เช้าวันนี้....จิบกาแฟขมแล้ว ตรวจดูข่าวสารเกี่ยวเนื่องกับ ‘เทปลับ’ ที่อ้างกันว่าได้มาจากการ‘ดักฟัง’ของบุคคลในแวดวงยุติธรรม จนมีการนำไปเปิดเผยท่ามกลางฝูงชนกลางสนามหลวง จริงเท็จอย่างไรนั้น ยังไม่มีการพิสูจน์ทราบกัน แต่ก็กลายเป็นประเด็นให้โจษจันกันใหญ่โต ในบ้านเมืองเราไปแล้วในตอนนี้แล้ว
เรื่องเทปลับ อันเป็นผลพวงของการ‘ดักฟัง’โทรศัพท์ ที่เปิดเผยออกมาครั้งนี้ ส่งผลให้สถาบันที่มีเกียรติซึ่งได้รับความไว้วางใจ และยกย่องจากผู้คนในบ้านเมืองมายาวนาน มีอันต้องหม่นหมองไปทันที แนวโน้มของความน่าเชื่อถือมีท่าทีว่าจะลดลง และยังอาจถูกมองไปในทิศทางอื่น รวมทั้งการเป็นปฏิปักษ์อย่างฉับพลันด้วย
เป็นเรื่องที่สร้างความ ‘สะเทือนใจ’ และน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เลยทีเดียว!

สิ่งที่ได้รับทราบมานั้น ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในอังกฤษ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นปีนี้เอง และกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลกด้วย จนถึงบัดนี้ยังคงเป็นเหตุให้ขุดคุ้ยกัน ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากศาลประเทศแม่บทประชาธิปไตย ได้สั่งลงโทษจำคุกนาย ไคลฟว์ กู๊ดแมน (Clive Goodman) บรรณาธิการข่าวพระราชสำนักของ "นิวส์ ออฟ เดอะ เวิล์ด" หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของอังกฤษ เป็นเวลา ๔ เดือน ด้วยข้อหา ‘ลักลอบดักฟังข้อความการสนทนา’ ผ่านโทรศัพท์มือถือ ของข้าราชบริพารในราชวงศ์อังกฤษ
ผมชอบใจคำกล่าวของผู้พิพากษาเมืองผู้ดี จัสติซ กรอส ที่ท่านประกาศออกมาว่า
“นี่คือพฤติกรรมที่ต่ำช้า สมควรได้รับโทษอย่างสูงสุด”
และยังอรรถาธิบาย ต่อไปด้วยว่า
“คดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพ หากแต่มันเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างร้ายแรง ไม่สามารถอภัยให้ได้ และเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ซึ่งเป้าหมายคือสมาชิกราชวงศ์ ซึ่งจัดอยู่ในสถานะพิเศษ ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นเรื่องร้ายแรง”
ความจริงแล้ว รัฐธรรมนูญปี พ.ศ.๒๕๔๐ ที่ถูกทหารฉีกทิ้งไปนั้น มีบทบัญญัติวางไว้ชัดเจนถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในการติดต่อสื่อสารกันทางโทรศัพท์ โดยรัฐไม่มีอำนาจเข้าสอดในเรื่องส่วนตัวของประชาชน ซึ่งมีบัญญัติเอาไว้ชัดเจนในมาตรา ๓๗ ว่า
“...บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยทางที่ชอบด้วยกฎหมาย การตรวจ การกัก หรือการเปิดเผยการสื่อสารที่บุคคลมีติดต่อถึงกัน รวมทั้งการกระทำด้วยประการอื่นใดเพื่อให้ล่วงรู้ถึงข้อความในสิ่งสื่อสาร ทั้งหลายที่บุคคลมีติดต่อถึงกัน จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน...”
หลักเกณฑ์นี้ มีวางอยู่ในแทบทุกประเทศ ที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งรับรองในสิทธิเสรีภาพ และความเป็นส่วนตัวของพลเมือง อันจะละเมิดมิได้ แต่อาจมีข้อยกเว้นเฉพาะในเรื่องการต่อต้านอาชญากรรม หรือเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมือง ซึ่งบางชาติอาจยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำเนินการดักฟังได้ โดยการอนุญาตของศาล เท่านั้น หากฝ่าฝืนจะมีโทษรุนแรง
ขอให้ท่านผู้อ่าน ดูตัวอย่างสหรัฐอเมริกา เมื่อประสพปัญหาการคุกคามจากผู้ก่อการร้าย ภายหลังจากเหตุการณ์ ๑๑ กันยาฯ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ลงนามอนุมัติให้หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ สามารถดักฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประเทศ และตรวจสอบอีเมล์ของพลเรือน โดยรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ อ้างว่า
การดักฟังโทรศัพท์เป็นเรื่องถูกต้อง และอยู่ภายใต้อำนาจของประธานาธิบดี!
องค์กรเสรีภาพของพลเรือนชาวอเมริกัน กลับไม่เห็นด้วย ได้ยื่นเอกสารคำร้องในนามของพลเมืองต่อศาลว่า การติดต่อไปยังต่างประเทศของพวกตนหลายต่อหลายครั้ง ได้ตกเป็นเป้าหมายของโครงการดังกล่าว ซึ่งแอบฟังการสนทนาระหว่างผู้คนในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นพลเมือง สถาบัน นักหนังสือพิมพ์ และนักกฎหมาย โดยระบุว่า
โครงการดักฟังโทรศัพท์ ของหน่วยความมั่นคงแห่งชาติ ได้สร้างความยุ่งยากในการทำงานให้แก่พวกเขา
แอนน์ บีสัน ผู้อำนวยการสมาคมกฎหมาย และหัวหน้าทนายฝ่ายโจทก์ ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
“ตามหลักการ แม้แต่ประธานาธิบดีก็ไม่อยู่เหนือกฎหมาย”
ไม่น่าเชื่อว่า ศาลแห่งสหพันธรัฐของสหรัฐฯ มีคำสั่งให้รัฐบาลกลางยุติโครงการดักฟังโทรศัพท์ ของหน่วยความมั่นคงแห่งชาติโดยทันที เนื่องจากขัดต่อรัฐธรรมนูญของประเทศ และภาคเอกชนไม่ยอม
แอนนา ดิกส์ เทย์เลอร์ ผู้พิพากษาศาลในเมืองดีทรอยต์ ซึ่งกลายเป็นผู้พิพากษา
คนแรก ที่ ‘คว่ำ’ โครงการดักฟังโทรศัพท์ ของหน่วยความมั่นคงแห่งชาติโดยระบุ ว่า
...โครงการดังกล่าวละเมิดสิทธิในการสนทนาอย่างเสรี และความเป็นส่วนตัว ในขณะเดียวกันก็ขัดต่อหลักการใช้อำนาจของประธานาธิบดี ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ....
