เช้าวันนี้....จิบกาแฟขม ทานขนมกลีบลำดวนแล้ว นั่งดูข่าวสารบ้านเมืองทางโทรทัศน์ ซึ่งระยะนี้ผู้คนที่แม้จะไม่ใช่คอการเมือง ยังพากันติดตามข่าวสารกันด้วยความสนใจ สภากาแฟทุกจังหวัดคับคั่ง เพราะมีหัวข้อการเมืองให้พูดถึงกันหลากหลาย ก็ครึกครื้นดี
เข้ากรุงเทพฯเที่ยวนี้ จึงมีรายการสนทนากับพรรคพวกที่เป็นมือข่าวเก่าของสันติบาล และตรวจสอบข่าวสารกับหลายจุดทีเดียว
ฟังคุณแคลร์ ปัจฉิมานนท์ แห่งช่อง ๓ อ่านข่าวเช้าตรู่วันเสาร์ที่ผ่านมา สาวน้อยสวยหวานขวัญใจของแฟนๆ (รวมทั้งคนเขียนด้วย) รายงานข่าวด่วน ว่า
รัฐบาลทหารพม่า ได้ประกาศขยายเวลากักกัน นางอองซาน ซู จี ให้อยู่ในบ้านตัวเองต่อไปอีก ๑ ปี ก็ให้นึกถึงของอาจารย์ประจำสถาบันพระปกเกล้า (เพิ่งพูดถึงสถาบันแห่งนี้ เมื่อฉบับก่อนนี้เอง) ชื่อนายพรชัย เทพบัญญัติ (ถ้าฟังไม่ผิด) ได้ไปออกความเห็นในรายการวิเคราะห์ข่าวตอนเย็นของ คุณวันเพ็ญ ศรีดี ผู้ดำเนินรายการที่มีฝีมือคนหนึ่งของเมืองไทย แห่ง Fm ๙๗ คลื่น ‘วีณา-ราดิโอ’ (อาจารย์วีณา เชิดบุญชาติ ที่เคารพของผม ท่านเป็นเจ้าของ) ตอนหกโมงเย็น วันศุกร์ ๒๕ พ.ค. ที่ผ่านมาหยกๆนี้เอง
นายพรชัยฯวิเคราะห์เหตุการณ์บ้านเมือง ไปตามความเห็นของตัวเอง ได้พูดชัดถ้อย
ชัดคำ ว่า
สมควรต่ออายุราชการ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธาน คมช.ต่อไปอีก ๑ ปี!
ฟังแล้วชอบใจ ขอทำนายว่า อาจารย์พูดได้อย่างนี้ จะต้องได้ดีในการรับราชการ เจริญก้าวหน้าไป จนถึงตำแหน่งเลขาธิการสถาบันแห่งนี้แหงๆ จึงแนะนำเอาไว้เสียตรงนี้เลย ว่า
หากได้เป็นใหญ่ตามที่ว่าแล้ว ไม่ต้องพานักศึกษาไปศึกษาดูงานที่ไหนไกลๆ ให้เปลืองงบประมาณเล่นเปล่าๆ จงมุ่งหน้าพาไปร่ำเรียนเอาวิชาประชาธิปไตย ที่ประเทศพม่านั่นแหละ
เหมาะสมที่สุด!

เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสดูภาพยนตร์ทางเคเบิลทีวีเรื่อง “ซินเดอเรลล่า แมน” (Cinderella Man) ซึ่งเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของนักมวยผู้ยิ่งใหญ่ ชื่อ เจมส์ วอลเธอร์ แบรดด็อค (James Walter Braddock หรือ James ‘Jim’ Braddock...ผู้ชายฝรั่งที่ชื่อ‘เจมส์’ ชื่อเล่นคือ ‘จิม’) ผมเองซึ่งเป็นพวกบ้ามวย เคยอ่านประวัติของยอดแชมป์คนนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ดูจบแล้วมีความรู้สึกว่า
ชีวิตของนักมวยผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ เป็นเรื่องที่น่าศึกษาในหลายมิติ เลยขออนุญาตเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกัน ถึงแม้ว่าบางท่านอาจเคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อนก็ตาม
เจมส์ เจ. แบรดด็อค เป็นชาวไอริช ซึ่งอเมริกันชนยุคก่อนเก่า ไม่ค่อยชื่นชอบเท่าไหร่ เพราะตอนผู้คนเชื้อชาตินี้อพยพเข้ามาในสหรัฐ ได้หนีสงครามศาสนาและทุพภิกขภัย ความอดอยากยากเข็ญในในประเทศของตน เข้ามาในดินแดนแห่งเสรีภาพเพื่อหาชีวิตที่ดีกว่า
คนอเมริกันชั้นสูงหาว่า ไอริชเป็นพวกที่สกปรก ชั้นต่ำเพราะส่วนใหญ่ทำงานเป็นกรรมกรผู้ใช้แรงงาน มีนิสัยชอบดื่มจัด เป็นพวกขี้เหล้าเมายา แต่อเมริกันเชื้อสายไอริชนั้น ก็ยังมีผู้ที่สามารถฝ่าฟันขึ้นมา จนได้เป็นถึงประธานาธิบดีของประเทศยักษ์ใหญ่แห่งนี้ และมีชื่อเสียงก้องโลกผู้คนชื่นชมยกย่องไปทั่วอย่าง จอห์น ฟิตเจอรัล เคนเนดี หรือโรนัลด์ เรแกน ซึ่งถือว่า เป็นประธานาธิบดีระดับแนวหน้าของสหรัฐ ที่มากด้วยความสามารถ และประชาชนให้ความรักนับถืออย่างมาก
ท่ามกลางยุคสมัยเศรษฐกิจตกต่ำ (ปี ๑๙๒๙) หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ชายชื่อ
เจมส์ เจ. แบรดด็อค พ่อลูกสามที่เป็นนักมวยเก่า เก่งขนาดเคยขึ้นชกชิงแชมป์โลกรุ่นไลท์เฮฟวี่เวท กับ ทอมมี่ โลห์แกรน (Tommy Loughran) แต่พ่ายแพ้ไปอย่างน่ากังขาเป็นที่สุด และต้องต่อสู้ชีวิตต่อไปอย่างทรหด เหมือนอเมริกันชนอีกเกือบทั้งประเทศ
