เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว อยากจะกราบเรียนท่านผู้อ่านว่า นี่เป็นสัปดาห์แรกของผู้ที่รับราชการและเพิ่งเกษียณอายุ คงจะใช้เวลาล่ำลาเพื่อนร่วมงาน และเก็บเข้าของออกจากที่ทำงาน รวมทั้งโยกย้ายออกจากที่พักซึ่งเป็นของทางราชการ กลับไปอยู่นิวาสถานเดิมของตัว หรือที่อยู่ที่ตระเตรียมเอาไว้ อยู่อาศัยในบั้นปลายของชีวิต
จำได้ว่า เมื่อครั้ง “หลวงเตี่ย แอล.เอ.” หรือ พระธรรมราชานุวัตร อดีตเจ้าอาวาสวัดไทย ในลอสแอนเจลิส ต้นสังกัดของท่านจริงๆคือวัดพระเชตุพนฯหรือวัดโพธิ์ ซึ่งผมรู้จักท่านมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะบ้านอยู่ไม่ห่างจากวัด คุณตาของผมคุ้นเคยกับพระผู้ใหญ่ในวัดนี้ ไม่ว่าจะเป็น “สมเด็จป๋า” หรือพระเถระรูปอื่น และนิมนต์ท่านมาทำบุญที่บ้านเสมอ อีกทั้งพอออกเป็นนายตำรวจ ผมก็อยู่โรงพักพระราชวัง ซึ่งวัดโพธิ์ตั้งอยู่ในท้องที่ด้วย ตัวเองก็เข้าไปในวัดนี้บ่อยๆ เพราะอัฐิของคุณตาและคุณยายเก็บอยู่ที่วัดนี้
เวลาหลวงเตี่ยสนทนาธรรม เรื่องการเกษียณอายุของข้าราชการ ท่านก็มักเล่าเรื่อง
ของตำรวจพระราชวังคนหนึ่ง เคยอยู่เวรตู้ยามวัดโพธิ์ และมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก เจ้าตัวได้กราบเรียนกับหลวงเตี่ยว่า
วันใดที่เขาเกษียณอายุ จะขอมาบวชที่วัดโพธิ์ เพื่อปฏิบัติธรรมต่อไป
หลวงเตี่ยเล่า ว่า...
พอถึงวันที่ตำรวจคนนี้ ครบเกษียณอายุ เขาเอาเงินมาถวายหลวงเตี่ย ๒ หมื่นบาท ให้ช่วยจัดการบวชให้ และเมื่อบวชแล้ว หลวงเตี่ยก็ชื่นชมว่า อดีตตำรวจรูปนี้เป็นพระนวกะตัวอย่าง เมื่อเลยพรรษาแล้วก็ขอบวชก็ต่อไปเรื่อยๆ ขยันตั้งใจประกอบกิจของสงฆ์อย่างเคร่งครัด เป็นที่ชื่นชมของพระผู้ใหญ่ในวัด เป็นแบบอย่างให้หลวงเตี่ย นำไปเล่าในที่ต่างๆ ให้ผู้คนได้รับรู้กัน
ฟังแล้วก็ชื่นใจ แม้ตัวเองจะไม่เคยบวชเรียนมาก่อน แต่เมื่อได้ยินเรื่องดีๆอย่างนี้ ก็อดอนุโมทนาบุญกับพระตำรวจรูปนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่มีแต่พระองค์นี้รูปเดียว นายตำรวจระดับนายพล ที่ท่านคุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดี เมื่อถึงวันเกษียณอายุ ก็เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ทันทีเช่นกัน คือ
พล.ต.ต.ณัฐ มีนะกนิษฐ์
นายตำรวจท่านนี้ เป็นลูกหม้อกองปราบ สมัยยังหนุ่มๆก็เป็นนายตำรวจฝ่ายบู๊ เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้กำกับการ ๒ กองปราบปราม หรือที่เขาเรียกว่า “ผู้กำกับประเทศไทย” เพราะมีอำนาจสืบสวนจับกุมได้ทั่วราชอาณาจักร ตำแหน่งสุดท้ายของท่านคือ ผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมือง
ท่านเป็นตำรวจอีกนายหนึ่ง ที่เกษียณแล้วเดินเข้าวัดเลย และอยู่ในสมณะเพศมาร่วม ๒๐ ปีเห็นจะได้ ไม่นานมานี้ผมเห็นท่านไปที่โรงพยาบาลตำรวจ ได้เข้าไปกราบท่าน สังเกตเห็นใบหน้าท่านอิ่มเอิบ ดูว่าท่านยังหนุ่มกว่าอายุจริง
น่าจะเป็นอานิสงส์บุญของการออกบวชแท้ๆ ยังนึกเสียดายที่ตัวเองไม่ได้เลือกทางนี้ ไม่อย่างนั้นคงจะได้ร่ำเรียนทางธรรม แล้วเข้าสอบบาลีสนามหลวง
ป่านนี้คงได้เป็น “มหาวาทฯ” กับเขาบ้างแล้ว!