“ฝ่ายโจทก์ชนะ และในกรณีนี้ ผลกระโยชน์สาธารณะก็เป็นที่กระจ่างชัด มันสนับสนุนต่อรัฐธรรมนูญ” ผู้พิพากษาเทย์เลอร์ ระบุอย่างชัดเจน
นี่คือสหรัฐอเมริกา ประเทศที่สิทธิเสรีภาพ เป็นสิ่งที่ประชาชนเขาหวงแหนยิ่งนัก!
เมืองไทยก็มีคดีดักฟังทางการเมือง ที่ ‘อื้อฉาว’ แต่เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้ผู้คนไม่สนใจในเรื่องนี้อีก และลืมไปในที่สุด วันนี้ต้องมารื้อฟื้นกัน เพราะผมเห็นว่า เป็นเรื่องสำคัญเลยทีเดียว
กรณีดักฟังที่อื้อฉาวที่สุด เกิดในสมัยรัฐบาล นายบรรหาร ศิลปะอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีนายสุรเกียรติ เสถียรไทย ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวิจิตร สุขพินิจ เป็นผู้ว่าการธนาคารชาติ ได้มีกล่าวหาอดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยนายหนึ่ง ที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการตลาดหลักทรัพย์ ว่า
เป็นเจ้าพนักงานองค์กรของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ล่วงรู้กิจการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากการปฏิบัติการตามหน้าที่ แล้วนำไปเปิดเผยแก่บุคคลอื่น,ล่วงรู้กิจการอันพึงสงวนไม่เปิดเผยของธนาคารพาณิชย์ อันเป็นกิจการที่ตามปกติวิสัย จะพึงสงวนไม่เปิดเผยแล้วนำไปเปิดเผยแก่บุคคลอื่น

พยานหลักฐานสำคัญคือ ข้อความที่ถอดจากแถบบันทึกเสียง ที่ได้มาจากการดำเนินการของสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สมัยนายภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์ เป็นผู้อำนวยการสำนักฯ ที่ลอบบันทึกเสียงการสนทนา ของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหากับบุคคลอื่น แต่คดีนี้พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องไปเรียบร้อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น
ทั้งนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย วิจิตร สุขพินิจ และ นายภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ ถูกอดีตรองผู้ว่าฯ ฟ้องศาลเปรี้ยงเข้าให้ ในข้อหาหมื่นประมาท จนต้องยอมขอขมาลงในหน้าหนังสือพิมพ์ ให้ขายขี้หน้าซ้ำเข้าไปอีก!
รายละเอียดของคดีนี้ มีเงื่อนงำที่สามารถใช้เป็นกรณีศึกษา เรื่องการลักลอบดักฟังโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังโดนสื่อสารมวลชน วิพากษ์วิจารณ์อย่างยับเยิน และผมยังเห็นเพิ่มเติมอีกด้วยว่า เป็นปฏิบัติการที่ ‘ห่วยแตก’ ที่สุด เท่าที่เคยมีประสบการณ์ในวงการข่าวกรองของผู้เขียนเอง
ข้อมูลเรื่องนี้ผมมีอยู่ครบถ้วน หากท่านผู้อ่านสนใจ อาจเขียนวิเคราะห์คดีนี้โดยละเอียด และอาจถือโอกาส ให้ลองพิจารณาตัวผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ ว่าจะมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หรือความผิดฐานอื่นอีกด้วยหรือไม่? ท่านอาจได้เห็นกันไวๆ นี้
สำหรับข้อเขียนของผมวันนี้ จะเล่าเรื่องการลักลอบดักฟังโทรศัพท์ ของรัฐบาลทักษิณให้ฟังกันบ้าง
ก่อนรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรชุดสุดท้าย จะถูกทหารเข้ายึดอำนาจ มีข่าวลือหลายอย่างเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ อันส่อไปในด้านความไม่โปร่งใสของการบริหาร
ที่สำคัญมีข่าวสารในเรื่องคอรัปชั่น เปิดเผยมาสู่สาธารณชนมากขึ้น รวมทั้งข่าวการต่อต้านการปฏิวัติ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลเก่า ก็มีการวางขุมกำลังไว้ป้องกันอย่างเต็มที่ ผนวกมาตรการทางด้านข่าวกรองที่ดูคล้ายเข้มงวด (แต่ประสิทธิภาพต่ำ) และด้วยมาตรการนี้เอง ได้มีเรื่องที่เผยแพร่ออกมา ทำให้วงการข่าวกรองต้องเช็คข่าวกันวุ่นวาย ข่าวดังกล่าวคือ
“การดักฟังโทรศัพท์การสนทนาของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กับบุคคลอื่น”
เมื่อทักษิณพ้นจากอำนาจ นายทหารบางคนออกมาบอกว่า เคยถูกดักฟังโทรศัพท์เหมือนกัน แต่ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ไม่มีคนทราบแน่ชัด ว่าใครเป็นคนดักฟัง หรือทักษิณเองเป็นผู้สั่งให้มีการดำเนินการเช่นนั้น แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่คนอยากรู้ ต้องไปสืบค้นกันเอง เพราะไม่มีใครที่ไหน ออกมาลอยหน้าลอยตารับว่า เป็นคนดำเนินการในเรื่องนี้
เพราะอาจถูกกระทืบ เอาได้ง่ายๆ!
ก่อนการรัฐประหารนั้น มีข่าวลับแพลมออกมาว่า พรรคพวกทักษิณมีเครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยี่ชั้นสูง สมารถหาข่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เครื่องไม้เครื่องมือเหล่านั้น หลายอย่างที่คนไทยไม่เคยเห็น อีกทั้งตัวอดีตนายกฯเอง ยังเป็นเจ้าของบริษัทสื่อสารด้วย
ข่าวลับเล็ดลอดออกมาว่า จุดที่มีการดักฟังมากที่สุดแห่งหนึ่ง คือสำนักงานบัญชี ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ ของหน่วยงานสำคัญ ที่มีการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่อยู่ในมือ มีการพูดกันในหมู่ประชาคมข่าวกรอง ว่า
ทักษิณให้มีสะกดรอยการใช้จ่ายเงิน ของคนที่ถือกระเป๋าเงินของหน่วย ซึ่งทำหน้าที่แจก จ่ายเงิน ‘ส่วนเกิน’ กับบรรดาผู้มีอำนาจในหน่วย รวมทั้งการแจก ‘พอคเก็ต-มันนี่’ ให้ตามคำขอบรรดาคุณนายทั้งหลาย (ทั้งบ้านใหญ่-บ้านเล็ก) ของผู้บังคับบัญชาหน่วยงานนั้นๆ ตอนเดินทางไปชอบปิ้ง หรือติดตามสามีไปต่างประเทศ จนบางแห่งมีข่าวพลอมแพลมออกไปทางบางสื่อด้วย!