เมื่อชกมวยต่อไปอีก แบรดด็อคก็ประสพเคราะห์กรรมเพราะข้อมือหัก ทำให้สถิติการชกของเขาลุ่มๆดอนๆ จนต้องเลิกชก และต้องไปเป็นกรรมกรขายแรงงาน โดยเป็นจับกังอยู่ที่ท่าเรือ แบกของหาเลี้ยงเมียและลูกอีก ๓ คน ด้วยความยากลำบาก ถึงขนาดเคยไม่มีสตางค์จนกระทั่งต้องไปยืนต่อคิว ขอรับเงินช่วยเหลือจากฝ่ายสงเคราะห์ของทางการ เพื่อนำมาเยียวยาความอดอยากของสมาชิกในครอบครัว
เมื่อทนเห็นสภาพลูกเมียหิวโหยไม่ได้ จึงตัดสินใจกลับคืนสังเวียน โดยไปอ้อนวอนขอชกหาอีกครั้ง เพื่อหาเงินใช้หนี้ที่มีไม่ถึง ๒๐๐ เหรียญ และเป็นฝ่ายแบรดด็อค ผู้ซึ่งมีเชิงชกดุดันชนิดกัดไม่ปล่อยเหมือนหมาอังกฤษพันธ์หน้าย่น จนได้ฉายาก่อนหน้านี้ว่าเป็น The Bull Dog สามารถคว้าชัยชนะได้อย่างพลิกความคาดหมาย แต่เมื่อเอาเงินใช้หนี้แล้ว เจ้าตัวเหลือเงินติดกระเป๋าอยู่เพียง ๕ ดอลลาร์เท่านั้น
เพื่อนที่เคยเป็นผู้จัดการ ชวนกลับมาชกอีกครั้งกับนักมวยดาวรุ่ง แม้ภริยาจะคัดค้าน แต่ไม่สามารถล้มเลิกความตั้งใจ ของชายผู้ไม่สามารถเห็นลูกเมียอดตาย ต่อหน้าต่อตาได้
เขาขึ้นลุยสังเวียนต่อไปอีก และคว่ำนักมวยดาวรุ่งด่านแรกได้ และสามารถเอาชนะรวดติดต่อกันอีกหลายไฟท์ จนมีโปรโมเตอร์ให้โอกาสขึ้นชกชิงตำแหน่งกับ แม๊กซ แบร์ (Max Baer) แชมเปี้ยนรุ่นเฮฟวี่เวทของโลก ที่หมัดหนักมหากาฬประเภท “ชกคนตาย ชกควายสลบ” และเคยต่อยกระหน่ำคู่ต่อสู้ ตายคาสังเวียนมาแล้วถึง ๒ ศพ
มันช่างน่าเกรงขาม...เป็นอย่างยิ่ง
การชกชิงแชมป์ครั้งนี้ ขนาดโปรโมเตอร์ผู้จัดเอง ยังเห็นว่าเจมส์ เจ. แบรดด็อค อายุมากแล้ว อาจต้องตกเป็นเหยื่อกำปั้นของนักมวยเพชฌฆาตอย่าง แมกซ์ แบร์ จนถึงแก่ความตายเป็นแน่แท้ และนั่นหมายความว่าตัวผู้จัดการชกอาจถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ จึงบังคับให้นักมวยสูงวัยคนนี้ ทำสัญญาก่อนการชกว่า ทายาทจะต้องไม่เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในการต่อสู้ครั้งนี้ หากตัวแบรดด็อคเอง โดนแมกซ์ แบร์ ชกเอาจนถึงแก่ความตาย
ขนาดนั้นเลยทีเดียว!
ก่อนการชกครั้งนั้น นักข่าวทั้งหลายให้สมญาเรียกขาน เจมส์ เจ. แบรดด็อค ว่าเป็น
“ซินเดอเรลลา แมน” (Cinderella Man) เพราะถือว่า เป็นโชคของนักสู้ชาวไอริชผู้ซึ่งอยู่ในวัยที่ร่วงโรยแล้ว ได้ขึ้นชกชิงตำแหน่งอย่างไม่คาดฝัน และจะได้รับเงินจำนวนมากจากการชกครั้งนี้
ช่างโชคดีเหมือนนางซินฯ ในนิทานประรำปะรา...ปานฉะนั้น!
แม้ภริยาที่รักจะห้ามอย่างสุดกำลัง ด้วยเธอยอมไม่ได้ที่จะเห็นสามีสุดที่รัก ต้องถูกถลุงจนต้องตายคาเวที แต่ก็ห้ามไม่ได้ การชกต้องดำเนินต่อไปตามแผน และความตั้งใจที่มุ่งมั่นของ “เดอะบูลด๊อก” เอง
เมื่อไฟท์สำคัญมาถึง แฟนมวยจำนวนถึง ๓๕,๐๐๐ คน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากมายสำหรับยุคนั้น เนืองแน่นไปในชามอ่างยักษ์ของ City Bowl ใน New York City แบรดด็อคขึ้นเวทีด้วยน้ำหนักที่เบากว่าแบร์มาก เพราะตัวเองไม่ได้เป็นนักมวยเฮฟวี่เวทโดยธรรมชาติ และคราวนี้ต้องเพิ่มน้ำหนักตัว ขึ้นมาชกในรุ่นยักษ์นี้ด้วยความจำเป็น
ดังนั้น ราคาต่อรองในวันนั้น แมกซ์ แบร์ เป็นต่อถึง ๑๐ ต่อ ๑!!
นักสู้ไอริชคนนี้ ไม่มีความเกรงกลัวอยู่ในหัวใจ ตอนประจันหน้ากันกลางเวทีเพื่อฟังกติกาจากกรรมการนั้น เห็นได้ชัดเจนว่าเขาเสียเปรียบเพราะเตี้ยกว่าแบร์เกือบฝ่ามือ และเล็กกว่ามาก แต่พอระฆังดังขึ้นเท่านั้นเหตุการณ์กลับเปลี่ยนไป
แบรดด๊อกออกจากมุม พุ่งเข้าแลกหมัดกับแบร์อย่างห้าวหาญ ไมมีท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อย แม้จะโดนหมัดแรงๆเข้าหลายครั้งหลายหน ก็ไม่ได้ออกอาการพรั่นพรึง กลับทะยานเข้าต่อยแบร์เอาหนักๆ บางครั้งถึงต้องกระโดดชก เพราะเตี้ยและสั้นกว่ามาก แต่สามารถต่อยเอาแชมป์ร่างยักษ์เกือบทรุด ซวนเซจนเจียนอยู่เจียนไปหลายครั้ง ทั้งคู่อัดใส่กันเหมือนกับโกรธกันมาร้อยชาติ
การชกที่สุดมันส์นี้ ดำเนินไปในอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า toe-to-toe fighting คือ ยืนแลกหมัดซดกันอุตลุด ลักษณะปลายเท้าจรดปลายเท้า !
