เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว คุยกันเรื่องความสำเร็จด้านอวกาศของมนุษยชาติ เพื่อนเขาเล่าให้ฟังว่า สหรัฐอเมริกาใช้เงินหลายล้านเหรียญ ค้นคว้าวิจัยและประดิษฐ์ปากกาลูกลื่น สำหรับใช้เขียนบนได้บนยานอวกาศ เพราะปากกาลูกลื่นธรรมดา นำเอาไปใช้เขียนในสภาวะสุญญากาศบนยาน หมึกจะไม่ไหลออกมา แต่นักวิทยาศาสตร์เมืองลุงแซมเขาเก่ง ในที่สุดนวัตกรรมใหม่สำหรับการขีดเขียนบนอวกาศ ก็ถูกค้นคิดออกมาจนได้
คนอเมริกันไปถามชาวรัสเซียว่า มีปากกาใช้บนอวกาศอย่างพวกตัวบ้างหรือไม่? ได้รับคำตอบว่า “ไม่มี” คนอเมริกันสงสัยถามว่า
“อ้าว แล้วนักบินอวกาศของยู ใช้อะไรเขียนล่ะ?”
คนรัสเซียตอบทื่อๆว่า “ใช้ดินสอ”
ดูไปแล้ว ไม่รู้ว่าใครโง่ หรือฉลาดกันแน่ !

เมื่อพูดถึงเรื่องอวกาศแล้ว เมื่อปลายเดือนที่แล้วนี้เอง ข่าวที่ผมเองสนใจและตั้งใจเอาไว้แล้วว่า อย่างไรเสียจะต้องพูดถึงสักหน่อยเพราะโดนใจเหลือกำลัง ข่าวที่ว่านั้น สำนักข่าวเอพี.เขารายงาน และเว็บผู้จัดการของเราเอามาลงละเอียดยิบ แต่พอเล่าให้ฟังย่อๆ ได้ ว่า
นักบินอวกาศหญิงของ NASA หรือองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ ชื่อ ลิซา โนแวค (Lisa Nowak) วัย ๔๔ ปี ที่เป็นข่าวอื้อฉาว ยอมรับผิดแล้วกรณีที่เธอเข้าทำร้ายร่างกายหญิงคู่แข่งหัวใจ คอลลีน ชิปแมน (Colleen Shipman) อดีตนักบินอวกาศหญิงของนาซา และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของกระสวยอวกาศดิสคัฟเวอรี จนเป็นเหตุให้ ลิซา โนแวค ต้องหลุดออกจากหน้าที่การงานที่นาซา
ก่อนหน้านั้น เธอไม่เคยแสดงท่าทีสำนึกผิดใดๆ แต่ได้กลับคำให้การมายอมรับผิดต่อศาลภายหลัง ในการไปปรากฏตัวต่อศาลเมื่อปลายเดือนที่แล้ว พร้อมกับแสดงความเสียใจต่อคนที่เป็นศัตรูหัวใจของเธอ
พร้อมกันนั้น ลิซ่าผู้พ่ายรักและกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาสังคม ร้องขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งไม่ต้องให้เธอสวมใส่กำไลข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีไว้จับติดตามตัวอีกต่อไป และขอให้สื่อปล่อยเธอมีชีวิตเป็นอิสระ ปราศจากจากการติดตามเสียที
เหตุที่เกิดขึ้นนั้น นำความเสื่อมเสียมาสู่องค์กรสำคัญ มีชื่อเสียงของโลก และเป็นต้นสังกัดของหญิงคู่กรณี สืบเนื่องมาจากปัญหาความหึงหวงของลิซ่า โนแวค ที่มีต่อ บิล โอเฟไลน์ (Bill Oefelein) นักบินของกระสวยดิสคัฟเวอรีคนกลาง ซึ่งชายเจ้าเสน่ห์คนนี้ มีรักซ้อนซ่อนรัก อยู่กับหญิงพร้อมๆกันสองคนในเวลาเดียวกัน แต่วิชามีเมียทีละสองคนหรือหลายคนของอีตาคนนี้ยังไม่ถึงขั้น
เรื่องอื้อฉาวแบบนี้ จึงเกิดขึ้น!
(น่าจะมาเมืองไทย ฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับท่านประธานฯ ที่มีกลยุทธ์ดี มีเมียได้พร้อมกันทีละหลายๆคน ไม่เห็นจะมีเรื่องราวมีราวอะไร ทุกอย่างสงบราบเรียบดี)

ความรักทำให้ตาบอด จนเป็นเหตุให้โนแวค ขับรถจากที่ทำการนาซาที่ฮุสตัน รัฐเท็กซัส จนถึงเมืองออร์ลันโด ฟลอริดา ระยะทางกว่า ๑,๕๐๐ กิโลเมตร ด้วยเวลา ๑๒ ชั่วโมงโดยไม่มีการหยุดพัก เพื่อจัดการกับชิปแมน จนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาหยกๆ นี้เอง
ลมเพชรหึงหรือลมพายุใหญ่ ที่ตำราบอกว่าพัดดอกว่านหลุด ดูจะสู้มหาวาตะที่ก่อตัวจากความหึงจัด ของหญิงที่ถูกแย่งรักนั้นไม่ได้ เพราะดูช่างทรงพลังมหาศาลเสียเหลือเกิน แสดงให้เห็นว่าสามารถพัดพรวดเดียว ได้ระยะทางกว่า ๑,๕๐๐ กิโลเมตร เหนือจรดใต้เมืองไทยเลยทีเดียว โดยไม่ต้องหยุดเข้าห้องน้ำห้องท่าเสียด้วยซ้ำไป
ท่านผู้อ่านที่เป็นชาย อย่าได้ประมาทเชียว...