หน่วยงานที่ต้องสงสัยมากที่สุด คือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ตั้งแต่ตั้งมาครึ่งทศวรรษแล้ว ยังเอาใครติดคุกไม่ได้ แม้แต่รายเดียว (มีแต่เจ้าหน้าที่ของกรมนี้ถูกดำเนินคดี แต่เวลาคุยหรือทำข่าว โม้ระเบิดเถิดเทิง!) ซึ่งท่านผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์นี้คงทราบว่า ผมขนานนามว่าเป็น ‘กรมทักษิณ’ เพราะอดีตนายกฯที่กำลังเล่นฟุตบอลอยู่อังกฤษ เป็นผู้ตั้งมากับมือ
ปรากฏว่า นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรมเอง ก็ได้ออกมายอมรับหลังการรัฐประหาร ว่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีเครื่องดักฟังโทรศัพท์อยู่ ๒ เครื่อง!!
วงการข่าวกรองยังลือกันหึ่งอีกว่า รัฐบาลทักษิณดักข้อความสำคัญ เอาไว้ได้เยอะ แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรบ้าง แต่ปรากฏให้เห็นเพียง ๑ ตัวอย่าง คือที่สนามหลวงนั่นเอง
ฟังอย่างนี้แล้ว ทักษิณและพรรคพวก น่าที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบเป็นอย่างมากในด้านการข่าวกรอง จนสามารถควบคุมความเคลื่อนไหวต่างๆ เอาไว้ได้โดยสิ้นเชิง แต่แล้วการที่อุดมไปด้วยผู้ร่วมงานที่ ‘มือไม่ถึง’ ทำให้...
เหตุการณ์กลับพลิกผัน รัฐบาลทักษิณจบลง ด้วยการรัฐประหาร!!
อย่างไรก็ตาม มีหลายคนเห็นว่าการดักฟังโทรศัพท์นั้น น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะฝ่ายทหารเข้ายึดอำนาจจากทักษิณได้ไม่ ๕ วัน ก็ได้ออกประกาศฉบับที่ ๒๑ ออกมา เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ซึ่งให้เหตุผลในการออกประกาศ ว่า
โดยที่ในระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการลักลอบดักฟัง ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผยข้อความ ที่มีการติดต่อทางโทรศัพท์ หรือเครื่องมือสื่อสารอื่น โดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการละเมิดเสรีภาพของบุคคลในการสื่อสารถึงกัน ก่อให้เกิดความหวาดระแวงกันทั่วไปในหมู่ประชาชน ผู้ใช้เครื่องมือสื่อสาร
ดังนั้น เพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงออกประกาศซึ่งมีสาระสำคัญพอสรุปได้คือ
ด้วยกฎหมายฉบับนี้ วางโทษผู้ใดดักฟัง ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผย ซึ่งข้อความที่มีการติดต่อทางโทรศัพท์ โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยกำหนดโทษจำคุก๕ ปี หรือปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากเป็นการดำเนินการ โดยผู้ได้รับอนุญาตให้บริการโทรศัพท์ หรือการสื่อสาร หรือเป็นผู้ได้รับสัมปทานการให้บริการดังกล่าว นอกจากต้องรับโทษตาม นอกจากรับโทษตามกฎหมายกำหนดแล้ว
ให้ใบอนุญาตหรือสัมปทานนั้น สิ้นสุดลงด้วย!
เรียกว่าเป็นการออก ‘กฎหมาย-ดักฟ้อง’ พวกลักลอบดักฟัง ขนาดถึงขั้นถอนสัมปทานกันเลยทีเดียว!!
ไม่น่าเชื่อว่า คปค.ซึ่งเป็นผู้ออกกฎหมาย ‘ห้ามการดักฟัง’ ดังกล่าวมาเอง แต่กลับปรากฏข่าวที่คาดไม่ถึงคือ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๐ พาดหัวว่า
‘สพรั่ง’ เขย่าทีโอทีร้อนระอุ ‘วุฒิพงษ์’ แฉถูกปลดเพราะค้านซื้อเครื่องดักฟัง
แถมนายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยาวัฒน์ อดีตนักเรียนสอบที่ ๑ ประเทศไทย ซึ่งถูกปลดจากบอร์ดผู้บริหารองค์การโทรศัพท์ ได้ออกมาแฉความไม่ชอบธรรมเรื่องงบ ๘๐๐ ล้าน ที่จะเอาไปประเคนกองทัพซื้อเครื่องดักฟังโทรศัพท์ชาวบ้าน ทำให้ผู้คนเขาฮือฮากัน
บอกตรงๆว่าไม่แปลกใจเลย เพราะคิดอยู่แล้วว่า ลองเอาพวกรัฐประหารเข้าไปบริหารกิจการบ้านเมือง โดยเฉพาะในรัฐวิสาหกิจ...เดี๋ยวก็ได้เรื่อง!
แต่สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็น ซึ่งสำคัญมากกว่าเรื่องเงิน ๘๐๐ ล้าน นั่นก็ คือ
คณะรัฐประหารออกคำสั่ง หรือกฎหมาย ‘ห้ามการดักฟัง’ ออกมาเองแท้ๆ แต่ยังไม่ทันที่ตัวจะยกเลิก หรือมีกฎหมายออกใหม่มา เพื่อเพิ่มอำนาจพวกของตนในการดักฟัง แต่ความพยายามการจัดซื้อเครื่องมาดักฟัง ก็เริ่มขึ้นแล้ว
หมายความว่า อย่างไรกัน!?
