรวมเงินไปซื้อที่ดิน ปลูกสร้างมันให้โอ่อ่ากันไปเลย ทางวัดจะได้นำที่ดินไปใช้ เพื่อกิจกรรมอื่นต่อไป!
วัดนั้นผูกพันกับชาวบ้านมาก ในสมัยผมเป็นเด็ก ตอนนั้นพ.ร.บ.การประถมศึกษาฯก็มีใช้บังคับมานานแล้ว แต่การศึกษาก็ยังแย่อยู่มาก บ้านเมืองยังไม่พัฒนา ถนนหนทางก็ไม่ดี จะไปตั้งโรงเรียนให้ลูกหลานชาวบ้าน ได้เล่าเรียนศึกษากันไม่ใช่เรื่องง่าย เงินทองของชาติในตอนนั้นยังน้อยอยู่ โรงเรียนจำนวนมากก็ต้องอาศัยวัดนี่แหละ เป็นที่พึ่งในการศึกษาของชาติ
เคยเล่าให้ฟังว่า เด็กอีสานรุ่นราวเดียวกับผม หรือก่อนหน่อยๆ ส่วนใหญ่ถ้าไม่บวชเป็นพระสงฆ์ ก็ต้องเป็นนักมวย
บางคนไปเป็นนักมวยแล้วไปบวช เมื่อเรียนหนังสือหนังหาเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาทำงานทำการดีๆ มีชื่อเสียง อย่างท่าน ‘ประสก’ เจ้าของคอลัมน์ ‘ข้างวัด’ แห่งหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เป็นตัวอย่างที่ดีเลย
ท่านเคยเป็นนักมวยฝีมือดีมาก่อน ต่อมาเมื่อไปบวชก็ได้เป็นมหาบาเรียน สึกหาลาเพศมา กลายเป็นนักคิดนักเขียนคนสำคัญ คู่บารมีท่านอาจารย์ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อีกคนหนึ่งก็ว่าได้ ทั้งยังได้รับเลือกให้เป็น ‘นายกเปรียญธรรมสมาคม’ ด้วย
แม้ท่านจะล่วงลับไปแล้ว แต่ผมก็ระลึกถึงเสมอ เพราะได้รับความรู้จากข้อเขียนของท่านมากมาย จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัวเอง มีความมั่นคงในพระศาสนามาถึงทุกวันนี้
การบวชแบบไทยพุทธนั้น ไม่ได้มีข้อบังคับมากมาย เหมือนอย่างศาสนาอื่น อย่างเช่นการบวชเป็นพระในศาสนาคาทอลิก ซึ่งบวชยากบวชเย็น เพราะผู้ประสงค์จะเป็นพระ จะต้องผ่านการศึกษาและทดสอบหลายขั้นตอน กินเวลานานนับเป็นปีๆ เลยทีเดียว
แม้จะยากขนาดนั้น ก็ไม่สามารถสกัดกั้นคนที่จะกระทำผิด หรือละเมิดศีลธรรมได้ และในปัจจุบันนี้ ก็มีเรื่องใหญ่โต เกี่ยวกับการกระทำผิดทางเพศของพระคาทอลิก ซึ่งนิวยอร์กไทม์ได้รายงานว่า
ในระยะเวลา ๖๐ ปี นับถึงปีค.ศ.๒๐๐๓ มีคำร้องความผิดทางเพศถึง ๔,๒๐๐ คดี ถึงขนาด ‘บิชอบ’ของสหรัฐท่านหนึ่ง ออกมาพูดอย่างท้อแท้ ว่า
หากฝ่ายคาทอลิกในนิวยอร์ก และในส่วนอื่นของสหรัฐ จะต้องชดใช้เงินในคดีละเมิดทางเพศ (เฉพาะเด็กผู้ชาย) ทุกๆคดีที่พ่ายแพ้
ศาสนจักรคาทอลิก แห่งสหรัฐ อาจถึงขั้นล้มละลายทางการเงิน เอาได้ง่ายๆ!
นี่ยิ่งหนักข้อ เข้าไปอีก!!
ข่าวโทรทัศน์ ที่ผมพูดถึงในวันนี้นั้น เขาได้รายงานเหตุการณ์ในประเทศเมียนมาร์ ที่ทหารพม่าบุกจับดาวตลกชื่อดัง และมีชื่อเสียงที่สุดของพม่า คือนายซากานาร์ ข้อหาแปลกประหลาดนักคือ มีความผิดฐาน
ถวายภัตตาหารให้กับพระภิกษุสงฆ์ ที่นำการชุมนุมประท้วงรัฐบาล!