นี่เตือนกัน อย่างคนมีประสบการณ์นะจ๊ะ!...๕๕๕
ผมฟังเรื่องราว ของนักบินอวกาศแล้ว ให้สงสารทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้จริงๆ ต้องมาตกอยู่ ภายใต้สถานการณ์อันเลวร้ายอย่างนี้ ที่เราเรียกกันว่า
“รักสามเส้า”
คำว่า ‘รักสามเส้า’ น่าจะหมายถึงความสัมพันธ์โรแมนติก ที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลสามคน มีคนกลางอยู่หนึ่งคน คือ หญิงหนึ่งชายสอง หรือชายสองหญิงหนึ่ง ซึ่งเป็นได้ที่ทั้งสามคนมาโคจรมาพบกันโดยบังเอิญ ในสถานที่เดียวกัน หรือ
ชายหญิงสองคนอาจพบและมีความสัมพันธ์กันมาก่อน และมีคนที่สาม จะเป็นหญิงหรือชายแล้วแต่กรณี เข้ามายุ่มย่ามสอดแทรกเป็นมือที่สาม
สถานที่เกิดเหตุมักจะเป็นที่ทำงานเดียวกัน ฝรั่งเขาเรียกว่า Office Affair วงการเดียวกัน อะไรทำนองนี้!
ขอยกตัวอย่าง ที่คนเขียนเคยเห็นมาในชีวิตก็แล้วกัน เช่น
สมุห์บัญชีธนาคารชายหน้าตาหล่อเหลา เข้ามาทำงานใหม่ มีความสัมพันธ์กับเทลเลอร์ (พนักงานรับฝาก-ถอนเงิน) และพนักงานสินเชื่อสาว ในเวลาเดียวกัน สองสาวก็แย่งกันใหญ่ จนกระทั่งธนาคารสาขานั้นไม่เป็นปกติสุข ผู้จัดการต้องรายงานสำนักงานใหญ่ด้วยวาจา จนถูกย้ายกระสานซ่านเซ็นไปหมด
หรืออย่างเสมียนศาล กับหน้าบัลลังก์ กำลังสาวเต่งตึงทั้งคู่ และเป็นเพื่อนกันด้วย หลงรักผู้พิพากษาหนุ่มที่เพิ่งย้ายมาคนเดียวด้วยกัน รายนี้ยังไม่ทันจะมีเรื่อง ผู้พิพากษาย้ายไปเสียก่อน เพื่อนก็เลยแค่หมางกันไป
คุณหมอหนุ่มใหญ่ ทำงานใกล้ชิดกับพยาบาลสาวสวย ถูกใจกัน แต่เจ้ากรรมให้มีหมอหนุ่มน้อยเพิ่ง ผ่านอินเทอร์นมาหมาดๆ เข้ามาทำงานในโรงพยาบาล เกิดต้องตาต้องใจพยาบาลคนงามนี้อีกคน ความสงบสุขก็หายไปจากโรงพยาบาลเล็กๆแห่งนั้น ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ สิ่งที่มาทดแทนมีแต่เรื่องซุบซิบนินทา และความมึนตึงระหว่างคุณหมอด้วยกัน
มีตัวอย่างบางลักษณะ ไม่ได้เกิดในที่ทำงานเดียวกัน แต่อุบัติขึ้นในบ้านเดียวกัน ที่ชีวิตของคนเขียนเองได้ประสบพบเห็น มาถึงสามรายด้วย อยากจะขอเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังสักนิด
ในสมัยก่อนที่หอพักยังน้อย เด็กหนุ่มจากบ้านนอก เข้ามาเรียนหนังสือในบ้านกรุงเทพ ต้องมาอาศัยใบบุญญาติห่างๆอยู่เพื่อเรียนหนังสือ ในบ้านมีพี่น้องสองสาวลูกเจ้าของบ้าน ตกหลุมรักหนุ่มบ้านนอกที่ฐานะด้อยกว่าทั้งคู่ แย่งกันไปแย่งกันมา เลยได้เสียกับเจ้าหนุ่มทั้งพี่ทั้งน้อง
เจ้าหนุ่มโชคดีเลยไม่มีเมีย มีแต่พี่เมีย กับน้องเมีย!
มีอยู่รายหนึ่ง เมื่อหนุ่มผู้โชคดีมีเมียพี่เมียน้อง เมื่อเติบโต มีตำแหน่งหน้าที่การงานสำคัญ เมียที่เป็นพี่น้องคลานตามกันมา ชักจะออกอาการหึงหวง ลูกของแต่ละฝ่ายง่อดแง่ดใส่กัน ความสุขสงบในบ้านหาไม่ค่อยได้
ในที่สุดเมื่อวัยล่วงไป จนหนุ่มน้อยกลายเป็นหนุ่มใหญ่ อยู่ในวัยใกล้เกษียณ เกิดกลัดกลุ้มมากเข้า ไม่รู้จะแก้ปัญหาแบ่งปันกายาให้ลงตัวอย่างไรดี แกเลยคว้าเลขานุการิณีของตัวเอง เป็นเมียเพิ่มอีกคน แล้วทิ้งเบอร์หนึ่งกับเบอร์สอง ไปอยู่กับนัมเบอร์ทรีเสียเลย
ให้มันรู้แล้วรู้แร่ดไปเลย...๕๕๕
ส่วนเรื่องวงการเดียวกัน อย่างพวกดาราทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึง ตัวอย่างมีเห็นกันจนชิน แบบนี้คนบ้านผมเปิ้นฮ้อง ว่า
...ปะเลอะ ปะเต๋อ!