แย่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ได้ควักเอาเงินของกองทัพไทยเองด้วย นัยว่าเป็นการขอบริจาค ทำราวกับว่าเป็นกองทัพของพรรคกระยาจก จนต้องเร่ภิกขาจาร ขอเงินจากรัฐวิสาหกิจมาเพื่อซื้อสิ่งอุปกรณ์ที่อ้างว่าจำเป็น เพื่อกองทัพใช้ในการปฏิบัติภารกิจ ฟังแล้วไม่งามเลย
ทำราวกับว่าหน่วยงานที่ทหารเข้าไปควบคุม หลังการรัฐประหาร และบริหารเองด้วย นั้น กลายเป็นองค์กรการกุศล ไม่ใช่องค์กรที่จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งต้องมีกติกาสากลกำกับรัดกุม
ประชาชนคนในชาติ เขาไม่ได้ ‘กินแกลบ’ นะ...จะบอกให้!!
ยังดีที่พระสยามเทวาธิราช คุ้มครองประเทศเราอยู่จริงๆ ที่ความขัดแย้งในหมู่คณะกรรมการบริหาร องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย แตกโพละออกมาสู่ประชาชนเป็นเรื่องใหม่ หลังจากที่นายต่อตระกูล ยมนาค วิศวกรใหญ่ระดับปรมาจารย์ คู่ปรับขนานแท้ของทักษิณอีกคน หนึ่งในกรรมการการท่าอากาศยาน (ทหารควบคุมเหมือนกัน) ซึ่งได้รับมอบภารกิจ ให้ทำหน้าที่หลัก ในการตรวจสอบหาข้อบกพร่องทางวิศวกรรม ของการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ทีแรกก็พูดจาคล้ายกับว่า การก่อสร้างสนามบินแห่งนี้ไม่ได้มาตรฐาน มีอันตรายในการขึ้นลงราวกับว่าเป็น ‘นรก-แอร์พอร์ต’ เครื่องบินมาลง มีความเสี่ยงกับการพาผู้โดยสารมาตายหมู่ แต่ต่อมากลับได้ออกมาฟูมฟายคร่ำครวญ พร้อมแถลงความจริง พอสรุปได้ ว่า
....สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่ได้รับความเสียหาย เหมือนอย่างที่ได้รับการประโคมข่าวกัน จนทำให้สนามบินของชาติเรา ย่อยยับเรียบร้อยโรงเรียนรัฐประหารไปแล้ว แต่ความจริงกลายเป็นเรื่องกลั่นแกล้ง ‘ใส่ความ’ กันทั้งนั้น...
ผู้คนในบ้านในเมืองตกตะลึง ฟังแล้วอยากจะบ้า ระยำกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ!?
สงสัยจริงๆว่า ทำไมพวกเราคนไทยจึงวางเฉย ปล่อยให้ไอ้พวกเวรเหล่านี้ มันรุมทำร้ายบ้านเมืองของเราด้วยการสร้างเรื่องเท็จ เพียงเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงชื่อเสียงและประโยชน์ของชาติไทย บ้างเลยเชียวหรือนี่?
อยากรู้จริงๆว่า...จิตใจของพวกมันทำด้วยอะไรกัน? ถ้าคนโบราณเขาเห็นพฤติกรรมอย่างนี้ คงต้องอุทานว่า
เหมือน ‘ห่าลง...รุมแดกเมือง’ จริงๆ!!
ยิ่งกว่านั้น บอร์ดของ ทอท.ยังถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายสูงลิบลิ่ว เป็นจำนวนเงินถึงเกือบ ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมา ในประวัติศาสตร์การฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน จากบริษัทเอกชนซึ่งเป็นคู่สัญญากับรัฐ
อยากถามว่า
กรณีอย่างนี้ หากพลเมืองไทยคนไหน จะร้อง คตส. ให้ยึดทรัพย์กรรมการบอร์ดทุกๆคนเอาไว้ก่อน เช่นเดียวกับกรณียึดทรัพย์ทักษิณ ได้หรือไม่?
ทั้งนี้หาก ทอท. ต้องแพ้คดีบริษัทคิงส์ พาวเวอร์ จำกัด จะได้มีเงินชดใช้แทนรัฐแบบเดียวกับคดีอดีตนายกฯ เพราะกระทำให้เกิดความเสียหายกับรัฐ ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย
...ใครก็ได้ ช่วยคิดแทนผมทีเถอะครับ
อย่างไรก็ดี การฟ้องร้องระหว่างเอกชนกับรัฐครั้งนี้ นำความอื้อฉาวของความเป็นรัฐบาลเผด็จการของไทย ให้ขจรขจายไปสู่บริษัทชั้นนำต่างๆทั่วโลก ซึ่งเพิ่มความหวาดระแวง และสร้างบรรยากาศความไม่เป็นมิตร ทำให้คนต่างด้าวท้าวต่างแดน ไม่อยากเข้ามาลงทุน...
...ในบ้านเมือง ที่อยู่ ‘ใต้ท๊อบปบู้ท’ แบบนี้!?
นี่ไงครับ...ผลพวงของความฉิบหาย ของการเข้ายึดอำนาจไปจากประชาชน โดยบรรดาโลซก-ลกเจ๊กทั้งหลาย ขนาดเบาะๆ เพียงแค่ ๒ รายการเท่านั้นนะครับ...
ส่วนปลายตูดก็ยังโผล่โร่ออกมา กวัดแกว่งให้ผู้คนเห็น ‘สีแดงกระแจ๋แหว’ กันอย่าง...
...ชัดแจ๋ว ซะแล้ว!!!
....................
ท้ายบท ‘ไทยรัฐ’ เขาพาดหัวที่เล่าให้ฟังข้างต้นนั้น ยังไม่ได้ ‘มันส์’ เท่า‘ไทยโพสต์’ ของอีตา ‘เปลว สีเงิน’ แกเล่นพาดหัว ฉบับวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๐ ได้น่าประทับใจขาโจ่วจริงๆ ว่า
ความลับ ‘เกสตาโปพรั่ง’ ซื้อเครื่องดักฟังทั่วไทย!
แล้วโปรยข่าว ว่า
....ตกใจ! ความลับด้านความมั่นคงโผล่อีกแล้ว แฉอุปกรณ์ ๘๐๐ ล้านที่แท้เครื่องดักฟังโทรศัพท์เต็มระบบ ทหารเล่นบทเกสตาโป แท็ปโทรศัพท์พื้นฐานทีโอทีทั่วประเทศทั้ง ๓ ล้านเลขหมาย....