ตอนนี้อย่างมาก ก็เป็นได้แค่ ‘คุณมหา นอกวัด’ เอาอย่างท่านนายพลจำลองฯหัวหน้าพรรค “อโศกสถาพร” ไปก่อน...๕๕๕
อย่างไรก็ตาม จากกรณีตำรวจที่ออกบวชหลังเกษียณอายุนั้น ก็เป็นเครื่องชี้ว่า เวลาที่อยู่ในวัยที่เขาเรียกว่าบั้นปลายชีวิต ถ้าผู้เกษียณอายุ ได้กระทำในสิ่งที่ตนชอบ
น่าจะเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมกับรุ่นพี่ที่สนิทกันมาก ซึ่งเคยเล่าเรื่องความเก่งกาจของท่าน ทั้งการทำงานและความเป็นเลิศในการหาเหตุผล มาโต้ตอบหักล้าง ยามที่ต้องปะทะคารมกับผู้คน จนเป็นที่เลื่องลือ ได้พากันไปรับประทานอาหาร และสนทนากับเพื่อนรุ่นน้องซึ่งเป็นพ่อม่าย เพราะภริยาเขาเสียชีวิตไหลายปีแล้ว เจ้าตัวกำลังจะอำลาชีวิตราชการ
เขาเล่าให้ฟังว่า
ปีนี้เกษียณแล้ว จะได้กลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเสียที เพราะตั้งแต่มาเป็นตำรวจ กลับบ้านน้อยครั้งมาก ปีแรกๆก็ได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่บ้าง ตามแต่เวลาที่จะพอเดินทางไปได้ เพราะบ้านอยู่ไกล ตอนนั้นเครื่องบินก็ไม่มีไปถึงจังหวัดที่บ้าน ต้องขับรถไปอย่างเดียว
พออายุได้ ๓๐ กว่า คุณพ่อคุณแม่ของเขาก็เสียชีวิตหมด เหลือน้องสาวอยู่คนเดียว ซึ่งได้สามีเป็นคนพื้นที่ จึงให้ช่วยดูแลบ้านเอาไว้ บอกว่าจะมาอยู่ตอนเกษียณ ซึ่งผู้เป็นน้องก็ดูแลทรัพย์สมบัติ ที่เป็นของพ่อแม่ทิ้งไว้ให้เป็นอย่างดี
นายตำรวจผู้จะเกษียณนี้ มีลูกชายคนเดียวซึ่งมีครอบครัวที่มั่นคงแล้ว อยู่ในกรุงเทพ และมีบ้านของตัวเอง ผู้เป็นพ่อก็ขายบ้านกรุงเทพและแบ่งเงินให้ลูก แล้วขนเข้าของกลับไปบ้านเกิดเรียบร้อยแล้ว
เขาบอกว่าเตรียมตัวเรื่องนี้มานานแล้ว ยิ่งใกล้เกษียณก็เร่งวันเร่งคืน เนื่องจากเบื่อหน่ายกรุงเทพเป็นกำลัง
ผมฟังแล้วพูดหยอกเขาว่า ทนเสียงเพรียกจากบ้านเก่าไม่ได้หรือไง? เจ้าตัวตอบว่า รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ รุ่นน้องคนนี้ถามผมว่า
มีข้อแนะนำ ในการดำเนินชีวิตยามใกล้โพล้เพล้ อย่างไรบ้าง?
ชีวิตของผู้ที่รับราชการนั้น มีกำหนดการเกษียณแน่นอน ว่าครบ ๖๐ ปี ก็ต้องลาจากไปเว้นแต่บางอาชีพ ที่อาจทำราชการต่อไปได้เช่น ผู้พิพากษา อัยการ ตามรัฐธรรมนูญใหม่ แต่การเป็นตำรวจหรือข้าราชการหน่วยอื่นนั้น พอถึงอายุครบ ๕ รอบ ก็ต้องเกษียณอายุราชการกันหมด ผมจึงได้ให้ข้อแนะนำในฐานะรุ่นพี่ไป ว่า
สำคัญที่สุดคืออย่าคิดว่าเราเป็น ‘คนแก่’ โดยเด็ดขาด ถ้าจะคิดก็ขอเพียงให้ระลึกว่าวัยของเราสูงขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น การปฏิบัติตนหลังเกษียณ ต้องดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังในทุกๆเรื่อง อะไรที่เคยทำตอนรับราชการ แล้วบั่นทอนต่อสุขภาพต้องเลิกเสีย อย่านอนดึกอีกต่อไป พยายามเข้านอนแต่หัวค่ำ
ต้องระลึกไว้เสมอว่า สุขภาพของเราเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะแม้เราจะมีบุตรหรือหลานคอยดูแลรักษา แต่การป่วยต่อเนื่องยาวนาน กลายเป็นเรื่องบั่นทอนความก้าวหน้าของพวกเขาไป โดยต้องทุ่มเทเวลามาดูแลรักษาเรา ซึ่งเป็นผู้ป่วย
นั่นไม่ใช่เรืองดีเลย!
