xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 290 ต้องให้กำลังใจกันไว้นะ...คนไทย! (ภาคจบ “คนรวยขี้รดกางเกง แต่คนจนซัก!”)

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว นึกถึงรายการ “เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์” วันอาทิตย์ที่ผ่านมา คุณสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ได้รายงานว่า

เมื่อคืนวันเสาร์ที่แล้วนี้เอง ทัพประชาชนคนนับหมื่น ได้เดินขบวนไปตามถนนราชดำเนิน ไปจ่อหน้าประตูทางเข้า บก.ทบ. ตะโกนขับไล่ คมช.และระบอบเผด็จการให้อื้ออึง ข่าวสารเรื่องนี้แพร่ไปทั่วโลก

แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่า ได้ยินคุณสรยุทธ์เล่าว่า นายทหารผู้ที่รับผิดชอบรักษากองบัญชาการกองทัพบก ได้สั่งปิดไฟทุกดวงในอาคารที่ตั้งเพื่อการพราง ยามเตรียมการรับการโจมตี แต่ทหารที่อยู่ภายในไม่ได้เคลื่อนไหวตอบโต้ ด้วยการใช้อาวุธยิงออกมา หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการข่มขบวนผู้ขับไล่ แต่กระนั้นผมยังเชื่อว่า

ทหารแต่ละนาย คงจะกอดปืนประจำกายเอาไว้แน่น ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์ร้ายอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป โชคดีที่ไม่มีความรุนแรงใดๆเกิดขึ้น

ผมได้แต่ปลงอนิจจัง!

ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศหมดศักดิ์ศรี การด่าทอติฉินนินทา และความทุกข์ ตาม
โลกธรรม ๘ ที่เคยพูดไปใน ๒ ฉบับที่แล้ว ปรากฏให้เห็นได้ชัดแล้ว ให้เศร้าใจนัก!!

ยิ่งเศร้าหนักไปอีก เมื่อได้ยินว่า ระหว่างที่ทหารผู้ใต้บังคับบัญชา กำลังหวั่นไหวอยู่ทางกรุงเทพ บรรดานายทหารตัวกลั่นที่ร่วมทำการรัฐประหาร สนุกสนานเบิกบานสำราญใจในสนามก๊อล์ฟเชียงใหม่ บางกระแสก็ว่าขึ้นเหนือมาเที่ยวนี้ เพื่อจะฟังคำทำนายทายทัก โดยร่างทรงเทพโคตรศักดิ์สิทธิ์จากขุนเขาหิมาลัย ที่คนเขาไปปีนยอดเอเวอเรสต์กันนั่นแหละ

ได้ยินแล้ว พูดอะไรไม่ออกจริงๆ นอกจากจะบอกว่า...น่าสมเพชมาก!!!

ต้องขออนุญาตข้ามเรื่องที่ไม่เป็นมงคลนั้นไปก่อน เพราะติดพันมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ขออนุญาตเข้าเรื่อง ที่คงคั่งค้างท่านผู้อ่านเอาไว้เสียเลย

ตอนที่แล้ว ผมได้ปูพื้นให้ท่านผู้อ่านเข้าใจเรื่อง The Great Depression มาวันนี้ผมขอพาย้อนกลับมาถึงท่าน ประธานาธิบดี รุสเวลท์ อีกครั้ง
ประธานาธิบดี แฟรวค์กลิน ดี รูสเวลท์
จากประวัติศาสตร์ที่เราเรียนรู้ ท่านเป็นผู้นำสหรัฐที่โดดเด่นที่สุด แม้จากการโหวตของคนอเมริกันเมื่อเร็วๆนี้เอง เขายกให้ท่านเป็นเบอร์ ๑ เหนือประธานาธิบดีสหรัฐยุคใหม่ (ตั้งแต่ศตวรรษที่ ๒๐ เป็นต้นมา) ทุกคน