ผู้ชมต่างมันในอารมณ์ เต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นสุดขีด เพราะนักมวยทั้งคู่เข้าห้ำหั่นสาดกำปั้นเข้าใส่กันอย่างลืมตาย ถึงอกถึงใจพระเดชพระคุณจริงๆ ชนิดหัวใจของผู้ชมแต่ละคน แทบจะกระเด็นออกนอกเสื้อ ต่างตบมือ กระทืบเท้า เป่าปาก ตีปีกกันอย่างสะใจ!!
การชกที่ไม่ผิดกันเลยกับการรบตะลุมบอน ดำเนินมาจนถึงยก ๑๕ พอระฆังบอกยกสุดท้ายดังขึ้น บอกการสิ้นสุดลงของการชกไฟท์หฤโหด ชายผู้ที่เคยยากจนข้นแค้น ขนาดต้องยืนเข้าคิวรับเงินช่วยเหลือมาแล้ว กลับเป็นฝ่ายเข้าป้าย ได้รับการชูมือไปแบบหักปากกาของเซียนนักวิจารณ์ทั้งปวง
คนดูต่างลุกขึ้นปรบมือด้วยความชื่นชมยิ่ง ที่เรียกว่า standing ovation ซึ่งเป็นการแสดงให้เกียรติอย่างสูง...จากผู้ชมทั้งสนาม!!!

ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า ทำไมผมถึงชอบหนังเรื่องนี้นักหนา อยากจะบอกว่าไม่ใช่เพราะการแสดงที่เก่งกาจของพระเอก รัสเซล โครว์ (Russell Crowe) ซึ่งคนที่เขาคัดตัวหรือ casting หาพระเอกได้คล้ายคลึงกับนักชกตัวจริงมาก และนางเอกคนโปรดของผมคือเรเน เซลเวเกอร์ (Renée Zellweger) ซึ่งเธอแค่ใช้สายตาเล่นหนังเรื่องนี้
...ก็เหลือกินแล้ว!
ที่ชอบมากก็คือ ผู้สร้างเขาเก็บรายละเอียด เกี่ยวกับความประพฤติของแชมป์โลกเจมส์ แบรดด๊อก ไว้ได้ในแง่มุมที่น่าคิด และใคร่ครวญเก็บเอาไว้เป็นตัวอย่าง เช่น
๑.เมื่อนักข่าวสัมภาษณ์และป้อนคำถามว่า ตอนขึ้นชกคิดถึงอะไรมากที่สุด? แบรดด๊อกตอบว่า “คิดถึงนม” (นม-milk...ต้องเขียนภาษาอังกฤษ เพราะไม่ใช่ ‘นม’ อื่น)
เหตุที่ตอบซื่อๆอย่างนั้นเพราะว่า ยามยากเขาคิดถึงเงินจากหยาดเหงื่อของการชก ที่ต้องนำไปซื้อนมเลี้ยงลูกอ่อน ที่ยังเล็กอยู่หลายคน ตามหน้าที่ของผู้เป็นพ่อ
๒.เมื่อตอนยากจนอยู่มาก ต้องไปต่อคิวรับเงินสงเคราะห์ และกลับมาชกใหม่ ครั้งแรกเมื่อต่อยกันเสร็จ เอาเงินรางวัลใช้หนี้แล้ว เหลือแค่ ๕ เหรียญ
พอได้เงินจากการชกไฟท์ที่ ๒ แบรดด๊อกเอาเงินจำนวนเดียวกัน กับที่เคยได้รับจากการช่วยเหลือจากรัฐ ไปส่งคืนให้กับฝ่ายสงเคราะห์ของทางการ ชนิดที่เจ้าหน้าที่ผู้รับเงินคืนต้องงุนงง เพราะคนที่เคยได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐแล้ว ไม่มีใครเขาเอากลับไปคืนกัน
ท่านผู้อ่าน เคยเห็นบ้างไหมครับว่า
เมื่อผู้ที่เคยทุกข์ยากเหล่านั้น ไปประกอบสัมมาชีพได้ เกิดมีเงินมีเงินมีทองขึ้นมา จึงเอาเงินที่เคยได้รับมานั้นไปคืนหลวง เพื่อให้ทางการนำไปช่วยสังคม หรือผู้ตกทุกข์คนอื่นบ้างหรือไม่? ท่านผู้อ่านอาจเคยเห็น
แต่ในชีวิตผมเกิดมายังไม่เคยเห็น...หรือแม้แต่แค่ได้ยิน!
๓.พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ และสหรัฐต้องเข้าสงคราม แชมป์โลกคนนี้ไม่รีรอที่จะยื่นใบสมัครเข้ารับราชการทหาร โดยไม่หลีกเลี่ยงว่าตนเป็นแชมป์โลก และเข้าสู่สมรภูมิทำการรบ ในฐานะที่ตนเป็นรั้วของชาติคนหนึ่ง
ทำหน้าที่รับใช้ชาติ ด้วยความองอาจกล้าหาญ!!
เจมส์ เจ. แบรดด็อค ที่เล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง อาจไม่ใช่วีรบุรุษ หรือรัฐบุรุษ แต่ผมถือว่าเขาเป็น ‘บุรุษชาติอาชาไนย’ ผู้ตระหนักถึงหน้าที่ และความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าครอบครัว เป็นนักสู้ที่ยอมทนความเจ็บปวด ต่อสู้ในสังเวียนเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูกเมียตามภารกิจของคนเป็นพ่อ และเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ซึ่งเต็มใจเข้ารับใช้ประเทศด้วยการเป็นทหาร เยี่ยงลูกผู้ชายที่ตระหนักดีถึงหน้าที่แห่งตน ยามเมื่อชาติต้องการ และ...
เมื่อตัวเองตกอยู่ในความยากลำบาก ในสภาพที่ไม่มีจะกิน เคยได้รับการสงเคราะห์การเงินจากทางบ้านเมือง ครั้นตัวลืมตาอ้าปาก มีรายได้พอสมควรแล้ว ก็นึกถึงคนยากจนอื่นๆและเอาเงินนั้นไปคืนรัฐ เพื่อทางการจะได้นำเงินจำนวนนั้น ไปช่วยเหลือคนอื่นต่อไป
ช่างงดงาม...อะไรอย่างนั้น!