ฉะนั้น ต้องหาตำรับตำราการดูแลรักษาสุขภาพ เรื่องของโรคผู้สูงอายุมาศึกษาให้เข้าใจหมั่นติดต่อกับแพทย์เป็นประจำไว้ แล้วขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด และต้องมีแพทย์ที่ให้คำปรึกษาเราได้เป็นอย่างดี เอาไว้อย่างน้อย ๑ คน (ถ้าทำได้)
เครื่องมือแพทย์ที่ใช้ประจำบ้านน่าจะมี เช่นเครื่องวัดความดันโลหิต ปรอทวัดไข้ เครื่องตรวจหาน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง อย่างนี้เราต้องมีติดบ้านไว้ แล้วตรวจวัดด้วยตนเองเป็นประจำ อย่างความดันโลหิตนั้น ผมวัดทุกเช้าเมื่อตื่นนอน ออกกำลังเสร็จก็วัดอีกครั้ง แล้วบันทึกไว้
ทุก ๓ เดือน ควรพบแพทย์เพื่อตรวจโลหิต ตรวจโรคทั่วๆไป

ในเรื่องการออกกำลังนั้น ก็ต้องพอเหมาะพอควร จะมาเอาอย่างผม ซึ่งออกกำลังมาตลอดชีวิตไม่ได้ เพราะมาถึงวันนี้ กิจวัตรประจำก็ยังชกกระสอบ ต่อยปั๊นชิ่งบอล และยิงปืนอยู่เป็นประจำ รวมทั้งยังขี่ม้าบ้างในบางโอกาส แม้ความฟิตหรือรูปร่าง อาจไม่ดีเท่าท่านประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย เพราะท่านอ่อนกว่าผมหลายปี ตามภาพที่เห็นนั้น ท่านกำลังพักผ่อนอิริยาบถ ด้วยการตกปลา แต่ดูโดยรวมๆแล้วก็ยังคิดว่า
ความบึ้กบั่กของตัวเอง ก็ไม่ได้เป็นรองท่านปูติน สักเท่าใดนัก!...๕๕๕
การที่เป็นห่วงเป็นใย ในกล้ามเนื้อตัวเองนั้น มีอยู่วันหนึ่ง ผมเอาเทปมาวัดกล้ามแขน สังเกตเห็นว่าเส้นรอบวงแขนลดลง เกิดความกลัวขึ้นมาว่า ใส่เสื้อยืดแล้วกล้าม จะไม่ขึ้นอวบเต็มแขนเสื้อ เดี๋ยวจะดูไม่ดีเหมือนเดิม เลยจัดตารางยกลูกเหล็กให้มากขึ้น
โหมไม่กี่วันกล้ามขึ้นมาเท่าเดิมก็จริง แต่เกิดอาการเจ็บกล้ามเนื้อแขนขวาขนาดหนัก อย่างไม่เคยเจ็บมาก่อน เลยต้องพักเพื่อบำบัดไปหลายวัน
จากนั้น ก็ไม่เคยหักโหมอีกเลย!!
นอกจากชายวัยเลขห้ากลางๆ ที่รักษาสุขภาพได้ดีอย่างผู้นำรัสเซียแล้ว ผู้หญิงที่อายุไล่เลี่ยกับท่านปูติน อย่างคุณ ‘เว่ย เสี่ยวเอ๋อ’ สาววัยแค่ ๕๔ ปี ซึ่งได้เข้ารอบทะลุถึงรอบท้าย เวทีประกวดซูเปอร์โมเดล ของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี ซึ่งเธอกลายเป็นดาวเด่น จุดสนใจของการประกวด ได้รับการบันทึกภาพมากที่สุด

เห็นรูปร่างหน้าตาเธอแล้ว ขนาดคนรู้จักซึ่งเขารุ่นราวคราวเดียวกับผม ซึ่งเจ้าตัวไม่ชอบควงสาวใหญ่มีอายุ เพราะนิยมแต่สตรีเพศวัย ๒๒-๒๙ ปีเท่านั้น ถึงกับอดพูดชมไม่ได้ว่า
รูปร่างหน้าตาขนาดนี้ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่คุณลุงคนไหนก็ตาม ก็คงเต็มใจพาเธอไปวัดไปวา ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า ก่อนเพล หรือเวลาค่ำๆ ได้ทั้งนั้น ...ไม่มีใครเกี่ยงแน่นอน
ใช่แต่แค่นั้นนะ
จะให้พาไปเล่นมอญซ่อนผ้า หรือจ้ำจี้มะเขือเปาะ กะเทาะหน้าแว่น พายเรืออกแอ่นที่ไหนๆ ก็คงจะไม่มีใครใจร้ายไส้ระกำ ปฏิเสธได้ลงคอ
ผมเองไม่มีความเห็น เพราะคำตอบมีอยู่ในใจแล้ว!...๕๕๕
สำหรับเรื่องการยิงปืนนั้น อยากจะบอกท่านผู้อ่านที่เป็นตำรวจว่า ใครที่เคยยิงปืนมา อย่าได้วางมือไปเสีย เพราะผมเคยเห็นฝรั่งอายุเกิน ๘๐ ยิงปืนทุกวัน แกใช้ปืนลมเบอร์ ๒ ตั้งเป้าแล้วยิงเป้าวงกลมในบ้าน แทนการไปสนามยิงปืน ยังยิงได้ดีเอามากๆทีเดียว เจ้าตัวบอกว่า การที่ได้ยิงปืนนั้น เป็นวิธีช่วยรักษาสายตา ให้เสื่อมช้าลง
นับแต่นั้นผมเอาตามอย่างเลย แม้จะไม่ยิงกระสุนจริง แต่การยกปืนขึ้นเล็งนั้น จะช่วยการฝึกสายตา บริหารลูกนัยน์ตา จะทำให้การใช้สายตาของเรายืนยาวออกไปได้
ผมเชื่ออย่างนั้น จึงได้จับและยิงปืนแทบทุกวัน ถ้าอยู่กรุงเทพใช้กระสุนจริงไม่ได้ ก็ใช้การ Dry fire หรือยิงแห้งเป็นประจำ และที่สำคัญคือ
ต้องมีการถ่ายพลังในตัว ให้กับลูกนัยน์ตา หรือสายตาเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจนคำแนะนำต่อไปนี้ อยากให้ท่านผู้อ่านลองทำดู
ก่อนเข้านอนและตื่นนอนในตอนเช้า ให้นอนหงายแล้วใช้ส่วนของมือทั้งสองข้าง ตรงบริเวณริมเนินนิ้วหัวแม่มือขวากับซ้าย กดลงตรงเบ้าตาให้ได้น้ำหนักพอสมควร โดยไม่ทำให้ตาเจ็บปิดแน่นไว้สัก ๑-๒ นาที แล้วเปิดออก
ทำติดต่อ ๓ ครั้ง แล้วท่านจะรู้สึกว่า สายตาดีขึ้นมากทีเดียว
ขอให้ท่านลองไปทำตามดู แล้วจะพบว่า มีความรู้สึกสบายลูกนัยน์ตามากขึ้น จนต้องทำสม่ำเสมอ ส่วนการตรวจตานั้น ก็ควรต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์ เดี๋ยวจะไปเข้าตำราไทยว่า
“เรือล่มเมื่อจอด ตาบอดเมื่อแก่”
เพราะหากเป็นอย่างนั้น อยู่ก็ดูสาวๆไม่ได้ ทำให้โลกไม่สดใส ชีวิตเราก็พลอยเฉาไปเลย!