อ่านแล้ว ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี จึงอนุญาตแต่งกลอน เลียนร้อยกรองบทดัง
ชื่อ ‘โลกาภิวัตน์’ ของปราชญ์ใหญ่เมืองเพชร คือท่านอาจารย์ ล้อม เพ็งแก้ว ว่า
ทำไงได้ก็ปฏิวัติมันพัดผัน มาถึงวันฝนตกขี้หมูไหล
บันดาลให้พวกมากกระชากไป ความจัญไรบานสะพรั่งกันทั้งเมือง!
เรื่องเทปลับ อันเป็นผลพวงของการ‘ดักฟัง’โทรศัพท์ ที่เปิดเผยออกมาครั้งนี้ ส่งผลให้สถาบันที่มีเกียรติซึ่งได้รับความไว้วางใจ และยกย่องจากผู้คนในบ้านเมืองมายาวนาน มีอันต้องหม่นหมองไปทันที แนวโน้มของความน่าเชื่อถือมีท่าทีว่าจะลดลง และยังอาจถูกมองไปในทิศทางอื่น รวมทั้งการเป็นปฏิปักษ์อย่างฉับพลันด้วย
เป็นเรื่องที่สร้างความ ‘สะเทือนใจ’ และน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เลยทีเดียว!
สิ่งที่ได้รับทราบมานั้น ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในอังกฤษ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นปีนี้เอง และกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลกด้วย จนถึงบัดนี้ยังคงเป็นเหตุให้ขุดคุ้ยกัน ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากศาลประเทศแม่บทประชาธิปไตย ได้สั่งลงโทษจำคุกนาย ไคลฟว์ กู๊ดแมน (Clive Goodman) บรรณาธิการข่าวพระราชสำนักของ "นิวส์ ออฟ เดอะ เวิล์ด" หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของอังกฤษ เป็นเวลา ๔ เดือน ด้วยข้อหา ‘ลักลอบดักฟังข้อความการสนทนา’ ผ่านโทรศัพท์มือถือ ของข้าราชบริพารในราชวงศ์อังกฤษ
ผมชอบใจคำกล่าวของผู้พิพากษาเมืองผู้ดี จัสติซ กรอส ที่ท่านประกาศออกมาว่า
“นี่คือพฤติกรรมที่ต่ำช้า สมควรได้รับโทษอย่างสูงสุด”
และยังอรรถาธิบาย ต่อไปด้วยว่า
“คดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพ หากแต่มันเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างร้ายแรง ไม่สามารถอภัยให้ได้ และเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ซึ่งเป้าหมายคือสมาชิกราชวงศ์ ซึ่งจัดอยู่ในสถานะพิเศษ ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นเรื่องร้ายแรง”
ความจริงแล้ว รัฐธรรมนูญปี พ.ศ.๒๕๔๐ ที่ถูกทหารฉีกทิ้งไปนั้น มีบทบัญญัติวางไว้ชัดเจนถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในการติดต่อสื่อสารกันทางโทรศัพท์ โดยรัฐไม่มีอำนาจเข้าสอดในเรื่องส่วนตัวของประชาชน ซึ่งมีบัญญัติเอาไว้ชัดเจนในมาตรา ๓๗ ว่า
“...บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยทางที่ชอบด้วยกฎหมาย การตรวจ การกัก หรือการเปิดเผยการสื่อสารที่บุคคลมีติดต่อถึงกัน รวมทั้งการกระทำด้วยประการอื่นใดเพื่อให้ล่วงรู้ถึงข้อความในสิ่งสื่อสาร ทั้งหลายที่บุคคลมีติดต่อถึงกัน จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน...”
หลักเกณฑ์นี้ มีวางอยู่ในแทบทุกประเทศ ที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งรับรองในสิทธิเสรีภาพ และความเป็นส่วนตัวของพลเมือง อันจะละเมิดมิได้ แต่อาจมีข้อยกเว้นเฉพาะในเรื่องการต่อต้านอาชญากรรม หรือเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของชาติบ้านเมือง ซึ่งบางชาติอาจยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำเนินการดักฟังได้ โดยการอนุญาตของศาล เท่านั้น หากฝ่าฝืนจะมีโทษรุนแรง
ขอให้ท่านผู้อ่าน ดูตัวอย่างสหรัฐอเมริกา เมื่อประสพปัญหาการคุกคามจากผู้ก่อการร้าย ภายหลังจากเหตุการณ์ ๑๑ กันยาฯ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ลงนามอนุมัติให้หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ สามารถดักฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประเทศ และตรวจสอบอีเมล์ของพลเรือน โดยรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ อ้างว่า
การดักฟังโทรศัพท์เป็นเรื่องถูกต้อง และอยู่ภายใต้อำนาจของประธานาธิบดี!
องค์กรเสรีภาพของพลเรือนชาวอเมริกัน กลับไม่เห็นด้วย ได้ยื่นเอกสารคำร้องในนามของพลเมืองต่อศาลว่า การติดต่อไปยังต่างประเทศของพวกตนหลายต่อหลายครั้ง ได้ตกเป็นเป้าหมายของโครงการดังกล่าว ซึ่งแอบฟังการสนทนาระหว่างผู้คนในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นพลเมือง สถาบัน นักหนังสือพิมพ์ และนักกฎหมาย โดยระบุว่า
โครงการดักฟังโทรศัพท์ ของหน่วยความมั่นคงแห่งชาติ ได้สร้างความยุ่งยากในการทำงานให้แก่พวกเขา
แอนน์ บีสัน ผู้อำนวยการสมาคมกฎหมาย และหัวหน้าทนายฝ่ายโจทก์ ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
“ตามหลักการ แม้แต่ประธานาธิบดีก็ไม่อยู่เหนือกฎหมาย”
ไม่น่าเชื่อว่า ศาลแห่งสหพันธรัฐของสหรัฐฯ มีคำสั่งให้รัฐบาลกลางยุติโครงการดักฟังโทรศัพท์ ของหน่วยความมั่นคงแห่งชาติโดยทันที เนื่องจากขัดต่อรัฐธรรมนูญของประเทศ และภาคเอกชนไม่ยอม
แอนนา ดิกส์ เทย์เลอร์ ผู้พิพากษาศาลในเมืองดีทรอยต์ ซึ่งกลายเป็นผู้พิพากษา
คนแรก ที่ ‘คว่ำ’ โครงการดักฟังโทรศัพท์ ของหน่วยความมั่นคงแห่งชาติโดยระบุ ว่า
...โครงการดังกล่าวละเมิดสิทธิในการสนทนาอย่างเสรี และความเป็นส่วนตัว ในขณะเดียวกันก็ขัดต่อหลักการใช้อำนาจของประธานาธิบดี ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ....