ดูแล้วผิดกับพวกที่ชอบแอบอ้าง เป็น ‘วีรบุรุษ’ แต่พอผู้คนเขาปอกเปลือก ปลิ้นไส้ในออกมาดู ก็พบไม่ว่าใช่บุรุษผู้กล้าตัวจริง แต่กลายเป็นของเก๊ เลยโดนชาวบ้านเขาด่าส่ง แถมยังถูกหัวร่อเย้ยหยันไล่หลัง อย่างน่าอาย
แม้แต่กระทั่ง ผู้ที่เคยได้รับการยกย่องจากพลเมือง ที่เคยอยู่ใต้การปกครองของตนว่าเป็น ‘รัฐบุรุษ’ อย่างในยุโรปตะวันออกบางประเทศ พอเจ้าตัวตายเข้าเท่านั้น ความไม่ดีของตัวโผล่ออกมายาวเหยียด อนุสาวรีย์ยังถูกประชาชนที่โกรธแค้น แห่แหนกันเข้าไปรุมรื้อทำลาย หรือแม้แต่หลุมศพ ชาวบ้านก็บุกรุกเข้าไป เพียงแค่ขอถ่มน้ำลายรดซ้ำเข้าไปอีก
...ถึงขนาดนั้น เลยทีเดียว!
ส่วนที่ยังไม่ตาย แต่หมดอำนาจลง หรืออยู่ในสถานะที่ผู้คนเขาต้องให้ความเคารพนับถือแล้ว แต่ความประพฤติต่อมาภายหลัง เกิดออกอาการผิดเพี้ยนไป และผู้คนเขาเห็นว่าไม่วางตัวให้เหมาะควร
ดังนั้น แทนที่จะได้รับความเคารพนับถือ ให้ยืนยงคงกะพันกันต่อไป กลับถูกผู้คนจำนวนไม่น้อย ถึงกับยกขบวนไปด่าทอเอาถึงหน้าบ้าน รวมทั้งตั้งวงบริภาษในที่สาธารณะซ้ำเข้าไปอีก จนชื่อเสียงที่สู้อุตส่าห์สร้างสมมายาวนานนั้น
ดูจะล่มสลายด้วยฝีปากคน ไปเรียบร้อยแล้ว...อย่างนี้ก็มี!!
ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องราวของวีรบุรุษและรัฐบุรุษที่ผมเล่ามานั้น ช่างตรงข้ามชีวิตของ เจมส์ แบรดด็อค นักมวยธรรมดาๆที่เคยยากจนข้นแค้น ทำมาหากินโดยสุจริต เอาร่างกายเข้าแลกกับความเจ็บปวด ด้วยการชกมวยเพื่อหาเงินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ไม่ได้คิดว่าจะเป็นใหญ่เป็นโตแข่งวาสนาบารมีกับใคร แต่ก็ยิ่งใหญ่ได้
เพราะเขาทำหน้าที่พลเมืองดี มีศีลธรรมชัดเจน!
ไม่ตอแหลหลอกลวงชาวบ้าน โดยอ้างความดีงามปางก่อนของตน มาทำให้ผู้คนเขาหลงใหล แต่ดันลายมาออกเอาตอนชีวิตโพล้เพล้แล้ว ให้ชาวบ้านเขาด่าเล่นกันได้...
น่าสังเวชจริงๆ!!
สำหรับ เจมส์ เจ. แบรดด็อค นั้นตรงกันข้าม เขาตายตั้งแต่ปี ๑๙๗๔ เมื่อชีวิตหาไม่แล้วกลับได้รับการยกย่องอย่างสูง โดยได้รับการบรรจุชื่อไว้ในหอเกียรติยศ Hudson County Hall of Fame เมื่อปี ๑๙๙๑
ใช่แต่แค่นั้น ในอีก ๒ ปีถัดมา คือในปี ๒๐๐๑ นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ยังได้รับการบรรจุชื่อในหอเกียรติคุณ สำหรับนักสู้บนสังเวียนที่ International Boxing Hall of Fame และเมื่อชีวิตของเขาได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ ชื่อเสียงของคนเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่อย่างเขา
ดังกระหึ่มโลก ขึ้นมาอีก!
ส่วนคนที่เป็นวีรบุรุษและรัฐบุรุษในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้า หรือเมื่อตัวตายจากโลกนี้ไปแล้ว จะได้รับการยกย่องอีกต่อไปหรือไม่? หรือแม้กระทั่งมีชีวิตอยู่
ชาวบ้านยังจะสาปแช่ง ให้ลงนรกไปโดยเร็วหรือไม่นั้น? ก็ยังจะต้องดูกันไป!!
นั่งดูหนังชีวิตนักสู้ไอริช แล้วย้อนไปดูเหตุการณ์รอบตัว มองเห็นความเสื่อมของผู้ที่เคยได้รับการยกย่องจากสังคมในอดีต มาวันนี้กลับถูกด่าประจานกลางที่สาธารณะ ทำให้ฉุกคิดขึ้นได้ว่า มะรืนนี้ก็จะถึง ‘วันวิสาขบูชา’ แล้ว แต่เหตุการณ์ที่เล่ามานั้น ทำตัวเองให้นึกถึง โลกธรรม ๘ ของพระพุทธองค์ ที่คนไทยพุทธบ้านเรา มักพูดติดปาก ว่า
มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีสุขก็มีทุกข์ นี่เป็นธรรมประจำโลก
...ดุจเงินเหรียญ ที่ย่อมมีสองด้านเสมอ
นั่นหมายความว่า ถ้าอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งมากับด้านหนึ่งของเหรียญที่ได้มาอยู่ในความครอบครองแล้วก็จริง แต่ของที่ตัวเองไม่อยากได้ ก็ต้องตามมาด้วย คือ
เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และ ทุกข์
เพราะมันติดแน่นอย่างถาวร มากับอีกด้านหนึ่งของเหรียญนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่ความเดือดร้อนของผู้ครอบครองเหรียญ ก็คือ
คนเราไม่อยากแม้แต่จะชำเลืองมอง ดูด้านร้ายของเหรียญนั้นก็ตามที แต่ก็ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ของมันติดมาด้วยกันแล้ว ยังไงก็ต้องเจอะเจอเข้าสักวัน จึงต้องทำใจให้ว่าง โดยต้องมีสติและสัมปชัญญะ เป็นเครื่องกำกับเอาไว้ ให้มั่นคง!
ขอเรียนตรงๆว่า ไม่ได้บังอาจทำตัวราวกับจะขึ้นธรรมาสน์ เพียงแค่ยกคำที่พระเจ้าพระสงฆ์ท่านสอนสั่ง เลยจดจำและนำเอามาฝากแฟนคอลัมน์นี้ เนื่องในโอกาสที่ใกล้จะถึง ‘วิสาขบูชา ปูรณมีดิถีเพ็ญ’ อันเป็นวันมงคลยิ่งของโลกใบนี้
เท่านั้นเอง!