เมื่อประธานาธิบดี รุสเวลท์ ขึ้นครองตำแหน่งใหม่ๆ ก็มีการสไตรค์ เหตุจลาจลและความวุ่นวายกันทั่วบ้านทั่วเมือง มีม็อบโน่นม็อบนี่เต็มไปหมด คล้ายๆ เมืองไทยเวลานี้ เพียงแต่ไม่มีผู้ก่อการร้ายชุกชุมอย่างปักษ์ใต้บ้านเราเท่านั้น

ประธานาธิบดี รุสเวลท์ เห็นว่า ในสถานการณ์ที่ประเทศยังยากลำบากอยู่นั้น ท่านควรมีรายการวิทยุ เอาไว้ใช้พูดคุยกับประชาชน เป็นการกระจายเสียงตรงจากห้องนั่งเล่นในทำเนียบขาว โดยท่านนั่งพูดใกล้ๆเตาผิง เป็นรายการพูดคุยกันแบบสบายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไร
จัดรายการ Fireside Chat ครั้งแรก
ท่านตั้งชื่อรายการว่า Fireside Chat ตอนนั้นยังไม่มีโทรทัศน์ มีเพียงวิทยุเท่านั้นที่เป็นเครื่องมือสื่อสารสำคัญ การพูดเริ่มครั้งแรกเมื่อ ๑๒ มีนาคม ๑๙๓๓ ประเด็นที่ท่านพูดเป็นเรื่องวิกฤติธนาคาร (Bank Crisis) วิธีการพูดคุยแบบ ‘กระหนุง
กระหนิง’ ข้างๆเตาผิงทำนองนั้น

ชื่อรายการให้บรรยากาศดี คล้ายๆกับชาวบ้านไปนั่งคุยกับท่านประธานาธิบดี อย่างเป็นกันเองถึงในทำเนียบขาว หรือคิดกลับอีกที ตัวท่านผู้นำเองไปเยือนประชาชนถึงบ้าน และนั่งข้างเตาผิงในบ้านของผู้ฟัง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า รายการของท่านให้ความเสมือนจริง เพราะผู้นำเขาฉลาดพูด จนผู้คนพากันคิดว่าทุกอาทิตย์ท่านประธานาธิบดี มาเยี่ยมมาเยือนถึงบ้านอเมริกันชนจริงๆ ให้ความรู้สึกดีๆขนาดนั้นเลยทีเดียว

เทคนิคการพูด ของประธานาธิบดีรุสเวลท์ดีมาก ท่านพูดจาไปเรื่อยๆ สบายๆ เป็นธรรมชาติ อะไรทำได้ก็บอกว่าจะทำ ตรงไหนที่มันยากอยู่ ก็บอกว่าเอาไว้ก่อน ขอคิดหาหนทางก่อนนะ พอทำได้ก็รายงานกับประชาชน ผู้คนก็ยอมรับกันและเชื่อถือไว้วางใจ และไม่ได้ทำให้ประชาชนผิดหวังเลย

ผู้นำที่ปราดเปรื่องท่านนี้ สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ลุล่วงไปเป็นอย่างดี พาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง

ผิดกับผู้นำอีกหลายชาติ ทั้งทหารและพลเรือน ที่พูดจากับประชาชนแล้วโกหกบรรลัย บ้างพูดสำแดงความโง่ จนโดนจับได้แทบจะทุกครั้ง ก็ขนาดเขาเอาเอกสารความลับต่างๆ มาตีแผ่นกันโต้งๆ ลงประจานกันหราในเวปไซด์อย่างเห็นๆ ยังดันเสือกลอยหน้าลอยตา ออกมาปฏิเสธอีก

...น่าอับอายมากจริงๆ!