ระหว่างการรับประทานอาหารกันในวันนั้น รุ่นพี่คนเก่งของผม ได้ถามเพื่อนรุ่นน้อง ที่มาขอคำแนะนำว่า การไปอยู่ต่างจังหวัดของเขานั้น เมื่อลูกหลานไม่คอยดูแลแล้ว จะทำอย่างไร? ได้รับคำตอบว่า ยังมีน้องและหลานๆ อยู่ใกล้ๆ ป่วยไข้ก็ไม่เป็นห่วง
ลูกพี่ผมผู้มีฝีปากเป็นที่ร่ำลือ ก็ลองหยอดคำถาม ต่อไปอีก ว่า
ไม่คิดหาของขวัญวันเกษียณ เป็นการให้รางวัลตัวเอง ด้วยการมีสาวๆ หรือภริยาคนใหม่ มาคอยช่วยดูแล ตอนอายุมากขึ้นบ้าง หรืออย่างไร?
ได้รับคำตอบ จากเพื่อนรุ่นน้องคนใกล้เกษียณ ดังนี้
เขาเองก็คิดอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ถึงกับรีบเร่งหรือตะเกียกตะกาย ในเรื่องที่ถูกถามแต่อย่างใด เพราะมีสิ่งที่ต้องทำ ตามที่ตั้งใจไว้อีกมาก โดยยกตัวอย่าง ว่า
มีหนังสือที่ซื้อหามานาน สำหรับอ่านตอนเกษียณ อ่านได้เป็นปีๆก็ไม่หมด นอกจากนั้น ยังคิดจะออกกำลังด้วยการทำสวน ซึ่งได้ศึกษาหาความรู้ เตรียมการเป็นเกษตรกรเอาไว้ก่อนล่วงหน้าถึงสามสี่ปี อยากจะลองวิชาที่ได้ศึกษามาเหลือกำลังแล้ว
สำหรับเรื่องหาสาวๆมาอยู่ด้วยนั้น เจ้าตัวแสดงความเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
พร้อมกับบอกว่า
“อีสานบ้านผม ฝรั่งทั้งที่เกษียณแล้ว และที่เออลี่รีไทร์ ต่างก็มุ่งหน้ามาหาเมียไทยปลูกบ้านปลูกช่องกันเต็มไปหมด คนไทยเกษียณอย่างผม คงต้องหาได้บ้างแหละครับ ไม่ยากไม่เย็นอะไรหรอกครับ...พี่ไม่ต้องเป็นห่วงผม”
เออ ไอ้นี่มันพูดเข้าท่า ดีจังแฮะ...แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไป ก็ได้ยินเสียงรุ่นพี่คนปากไวขยับมุก หยอดไปว่า
“ไม่ได้เป็นห่วงเอ็งหรอก แต่หวังจะพึ่งพาบ้าง เท่านั้นน่ะ”
พูดเบาๆ ก่อนอ้อนต่อ...
“หากเอ็งหาสาวๆเป็นเมียได้แล้ว ก็อย่าทำใจจืดใจดำ ลองดูๆเผื่อพี่ เผื่อเชื้อ ที่นั่งหัวโด่กันอยู่สองคนทางนี้บ้างนะ เอาสักแค่สี่ช้าห้าคนก็พอ...จะได้บุญมากเชียวนะเอ็ง...”
ดื่มน้ำมะตูมใส่น้ำแข็งหนึ่งอึก ก่อนพูดต่อว่า
“..แต่ต้องเอารุ่นใหม่ๆสดๆซิงๆ หน่อยนะ” ทอดจังหวะ จิบน้ำปาณะอีกนิด แล้วเอ่ยแบบสั่งเสีย
“อย่างรุ่นสังคโลก หรือรุ่นบ้านเชียง ของโปรดพวกอาจารย์อาวุโสทั้งหลาย ที่ชอบหลบเมียหลบผัว แอบไปสุมหัวกันแถวๆสำนัก ‘มหาวิทยาลัย-สองยาม’ แล้วจับคู่โรมรันพันตูกัน จนเป็นข่าว ให้อื้อฉาวไปทั้งประเทศ อย่างนั้นน่ะ...
ไม่ต้องเอามาเสนอ ให้พวกพี่...เป็นอันขาดเชียว นะเอ็ง! (เสียงเข้ม)...