(แปลว่าเยอะแยะมากมาย)
เรื่อง Office Affair ที่มักเกิดในที่ทำการ สำนักงาน บริษัท ห้างร้าน ไม่เว้นแม้แต่สถานที่ราชการ เป็นเรื่องของกิเลส ตัณหา ราคะ เกิดขึ้นที่ใดก็เป็นทุกข์ที่นั่น ที่ทำงานบางแห่งถึงกับมีกฎเคร่งครัดเลยว่า ห้ามมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวในที่ทำงาน เพราะจะนำมาซึ่งความเสื่อมของชื่อเสียง ทั้งผู้ที่เข้าไปพัวพันในเรื่องรักๆใคร่ๆ และอาจนำความเสื่อเสียนั้น มาสู่ที่ทำงานอันเป็นสถาบันที่ของคนเหล่านั้นได้

กรณีของนักบินอวกาศหญิงของนาซ่า ซึ่งเราคนภายนอกอาจคิดว่า น่าจะมีสภาพจิตใจแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา เพราะผ่านการทดสอบมาแล้วอย่างทรหด แต่ไม่น่าเชื่อว่า
เธอพ่ายแพ้ต่อความรัก เพราะความอ่อนไหว ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของสตรีนั่นเอง!
เรื่องนี้จะไปตำหนิเธอฝ่ายเดียวไม่ได้แน่ ตัวการที่ผิดไม่แพ้ใครก็คือ เจ้านักบินอวกาศชายคือนายบิล โอเฟไลน์ นั่นแหละ น่าโขกกะโหลกนัก เพราะไม่รู้ว่าใช้หัวอะไรคิด ทำเหมือนไม่ได้ใช้หัวที่ตั้งอยู่บนบ่าคิดเสียบ้างเลยว่า
ตัวเองจะทำความเดือดร้อนมาสู่เพื่อนร่วมงาน แล้วนี่ไม่รู้ว่าแต่ละฝ่ายมีครอบครัวเดิมอยู่ด้วยหรือเปล่า?
ถ้าเป็นอย่างนั้นเข้าอีก ก็มีคนต้องทุกข์ร้อนอีก หลายคนทีเดียว!!
สำนวน “รักสามเส้า” นั้น อาจแปลความหมายไปในทางไม่ดี นำมาซึ่งความทุกข์ยาก แต่คำว่า “เส้า” หมายถึงอะไรนั้น ท่านที่เคยแต่งงานแล้ว คงจะจำได้ว่า ก่อนที่จะแต่งงานหากเป็นพิธีแบบไทย ก็ต้องผ่านพิธีการตามลำดับเริ่มตั้งแต่
พิธีสู่ขอ วันหมั้น ตักบาตรร่วมขัน แห่ขันหมาก ปิดประตูขันหมาก พิธีรดน้ำสังข์ พิธีรับไหว้ พิธีปูที่นอนและส่งตัวเจ้าสาว แล้วจบลงด้วย ธรรมเนียมการขอบคุณ
กระบวนพิธีทั้งหมดนี้ ลองหาอ่านดูในเรื่อง ‘สี่แผ่นดิน’ ของท่านอาจารย์ พล.ต.
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็จะสร้างความเข้าใจได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ยังไม่เคยแต่งงานก็อ่านได้
คนที่อยากจะแต่งงานอีกครั้ง (อย่างผู้เขียน) อ่านซ้ำอีกก็ได้ ไม่ผิดกติกาอันใดเลย!