ตามข่าวบอกว่า นอกจากนายซากานาร์แล้ว ยังมีศิลปินขวัญใจคนพม่าอีกคนหนึ่ง เป็นนักแสดงในแนวรักโศก ชื่อนายซอร์ ธู โดนหิ้วตัวไปด้วย
โลกเรานั้น เมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหาร พวกศิลปินฝ่ายตรงข้าม หรือไม่เห็นด้วยกับความคิดผู้ที่ยึดอำนาจจากประชาชน มักจะถูกจ้องจับตามอง เพราะพวกนักแสดงนั้น มีอิทธิพลต่อความคิดชาวบ้านยิ่งนัก
บางทีตัวศิลปินเอง อาจเข้าถึงจิตใจต่อพลเมืองมาก จนกลายเป็นขวัญใจ และเปลี่ยนจากจุดนั้น กระโดดไปอีกจุดใหม่ คือจากนักแสดง กลายเป็นนักการเมืองอาชีพ ก็มีให้เห็นตัวอย่างชัดเจน เช่น นายโจเซฟ เอสตราดา อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ หรือท่านโรนัล เรแกน อดีตประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ แห่งสหรัฐ ก็เป็นพระเอกหนังเก่าทั้งคู่
บ้านเราตอนนี้ก็มี สมบัติ ‘น้าแอ้ด’ เมทะนี นั่นไง ลงสมัครก็ได้เป็น ส.ว. แต่มีรัฐประหารเสียก่อน เลยยังไม่ได้เป็น ส.ว.เต็มรูป แต่ตอนนี้ก็เป็นสมาชิกสภาทหารตั้ง
โก้ไปเลย!
สำหรับดาวตลก ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ก็มีอย่างอภิมหาตลกของโลก ชาร์ลี แชบปลิน ที่ได้รับผลพวงจากรัฐบาลสหรัฐ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยที่กำลังกลัวคอมมิวนิสต์ขาดใจ โดยมี ส.ว.โจเซฟ แมคคาร์ธี เป็นหัวหอก คอยจี้ให้ไล่จับผู้คนที่มีทัศนะคติโน้มเอียง หรือมีท่าทีเห็นอกเห็นใจพวกคอมมิวนิสต์ หรือแม้แต่มีเพื่อนเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นโดนไล่บี้ ไล่ยำ ตามจับหรือตามรังควาน จนดาวตลกชื่อก้องโลก ต้องออกจากสหรัฐ ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์เสียเลย
บ้านเราก็มีศิลปินจำนวนไม่น้อย ต้องถูกจับกุมคุมขัง เพราะฤทธิ์เดชพวกปฏิวัติรัฐประหาร เช่นยุคจอมพลสฤษดิ์ “เผด็จการ-สะดือแตก” ธนะรัชต์ ที่มีเมียเป็นร้อยเป็นพันคน ร่ำรวยมากจนถูกยึดทรัพย์โดยพวกเดียวกัน เรียบร้อยโรงเรียนรัฐประหารไปในที่สุด นั้น
ตอนขึ้นครองอำนาจ ท่านจอมพลเมียพัน แกสั่งประหารชีวิตผู้คน โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาล ศิลปินไทยชื่อดังที่โดนเผด็จการสะดือแตกรายนี้ สั่งจับกุมคุมขังไปหลายต่อหลายคน อย่างคุณสุวัฒน์ วรดิลก และ คุณเพ็ญศรี พุ่มชูศรี สองสามีภริยาที่ได้รับเกียรติยกย่องเป็น “ศิลปินแห่งชาติ” ทั้งคู่ ก็โดนจับไปติดคุกทั้งสองคน ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็น คอมมูนิด-คอมมูหน่อย เฮงซวยนั่นเอง...น่าสงสารมาก!
ผมจึงได้เตือนแล้วเตือนอีก ให้ผู้คนในบ้านเมืองเรา ตระหนักกันเอาไว้ให้จงดีว่า อย่าได้ไปสรรเสริญ การกระทำของคนที่ถือปืน เข้ามายึดอำนาจไปจากประชาชน เพราะมันเป็นการกระทำเยี่ยงโจร ทั้งเลวร้ายและผิดกฎหมาย เป็นอันตรายต่อเสรีภาพ ของผู้คนในบ้านในเมือง
อย่างนี้นี่เอง ที่โลกอารยะเขาถึงพากัน...รังเกียจนัก!!