ฝ่าฝืน...ด่าเช็ด...นะว้อยยยยย!!” ...๕๕๕
................
ท้ายบท ขอให้ท่านผู้อ่านที่เพิ่งเกษียณ...โชคดีมีสุขทุกท่านครับ!
จำได้ว่า เมื่อครั้ง “หลวงเตี่ย แอล.เอ.” หรือ พระธรรมราชานุวัตร อดีตเจ้าอาวาสวัดไทย ในลอสแอนเจลิส ต้นสังกัดของท่านจริงๆคือวัดพระเชตุพนฯหรือวัดโพธิ์ ซึ่งผมรู้จักท่านมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะบ้านอยู่ไม่ห่างจากวัด คุณตาของผมคุ้นเคยกับพระผู้ใหญ่ในวัดนี้ ไม่ว่าจะเป็น “สมเด็จป๋า” หรือพระเถระรูปอื่น และนิมนต์ท่านมาทำบุญที่บ้านเสมอ อีกทั้งพอออกเป็นนายตำรวจ ผมก็อยู่โรงพักพระราชวัง ซึ่งวัดโพธิ์ตั้งอยู่ในท้องที่ด้วย ตัวเองก็เข้าไปในวัดนี้บ่อยๆ เพราะอัฐิของคุณตาและคุณยายเก็บอยู่ที่วัดนี้
เวลาหลวงเตี่ยสนทนาธรรม เรื่องการเกษียณอายุของข้าราชการ ท่านก็มักเล่าเรื่อง
ของตำรวจพระราชวังคนหนึ่ง เคยอยู่เวรตู้ยามวัดโพธิ์ และมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก เจ้าตัวได้กราบเรียนกับหลวงเตี่ยว่า
วันใดที่เขาเกษียณอายุ จะขอมาบวชที่วัดโพธิ์ เพื่อปฏิบัติธรรมต่อไป
หลวงเตี่ยเล่า ว่า...
พอถึงวันที่ตำรวจคนนี้ ครบเกษียณอายุ เขาเอาเงินมาถวายหลวงเตี่ย ๒ หมื่นบาท ให้ช่วยจัดการบวชให้ และเมื่อบวชแล้ว หลวงเตี่ยก็ชื่นชมว่า อดีตตำรวจรูปนี้เป็นพระนวกะตัวอย่าง เมื่อเลยพรรษาแล้วก็ขอบวชก็ต่อไปเรื่อยๆ ขยันตั้งใจประกอบกิจของสงฆ์อย่างเคร่งครัด เป็นที่ชื่นชมของพระผู้ใหญ่ในวัด เป็นแบบอย่างให้หลวงเตี่ย นำไปเล่าในที่ต่างๆ ให้ผู้คนได้รับรู้กัน
ฟังแล้วก็ชื่นใจ แม้ตัวเองจะไม่เคยบวชเรียนมาก่อน แต่เมื่อได้ยินเรื่องดีๆอย่างนี้ ก็อดอนุโมทนาบุญกับพระตำรวจรูปนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่มีแต่พระองค์นี้รูปเดียว นายตำรวจระดับนายพล ที่ท่านคุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดี เมื่อถึงวันเกษียณอายุ ก็เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ทันทีเช่นกัน คือ
พล.ต.ต.ณัฐ มีนะกนิษฐ์
นายตำรวจท่านนี้ เป็นลูกหม้อกองปราบ สมัยยังหนุ่มๆก็เป็นนายตำรวจฝ่ายบู๊ เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้กำกับการ ๒ กองปราบปราม หรือที่เขาเรียกว่า “ผู้กำกับประเทศไทย” เพราะมีอำนาจสืบสวนจับกุมได้ทั่วราชอาณาจักร ตำแหน่งสุดท้ายของท่านคือ ผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมือง
ท่านเป็นตำรวจอีกนายหนึ่ง ที่เกษียณแล้วเดินเข้าวัดเลย และอยู่ในสมณะเพศมาร่วม ๒๐ ปีเห็นจะได้ ไม่นานมานี้ผมเห็นท่านไปที่โรงพยาบาลตำรวจ ได้เข้าไปกราบท่าน สังเกตเห็นใบหน้าท่านอิ่มเอิบ ดูว่าท่านยังหนุ่มกว่าอายุจริง
น่าจะเป็นอานิสงส์บุญของการออกบวชแท้ๆ ยังนึกเสียดายที่ตัวเองไม่ได้เลือกทางนี้ ไม่อย่างนั้นคงจะได้ร่ำเรียนทางธรรม แล้วเข้าสอบบาลีสนามหลวง
ป่านนี้คงได้เป็น “มหาวาทฯ” กับเขาบ้างแล้ว!