ท่านที่เคยผ่านการแต่งงาน แบบไทยมาแล้ว คงจำได้ว่า สิ่งของมงคลที่ต้องเตรียมให้พรักพร้อมคือ ฟักเขียวหนึ่งผล น้ำหนึ่งหม้อ หินบดยา ถุงถั่วงา และแมวคราว มีความหมายว่า
“ให้เย็นเหมือนฟัก หนักเหมือนแฟง ให้อยู่เรือนเหมือนก้อนเส้า ให้เฝ้าเรือนเหมือนแมวคราว”
ส่วนน้ำหนึ่งหม้อนั้น หมายให้ถึงให้มีน้ำใจใสสะอาด และถุงถั่วงาเป็นตัวแทนของความเจริญรุ่งเรือง
แล้ว ‘ก้อนเส้า’ ล่ะครับ คืออะไรกันแน่? ตรงนี้อธิบายได้ว่า
ในการปลูกเรือนแบบไทยนั้น เมื่อขึ้นรูปเรือนแล้ว หากเป็นบ้านทรงไทยเริ่มสร้างเมื่อเจ้าของบ้านเริ่มชีวิตครอบครัว ก็จะมีห้องอยู่เพียงห้องเดียว เมื่อมีลูกก็ค่อยต่อเรือนเพิ่มขึ้นออกไปทางด้านซ้ายและขวา ระหว่างเรือนต่อทั้งสามด้าน ยกพื้นเป็นลานสำหรับเป็นส่วนกลางบ้าน ตรงนี้แหละเป็นสถานที่สำคัญ เพราะจะใช้เป็นที่ทำบุญเลี้ยงพระ นั่นหมายความว่า
ตัวเจ้าของบ้านเองเริมจะมีอายุ และมีฐานะขึ้นมาบ้างแล้ว เรือนก็ใหญ่ขึ้น หากท่านผู้อ่านไปดูเรือน ‘ขุนช้าง’ ที่สุพรรณบุรี จะได้เห็นชัดเจน เพราะพอเป็นเศรษฐีขึ้นมา ก็ต้องเลี้ยงนก โดยมีหอนกด้านหน้าตรงหน้าบันไดชั้นบนเรือน และตรงข้ามกับหอนกคือหอทนาย หรือที่นั่งของคนสนิท พอผู้คนที่ขึ้นเรือนมา ก็จะต้องพบกับคนสนิท หรือ “ทนายหน้าหอ” ก่อน
สำหรับครัวนั้น ที่อยู่บนเรือน คนไทยโบราณจะไม่ใช้เตา แต่จะใช้ก้อนดินหรือก้อนอิฐ หรือก้อนหิน เอามาตั้งต่างเตาไฟ ก้อนดิน อิฐ หรือ หินนี่แหละ ที่เราเรียกว่า
“ก้อนเส้า”
เป็นธรรมดาอยู่เองที่ก้อนเส้านั้น พอเราตั้งเรือนขึ้น เตาไฟที่ทำจากก้อนเส้านั้น ก็ต้องตั้งประจำอยู่ตรงจุดที่ใช้หุงหาอาหาร หรือครัวนั่นเอง
ก้อนเส้าก็ไม่เคยจะได้ขยับโยกย้ายไปไหน วางอยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงนั้น ไม่เคยเคลื่อนออกจากเรือน เขาเลยเอาไปเปรียบกับคู่สมรส ที่ “รู้อยู่” คืออยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่ออกไปเที่ยวที่ไหน แต่สำนวนนี้เน้นที่ฝ่ายชาย มากกว่าฝ่ายหญิง เพราะผู้หญิงไทยโบราณ มีหน้าที่ดูแลบ้านเรือนอยู่แล้ว
ก้อนเส้านั้นเป็นของดี แต่สามเส้าไม่ดีแน่ เพราะหากมีผู้ยืนอยู่ในตำแหน่งเส้าพร้อมกันทีเดียวทั้งสามจุด หรือสามเส้าแล้ว มักกลายเป็นเรื่องชิงรักหักสวาทกัน ซึ่งมักมีข่าวออกมาพาดหัวหนังสือพิมพ์ให้เห็นเสมอ เช่น
“ยุติรักสามเส้า ระเบิดขมับสาว แล้วฆ่าตัวตาม”
“รักสามเส้าแทงเมียดับ-ผัวใหม่เจ็บ”
ฯลฯ
นี่ลอกมาจากหนังสือพิมพ์ แบบไม่ดัดแปลงเลย!
เรื่องรักสามเส้านั้น ผมอยากจะเรียนท่านผู้อ่านที่มีอายุแล้ว ได้ผ่านชีวิตมามากพอสมควร จนไม่คิดจะไปสร้างนิยายเรื่อง ‘รักสามเส้า’ กับใครเขาได้อีกแล้ว ขอให้ใช้เวลาและประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง คอยสอดส่องบุตรหลานให้ดี
อย่าให้พวกเขาหรือเธอ ต้องตกอยู่ในวังวนอย่างนี้เป็นอันขาด นั่นหมายถึงท่านต้องเอาใจใส่สอดส่อง ติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่างเหมาะสม คอยพูดคุยกับเด็กของเรา ให้รู้ผิดถูก และต้องใส่ใจในการติดตามสั่งสอน ให้รู้จักการควบคุมตัวให้ดี ที่สำคัญคือ
ต้องสอนให้รู้จักการหักห้ามใจ เพาะเลี้ยงพวกเขาให้มีกำลังใจเข้มแข็ง รู้จักผิดถูก จนพอที่จะละทิ้งสิ่งที่ตนหลงรัก แต่มีอันตราย หรือปรารถนารักแล้วไม่สมหวัง ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แทนที่จะปล่อยให้รักชุลมุนแบบสามเส้านี้ เกิดเป็นพิษลุกลาม และทำลายบุตรหลานของเราลง
จนจบลงด้วย การเกิดเรื่อง...เศร้าๆ!
จำคำผมไว้ได้เลยว่า เรื่องรักสามเส้านั้น ถ้าไม่อยากให้จบลงแบบน่ากลัว ผู้ใหญ่อย่างเราๆนี่แหละสำคัญที่สุด ที่จะช่วยเด็กหรือผู้ที่อ่อนเยาว์ ผ่านห้วงวิกฤติไปได้ ถ้าใครที่แม้มิใช่พ่อแม่ผู้ปกครอง มีความสามารถในการพูดจา หรือเกลี้ยกล่อมให้เด็กของเรา หรือลูกหลานของคนรู้จัก พ้นจากความเลวร้ายตรงจุดนี้ได้ นับว่าได้บุญอักโขอยู่ทีเดียว
ที่นำเรื่องนี้มาพูดวันนี้ เพราะทำหน้าที่แทนพ่อแม่เด็กมาแล้วหลายครั้ง และเมื่อไม่กี่วันหยกๆ นี่เอง ก็ได้ทำหน้าที่นี้อีกครั้ง จึงเป็นเหตุให้ท่านได้อ่าน “รักสามเส้า” ในวันนี้
สุดท้ายก็อยากแนะนำ ว่า
หากมีบุตรชาย ต้องสั่งสอนให้รู้จักอยู่ในเรือน เหมือน ‘ก้อนเส้า’ นั่นแหละ
ทั้งปลอดภัย และดีสุดด้วย...ครับกระผม!