แฟรงค์กลิน ดี รูสเวลท์ นั้น เป็นคนที่เข้าถึงจิตใจประชาชน รู้ดีว่าผู้คนอึดอัดกับกฎหมาย ‘ห้ามผลิต จำหน่าย หรือขนส่ง เครื่องดื่มมึนเมาเสพติด’ (manufacture, sale, or transportation of intoxicating liquors) ที่เรียกกันว่า Volstead Act (๑๙๒๐-๑๙๓๓) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะให้สังคมอเมริกัน ปราศจากซึ่งสุรายาเมา (คิดคล้ายๆมหา ๕ ขัน) แต่ผลที่ได้จากกฎหมายนี้กลับตรงข้าม เพราะก่อให้เกิดการค้าเหล้าเถื่อน และแก๊งค์มาเฟียอย่าง อัล คาโปน ขึ้นมาควบคุมธุรกิจนอกกฎหมายและการค้าเหล้าและของเถื่อน แผ่ขยายอิทธิพลก่ออาชญากรรมมากมาย ที่ร้ายที่สุดคือการฆ่าอย่างอุกอาจ ในสงครามระหว่างแก๊งค์ที่ชิคาโก จนประชาชนอเมริกันทนไม่ได้

ท่านประธานาธิบดีดี รูสเวลท์ ขึ้นครองตำแหน่ง สั่งยกเลิกกฎหมายที่ทื่อมะลื่อนั้น โดยใช้คำพูดพูดง่ายๆว่า

“Let ’s drink!” หรือ “มาดื่มกันเถอะ”

เท่านั้นประชาชนก็เฮลั่น ความเครียดหายไปราวกับปลิดทิ้ง รวมทั้งอิทธิพลพวกมาเฟียค้าเหล้าเถื่อน

ถูกทำลายลงทันที!

ท่านประธานาธิบดีรูสเวลท์ ได้สร้างชาติอเมริกาให้มั่นคง แข็งแกร่งขึ้นมา ด้วยความเฉลียวฉลาด ความพยายามและการทำงานหนักอย่างยิ่ง ในที่สุดก็พาสหรัฐอเมริกาขึ้นมาโดดเด่นในสังคมโลก และเข้าสู่มหาสงครามและนำมาซึ่งชัยชนะ จนกลายเป็นผู้นำโลกมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ใครจะรู้บ้างว่า ท่านประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่นั้น

ท่านเป็น...คนพิการ !

คำว่า Warm Springs ซึ่งเป็นชื่อหนัง ที่ผมบอกเอาไว้นั้น เป็นชื่อบ่อน้ำแร่เมืองเล็กๆที่ชื่อ ‘วอร์ม สปริงส์’ มลรัฐจอร์เจีย มหาบุรุษอย่างรูสเวลท์นั้นเป็นผู้พิการ เพราะตอนที่ท่านยังเป็นวุฒิสมาชิกอยู่ เมื่อ ปี ค.ศ.๑๙๒๑ คณะแพทย์ได้ตรวจพบว่า ท่านป่วยเป็นโรคโปลิโอ ทำให้ร่างกายของท่าน เป็นอัมพาตตั้งแต่ท่อนล่างลงไป และต้องนั่งรถเข็น

รูสเวลท์ได้ยินข่าวว่า บ่อน้ำแห่งที่เมือง วอร์ม สปริงส์ นี้ สามารถทำให้คนหนุ่มที่ป่วยด้วยโรคเดียวกับท่านคือโปลิโอ กลับมาเดินได้อีกครั้งด้วยตนเอง หลังจากลงไปว่ายน้ำในบ่อน้ำมหัศจรรย์แห่งนั้น

ด้วยพลังใจและความมุ่งมั่น รวมทั้งความช่วยเหลือของบรรดานักกายภาพบำบัด และการให้กำลังใจอย่างเปี่ยมล้น จากภรรยาของท่าน เอลินอร์ รูสเวลท์ (Eleanor Roosevelt) ได้พาท่านมาบำบัด ที่สถานพักฟื้นของผู้พิการแห่งนี้

มีหลายคนเชื่อว่า ไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์ที่ถล่มฮิโรชิม่า และนางาซากิ หรอกครับ ที่ทำให้ญี่ปุ่นยอมจำนน และสหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายชนะสงคราม แต่ทว่าอเมริกันชนจำนวนมากเชื่อกันนักว่า จุดหักเหและพลิกผันอย่างสำคัญ อยู่ที่ผู้นำพิการคนนี้ต่างหาก