ตอนนี้อย่างมาก ก็เป็นได้แค่ ‘คุณมหา นอกวัด’ เอาอย่างท่านนายพลจำลองฯหัวหน้าพรรค “อโศกสถาพร” ไปก่อน...๕๕๕
อย่างไรก็ตาม จากกรณีตำรวจที่ออกบวชหลังเกษียณอายุนั้น ก็เป็นเครื่องชี้ว่า เวลาที่อยู่ในวัยที่เขาเรียกว่าบั้นปลายชีวิต ถ้าผู้เกษียณอายุ ได้กระทำในสิ่งที่ตนชอบ
น่าจะเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมกับรุ่นพี่ที่สนิทกันมาก ซึ่งเคยเล่าเรื่องความเก่งกาจของท่าน ทั้งการทำงานและความเป็นเลิศในการหาเหตุผล มาโต้ตอบหักล้าง ยามที่ต้องปะทะคารมกับผู้คน จนเป็นที่เลื่องลือ ได้พากันไปรับประทานอาหาร และสนทนากับเพื่อนรุ่นน้องซึ่งเป็นพ่อม่าย เพราะภริยาเขาเสียชีวิตไหลายปีแล้ว เจ้าตัวกำลังจะอำลาชีวิตราชการ
เขาเล่าให้ฟังว่า
ปีนี้เกษียณแล้ว จะได้กลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเสียที เพราะตั้งแต่มาเป็นตำรวจ กลับบ้านน้อยครั้งมาก ปีแรกๆก็ได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่บ้าง ตามแต่เวลาที่จะพอเดินทางไปได้ เพราะบ้านอยู่ไกล ตอนนั้นเครื่องบินก็ไม่มีไปถึงจังหวัดที่บ้าน ต้องขับรถไปอย่างเดียว
พออายุได้ ๓๐ กว่า คุณพ่อคุณแม่ของเขาก็เสียชีวิตหมด เหลือน้องสาวอยู่คนเดียว ซึ่งได้สามีเป็นคนพื้นที่ จึงให้ช่วยดูแลบ้านเอาไว้ บอกว่าจะมาอยู่ตอนเกษียณ ซึ่งผู้เป็นน้องก็ดูแลทรัพย์สมบัติ ที่เป็นของพ่อแม่ทิ้งไว้ให้เป็นอย่างดี
นายตำรวจผู้จะเกษียณนี้ มีลูกชายคนเดียวซึ่งมีครอบครัวที่มั่นคงแล้ว อยู่ในกรุงเทพ และมีบ้านของตัวเอง ผู้เป็นพ่อก็ขายบ้านกรุงเทพและแบ่งเงินให้ลูก แล้วขนเข้าของกลับไปบ้านเกิดเรียบร้อยแล้ว
เขาบอกว่าเตรียมตัวเรื่องนี้มานานแล้ว ยิ่งใกล้เกษียณก็เร่งวันเร่งคืน เนื่องจากเบื่อหน่ายกรุงเทพเป็นกำลัง
ผมฟังแล้วพูดหยอกเขาว่า ทนเสียงเพรียกจากบ้านเก่าไม่ได้หรือไง? เจ้าตัวตอบว่า รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ รุ่นน้องคนนี้ถามผมว่า
มีข้อแนะนำ ในการดำเนินชีวิตยามใกล้โพล้เพล้ อย่างไรบ้าง?
ชีวิตของผู้ที่รับราชการนั้น มีกำหนดการเกษียณแน่นอน ว่าครบ ๖๐ ปี ก็ต้องลาจากไปเว้นแต่บางอาชีพ ที่อาจทำราชการต่อไปได้เช่น ผู้พิพากษา อัยการ ตามรัฐธรรมนูญใหม่ แต่การเป็นตำรวจหรือข้าราชการหน่วยอื่นนั้น พอถึงอายุครบ ๕ รอบ ก็ต้องเกษียณอายุราชการกันหมด ผมจึงได้ให้ข้อแนะนำในฐานะรุ่นพี่ไป ว่า
สำคัญที่สุดคืออย่าคิดว่าเราเป็น ‘คนแก่’ โดยเด็ดขาด ถ้าจะคิดก็ขอเพียงให้ระลึกว่าวัยของเราสูงขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น การปฏิบัติตนหลังเกษียณ ต้องดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวังในทุกๆเรื่อง อะไรที่เคยทำตอนรับราชการ แล้วบั่นทอนต่อสุขภาพต้องเลิกเสีย อย่านอนดึกอีกต่อไป พยายามเข้านอนแต่หัวค่ำ
ต้องระลึกไว้เสมอว่า สุขภาพของเราเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะแม้เราจะมีบุตรหรือหลานคอยดูแลรักษา แต่การป่วยต่อเนื่องยาวนาน กลายเป็นเรื่องบั่นทอนความก้าวหน้าของพวกเขาไป โดยต้องทุ่มเทเวลามาดูแลรักษาเรา ซึ่งเป็นผู้ป่วย
นั่นไม่ใช่เรืองดีเลย!