.........................
คนอเมริกันไปถามชาวรัสเซียว่า มีปากกาใช้บนอวกาศอย่างพวกตัวบ้างหรือไม่? ได้รับคำตอบว่า “ไม่มี” คนอเมริกันสงสัยถามว่า
“อ้าว แล้วนักบินอวกาศของยู ใช้อะไรเขียนล่ะ?”
คนรัสเซียตอบทื่อๆว่า “ใช้ดินสอ”
ดูไปแล้ว ไม่รู้ว่าใครโง่ หรือฉลาดกันแน่ !
เมื่อพูดถึงเรื่องอวกาศแล้ว เมื่อปลายเดือนที่แล้วนี้เอง ข่าวที่ผมเองสนใจและตั้งใจเอาไว้แล้วว่า อย่างไรเสียจะต้องพูดถึงสักหน่อยเพราะโดนใจเหลือกำลัง ข่าวที่ว่านั้น สำนักข่าวเอพี.เขารายงาน และเว็บผู้จัดการของเราเอามาลงละเอียดยิบ แต่พอเล่าให้ฟังย่อๆ ได้ ว่า
นักบินอวกาศหญิงของ NASA หรือองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ ชื่อ ลิซา โนแวค (Lisa Nowak) วัย ๔๔ ปี ที่เป็นข่าวอื้อฉาว ยอมรับผิดแล้วกรณีที่เธอเข้าทำร้ายร่างกายหญิงคู่แข่งหัวใจ คอลลีน ชิปแมน (Colleen Shipman) อดีตนักบินอวกาศหญิงของนาซา และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของกระสวยอวกาศดิสคัฟเวอรี จนเป็นเหตุให้ ลิซา โนแวค ต้องหลุดออกจากหน้าที่การงานที่นาซา
ก่อนหน้านั้น เธอไม่เคยแสดงท่าทีสำนึกผิดใดๆ แต่ได้กลับคำให้การมายอมรับผิดต่อศาลภายหลัง ในการไปปรากฏตัวต่อศาลเมื่อปลายเดือนที่แล้ว พร้อมกับแสดงความเสียใจต่อคนที่เป็นศัตรูหัวใจของเธอ
พร้อมกันนั้น ลิซ่าผู้พ่ายรักและกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาสังคม ร้องขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งไม่ต้องให้เธอสวมใส่กำไลข้อเท้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีไว้จับติดตามตัวอีกต่อไป และขอให้สื่อปล่อยเธอมีชีวิตเป็นอิสระ ปราศจากจากการติดตามเสียที
เหตุที่เกิดขึ้นนั้น นำความเสื่อมเสียมาสู่องค์กรสำคัญ มีชื่อเสียงของโลก และเป็นต้นสังกัดของหญิงคู่กรณี สืบเนื่องมาจากปัญหาความหึงหวงของลิซ่า โนแวค ที่มีต่อ บิล โอเฟไลน์ (Bill Oefelein) นักบินของกระสวยดิสคัฟเวอรีคนกลาง ซึ่งชายเจ้าเสน่ห์คนนี้ มีรักซ้อนซ่อนรัก อยู่กับหญิงพร้อมๆกันสองคนในเวลาเดียวกัน แต่วิชามีเมียทีละสองคนหรือหลายคนของอีตาคนนี้ยังไม่ถึงขั้น
เรื่องอื้อฉาวแบบนี้ จึงเกิดขึ้น!
(น่าจะมาเมืองไทย ฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับท่านประธานฯ ที่มีกลยุทธ์ดี มีเมียได้พร้อมกันทีละหลายๆคน ไม่เห็นจะมีเรื่องราวมีราวอะไร ทุกอย่างสงบราบเรียบดี)
ความรักทำให้ตาบอด จนเป็นเหตุให้โนแวค ขับรถจากที่ทำการนาซาที่ฮุสตัน รัฐเท็กซัส จนถึงเมืองออร์ลันโด ฟลอริดา ระยะทางกว่า ๑,๕๐๐ กิโลเมตร ด้วยเวลา ๑๒ ชั่วโมงโดยไม่มีการหยุดพัก เพื่อจัดการกับชิปแมน จนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาหยกๆ นี้เอง
ลมเพชรหึงหรือลมพายุใหญ่ ที่ตำราบอกว่าพัดดอกว่านหลุด ดูจะสู้มหาวาตะที่ก่อตัวจากความหึงจัด ของหญิงที่ถูกแย่งรักนั้นไม่ได้ เพราะดูช่างทรงพลังมหาศาลเสียเหลือเกิน แสดงให้เห็นว่าสามารถพัดพรวดเดียว ได้ระยะทางกว่า ๑,๕๐๐ กิโลเมตร เหนือจรดใต้เมืองไทยเลยทีเดียว โดยไม่ต้องหยุดเข้าห้องน้ำห้องท่าเสียด้วยซ้ำไป
ท่านผู้อ่านที่เป็นชาย อย่าได้ประมาทเชียว...