ถึงกับพูดกันว่า

ถ้าสหรัฐอเมริกาไม่มีคนชื่อแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ เป็นประธานาธิบดีในช่วงเวลานั้น ตอนนี้โลกอาจจะอยู่ใต้การปกครอง ของญี่ปุ่นและเยอรมันก็เป็นได้ ทั้งนี้เพราะว่า
ประธานาธิบดีบนรถเข็น
ประธานาธิบดีขาพิการคนนี้แหละครับ ที่เป็นจุดหักเหซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าของสงครามอย่างสำคัญ เพราะทันทีที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ฐานทัพอเมริกันถูกญี่ปุ่นโจมตี ท่านรูสเวลท์ได้บอกกับคณะผู้บริหาร ซึ่งร่วมประชุมกันอยู่ ว่า

มีความจำเป็นอเมริกาต้อง ‘เอาคืน’ ทันที เพื่อเรียกขวัญพลเมืองอเมริกันกลับโดยเร็ว โดยการใช้เครื่องบินบุกเข้าทิ้งระเบิดโจมตีกรุงโตเกียว หัวใจแผ่นดินแม่ของญี่ปุ่นก่อน

ทุกคนในโต๊ะประชุมของฝ่ายบริหาร ต่างพากันหัวเราะด้วยความขบขัน นึกว่าท่านพูดเล่น เพราะขณะนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากญี่ปุ่นเพิ่งถล่มเพิร์ลฮาเบอร์มาหยกๆ กองทัพอเมริกันยังกระปรกกระเปลี้ย ขาดความพร้อมรบโดยสิ้นเชิง และปฏิบัติการอย่างนั้นไม่ผิดอะไรกับการฆ่าตัวตาย ทุกคนบอกท่านผู้นำอย่างเกรงใจว่า

ต้องอาศัย ‘ปาฏิหาริย์’ เท่านั้น !

ท่านประธานาธิบดีรูสเวลท์ผู้พิการ สะกดทุกคนในที่ประชุม ด้วยการรวบรวมพลังใจทั้งหมด บังคับขาของท่าน ให้พยุงร่างตัวเองลุกขึ้นยืน และค่อยๆก้าวเดินให้ทุกคนดู เหล่าสมาชิกร่วมคณะรัฐบาล ตกตะลึงในสิ่งที่ตนได้เห็น

และเชื่อในปาฏิหาริย์ขึ้นมาทันที!


พลังใจของคณะผู้บริหารเริ่มดีขึ้น เพราะผู้นำของชาติ ได้แสดงความมหัศจรรย์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ท่านประธานาธิบดีผู้พิการจึงได้มีบัญชา สั่งการให้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน ลอบเข้าไปลอยลำในมหาสมุทรปาซิฟิก ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ให้ใกล้แผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่นมากที่สุด เพราะตอนนั้นทัพเรือลูกพระอาทิตย์ ยังเกรียงไกรและครอบครองน่านน้ำอยู่

จากนั้น ก็ส่งนักบินผู้กล้าหาญ ขับเครื่องบินทิ้งระเบิด ทะยานขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบิน โดยบินในระยะต่ำ หลบเรดาร์ญี่ปุ่น เล็ดลอดเข้าไปถึงกลางกรุงโตเกียว โดยกองทัพญี่ปุ่นไม่ได้ทันส่งเครื่องบินขับไล่ ออกมาต่อต้านได้ทันท่วงที

ทิ้งระเบิด ‘ตูม’ เข้าให้!