ฉะนั้น ต้องหาตำรับตำราการดูแลรักษาสุขภาพ เรื่องของโรคผู้สูงอายุมาศึกษาให้เข้าใจหมั่นติดต่อกับแพทย์เป็นประจำไว้ แล้วขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด และต้องมีแพทย์ที่ให้คำปรึกษาเราได้เป็นอย่างดี เอาไว้อย่างน้อย ๑ คน (ถ้าทำได้)
เครื่องมือแพทย์ที่ใช้ประจำบ้านน่าจะมี เช่นเครื่องวัดความดันโลหิต ปรอทวัดไข้ เครื่องตรวจหาน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง อย่างนี้เราต้องมีติดบ้านไว้ แล้วตรวจวัดด้วยตนเองเป็นประจำ อย่างความดันโลหิตนั้น ผมวัดทุกเช้าเมื่อตื่นนอน ออกกำลังเสร็จก็วัดอีกครั้ง แล้วบันทึกไว้
ทุก ๓ เดือน ควรพบแพทย์เพื่อตรวจโลหิต ตรวจโรคทั่วๆไป
ในเรื่องการออกกำลังนั้น ก็ต้องพอเหมาะพอควร จะมาเอาอย่างผม ซึ่งออกกำลังมาตลอดชีวิตไม่ได้ เพราะมาถึงวันนี้ กิจวัตรประจำก็ยังชกกระสอบ ต่อยปั๊นชิ่งบอล และยิงปืนอยู่เป็นประจำ รวมทั้งยังขี่ม้าบ้างในบางโอกาส แม้ความฟิตหรือรูปร่าง อาจไม่ดีเท่าท่านประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซีย เพราะท่านอ่อนกว่าผมหลายปี ตามภาพที่เห็นนั้น ท่านกำลังพักผ่อนอิริยาบถ ด้วยการตกปลา แต่ดูโดยรวมๆแล้วก็ยังคิดว่า
ความบึ้กบั่กของตัวเอง ก็ไม่ได้เป็นรองท่านปูติน สักเท่าใดนัก!...๕๕๕
การที่เป็นห่วงเป็นใย ในกล้ามเนื้อตัวเองนั้น มีอยู่วันหนึ่ง ผมเอาเทปมาวัดกล้ามแขน สังเกตเห็นว่าเส้นรอบวงแขนลดลง เกิดความกลัวขึ้นมาว่า ใส่เสื้อยืดแล้วกล้าม จะไม่ขึ้นอวบเต็มแขนเสื้อ เดี๋ยวจะดูไม่ดีเหมือนเดิม เลยจัดตารางยกลูกเหล็กให้มากขึ้น
โหมไม่กี่วันกล้ามขึ้นมาเท่าเดิมก็จริง แต่เกิดอาการเจ็บกล้ามเนื้อแขนขวาขนาดหนัก อย่างไม่เคยเจ็บมาก่อน เลยต้องพักเพื่อบำบัดไปหลายวัน
จากนั้น ก็ไม่เคยหักโหมอีกเลย!!
นอกจากชายวัยเลขห้ากลางๆ ที่รักษาสุขภาพได้ดีอย่างผู้นำรัสเซียแล้ว ผู้หญิงที่อายุไล่เลี่ยกับท่านปูติน อย่างคุณ ‘เว่ย เสี่ยวเอ๋อ’ สาววัยแค่ ๕๔ ปี ซึ่งได้เข้ารอบทะลุถึงรอบท้าย เวทีประกวดซูเปอร์โมเดล ของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี ซึ่งเธอกลายเป็นดาวเด่น จุดสนใจของการประกวด ได้รับการบันทึกภาพมากที่สุด
เห็นรูปร่างหน้าตาเธอแล้ว ขนาดคนรู้จักซึ่งเขารุ่นราวคราวเดียวกับผม ซึ่งเจ้าตัวไม่ชอบควงสาวใหญ่มีอายุ เพราะนิยมแต่สตรีเพศวัย ๒๒-๒๙ ปีเท่านั้น ถึงกับอดพูดชมไม่ได้ว่า
รูปร่างหน้าตาขนาดนี้ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่คุณลุงคนไหนก็ตาม ก็คงเต็มใจพาเธอไปวัดไปวา ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า ก่อนเพล หรือเวลาค่ำๆ ได้ทั้งนั้น ...ไม่มีใครเกี่ยงแน่นอน
ใช่แต่แค่นั้นนะ
จะให้พาไปเล่นมอญซ่อนผ้า หรือจ้ำจี้มะเขือเปาะ กะเทาะหน้าแว่น พายเรืออกแอ่นที่ไหนๆ ก็คงจะไม่มีใครใจร้ายไส้ระกำ ปฏิเสธได้ลงคอ
ผมเองไม่มีความเห็น เพราะคำตอบมีอยู่ในใจแล้ว!...๕๕๕
สำหรับเรื่องการยิงปืนนั้น อยากจะบอกท่านผู้อ่านที่เป็นตำรวจว่า ใครที่เคยยิงปืนมา อย่าได้วางมือไปเสีย เพราะผมเคยเห็นฝรั่งอายุเกิน ๘๐ ยิงปืนทุกวัน แกใช้ปืนลมเบอร์ ๒ ตั้งเป้าแล้วยิงเป้าวงกลมในบ้าน แทนการไปสนามยิงปืน ยังยิงได้ดีเอามากๆทีเดียว เจ้าตัวบอกว่า การที่ได้ยิงปืนนั้น เป็นวิธีช่วยรักษาสายตา ให้เสื่อมช้าลง
นับแต่นั้นผมเอาตามอย่างเลย แม้จะไม่ยิงกระสุนจริง แต่การยกปืนขึ้นเล็งนั้น จะช่วยการฝึกสายตา บริหารลูกนัยน์ตา จะทำให้การใช้สายตาของเรายืนยาวออกไปได้
ผมเชื่ออย่างนั้น จึงได้จับและยิงปืนแทบทุกวัน ถ้าอยู่กรุงเทพใช้กระสุนจริงไม่ได้ ก็ใช้การ Dry fire หรือยิงแห้งเป็นประจำ และที่สำคัญคือ
ต้องมีการถ่ายพลังในตัว ให้กับลูกนัยน์ตา หรือสายตาเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจนคำแนะนำต่อไปนี้ อยากให้ท่านผู้อ่านลองทำดู
ก่อนเข้านอนและตื่นนอนในตอนเช้า ให้นอนหงายแล้วใช้ส่วนของมือทั้งสองข้าง ตรงบริเวณริมเนินนิ้วหัวแม่มือขวากับซ้าย กดลงตรงเบ้าตาให้ได้น้ำหนักพอสมควร โดยไม่ทำให้ตาเจ็บปิดแน่นไว้สัก ๑-๒ นาที แล้วเปิดออก
ทำติดต่อ ๓ ครั้ง แล้วท่านจะรู้สึกว่า สายตาดีขึ้นมากทีเดียว
ขอให้ท่านลองไปทำตามดู แล้วจะพบว่า มีความรู้สึกสบายลูกนัยน์ตามากขึ้น จนต้องทำสม่ำเสมอ ส่วนการตรวจตานั้น ก็ควรต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์ เดี๋ยวจะไปเข้าตำราไทยว่า
“เรือล่มเมื่อจอด ตาบอดเมื่อแก่”
เพราะหากเป็นอย่างนั้น อยู่ก็ดูสาวๆไม่ได้ ทำให้โลกไม่สดใส ชีวิตเราก็พลอยเฉาไปเลย!