“ฝ่ายโจทก์ชนะ และในกรณีนี้ ผลกระโยชน์สาธารณะก็เป็นที่กระจ่างชัด มันสนับสนุนต่อรัฐธรรมนูญ” ผู้พิพากษาเทย์เลอร์ ระบุอย่างชัดเจน
นี่คือสหรัฐอเมริกา ประเทศที่สิทธิเสรีภาพ เป็นสิ่งที่ประชาชนเขาหวงแหนยิ่งนัก!
เมืองไทยก็มีคดีดักฟังทางการเมือง ที่ ‘อื้อฉาว’ แต่เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้ผู้คนไม่สนใจในเรื่องนี้อีก และลืมไปในที่สุด วันนี้ต้องมารื้อฟื้นกัน เพราะผมเห็นว่า เป็นเรื่องสำคัญเลยทีเดียว
กรณีดักฟังที่อื้อฉาวที่สุด เกิดในสมัยรัฐบาล นายบรรหาร ศิลปะอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีนายสุรเกียรติ เสถียรไทย ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวิจิตร สุขพินิจ เป็นผู้ว่าการธนาคารชาติ ได้มีกล่าวหาอดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยนายหนึ่ง ที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการตลาดหลักทรัพย์ ว่า
เป็นเจ้าพนักงานองค์กรของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ล่วงรู้กิจการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากการปฏิบัติการตามหน้าที่ แล้วนำไปเปิดเผยแก่บุคคลอื่น,ล่วงรู้กิจการอันพึงสงวนไม่เปิดเผยของธนาคารพาณิชย์ อันเป็นกิจการที่ตามปกติวิสัย จะพึงสงวนไม่เปิดเผยแล้วนำไปเปิดเผยแก่บุคคลอื่น
พยานหลักฐานสำคัญคือ ข้อความที่ถอดจากแถบบันทึกเสียง ที่ได้มาจากการดำเนินการของสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สมัยนายภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์ เป็นผู้อำนวยการสำนักฯ ที่ลอบบันทึกเสียงการสนทนา ของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหากับบุคคลอื่น แต่คดีนี้พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องไปเรียบร้อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น
ทั้งนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย วิจิตร สุขพินิจ และ นายภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ ถูกอดีตรองผู้ว่าฯ ฟ้องศาลเปรี้ยงเข้าให้ ในข้อหาหมื่นประมาท จนต้องยอมขอขมาลงในหน้าหนังสือพิมพ์ ให้ขายขี้หน้าซ้ำเข้าไปอีก!
รายละเอียดของคดีนี้ มีเงื่อนงำที่สามารถใช้เป็นกรณีศึกษา เรื่องการลักลอบดักฟังโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังโดนสื่อสารมวลชน วิพากษ์วิจารณ์อย่างยับเยิน และผมยังเห็นเพิ่มเติมอีกด้วยว่า เป็นปฏิบัติการที่ ‘ห่วยแตก’ ที่สุด เท่าที่เคยมีประสบการณ์ในวงการข่าวกรองของผู้เขียนเอง
ข้อมูลเรื่องนี้ผมมีอยู่ครบถ้วน หากท่านผู้อ่านสนใจ อาจเขียนวิเคราะห์คดีนี้โดยละเอียด และอาจถือโอกาส ให้ลองพิจารณาตัวผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ ว่าจะมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หรือความผิดฐานอื่นอีกด้วยหรือไม่? ท่านอาจได้เห็นกันไวๆ นี้
สำหรับข้อเขียนของผมวันนี้ จะเล่าเรื่องการลักลอบดักฟังโทรศัพท์ ของรัฐบาลทักษิณให้ฟังกันบ้าง
ก่อนรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรชุดสุดท้าย จะถูกทหารเข้ายึดอำนาจ มีข่าวลือหลายอย่างเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ อันส่อไปในด้านความไม่โปร่งใสของการบริหาร
ที่สำคัญมีข่าวสารในเรื่องคอรัปชั่น เปิดเผยมาสู่สาธารณชนมากขึ้น รวมทั้งข่าวการต่อต้านการปฏิวัติ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลเก่า ก็มีการวางขุมกำลังไว้ป้องกันอย่างเต็มที่ ผนวกมาตรการทางด้านข่าวกรองที่ดูคล้ายเข้มงวด (แต่ประสิทธิภาพต่ำ) และด้วยมาตรการนี้เอง ได้มีเรื่องที่เผยแพร่ออกมา ทำให้วงการข่าวกรองต้องเช็คข่าวกันวุ่นวาย ข่าวดังกล่าวคือ
“การดักฟังโทรศัพท์การสนทนาของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กับบุคคลอื่น”
เมื่อทักษิณพ้นจากอำนาจ นายทหารบางคนออกมาบอกว่า เคยถูกดักฟังโทรศัพท์เหมือนกัน แต่ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ไม่มีคนทราบแน่ชัด ว่าใครเป็นคนดักฟัง หรือทักษิณเองเป็นผู้สั่งให้มีการดำเนินการเช่นนั้น แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่คนอยากรู้ ต้องไปสืบค้นกันเอง เพราะไม่มีใครที่ไหน ออกมาลอยหน้าลอยตารับว่า เป็นคนดำเนินการในเรื่องนี้
เพราะอาจถูกกระทืบ เอาได้ง่ายๆ!
ก่อนการรัฐประหารนั้น มีข่าวลับแพลมออกมาว่า พรรคพวกทักษิณมีเครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยี่ชั้นสูง สมารถหาข่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เครื่องไม้เครื่องมือเหล่านั้น หลายอย่างที่คนไทยไม่เคยเห็น อีกทั้งตัวอดีตนายกฯเอง ยังเป็นเจ้าของบริษัทสื่อสารด้วย
ข่าวลับเล็ดลอดออกมาว่า จุดที่มีการดักฟังมากที่สุดแห่งหนึ่ง คือสำนักงานบัญชี ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ ของหน่วยงานสำคัญ ที่มีการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่อยู่ในมือ มีการพูดกันในหมู่ประชาคมข่าวกรอง ว่า
ทักษิณให้มีสะกดรอยการใช้จ่ายเงิน ของคนที่ถือกระเป๋าเงินของหน่วย ซึ่งทำหน้าที่แจก จ่ายเงิน ‘ส่วนเกิน’ กับบรรดาผู้มีอำนาจในหน่วย รวมทั้งการแจก ‘พอคเก็ต-มันนี่’ ให้ตามคำขอบรรดาคุณนายทั้งหลาย (ทั้งบ้านใหญ่-บ้านเล็ก) ของผู้บังคับบัญชาหน่วยงานนั้นๆ ตอนเดินทางไปชอบปิ้ง หรือติดตามสามีไปต่างประเทศ จนบางแห่งมีข่าวพลอมแพลมออกไปทางบางสื่อด้วย!