พอปลดระเบิดเรียบร้อยแล้ว นักบินต้องบินหนีโดยเร็ว และไปร่อนลงในจีน เพราะไม่มีน้ำมันเพียงพอ ที่จะบินกลับไปยังเรือบรรทุกเครื่องบิน ยานแม่ที่ตนบินขึ้นมาได้อีกแล้ว

ขนาดนั้นเลยทีเดียว

เป็นปฏิบัติการชั้นเยี่ยมทางการทหาร อย่างไม่เคยมีใครคาดคิดถึงมาก่อน และเป็นการรุกเข้าตีกลางหัวใจของประเทศ คือกรุงโตเกียว

แจแปนิสช๊อค ตกตะลึงพรึงเพริดกันทั้งประเทศ !!

จักรวรรดิญี่ปุ่นยุคนั้น ชาวเมืองปลาดิบถือว่าแผ่นดินแม่ของตน ศักดิ์สิทธิ์และอยู่ยงคงกระพัน ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปีของเมืองอาทิตย์อุทัย ไม่มีข้าศึกหน้าไหนจะบุกเข้าตีได้ แต่อเมริกันอั้งม้อ (ผมแดง) รุกพรวดเดียว

ทิ้งระเบิดเปรี้ยงเข้าให้ กลางหัวใจแดนอาทิตย์อุทัย คือกรุงโตเกียวนั่นเลยทีเดียว

ซามูไรงุนงง ชะงักความหยิ่งผยองลงทันที!!!
สามผู้ยิ่งใหญ่ เชอร์ชิล-รูสเวลท์-สตาลิน
ในทีสุด แม้ท่านประธานาธิบดีรูสเวลท์ จะถึงแก่อนิจกรรมไปก่อนสงครามโลกสงบลง แต่สหรัฐก็ชนะสงคราม และเป็นผู้นำโลกเสรีมายาวนานจนทุกวันนี้

นี่เป็นเพราะอเมริกันชนนั้นโชคดี พวกเขามีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง เลือกผู้นำของตนได้อย่างเสรีชน และยิ่งโชคดีหนักเข้าไปอีก ที่เลือกได้ผู้นำที่มีความซื่อตรง เฉลียวฉลาด เก่งกาจมีความรู้ความสามารถ กอบด้วยกำลังใจเข้มแข็งเป็นเลิศ จึงพาประเทศชาติอันยิ่งใหญ่ ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง จนสามารถก้าวไปสู่ชัยชนะ และคงความเป็นชาติมหาอำนาจ ที่ยิ่งยงได้ในที่สุด

หันกลับมองบ้านเมืองของเราบ้าง ดูไปแล้วก็น่าเวทนา น่าสงสาร เพราะช่างอาภัพนัก ผู้นำทางการเมืองดีๆ มีคุณภาพสูงอย่างนี้ ไม่เคยมีให้เห็น ไอ้ที่ได้มาก็มีแต่ของชำรุด ผุพัง ไม่ก็มีแต่ตำหนิทั่วตัวไปหมด และยิ่งรัฐบาลทหารเขียงยายเฒ่านี่

หนักข้อเข้าไปอีก !

ส่วนฝ่ายรัฐประหาร ที่แย่งอำนาจไปจากประชาชน ก็หลงตนเอง ปากพูดเรื่องสมานฉันท์และความสามัคคี แต่การกระทำของพวกนี้ ชาวบ้านเขามองว่าเป็นการ ‘กวาดล้าง’ ผู้คนที่ไม่เห็นด้วยกับพวกตนอย่างซุ่มซ่าม ไม่ใช่แค่เฉพาะกลุ่มทักษิณเท่านั้น ยังลามไปถึงคนขิงขังการปฏิวัติรัฐประหารอีกด้วย และที่สำคัญคือ

นักธุรกิจที่เขาเชื่อว่ากลุ่มของตนถูกรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งบางรายทนการข่มเหงรังแกไม่ไหว ต้องขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งแล้ว ด้วยยอดความเสียหายที่ฟ้องร้อง สูงอย่างน่าตกใจ แถมกลุ่มนี้เขายังฉลาดพอที่จะยังใช้ทนายความมีฝีมือ และเป็นผู้แก้คดีหลักให้ในกรณียุบพรรคการเมือง ให้เป็นผู้ฟ้องคดี หมากนี้จะยิ่งทวีความซับซ้อน และต้องดูกันให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก

จึงมีปรากฏเป็นเค้าลาง ให้เห็นว่า !