ดังนั้น พวกเราที่เป็นคนไทยที่รักอิสรภาพทั้งหลาย จงอย่าได้เป็นเห็นดีเห็นงาม กับพวกมันเป็นอันขาด!!
นายซากานาร์ได้ให้สัมภาษณ์วิทยุคลื่นสั้น เสียงประชาธิปไตยแห่งพม่า หรือ DVB (Democratic Voice of Burma) ที่ส่งกระจายเสียงจากนอร์เวย์ เข้าไปในพม่า เรียกร้องให้สาธารณชนลุกขึ้นสนับสนุนพระสงฆ์พม่า
ตลกพม่าคนนี้กล่าวว่า พระสงฆ์ออกไปประท้วง พร้อมสวดมนต์เพื่อประชาชน ขณะที่ชาวบ้านกลับนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน ทำให้ตัวนายซากานาร์เอง รู้สึกละอาย และพูดต่อไปอีกว่า
พวกเขาอยู่ในวงการบันเทิง หาเลี้ยงตัวเองด้วยเงินจากชาวบ้าน ปัญหาของประชาชน ก็เป็นปัญหาของศิลปินด้วย
เพราะหากประชาชนจนลง ศิลปินก็จนลงเช่นกัน!
ฟังแล้ว ดูจะไม่เหมือนบ้านเราในตอนนี้ พอมีปฏิวัติ-รัฐประหาร บรรดาศิลปินก็รับงานพวกยึดอำนาจ ไปแสดงตามงานที่คนพวกนี้จัดขึ้น เพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ หรือโชว์ผลงานห่วยแตกของพวกเผด็จการ หรือไม่ก็จัดการแสดงขึ้น ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อระดมคนเข้ามาเป็นพวก ด้วยความกลัวขึ้นสมองว่า ผู้คนเขาจะต่อต้านพวกตัว
ชาวบ้านเสียไม่ได้ ก็พาไปดูกันกะพร่องกะแพร่ง ศิลปินก็รับค่าตัวกัน...สบายไป
ปล่อยให้พี่เป้า “สายัณห์ สัญญา” ไปเดี่ยวไมโครโฟนกลางสนามหลวง ท้าทายพวกเผด็จการทหารเหยงๆ แบบคุณซากานาร์ อยู่คนเดียวจริงๆ!
มุกตลกที่ขึ้นชื่อที่สุดของซากานาร์นั้น น่าจะเป็นเรื่องโจ๊กของเขา เกี่ยวกับความเก่งของพวกรัฐบาลทหารพม่า โดยดาวตลกเมืองหม่อง เล่าว่า...
...ชายสามคน ประกอบด้วยชาวฝรั่งเศส อเมริกัน และชาวพม่านั่งสนทนากัน
คนฝรั่งเศสได้คุยโม้ ถึงความเก่งกาจของชาวเมืองน้ำหอม โดยบอกว่า
“คนฝรั่งเศสนั่นน่ะนะ ขนาดขาขาดสองข้าง ยังสามารถปีนป่าย พิชิตยอดเขาเอวอเรสต์ได้” คนอเมริกันขี้โม้ มีหรือจะยอมจำนนง่ายๆ เกทับกลับไปว่า
“แค่นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่ คนอเมริกันไม่มีแขนทั้งสองข้าง ยังแล่นเรือใบรอบโลกมาแล้ว”
ฝรั่งสองชาติหันมามองดูคนพม่า ว่าจะออกความเห็นอย่างไร ก็เห็นคุณหม่องขยับโสร่งก่อนพูดขึ้นว่า
“สู้ทหารพม่าไม่ได้เด็ดขาด...เพราะขนาดในหัวไม่มีสมอง ก็ยังบริหารบ้านเมืองกันได้เลย”
ผู้คนฟังคุณซากานาร์แล้ว...ก็เฮกันสนั่นไป
ดาวตลกของพม่าท่านนี้ เสียดสีเผด็จการอย่างถึงพริกถึงขิง พวกทหารที่กุมอำนาจอยู่ก็หมั่นไส้ แต่ทำอะไรไม่ถนัด เพราะขืนทำอะไรลงไป
ก็มีแต่เสีย...กับเสีย เท่านั้น!