หน่วยงานที่ต้องสงสัยมากที่สุด คือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ตั้งแต่ตั้งมาครึ่งทศวรรษแล้ว ยังเอาใครติดคุกไม่ได้ แม้แต่รายเดียว (มีแต่เจ้าหน้าที่ของกรมนี้ถูกดำเนินคดี แต่เวลาคุยหรือทำข่าว โม้ระเบิดเถิดเทิง!) ซึ่งท่านผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์นี้คงทราบว่า ผมขนานนามว่าเป็น ‘กรมทักษิณ’ เพราะอดีตนายกฯที่กำลังเล่นฟุตบอลอยู่อังกฤษ เป็นผู้ตั้งมากับมือ
ปรากฏว่า นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรมเอง ก็ได้ออกมายอมรับหลังการรัฐประหาร ว่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีเครื่องดักฟังโทรศัพท์อยู่ ๒ เครื่อง!!
วงการข่าวกรองยังลือกันหึ่งอีกว่า รัฐบาลทักษิณดักข้อความสำคัญ เอาไว้ได้เยอะ แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรบ้าง แต่ปรากฏให้เห็นเพียง ๑ ตัวอย่าง คือที่สนามหลวงนั่นเอง
ฟังอย่างนี้แล้ว ทักษิณและพรรคพวก น่าที่จะเป็นฝ่ายได้เปรียบเป็นอย่างมากในด้านการข่าวกรอง จนสามารถควบคุมความเคลื่อนไหวต่างๆ เอาไว้ได้โดยสิ้นเชิง แต่แล้วการที่อุดมไปด้วยผู้ร่วมงานที่ ‘มือไม่ถึง’ ทำให้...
เหตุการณ์กลับพลิกผัน รัฐบาลทักษิณจบลง ด้วยการรัฐประหาร!!
อย่างไรก็ตาม มีหลายคนเห็นว่าการดักฟังโทรศัพท์นั้น น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะฝ่ายทหารเข้ายึดอำนาจจากทักษิณได้ไม่ ๕ วัน ก็ได้ออกประกาศฉบับที่ ๒๑ ออกมา เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ซึ่งให้เหตุผลในการออกประกาศ ว่า
โดยที่ในระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการลักลอบดักฟัง ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผยข้อความ ที่มีการติดต่อทางโทรศัพท์ หรือเครื่องมือสื่อสารอื่น โดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการละเมิดเสรีภาพของบุคคลในการสื่อสารถึงกัน ก่อให้เกิดความหวาดระแวงกันทั่วไปในหมู่ประชาชน ผู้ใช้เครื่องมือสื่อสาร
ดังนั้น เพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการสื่อสารถึงกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงออกประกาศซึ่งมีสาระสำคัญพอสรุปได้คือ
ด้วยกฎหมายฉบับนี้ วางโทษผู้ใดดักฟัง ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผย ซึ่งข้อความที่มีการติดต่อทางโทรศัพท์ โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยกำหนดโทษจำคุก๕ ปี หรือปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
หากเป็นการดำเนินการ โดยผู้ได้รับอนุญาตให้บริการโทรศัพท์ หรือการสื่อสาร หรือเป็นผู้ได้รับสัมปทานการให้บริการดังกล่าว นอกจากต้องรับโทษตาม นอกจากรับโทษตามกฎหมายกำหนดแล้ว
ให้ใบอนุญาตหรือสัมปทานนั้น สิ้นสุดลงด้วย!
เรียกว่าเป็นการออก ‘กฎหมาย-ดักฟ้อง’ พวกลักลอบดักฟัง ขนาดถึงขั้นถอนสัมปทานกันเลยทีเดียว!!
ไม่น่าเชื่อว่า คปค.ซึ่งเป็นผู้ออกกฎหมาย ‘ห้ามการดักฟัง’ ดังกล่าวมาเอง แต่กลับปรากฏข่าวที่คาดไม่ถึงคือ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๐ พาดหัวว่า
‘สพรั่ง’ เขย่าทีโอทีร้อนระอุ ‘วุฒิพงษ์’ แฉถูกปลดเพราะค้านซื้อเครื่องดักฟัง
แถมนายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยาวัฒน์ อดีตนักเรียนสอบที่ ๑ ประเทศไทย ซึ่งถูกปลดจากบอร์ดผู้บริหารองค์การโทรศัพท์ ได้ออกมาแฉความไม่ชอบธรรมเรื่องงบ ๘๐๐ ล้าน ที่จะเอาไปประเคนกองทัพซื้อเครื่องดักฟังโทรศัพท์ชาวบ้าน ทำให้ผู้คนเขาฮือฮากัน
บอกตรงๆว่าไม่แปลกใจเลย เพราะคิดอยู่แล้วว่า ลองเอาพวกรัฐประหารเข้าไปบริหารกิจการบ้านเมือง โดยเฉพาะในรัฐวิสาหกิจ...เดี๋ยวก็ได้เรื่อง!
แต่สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็น ซึ่งสำคัญมากกว่าเรื่องเงิน ๘๐๐ ล้าน นั่นก็ คือ
คณะรัฐประหารออกคำสั่ง หรือกฎหมาย ‘ห้ามการดักฟัง’ ออกมาเองแท้ๆ แต่ยังไม่ทันที่ตัวจะยกเลิก หรือมีกฎหมายออกใหม่มา เพื่อเพิ่มอำนาจพวกของตนในการดักฟัง แต่ความพยายามการจัดซื้อเครื่องมาดักฟัง ก็เริ่มขึ้นแล้ว
หมายความว่า อย่างไรกัน!?
แย่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ได้ควักเอาเงินของกองทัพไทยเองด้วย นัยว่าเป็นการขอบริจาค ทำราวกับว่าเป็นกองทัพของพรรคกระยาจก จนต้องเร่ภิกขาจาร ขอเงินจากรัฐวิสาหกิจมาเพื่อซื้อสิ่งอุปกรณ์ที่อ้างว่าจำเป็น เพื่อกองทัพใช้ในการปฏิบัติภารกิจ ฟังแล้วไม่งามเลย
ทำราวกับว่าหน่วยงานที่ทหารเข้าไปควบคุม หลังการรัฐประหาร และบริหารเองด้วย นั้น กลายเป็นองค์กรการกุศล ไม่ใช่องค์กรที่จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งต้องมีกติกาสากลกำกับรัดกุม
ประชาชนคนในชาติ เขาไม่ได้ ‘กินแกลบ’ นะ...จะบอกให้!!