นี่เตือนกัน อย่างคนมีประสบการณ์นะจ๊ะ!...๕๕๕
ผมฟังเรื่องราว ของนักบินอวกาศแล้ว ให้สงสารทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้จริงๆ ต้องมาตกอยู่ ภายใต้สถานการณ์อันเลวร้ายอย่างนี้ ที่เราเรียกกันว่า
“รักสามเส้า”
คำว่า ‘รักสามเส้า’ น่าจะหมายถึงความสัมพันธ์โรแมนติก ที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลสามคน มีคนกลางอยู่หนึ่งคน คือ หญิงหนึ่งชายสอง หรือชายสองหญิงหนึ่ง ซึ่งเป็นได้ที่ทั้งสามคนมาโคจรมาพบกันโดยบังเอิญ ในสถานที่เดียวกัน หรือ
ชายหญิงสองคนอาจพบและมีความสัมพันธ์กันมาก่อน และมีคนที่สาม จะเป็นหญิงหรือชายแล้วแต่กรณี เข้ามายุ่มย่ามสอดแทรกเป็นมือที่สาม
สถานที่เกิดเหตุมักจะเป็นที่ทำงานเดียวกัน ฝรั่งเขาเรียกว่า Office Affair วงการเดียวกัน อะไรทำนองนี้!
ขอยกตัวอย่าง ที่คนเขียนเคยเห็นมาในชีวิตก็แล้วกัน เช่น
สมุห์บัญชีธนาคารชายหน้าตาหล่อเหลา เข้ามาทำงานใหม่ มีความสัมพันธ์กับเทลเลอร์ (พนักงานรับฝาก-ถอนเงิน) และพนักงานสินเชื่อสาว ในเวลาเดียวกัน สองสาวก็แย่งกันใหญ่ จนกระทั่งธนาคารสาขานั้นไม่เป็นปกติสุข ผู้จัดการต้องรายงานสำนักงานใหญ่ด้วยวาจา จนถูกย้ายกระสานซ่านเซ็นไปหมด
หรืออย่างเสมียนศาล กับหน้าบัลลังก์ กำลังสาวเต่งตึงทั้งคู่ และเป็นเพื่อนกันด้วย หลงรักผู้พิพากษาหนุ่มที่เพิ่งย้ายมาคนเดียวด้วยกัน รายนี้ยังไม่ทันจะมีเรื่อง ผู้พิพากษาย้ายไปเสียก่อน เพื่อนก็เลยแค่หมางกันไป
คุณหมอหนุ่มใหญ่ ทำงานใกล้ชิดกับพยาบาลสาวสวย ถูกใจกัน แต่เจ้ากรรมให้มีหมอหนุ่มน้อยเพิ่ง ผ่านอินเทอร์นมาหมาดๆ เข้ามาทำงานในโรงพยาบาล เกิดต้องตาต้องใจพยาบาลคนงามนี้อีกคน ความสงบสุขก็หายไปจากโรงพยาบาลเล็กๆแห่งนั้น ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ สิ่งที่มาทดแทนมีแต่เรื่องซุบซิบนินทา และความมึนตึงระหว่างคุณหมอด้วยกัน
มีตัวอย่างบางลักษณะ ไม่ได้เกิดในที่ทำงานเดียวกัน แต่อุบัติขึ้นในบ้านเดียวกัน ที่ชีวิตของคนเขียนเองได้ประสบพบเห็น มาถึงสามรายด้วย อยากจะขอเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังสักนิด
ในสมัยก่อนที่หอพักยังน้อย เด็กหนุ่มจากบ้านนอก เข้ามาเรียนหนังสือในบ้านกรุงเทพ ต้องมาอาศัยใบบุญญาติห่างๆอยู่เพื่อเรียนหนังสือ ในบ้านมีพี่น้องสองสาวลูกเจ้าของบ้าน ตกหลุมรักหนุ่มบ้านนอกที่ฐานะด้อยกว่าทั้งคู่ แย่งกันไปแย่งกันมา เลยได้เสียกับเจ้าหนุ่มทั้งพี่ทั้งน้อง
เจ้าหนุ่มโชคดีเลยไม่มีเมีย มีแต่พี่เมีย กับน้องเมีย!
มีอยู่รายหนึ่ง เมื่อหนุ่มผู้โชคดีมีเมียพี่เมียน้อง เมื่อเติบโต มีตำแหน่งหน้าที่การงานสำคัญ เมียที่เป็นพี่น้องคลานตามกันมา ชักจะออกอาการหึงหวง ลูกของแต่ละฝ่ายง่อดแง่ดใส่กัน ความสุขสงบในบ้านหาไม่ค่อยได้
ในที่สุดเมื่อวัยล่วงไป จนหนุ่มน้อยกลายเป็นหนุ่มใหญ่ อยู่ในวัยใกล้เกษียณ เกิดกลัดกลุ้มมากเข้า ไม่รู้จะแก้ปัญหาแบ่งปันกายาให้ลงตัวอย่างไรดี แกเลยคว้าเลขานุการิณีของตัวเอง เป็นเมียเพิ่มอีกคน แล้วทิ้งเบอร์หนึ่งกับเบอร์สอง ไปอยู่กับนัมเบอร์ทรีเสียเลย
ให้มันรู้แล้วรู้แร่ดไปเลย...๕๕๕
ส่วนเรื่องวงการเดียวกัน อย่างพวกดาราทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึง ตัวอย่างมีเห็นกันจนชิน แบบนี้คนบ้านผมเปิ้นฮ้อง ว่า
...ปะเลอะ ปะเต๋อ!