เข้ากรุงเทพฯเที่ยวนี้ จึงมีรายการสนทนากับพรรคพวกที่เป็นมือข่าวเก่าของสันติบาล และตรวจสอบข่าวสารกับหลายจุดทีเดียว
ฟังคุณแคลร์ ปัจฉิมานนท์ แห่งช่อง ๓ อ่านข่าวเช้าตรู่วันเสาร์ที่ผ่านมา สาวน้อยสวยหวานขวัญใจของแฟนๆ (รวมทั้งคนเขียนด้วย) รายงานข่าวด่วน ว่า
รัฐบาลทหารพม่า ได้ประกาศขยายเวลากักกัน นางอองซาน ซู จี ให้อยู่ในบ้านตัวเองต่อไปอีก ๑ ปี ก็ให้นึกถึงของอาจารย์ประจำสถาบันพระปกเกล้า (เพิ่งพูดถึงสถาบันแห่งนี้ เมื่อฉบับก่อนนี้เอง) ชื่อนายพรชัย เทพบัญญัติ (ถ้าฟังไม่ผิด) ได้ไปออกความเห็นในรายการวิเคราะห์ข่าวตอนเย็นของ คุณวันเพ็ญ ศรีดี ผู้ดำเนินรายการที่มีฝีมือคนหนึ่งของเมืองไทย แห่ง Fm ๙๗ คลื่น ‘วีณา-ราดิโอ’ (อาจารย์วีณา เชิดบุญชาติ ที่เคารพของผม ท่านเป็นเจ้าของ) ตอนหกโมงเย็น วันศุกร์ ๒๕ พ.ค. ที่ผ่านมาหยกๆนี้เอง
นายพรชัยฯวิเคราะห์เหตุการณ์บ้านเมือง ไปตามความเห็นของตัวเอง ได้พูดชัดถ้อย
ชัดคำ ว่า
สมควรต่ออายุราชการ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธาน คมช.ต่อไปอีก ๑ ปี!
ฟังแล้วชอบใจ ขอทำนายว่า อาจารย์พูดได้อย่างนี้ จะต้องได้ดีในการรับราชการ เจริญก้าวหน้าไป จนถึงตำแหน่งเลขาธิการสถาบันแห่งนี้แหงๆ จึงแนะนำเอาไว้เสียตรงนี้เลย ว่า
หากได้เป็นใหญ่ตามที่ว่าแล้ว ไม่ต้องพานักศึกษาไปศึกษาดูงานที่ไหนไกลๆ ให้เปลืองงบประมาณเล่นเปล่าๆ จงมุ่งหน้าพาไปร่ำเรียนเอาวิชาประชาธิปไตย ที่ประเทศพม่านั่นแหละ
เหมาะสมที่สุด!
เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสดูภาพยนตร์ทางเคเบิลทีวีเรื่อง “ซินเดอเรลล่า แมน” (Cinderella Man) ซึ่งเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของนักมวยผู้ยิ่งใหญ่ ชื่อ เจมส์ วอลเธอร์ แบรดด็อค (James Walter Braddock หรือ James ‘Jim’ Braddock...ผู้ชายฝรั่งที่ชื่อ‘เจมส์’ ชื่อเล่นคือ ‘จิม’) ผมเองซึ่งเป็นพวกบ้ามวย เคยอ่านประวัติของยอดแชมป์คนนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ดูจบแล้วมีความรู้สึกว่า
ชีวิตของนักมวยผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ เป็นเรื่องที่น่าศึกษาในหลายมิติ เลยขออนุญาตเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกัน ถึงแม้ว่าบางท่านอาจเคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อนก็ตาม
เจมส์ เจ. แบรดด็อค เป็นชาวไอริช ซึ่งอเมริกันชนยุคก่อนเก่า ไม่ค่อยชื่นชอบเท่าไหร่ เพราะตอนผู้คนเชื้อชาตินี้อพยพเข้ามาในสหรัฐ ได้หนีสงครามศาสนาและทุพภิกขภัย ความอดอยากยากเข็ญในในประเทศของตน เข้ามาในดินแดนแห่งเสรีภาพเพื่อหาชีวิตที่ดีกว่า
คนอเมริกันชั้นสูงหาว่า ไอริชเป็นพวกที่สกปรก ชั้นต่ำเพราะส่วนใหญ่ทำงานเป็นกรรมกรผู้ใช้แรงงาน มีนิสัยชอบดื่มจัด เป็นพวกขี้เหล้าเมายา แต่อเมริกันเชื้อสายไอริชนั้น ก็ยังมีผู้ที่สามารถฝ่าฟันขึ้นมา จนได้เป็นถึงประธานาธิบดีของประเทศยักษ์ใหญ่แห่งนี้ และมีชื่อเสียงก้องโลกผู้คนชื่นชมยกย่องไปทั่วอย่าง จอห์น ฟิตเจอรัล เคนเนดี หรือโรนัลด์ เรแกน ซึ่งถือว่า เป็นประธานาธิบดีระดับแนวหน้าของสหรัฐ ที่มากด้วยความสามารถ และประชาชนให้ความรักนับถืออย่างมาก
ท่ามกลางยุคสมัยเศรษฐกิจตกต่ำ (ปี ๑๙๒๙) หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ชายชื่อ
เจมส์ เจ. แบรดด็อค พ่อลูกสามที่เป็นนักมวยเก่า เก่งขนาดเคยขึ้นชกชิงแชมป์โลกรุ่นไลท์เฮฟวี่เวท กับ ทอมมี่ โลห์แกรน (Tommy Loughran) แต่พ่ายแพ้ไปอย่างน่ากังขาเป็นที่สุด และต้องต่อสู้ชีวิตต่อไปอย่างทรหด เหมือนอเมริกันชนอีกเกือบทั้งประเทศ
เมื่อชกมวยต่อไปอีก แบรดด็อคก็ประสพเคราะห์กรรมเพราะข้อมือหัก ทำให้สถิติการชกของเขาลุ่มๆดอนๆ จนต้องเลิกชก และต้องไปเป็นกรรมกรขายแรงงาน โดยเป็นจับกังอยู่ที่ท่าเรือ แบกของหาเลี้ยงเมียและลูกอีก ๓ คน ด้วยความยากลำบาก ถึงขนาดเคยไม่มีสตางค์จนกระทั่งต้องไปยืนต่อคิว ขอรับเงินช่วยเหลือจากฝ่ายสงเคราะห์ของทางการ เพื่อนำมาเยียวยาความอดอยากของสมาชิกในครอบครัว