ความแตกแยก พินาศฉิบหายในชาติบ้านเมืองของเรา อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง และน่าจะเป็นครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยพานพบกันมาก่อน ตามคำทำนายทายทัก ของสารพัดอาจารย์หมอดูและหมอเดาทั้งหลาย ที่มีเต็มประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองแห่งสารพัดเทพเจ้า เกจิเพี้ยนๆทั้งหลายต่างก็พากันพูดไปในทางเดียวกันว่า ชะตาบ้านเมืองเรามีแต่ต้องเดินไปในทางร้ายทั้งนั้น หาดีไม่ได้เลยสักเจ้า

ดูอย่างอีตาหมอประสาทอ่อน แต่เป็นอาวุโสราษฎร (พวกแกตั้งยกย่องกันเอง) ยังดันส่ายหัวง่อกๆแง่กๆ ออกมาแจมกับเขาด้วยว่า เหตุการณ์จะยิ่งร้ายแรง และต้องลงเอยด้วยการฆ่าฟันกัน นองเลือด เข้าไปอีก...ว่าเข้าไปนั่น!

ด้วยเหตุนี้เอง คนไทยจำนวนมากจึงคิดว่า

บัดนี้ ความตกต่ำได้มาเยือนบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ความหดหู่ เศร้าสลด หวาดหวั่นกลัวความ ‘ล่มจม’ ตามความห่วงใยจากฟากฟ้า ที่แผ่ซ่านมาถึงยอดหญ้าบนผิวดิน

ดังนั้น ความทั้งความสิ้นหวัง ดูเหมือนจะแพร่กระจายไป ในหมู่ประชาชนทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนภูมิภาค เพราะการปฏิวัติรัฐประหารเป็นเหตุสำคัญ แม้การตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญจะผ่านพ้นไปแล้วก็ตาม แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คิดกัน แถมนักธุรกิจทุกภาคส่วน เรียงออกมาสับรัฐบาลอย่างไม่ไว้หน้า เลยมีการคาดเดากันว่า

นั่นอาจเป็นเพียง ระฆังสัญญาณแห่งการเริ่มต้น ของการเป็นเปิดม่านของเวทีแห่งความยุ่งยาก และความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชนผู้ใฝ่หาประชาธิปไตยอีกก็เป็นได้ เพราะมีสัญญาณชัดเจนว่า...นิสิตนักศึกษาไม่อยู่นิ่ง เริ่มเคลื่อนไหวเข้าสมทบแล้ว!

นั่นแสดงว่า ฝูงชนที่เคลื่อนขบวนไปขับไล่ ด่าทอพวกนักรัฐประหาร ถึงหน้า บก.ทบ.เป็นแค่ ‘น้ำจิ้ม’ เท่านั้น เพราะอาหารหลักชุดใหญ่ ที่ประกอบด้วยพลังนิสิตนักศึกษา ยังไม่มาเสิร์ฟ์ให้ได้รับประทานกัน

จึงอยากให้พวกยึดอำนาจไปคิดกันเองว่า ถึงเวลาที่ คมช.จะเก็บฉาก-รูดม่าน ด้วยตัวเองได้หรือยัง...หรือจะรอให้ต้องไปหา ‘แผ่นดินใหม่’ เพื่ออยู่อาศัยกันเสียก่อน !!