(แปลว่าเยอะแยะมากมาย)
เรื่อง Office Affair ที่มักเกิดในที่ทำการ สำนักงาน บริษัท ห้างร้าน ไม่เว้นแม้แต่สถานที่ราชการ เป็นเรื่องของกิเลส ตัณหา ราคะ เกิดขึ้นที่ใดก็เป็นทุกข์ที่นั่น ที่ทำงานบางแห่งถึงกับมีกฎเคร่งครัดเลยว่า ห้ามมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวในที่ทำงาน เพราะจะนำมาซึ่งความเสื่อมของชื่อเสียง ทั้งผู้ที่เข้าไปพัวพันในเรื่องรักๆใคร่ๆ และอาจนำความเสื่อเสียนั้น มาสู่ที่ทำงานอันเป็นสถาบันที่ของคนเหล่านั้นได้
กรณีของนักบินอวกาศหญิงของนาซ่า ซึ่งเราคนภายนอกอาจคิดว่า น่าจะมีสภาพจิตใจแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา เพราะผ่านการทดสอบมาแล้วอย่างทรหด แต่ไม่น่าเชื่อว่า
เธอพ่ายแพ้ต่อความรัก เพราะความอ่อนไหว ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของสตรีนั่นเอง!
เรื่องนี้จะไปตำหนิเธอฝ่ายเดียวไม่ได้แน่ ตัวการที่ผิดไม่แพ้ใครก็คือ เจ้านักบินอวกาศชายคือนายบิล โอเฟไลน์ นั่นแหละ น่าโขกกะโหลกนัก เพราะไม่รู้ว่าใช้หัวอะไรคิด ทำเหมือนไม่ได้ใช้หัวที่ตั้งอยู่บนบ่าคิดเสียบ้างเลยว่า
ตัวเองจะทำความเดือดร้อนมาสู่เพื่อนร่วมงาน แล้วนี่ไม่รู้ว่าแต่ละฝ่ายมีครอบครัวเดิมอยู่ด้วยหรือเปล่า?
ถ้าเป็นอย่างนั้นเข้าอีก ก็มีคนต้องทุกข์ร้อนอีก หลายคนทีเดียว!!
สำนวน “รักสามเส้า” นั้น อาจแปลความหมายไปในทางไม่ดี นำมาซึ่งความทุกข์ยาก แต่คำว่า “เส้า” หมายถึงอะไรนั้น ท่านที่เคยแต่งงานแล้ว คงจะจำได้ว่า ก่อนที่จะแต่งงานหากเป็นพิธีแบบไทย ก็ต้องผ่านพิธีการตามลำดับเริ่มตั้งแต่
พิธีสู่ขอ วันหมั้น ตักบาตรร่วมขัน แห่ขันหมาก ปิดประตูขันหมาก พิธีรดน้ำสังข์ พิธีรับไหว้ พิธีปูที่นอนและส่งตัวเจ้าสาว แล้วจบลงด้วย ธรรมเนียมการขอบคุณ
กระบวนพิธีทั้งหมดนี้ ลองหาอ่านดูในเรื่อง ‘สี่แผ่นดิน’ ของท่านอาจารย์ พล.ต.
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็จะสร้างความเข้าใจได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ยังไม่เคยแต่งงานก็อ่านได้
คนที่อยากจะแต่งงานอีกครั้ง (อย่างผู้เขียน) อ่านซ้ำอีกก็ได้ ไม่ผิดกติกาอันใดเลย!
ท่านที่เคยผ่านการแต่งงาน แบบไทยมาแล้ว คงจำได้ว่า สิ่งของมงคลที่ต้องเตรียมให้พรักพร้อมคือ ฟักเขียวหนึ่งผล น้ำหนึ่งหม้อ หินบดยา ถุงถั่วงา และแมวคราว มีความหมายว่า
“ให้เย็นเหมือนฟัก หนักเหมือนแฟง ให้อยู่เรือนเหมือนก้อนเส้า ให้เฝ้าเรือนเหมือนแมวคราว”
ส่วนน้ำหนึ่งหม้อนั้น หมายให้ถึงให้มีน้ำใจใสสะอาด และถุงถั่วงาเป็นตัวแทนของความเจริญรุ่งเรือง
แล้ว ‘ก้อนเส้า’ ล่ะครับ คืออะไรกันแน่? ตรงนี้อธิบายได้ว่า
ในการปลูกเรือนแบบไทยนั้น เมื่อขึ้นรูปเรือนแล้ว หากเป็นบ้านทรงไทยเริ่มสร้างเมื่อเจ้าของบ้านเริ่มชีวิตครอบครัว ก็จะมีห้องอยู่เพียงห้องเดียว เมื่อมีลูกก็ค่อยต่อเรือนเพิ่มขึ้นออกไปทางด้านซ้ายและขวา ระหว่างเรือนต่อทั้งสามด้าน ยกพื้นเป็นลานสำหรับเป็นส่วนกลางบ้าน ตรงนี้แหละเป็นสถานที่สำคัญ เพราะจะใช้เป็นที่ทำบุญเลี้ยงพระ นั่นหมายความว่า