เมื่อทนเห็นสภาพลูกเมียหิวโหยไม่ได้ จึงตัดสินใจกลับคืนสังเวียน โดยไปอ้อนวอนขอชกหาอีกครั้ง เพื่อหาเงินใช้หนี้ที่มีไม่ถึง ๒๐๐ เหรียญ และเป็นฝ่ายแบรดด็อค ผู้ซึ่งมีเชิงชกดุดันชนิดกัดไม่ปล่อยเหมือนหมาอังกฤษพันธ์หน้าย่น จนได้ฉายาก่อนหน้านี้ว่าเป็น The Bull Dog สามารถคว้าชัยชนะได้อย่างพลิกความคาดหมาย แต่เมื่อเอาเงินใช้หนี้แล้ว เจ้าตัวเหลือเงินติดกระเป๋าอยู่เพียง ๕ ดอลลาร์เท่านั้น
เพื่อนที่เคยเป็นผู้จัดการ ชวนกลับมาชกอีกครั้งกับนักมวยดาวรุ่ง แม้ภริยาจะคัดค้าน แต่ไม่สามารถล้มเลิกความตั้งใจ ของชายผู้ไม่สามารถเห็นลูกเมียอดตาย ต่อหน้าต่อตาได้
เขาขึ้นลุยสังเวียนต่อไปอีก และคว่ำนักมวยดาวรุ่งด่านแรกได้ และสามารถเอาชนะรวดติดต่อกันอีกหลายไฟท์ จนมีโปรโมเตอร์ให้โอกาสขึ้นชกชิงตำแหน่งกับ แม๊กซ แบร์ (Max Baer) แชมเปี้ยนรุ่นเฮฟวี่เวทของโลก ที่หมัดหนักมหากาฬประเภท “ชกคนตาย ชกควายสลบ” และเคยต่อยกระหน่ำคู่ต่อสู้ ตายคาสังเวียนมาแล้วถึง ๒ ศพ
มันช่างน่าเกรงขาม...เป็นอย่างยิ่ง
การชกชิงแชมป์ครั้งนี้ ขนาดโปรโมเตอร์ผู้จัดเอง ยังเห็นว่าเจมส์ เจ. แบรดด็อค อายุมากแล้ว อาจต้องตกเป็นเหยื่อกำปั้นของนักมวยเพชฌฆาตอย่าง แมกซ์ แบร์ จนถึงแก่ความตายเป็นแน่แท้ และนั่นหมายความว่าตัวผู้จัดการชกอาจถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ จึงบังคับให้นักมวยสูงวัยคนนี้ ทำสัญญาก่อนการชกว่า ทายาทจะต้องไม่เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในการต่อสู้ครั้งนี้ หากตัวแบรดด็อคเอง โดนแมกซ์ แบร์ ชกเอาจนถึงแก่ความตาย
ขนาดนั้นเลยทีเดียว!
ก่อนการชกครั้งนั้น นักข่าวทั้งหลายให้สมญาเรียกขาน เจมส์ เจ. แบรดด็อค ว่าเป็น
“ซินเดอเรลลา แมน” (Cinderella Man) เพราะถือว่า เป็นโชคของนักสู้ชาวไอริชผู้ซึ่งอยู่ในวัยที่ร่วงโรยแล้ว ได้ขึ้นชกชิงตำแหน่งอย่างไม่คาดฝัน และจะได้รับเงินจำนวนมากจากการชกครั้งนี้
ช่างโชคดีเหมือนนางซินฯ ในนิทานประรำปะรา...ปานฉะนั้น!
แม้ภริยาที่รักจะห้ามอย่างสุดกำลัง ด้วยเธอยอมไม่ได้ที่จะเห็นสามีสุดที่รัก ต้องถูกถลุงจนต้องตายคาเวที แต่ก็ห้ามไม่ได้ การชกต้องดำเนินต่อไปตามแผน และความตั้งใจที่มุ่งมั่นของ “เดอะบูลด๊อก” เอง
เมื่อไฟท์สำคัญมาถึง แฟนมวยจำนวนถึง ๓๕,๐๐๐ คน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากมายสำหรับยุคนั้น เนืองแน่นไปในชามอ่างยักษ์ของ City Bowl ใน New York City แบรดด็อคขึ้นเวทีด้วยน้ำหนักที่เบากว่าแบร์มาก เพราะตัวเองไม่ได้เป็นนักมวยเฮฟวี่เวทโดยธรรมชาติ และคราวนี้ต้องเพิ่มน้ำหนักตัว ขึ้นมาชกในรุ่นยักษ์นี้ด้วยความจำเป็น
ดังนั้น ราคาต่อรองในวันนั้น แมกซ์ แบร์ เป็นต่อถึง ๑๐ ต่อ ๑!!
นักสู้ไอริชคนนี้ ไม่มีความเกรงกลัวอยู่ในหัวใจ ตอนประจันหน้ากันกลางเวทีเพื่อฟังกติกาจากกรรมการนั้น เห็นได้ชัดเจนว่าเขาเสียเปรียบเพราะเตี้ยกว่าแบร์เกือบฝ่ามือ และเล็กกว่ามาก แต่พอระฆังดังขึ้นเท่านั้นเหตุการณ์กลับเปลี่ยนไป
แบรดด๊อกออกจากมุม พุ่งเข้าแลกหมัดกับแบร์อย่างห้าวหาญ ไมมีท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อย แม้จะโดนหมัดแรงๆเข้าหลายครั้งหลายหน ก็ไม่ได้ออกอาการพรั่นพรึง กลับทะยานเข้าต่อยแบร์เอาหนักๆ บางครั้งถึงต้องกระโดดชก เพราะเตี้ยและสั้นกว่ามาก แต่สามารถต่อยเอาแชมป์ร่างยักษ์เกือบทรุด ซวนเซจนเจียนอยู่เจียนไปหลายครั้ง ทั้งคู่อัดใส่กันเหมือนกับโกรธกันมาร้อยชาติ
การชกที่สุดมันส์นี้ ดำเนินไปในอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า toe-to-toe fighting คือ ยืนแลกหมัดซดกันอุตลุด ลักษณะปลายเท้าจรดปลายเท้า !