อย่างไรก็ตาม ขอให้คนไทยเราอย่าเพิ่งท้อแท้ ในชะตากรรมของบ้านเมือง ให้เชื่อมั่นใน ‘ปาฏิหาริย์’ ว่า น่าจะมีจริง อย่างที่ท่านประธานาธิบดีรูสเวลท์และคนอเมริกันเขาเชื่อ หรือหากแม้ปาฏิหาริย์ยังจะไม่ปรากฏให้เห็นพี่น้องประชาชนคนบ้านเรา ก็อย่าเพิ่งหมดกำลังใจเป็นอันขาด

วันหน้าฟ้าใหม่ เชื่อมั่นว่าอย่างไรเสีย การปกครองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย จะต้องกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน และเมื่อนั้นเหตุการณ์ในบ้านเมืองของเรา ต้องดีขึ้น !

ที่สำคัญคือ

เมื่อบ้านเมืองเรา จะเริ่มปกครองกันอย่างอารยะประเทศกันใหม่ คนไทยต้องมีวิจารณญาณ ที่จะต้องร่วมมือกำจัด และกีดกันพวกนักการเมืองประเภท ตอนมีอำนาจก็ทุจริตร้ายกาจ เอาที่ดินของรัฐไปแจก ทำมาหาแดกแสวงแต่กำไรกันในพวก ทำได้กระทั่งฉ้อโกงยางของคนบ้านเดียวกัน ที่เป็นพี่น้องโคตรเง่าสักหลาด ของมันแท้ๆ คงจะใกล้เสวยกรรมแล้ว

ที่สำคัญ ชาวเราต้องไม่สนับสนุนไอ้นักการเมืองหัวโจก ที่ยามเมื่อเขากรูกันเข้ามายึดเอาประชาธิปไตยไปจากปวงชน มันก็เอาแต่ก้มหัวกบาล กรานกราบให้กับไอ้พวกถือปืนมาขู่ผู้คน โดยหดหัวไม่ยอมลุกขึ้นมาต่อสู้ ให้สมกับเป็นผู้นำทางการเมือง
พวกเราต้องให้คำมั่นกับตัวเองว่า จะ ‘ไม่เลือก’ คนพันธ์อัปรีย์ที่ ‘ขี้ขึ้นไปอยู่บนหัวขมอง’ เข้ามาเป็นผู้แทนของเราเป็นอันขาด เพราะขืนปล่อยให้ดักดานพรรค์นี้ ขึ้นมาบริหารบ้านเมือง

ไม่แคล้วพาชาติเข้าสู่วังวนแห่งการ ‘ยึดอำนาจ’ กันอีกหน เหมือนที่ได้เคยทำมาแล้ว!

...ขณะนี้ เสรีชนคนที่รักชาติรักประชาธิปไตย ผู้ชิงชังรังเกียจการใช้อำนาจยึดครองบ้านเมือง กำลังรวมพลังกันเข้มแข็งขึ้น เพื่อกดดันให้คณะทหาร และรัฐบาลหุ่น‘เขียงยายเฒ่า’ของพวกเขา พ้นจากการบริหารบ้านนี้เมืองนี้ไปเสียโดยเร็ว

คนไทยจะได้ร่วมมือร่วมใจกัน พาชาติไทยอันเป็นที่รักก้าว หน้าไปสู่หนทางที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์สุขของคนในชาติทั้งมวล

ต้องให้กำลังใจกันไว้นะ...คนไทย!!

........................

ท้ายบท ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเพิ่งเปรยกับผมว่า บ้านเมืองเรากำลังเดินไป ในทิศทางเดียวกับตอนไล่เผด็จการ รสช.ปี ๓๕ เข้ามาทุกที และองศาแห่งความขัดแย้ง ใกล้จะถึงจุดที่จะเข้า ‘ฆ่า’ กันแล้ว

ยังไม่ขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่อยากให้ท่านผู้อ่านคิดถึงคำของผม ที่เขียนเตือนเอาไว้ตั้งแต่ก่อน ๑๙ กันยายน และย้ำต่อมาอีกหลายครั้งว่า “การปฏิวัติรัฐประหาร มีแต่ผลักให้ประเทศของเราถอยหลัง” นั้น

ตอนนี้ พอมองเห็นภาพ ‘ชัด’ ...ขึ้นบ้างหรือยังครับ?
กำลังโหลดความคิดเห็น