ตัวเจ้าของบ้านเองเริมจะมีอายุ และมีฐานะขึ้นมาบ้างแล้ว เรือนก็ใหญ่ขึ้น หากท่านผู้อ่านไปดูเรือน ‘ขุนช้าง’ ที่สุพรรณบุรี จะได้เห็นชัดเจน เพราะพอเป็นเศรษฐีขึ้นมา ก็ต้องเลี้ยงนก โดยมีหอนกด้านหน้าตรงหน้าบันไดชั้นบนเรือน และตรงข้ามกับหอนกคือหอทนาย หรือที่นั่งของคนสนิท พอผู้คนที่ขึ้นเรือนมา ก็จะต้องพบกับคนสนิท หรือ “ทนายหน้าหอ” ก่อน
สำหรับครัวนั้น ที่อยู่บนเรือน คนไทยโบราณจะไม่ใช้เตา แต่จะใช้ก้อนดินหรือก้อนอิฐ หรือก้อนหิน เอามาตั้งต่างเตาไฟ ก้อนดิน อิฐ หรือ หินนี่แหละ ที่เราเรียกว่า
“ก้อนเส้า”
เป็นธรรมดาอยู่เองที่ก้อนเส้านั้น พอเราตั้งเรือนขึ้น เตาไฟที่ทำจากก้อนเส้านั้น ก็ต้องตั้งประจำอยู่ตรงจุดที่ใช้หุงหาอาหาร หรือครัวนั่นเอง
ก้อนเส้าก็ไม่เคยจะได้ขยับโยกย้ายไปไหน วางอยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงนั้น ไม่เคยเคลื่อนออกจากเรือน เขาเลยเอาไปเปรียบกับคู่สมรส ที่ “รู้อยู่” คืออยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่ออกไปเที่ยวที่ไหน แต่สำนวนนี้เน้นที่ฝ่ายชาย มากกว่าฝ่ายหญิง เพราะผู้หญิงไทยโบราณ มีหน้าที่ดูแลบ้านเรือนอยู่แล้ว
ก้อนเส้านั้นเป็นของดี แต่สามเส้าไม่ดีแน่ เพราะหากมีผู้ยืนอยู่ในตำแหน่งเส้าพร้อมกันทีเดียวทั้งสามจุด หรือสามเส้าแล้ว มักกลายเป็นเรื่องชิงรักหักสวาทกัน ซึ่งมักมีข่าวออกมาพาดหัวหนังสือพิมพ์ให้เห็นเสมอ เช่น
“ยุติรักสามเส้า ระเบิดขมับสาว แล้วฆ่าตัวตาม”
“รักสามเส้าแทงเมียดับ-ผัวใหม่เจ็บ”
ฯลฯ
นี่ลอกมาจากหนังสือพิมพ์ แบบไม่ดัดแปลงเลย!
เรื่องรักสามเส้านั้น ผมอยากจะเรียนท่านผู้อ่านที่มีอายุแล้ว ได้ผ่านชีวิตมามากพอสมควร จนไม่คิดจะไปสร้างนิยายเรื่อง ‘รักสามเส้า’ กับใครเขาได้อีกแล้ว ขอให้ใช้เวลาและประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง คอยสอดส่องบุตรหลานให้ดี
อย่าให้พวกเขาหรือเธอ ต้องตกอยู่ในวังวนอย่างนี้เป็นอันขาด นั่นหมายถึงท่านต้องเอาใจใส่สอดส่อง ติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาอย่างเหมาะสม คอยพูดคุยกับเด็กของเรา ให้รู้ผิดถูก และต้องใส่ใจในการติดตามสั่งสอน ให้รู้จักการควบคุมตัวให้ดี ที่สำคัญคือ
ต้องสอนให้รู้จักการหักห้ามใจ เพาะเลี้ยงพวกเขาให้มีกำลังใจเข้มแข็ง รู้จักผิดถูก จนพอที่จะละทิ้งสิ่งที่ตนหลงรัก แต่มีอันตราย หรือปรารถนารักแล้วไม่สมหวัง ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แทนที่จะปล่อยให้รักชุลมุนแบบสามเส้านี้ เกิดเป็นพิษลุกลาม และทำลายบุตรหลานของเราลง
จนจบลงด้วย การเกิดเรื่อง...เศร้าๆ!
จำคำผมไว้ได้เลยว่า เรื่องรักสามเส้านั้น ถ้าไม่อยากให้จบลงแบบน่ากลัว ผู้ใหญ่อย่างเราๆนี่แหละสำคัญที่สุด ที่จะช่วยเด็กหรือผู้ที่อ่อนเยาว์ ผ่านห้วงวิกฤติไปได้ ถ้าใครที่แม้มิใช่พ่อแม่ผู้ปกครอง มีความสามารถในการพูดจา หรือเกลี้ยกล่อมให้เด็กของเรา หรือลูกหลานของคนรู้จัก พ้นจากความเลวร้ายตรงจุดนี้ได้ นับว่าได้บุญอักโขอยู่ทีเดียว
ที่นำเรื่องนี้มาพูดวันนี้ เพราะทำหน้าที่แทนพ่อแม่เด็กมาแล้วหลายครั้ง และเมื่อไม่กี่วันหยกๆ นี่เอง ก็ได้ทำหน้าที่นี้อีกครั้ง จึงเป็นเหตุให้ท่านได้อ่าน “รักสามเส้า” ในวันนี้
สุดท้ายก็อยากแนะนำ ว่า
หากมีบุตรชาย ต้องสั่งสอนให้รู้จักอยู่ในเรือน เหมือน ‘ก้อนเส้า’ นั่นแหละ
ทั้งปลอดภัย และดีสุดด้วย...ครับกระผม!
.........................