ผู้ชมต่างมันในอารมณ์ เต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นสุดขีด เพราะนักมวยทั้งคู่เข้าห้ำหั่นสาดกำปั้นเข้าใส่กันอย่างลืมตาย ถึงอกถึงใจพระเดชพระคุณจริงๆ ชนิดหัวใจของผู้ชมแต่ละคน แทบจะกระเด็นออกนอกเสื้อ ต่างตบมือ กระทืบเท้า เป่าปาก ตีปีกกันอย่างสะใจ!!
การชกที่ไม่ผิดกันเลยกับการรบตะลุมบอน ดำเนินมาจนถึงยก ๑๕ พอระฆังบอกยกสุดท้ายดังขึ้น บอกการสิ้นสุดลงของการชกไฟท์หฤโหด ชายผู้ที่เคยยากจนข้นแค้น ขนาดต้องยืนเข้าคิวรับเงินช่วยเหลือมาแล้ว กลับเป็นฝ่ายเข้าป้าย ได้รับการชูมือไปแบบหักปากกาของเซียนนักวิจารณ์ทั้งปวง
คนดูต่างลุกขึ้นปรบมือด้วยความชื่นชมยิ่ง ที่เรียกว่า standing ovation ซึ่งเป็นการแสดงให้เกียรติอย่างสูง...จากผู้ชมทั้งสนาม!!!
ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า ทำไมผมถึงชอบหนังเรื่องนี้นักหนา อยากจะบอกว่าไม่ใช่เพราะการแสดงที่เก่งกาจของพระเอก รัสเซล โครว์ (Russell Crowe) ซึ่งคนที่เขาคัดตัวหรือ casting หาพระเอกได้คล้ายคลึงกับนักชกตัวจริงมาก และนางเอกคนโปรดของผมคือเรเน เซลเวเกอร์ (Renée Zellweger) ซึ่งเธอแค่ใช้สายตาเล่นหนังเรื่องนี้
...ก็เหลือกินแล้ว!
ที่ชอบมากก็คือ ผู้สร้างเขาเก็บรายละเอียด เกี่ยวกับความประพฤติของแชมป์โลกเจมส์ แบรดด๊อก ไว้ได้ในแง่มุมที่น่าคิด และใคร่ครวญเก็บเอาไว้เป็นตัวอย่าง เช่น
๑.เมื่อนักข่าวสัมภาษณ์และป้อนคำถามว่า ตอนขึ้นชกคิดถึงอะไรมากที่สุด? แบรดด๊อกตอบว่า “คิดถึงนม” (นม-milk...ต้องเขียนภาษาอังกฤษ เพราะไม่ใช่ ‘นม’ อื่น)
เหตุที่ตอบซื่อๆอย่างนั้นเพราะว่า ยามยากเขาคิดถึงเงินจากหยาดเหงื่อของการชก ที่ต้องนำไปซื้อนมเลี้ยงลูกอ่อน ที่ยังเล็กอยู่หลายคน ตามหน้าที่ของผู้เป็นพ่อ
๒.เมื่อตอนยากจนอยู่มาก ต้องไปต่อคิวรับเงินสงเคราะห์ และกลับมาชกใหม่ ครั้งแรกเมื่อต่อยกันเสร็จ เอาเงินรางวัลใช้หนี้แล้ว เหลือแค่ ๕ เหรียญ
พอได้เงินจากการชกไฟท์ที่ ๒ แบรดด๊อกเอาเงินจำนวนเดียวกัน กับที่เคยได้รับจากการช่วยเหลือจากรัฐ ไปส่งคืนให้กับฝ่ายสงเคราะห์ของทางการ ชนิดที่เจ้าหน้าที่ผู้รับเงินคืนต้องงุนงง เพราะคนที่เคยได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐแล้ว ไม่มีใครเขาเอากลับไปคืนกัน
ท่านผู้อ่าน เคยเห็นบ้างไหมครับว่า
เมื่อผู้ที่เคยทุกข์ยากเหล่านั้น ไปประกอบสัมมาชีพได้ เกิดมีเงินมีเงินมีทองขึ้นมา จึงเอาเงินที่เคยได้รับมานั้นไปคืนหลวง เพื่อให้ทางการนำไปช่วยสังคม หรือผู้ตกทุกข์คนอื่นบ้างหรือไม่? ท่านผู้อ่านอาจเคยเห็น
แต่ในชีวิตผมเกิดมายังไม่เคยเห็น...หรือแม้แต่แค่ได้ยิน!
๓.พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ และสหรัฐต้องเข้าสงคราม แชมป์โลกคนนี้ไม่รีรอที่จะยื่นใบสมัครเข้ารับราชการทหาร โดยไม่หลีกเลี่ยงว่าตนเป็นแชมป์โลก และเข้าสู่สมรภูมิทำการรบ ในฐานะที่ตนเป็นรั้วของชาติคนหนึ่ง
ทำหน้าที่รับใช้ชาติ ด้วยความองอาจกล้าหาญ!!
เจมส์ เจ. แบรดด็อค ที่เล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง อาจไม่ใช่วีรบุรุษ หรือรัฐบุรุษ แต่ผมถือว่าเขาเป็น ‘บุรุษชาติอาชาไนย’ ผู้ตระหนักถึงหน้าที่ และความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าครอบครัว เป็นนักสู้ที่ยอมทนความเจ็บปวด ต่อสู้ในสังเวียนเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูลูกเมียตามภารกิจของคนเป็นพ่อ และเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ซึ่งเต็มใจเข้ารับใช้ประเทศด้วยการเป็นทหาร เยี่ยงลูกผู้ชายที่ตระหนักดีถึงหน้าที่แห่งตน ยามเมื่อชาติต้องการ และ...
เมื่อตัวเองตกอยู่ในความยากลำบาก ในสภาพที่ไม่มีจะกิน เคยได้รับการสงเคราะห์การเงินจากทางบ้านเมือง ครั้นตัวลืมตาอ้าปาก มีรายได้พอสมควรแล้ว ก็นึกถึงคนยากจนอื่นๆและเอาเงินนั้นไปคืนรัฐ เพื่อทางการจะได้นำเงินจำนวนนั้น ไปช่วยเหลือคนอื่นต่อไป
ช่างงดงาม...อะไรอย่างนั้น!