ผมรู้จักกับ “ล้อต๊อก” หรือ “ป๋าต๊อก” และนับถือศิลปินตลกเมืองไทยท่านนี้มาก ทั้งยังสนิทสนมกับลูกชายคนโตของท่าน คือ พ.ต.อ. (พิเศษ) ศิริพันธ์ ทรัพย์สำรวย นักเรียนนายร้อยรุ่นพี่ของผมอีกด้วย
เลยมานั่งลองคิดดูสนุกๆกันว่า ถ้าซากานาร์ดาวตลกพม่า มาเล่ามุกตลกเดียวกัน ให้ “ป๋าต๊อก” ของเราฟังแล้ว อยากรู้จริงว่า...
ปรมาจารย์ตลกชาวไทย จะ ‘ออกมุก’ ตอกกลับไป ว่าอย่างไร ?
ในความเห็นของผมเองนั้น ป๋าต๊อกคงไม่ปล่อยให้ดาวตลกพม่า ยิงกระสุนขำๆ ฝ่ายเดียวแน่นอน แต่ต้องสาดลูกตะกั่วตลก ตอกกลับไปเป็นชุด ว่า
“เมืองที่ข้าอยู่ ทั้งหัวหน้าปฏิวัติ และนายกฯ ทหาร มีของอยู่ในหัวเต็มเลย แต่ก็บริหารบ้านประเทศได้ เหมือนกับทหารพม่าของเอ็งนั่นแหละ...ไอ้ซากานาร์เอ๊ย”
ชาวฝรั่งเศส อเมริกัน รวมทั้งคุณซากานาร์เอง ได้ยินเข้าแล้ว คงรุมกันทักท้วง ว่า
“ไม่เห็นประหลาดตรงไหนเลยนี่ป๋า ถ้ามีสมองอยู่เต็ม ใครก็บริหารบ้านเมืองได้ทั้งนั้น”
ล้อต๊อกทำตาลอย วางมาดขรึม ก่อนจะเอื้อนเอ่ยตอบไปด้วยซุ่มเสียงเบาๆ
“ไอ้ที่อัดแน่น เต็มหัวกบาลพวกมัน...ไม่ใช่สมองหรอก แต่เป็น ‘ชิท’ น่ะ..”
มีเสียงชาวต่างประเทศทั้งสามคน พูดจาพึมพำอะไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ แต่ฟังเสียงแล้วเสมือนว่า คนเหล่านั้นจะไม่เข้าใจ ในสิ่งที่อภิมหาตลกชาวไทยพูด
ดังนั้น ป๋าต๊อกจึงต้องเร่งวอลลุ่มเสียง ให้ดังขึ้นหน่อย
“เฮ้ย... ‘ชิท’ ไม่ใช่ ‘ลูกชิด-น้ำแข็งไส’ นะเอ็ง...Shit ภาษาฝรั่งที่แปลว่า ‘ขี้’ น่ะ” ป๋ากระแอมขั้นจังหวะ
“ฟังไว้นะ ไอ้พวกเอ็งน่ะ” ป๋าต๊อกขยับกุงเกง ก่อนพูดต่อว่า...
“หัวหน้าคณะปฏิวัติและนายกฯ ที่เป็นทหาร มันมีแต่ Shit กับ Shit และก็
Shit ๆๆๆ อัดแน่นอยู่เต็มหัวกบาล มันยังดันทะลึ่งปฏิวัติ แล้วเสือกเอาพวกเดียวกัน ขึ้นไปบริหารบ้านเมือง อย่างหน้าเฉยตาเฉยกันได้”
จบประโยค พร้อมกับหัวร่อ อย่างครื้นเครง
“ประเทศไทยของป๋าเนี่ยน่ะหรือ ขนาดพวก Shit head หรือไอ้พวก “หัวขี้” อย่างนี้ มันยังบริหารบ้านเมืองได้ เยี่ยมจริงๆ!?”
ซ่ากานาร์มหาตลกพม่า ร้องถามแบบงงๆ ก่อนเจ้าตัวจะสรุปต่อ ว่า
“อย่างนั้นก็ต้องเก่งกว่า ผู้นำทหารพม่า ของผมแหงๆ”
“ใครบอกมึงว่า กูพูดเรื่องเมืองไทย...ไอ้ซากานาร์”
คุณป๋าต๊อก อภิมหาตลกไทยแลนด์ ตวาดแหวออกมา ด้วยเสียงดุๆ
“ตอนนี้กูตายแล้ว ขึ้นมาอยู่บนสวรรค์ ไอ้ที่กูพูดถึงน่ะ...มันเมืองสวรรค์นะโว้ย!!!”
...๕๕๕
..........................