ระหว่างการรับประทานอาหารกันในวันนั้น รุ่นพี่คนเก่งของผม ได้ถามเพื่อนรุ่นน้อง ที่มาขอคำแนะนำว่า การไปอยู่ต่างจังหวัดของเขานั้น เมื่อลูกหลานไม่คอยดูแลแล้ว จะทำอย่างไร? ได้รับคำตอบว่า ยังมีน้องและหลานๆ อยู่ใกล้ๆ ป่วยไข้ก็ไม่เป็นห่วง
ลูกพี่ผมผู้มีฝีปากเป็นที่ร่ำลือ ก็ลองหยอดคำถาม ต่อไปอีก ว่า
ไม่คิดหาของขวัญวันเกษียณ เป็นการให้รางวัลตัวเอง ด้วยการมีสาวๆ หรือภริยาคนใหม่ มาคอยช่วยดูแล ตอนอายุมากขึ้นบ้าง หรืออย่างไร?
ได้รับคำตอบ จากเพื่อนรุ่นน้องคนใกล้เกษียณ ดังนี้
เขาเองก็คิดอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ถึงกับรีบเร่งหรือตะเกียกตะกาย ในเรื่องที่ถูกถามแต่อย่างใด เพราะมีสิ่งที่ต้องทำ ตามที่ตั้งใจไว้อีกมาก โดยยกตัวอย่าง ว่า
มีหนังสือที่ซื้อหามานาน สำหรับอ่านตอนเกษียณ อ่านได้เป็นปีๆก็ไม่หมด นอกจากนั้น ยังคิดจะออกกำลังด้วยการทำสวน ซึ่งได้ศึกษาหาความรู้ เตรียมการเป็นเกษตรกรเอาไว้ก่อนล่วงหน้าถึงสามสี่ปี อยากจะลองวิชาที่ได้ศึกษามาเหลือกำลังแล้ว
สำหรับเรื่องหาสาวๆมาอยู่ด้วยนั้น เจ้าตัวแสดงความเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
พร้อมกับบอกว่า
“อีสานบ้านผม ฝรั่งทั้งที่เกษียณแล้ว และที่เออลี่รีไทร์ ต่างก็มุ่งหน้ามาหาเมียไทยปลูกบ้านปลูกช่องกันเต็มไปหมด คนไทยเกษียณอย่างผม คงต้องหาได้บ้างแหละครับ ไม่ยากไม่เย็นอะไรหรอกครับ...พี่ไม่ต้องเป็นห่วงผม”
เออ ไอ้นี่มันพูดเข้าท่า ดีจังแฮะ...แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไป ก็ได้ยินเสียงรุ่นพี่คนปากไวขยับมุก หยอดไปว่า
“ไม่ได้เป็นห่วงเอ็งหรอก แต่หวังจะพึ่งพาบ้าง เท่านั้นน่ะ”
พูดเบาๆ ก่อนอ้อนต่อ...
“หากเอ็งหาสาวๆเป็นเมียได้แล้ว ก็อย่าทำใจจืดใจดำ ลองดูๆเผื่อพี่ เผื่อเชื้อ ที่นั่งหัวโด่กันอยู่สองคนทางนี้บ้างนะ เอาสักแค่สี่ช้าห้าคนก็พอ...จะได้บุญมากเชียวนะเอ็ง...”
ดื่มน้ำมะตูมใส่น้ำแข็งหนึ่งอึก ก่อนพูดต่อว่า
“..แต่ต้องเอารุ่นใหม่ๆสดๆซิงๆ หน่อยนะ” ทอดจังหวะ จิบน้ำปาณะอีกนิด แล้วเอ่ยแบบสั่งเสีย
“อย่างรุ่นสังคโลก หรือรุ่นบ้านเชียง ของโปรดพวกอาจารย์อาวุโสทั้งหลาย ที่ชอบหลบเมียหลบผัว แอบไปสุมหัวกันแถวๆสำนัก ‘มหาวิทยาลัย-สองยาม’ แล้วจับคู่โรมรันพันตูกัน จนเป็นข่าว ให้อื้อฉาวไปทั้งประเทศ อย่างนั้นน่ะ...
ไม่ต้องเอามาเสนอ ให้พวกพี่...เป็นอันขาดเชียว นะเอ็ง! (เสียงเข้ม)...
ฝ่าฝืน...ด่าเช็ด...นะว้อยยยยย!!” ...๕๕๕
................
ท้ายบท ขอให้ท่านผู้อ่านที่เพิ่งเกษียณ...โชคดีมีสุขทุกท่านครับ!