ยังดีที่พระสยามเทวาธิราช คุ้มครองประเทศเราอยู่จริงๆ ที่ความขัดแย้งในหมู่คณะกรรมการบริหาร องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย แตกโพละออกมาสู่ประชาชนเป็นเรื่องใหม่ หลังจากที่นายต่อตระกูล ยมนาค วิศวกรใหญ่ระดับปรมาจารย์ คู่ปรับขนานแท้ของทักษิณอีกคน หนึ่งในกรรมการการท่าอากาศยาน (ทหารควบคุมเหมือนกัน) ซึ่งได้รับมอบภารกิจ ให้ทำหน้าที่หลัก ในการตรวจสอบหาข้อบกพร่องทางวิศวกรรม ของการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ทีแรกก็พูดจาคล้ายกับว่า การก่อสร้างสนามบินแห่งนี้ไม่ได้มาตรฐาน มีอันตรายในการขึ้นลงราวกับว่าเป็น ‘นรก-แอร์พอร์ต’ เครื่องบินมาลง มีความเสี่ยงกับการพาผู้โดยสารมาตายหมู่ แต่ต่อมากลับได้ออกมาฟูมฟายคร่ำครวญ พร้อมแถลงความจริง พอสรุปได้ ว่า
....สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่ได้รับความเสียหาย เหมือนอย่างที่ได้รับการประโคมข่าวกัน จนทำให้สนามบินของชาติเรา ย่อยยับเรียบร้อยโรงเรียนรัฐประหารไปแล้ว แต่ความจริงกลายเป็นเรื่องกลั่นแกล้ง ‘ใส่ความ’ กันทั้งนั้น...
ผู้คนในบ้านในเมืองตกตะลึง ฟังแล้วอยากจะบ้า ระยำกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ!?
สงสัยจริงๆว่า ทำไมพวกเราคนไทยจึงวางเฉย ปล่อยให้ไอ้พวกเวรเหล่านี้ มันรุมทำร้ายบ้านเมืองของเราด้วยการสร้างเรื่องเท็จ เพียงเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงชื่อเสียงและประโยชน์ของชาติไทย บ้างเลยเชียวหรือนี่?
อยากรู้จริงๆว่า...จิตใจของพวกมันทำด้วยอะไรกัน? ถ้าคนโบราณเขาเห็นพฤติกรรมอย่างนี้ คงต้องอุทานว่า
เหมือน ‘ห่าลง...รุมแดกเมือง’ จริงๆ!!
ยิ่งกว่านั้น บอร์ดของ ทอท.ยังถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายสูงลิบลิ่ว เป็นจำนวนเงินถึงเกือบ ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมา ในประวัติศาสตร์การฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทน จากบริษัทเอกชนซึ่งเป็นคู่สัญญากับรัฐ
อยากถามว่า
กรณีอย่างนี้ หากพลเมืองไทยคนไหน จะร้อง คตส. ให้ยึดทรัพย์กรรมการบอร์ดทุกๆคนเอาไว้ก่อน เช่นเดียวกับกรณียึดทรัพย์ทักษิณ ได้หรือไม่?
ทั้งนี้หาก ทอท. ต้องแพ้คดีบริษัทคิงส์ พาวเวอร์ จำกัด จะได้มีเงินชดใช้แทนรัฐแบบเดียวกับคดีอดีตนายกฯ เพราะกระทำให้เกิดความเสียหายกับรัฐ ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย
...ใครก็ได้ ช่วยคิดแทนผมทีเถอะครับ
อย่างไรก็ดี การฟ้องร้องระหว่างเอกชนกับรัฐครั้งนี้ นำความอื้อฉาวของความเป็นรัฐบาลเผด็จการของไทย ให้ขจรขจายไปสู่บริษัทชั้นนำต่างๆทั่วโลก ซึ่งเพิ่มความหวาดระแวง และสร้างบรรยากาศความไม่เป็นมิตร ทำให้คนต่างด้าวท้าวต่างแดน ไม่อยากเข้ามาลงทุน...
...ในบ้านเมือง ที่อยู่ ‘ใต้ท๊อบปบู้ท’ แบบนี้!?
นี่ไงครับ...ผลพวงของความฉิบหาย ของการเข้ายึดอำนาจไปจากประชาชน โดยบรรดาโลซก-ลกเจ๊กทั้งหลาย ขนาดเบาะๆ เพียงแค่ ๒ รายการเท่านั้นนะครับ...
ส่วนปลายตูดก็ยังโผล่โร่ออกมา กวัดแกว่งให้ผู้คนเห็น ‘สีแดงกระแจ๋แหว’ กันอย่าง...
...ชัดแจ๋ว ซะแล้ว!!!
....................
ท้ายบท ‘ไทยรัฐ’ เขาพาดหัวที่เล่าให้ฟังข้างต้นนั้น ยังไม่ได้ ‘มันส์’ เท่า‘ไทยโพสต์’ ของอีตา ‘เปลว สีเงิน’ แกเล่นพาดหัว ฉบับวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๐ ได้น่าประทับใจขาโจ่วจริงๆ ว่า
ความลับ ‘เกสตาโปพรั่ง’ ซื้อเครื่องดักฟังทั่วไทย!
แล้วโปรยข่าว ว่า
....ตกใจ! ความลับด้านความมั่นคงโผล่อีกแล้ว แฉอุปกรณ์ ๘๐๐ ล้านที่แท้เครื่องดักฟังโทรศัพท์เต็มระบบ ทหารเล่นบทเกสตาโป แท็ปโทรศัพท์พื้นฐานทีโอทีทั่วประเทศทั้ง ๓ ล้านเลขหมาย....
อ่านแล้ว ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี จึงอนุญาตแต่งกลอน เลียนร้อยกรองบทดัง
ชื่อ ‘โลกาภิวัตน์’ ของปราชญ์ใหญ่เมืองเพชร คือท่านอาจารย์ ล้อม เพ็งแก้ว ว่า
ทำไงได้ก็ปฏิวัติมันพัดผัน มาถึงวันฝนตกขี้หมูไหล
บันดาลให้พวกมากกระชากไป ความจัญไรบานสะพรั่งกันทั้งเมือง!