ดูแล้วผิดกับพวกที่ชอบแอบอ้าง เป็น ‘วีรบุรุษ’ แต่พอผู้คนเขาปอกเปลือก ปลิ้นไส้ในออกมาดู ก็พบไม่ว่าใช่บุรุษผู้กล้าตัวจริง แต่กลายเป็นของเก๊ เลยโดนชาวบ้านเขาด่าส่ง แถมยังถูกหัวร่อเย้ยหยันไล่หลัง อย่างน่าอาย
แม้แต่กระทั่ง ผู้ที่เคยได้รับการยกย่องจากพลเมือง ที่เคยอยู่ใต้การปกครองของตนว่าเป็น ‘รัฐบุรุษ’ อย่างในยุโรปตะวันออกบางประเทศ พอเจ้าตัวตายเข้าเท่านั้น ความไม่ดีของตัวโผล่ออกมายาวเหยียด อนุสาวรีย์ยังถูกประชาชนที่โกรธแค้น แห่แหนกันเข้าไปรุมรื้อทำลาย หรือแม้แต่หลุมศพ ชาวบ้านก็บุกรุกเข้าไป เพียงแค่ขอถ่มน้ำลายรดซ้ำเข้าไปอีก
...ถึงขนาดนั้น เลยทีเดียว!
ส่วนที่ยังไม่ตาย แต่หมดอำนาจลง หรืออยู่ในสถานะที่ผู้คนเขาต้องให้ความเคารพนับถือแล้ว แต่ความประพฤติต่อมาภายหลัง เกิดออกอาการผิดเพี้ยนไป และผู้คนเขาเห็นว่าไม่วางตัวให้เหมาะควร
ดังนั้น แทนที่จะได้รับความเคารพนับถือ ให้ยืนยงคงกะพันกันต่อไป กลับถูกผู้คนจำนวนไม่น้อย ถึงกับยกขบวนไปด่าทอเอาถึงหน้าบ้าน รวมทั้งตั้งวงบริภาษในที่สาธารณะซ้ำเข้าไปอีก จนชื่อเสียงที่สู้อุตส่าห์สร้างสมมายาวนานนั้น
ดูจะล่มสลายด้วยฝีปากคน ไปเรียบร้อยแล้ว...อย่างนี้ก็มี!!
ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องราวของวีรบุรุษและรัฐบุรุษที่ผมเล่ามานั้น ช่างตรงข้ามชีวิตของ เจมส์ แบรดด็อค นักมวยธรรมดาๆที่เคยยากจนข้นแค้น ทำมาหากินโดยสุจริต เอาร่างกายเข้าแลกกับความเจ็บปวด ด้วยการชกมวยเพื่อหาเงินเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ไม่ได้คิดว่าจะเป็นใหญ่เป็นโตแข่งวาสนาบารมีกับใคร แต่ก็ยิ่งใหญ่ได้
เพราะเขาทำหน้าที่พลเมืองดี มีศีลธรรมชัดเจน!
ไม่ตอแหลหลอกลวงชาวบ้าน โดยอ้างความดีงามปางก่อนของตน มาทำให้ผู้คนเขาหลงใหล แต่ดันลายมาออกเอาตอนชีวิตโพล้เพล้แล้ว ให้ชาวบ้านเขาด่าเล่นกันได้...
น่าสังเวชจริงๆ!!
สำหรับ เจมส์ เจ. แบรดด็อค นั้นตรงกันข้าม เขาตายตั้งแต่ปี ๑๙๗๔ เมื่อชีวิตหาไม่แล้วกลับได้รับการยกย่องอย่างสูง โดยได้รับการบรรจุชื่อไว้ในหอเกียรติยศ Hudson County Hall of Fame เมื่อปี ๑๙๙๑
ใช่แต่แค่นั้น ในอีก ๒ ปีถัดมา คือในปี ๒๐๐๑ นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ยังได้รับการบรรจุชื่อในหอเกียรติคุณ สำหรับนักสู้บนสังเวียนที่ International Boxing Hall of Fame และเมื่อชีวิตของเขาได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ ชื่อเสียงของคนเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่อย่างเขา
ดังกระหึ่มโลก ขึ้นมาอีก!
ส่วนคนที่เป็นวีรบุรุษและรัฐบุรุษในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้า หรือเมื่อตัวตายจากโลกนี้ไปแล้ว จะได้รับการยกย่องอีกต่อไปหรือไม่? หรือแม้กระทั่งมีชีวิตอยู่
ชาวบ้านยังจะสาปแช่ง ให้ลงนรกไปโดยเร็วหรือไม่นั้น? ก็ยังจะต้องดูกันไป!!
นั่งดูหนังชีวิตนักสู้ไอริช แล้วย้อนไปดูเหตุการณ์รอบตัว มองเห็นความเสื่อมของผู้ที่เคยได้รับการยกย่องจากสังคมในอดีต มาวันนี้กลับถูกด่าประจานกลางที่สาธารณะ ทำให้ฉุกคิดขึ้นได้ว่า มะรืนนี้ก็จะถึง ‘วันวิสาขบูชา’ แล้ว แต่เหตุการณ์ที่เล่ามานั้น ทำตัวเองให้นึกถึง โลกธรรม ๘ ของพระพุทธองค์ ที่คนไทยพุทธบ้านเรา มักพูดติดปาก ว่า
มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีสุขก็มีทุกข์ นี่เป็นธรรมประจำโลก
...ดุจเงินเหรียญ ที่ย่อมมีสองด้านเสมอ
นั่นหมายความว่า ถ้าอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งมากับด้านหนึ่งของเหรียญที่ได้มาอยู่ในความครอบครองแล้วก็จริง แต่ของที่ตัวเองไม่อยากได้ ก็ต้องตามมาด้วย คือ
เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และ ทุกข์
เพราะมันติดแน่นอย่างถาวร มากับอีกด้านหนึ่งของเหรียญนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่ความเดือดร้อนของผู้ครอบครองเหรียญ ก็คือ
คนเราไม่อยากแม้แต่จะชำเลืองมอง ดูด้านร้ายของเหรียญนั้นก็ตามที แต่ก็ต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ของมันติดมาด้วยกันแล้ว ยังไงก็ต้องเจอะเจอเข้าสักวัน จึงต้องทำใจให้ว่าง โดยต้องมีสติและสัมปชัญญะ เป็นเครื่องกำกับเอาไว้ ให้มั่นคง!
ขอเรียนตรงๆว่า ไม่ได้บังอาจทำตัวราวกับจะขึ้นธรรมาสน์ เพียงแค่ยกคำที่พระเจ้าพระสงฆ์ท่านสอนสั่ง เลยจดจำและนำเอามาฝากแฟนคอลัมน์นี้ เนื่องในโอกาสที่ใกล้จะถึง ‘วิสาขบูชา ปูรณมีดิถีเพ็ญ’ อันเป็นวันมงคลยิ่งของโลกใบนี้
เท่านั้นเอง!
.........................