xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 285 รัฐธรรมนูญ ‘ฉบับไล่จับตะกวด’ หรือ ‘ฉบับเหี้ยๆ’ กันแน่ !?

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เข้าวันนี้... จิบกาแฟขมแล้ว อ่านข่าวหนังสือพิมพ์เห็นมีแต่ถกเถียงกันเรื่องที่ผมเบื่อหน่ายมากคือเรื่อง ‘รัฐธรรมนูญเจ้าปัญหา’ แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วต้องเกิดอาการ ‘ของขึ้น’ เมื่อเห็นพาดหัว ‘มติชน’ รายวันฉบับวันพุธ ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕๐ เขาพาดหัวว่า

ไม่ร่วมทีมแก้ ‘วิกฤติ’ ชาติ ...จุดยืนศาล ปัดคัด ‘ส.ว.-3 องค์กรอิสระ’

นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมใส่ใจนัก แต่มาแปลกใจเอาอีตรงพาดหัวรอง ที่ว่า

ห่วงรธน. ’ไม่เป็นกลาง’ ผบ.หน่วยทหาร 17 จว.เหนือ แสดงท่าทีค้านบรรจุ ‘พุทธ’

พอดูในเนื้อข่าวเขาบอกว่า ทหารทางทัพภาค ๓ เขาจัดการลงคะแนนในประเด็นนี้กัน แต่เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ทำให้ผมต้องรีบเปลี่ยนต้นฉบับที่ตั้งใจจะส่งไว้เดิม ลงมือเขียนต้นฉบับที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้แทน

โดยส่วนตัวของผมแล้ว เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ร่างโดยมีความพยายามที่จะไม่ให้ประชาธิปไตยเต็มใบให้กับผู้คน ไม่ว่าการมีวุฒิสมาชิกแบบแต่งตั้ง ที่มาในรูปของการสรรหา และองค์กรเทวดามาแก้วิกฤติชาติ แต่เห็นชาวบ้านเขาคัดค้านมากแล้ว เลยไม่อยากพูดถึง

ปัญหาใหญ่คือเรื่องพระพุทธศาสนานั้น ถ้าหากพาดหัวหนังสือพิมพ์มติชนเขาไม่ลงว่าเป็นทหาร เช่น บอกว่าล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ลูกหาของ ‘อีตาเจิม’ เท่านั้น ที่ออกมาพูดอย่างนี้ ผมก็คงไม่ว่ากล่าวกระไร แต่นี่กลายเป็นเพื่อนๆทหารภาคเหนือ ที่ผู้บังคับบัญชาของตนเป็นผู้ลุกขึ้นมาฉีกรัฐธรรมนูญเองแท้ๆ ได้แสดงท่าทีออกมา ‘ไม่เห็นด้วย’ กับประเด็นบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

รู้สึกแปลกใจยิ่งนักว่า ผู้มีหน้าที่รักษาอธิปไตยของพระราชอาณาจักร มีความคิดที่ผมคาดไม่ถึง จึงเห็นว่าว่าตัวเองจะวางเฉยอยู่ไม่ได้แล้ว จำเป็นที่จะต้องออกมาพูดจาอธิบายความด้วยการให้ข้อมูลกับเพื่อนทหาร เผื่อว่าอาจทำให้เข้าใจในเรื่องนี้ได้ดีขึ้น

อให้บรรดาเพื่อนทหารโปรดเข้าใจด้วยว่า ระบบทหารแบบ ‘กองทัพประจำ’ ในปัจจุบันนี้นั้น ไม่ได้มียืนยาวมาแต่ไหน เพิ่งจะมีมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ นี้เอง เมื่อทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินครั้งใหญ่ นำชาติเราเข้าสู่ระบอบทั้งการปกครองและการทหารที่ทันสมัย ตามแบบยุโรปและนานาอารยะประเทศ

กองทัพไทยแต่โบราณนั้น ทหารก็คือ ‘คนหนุ่ม’ ที่ถูกเกณฑ์เข้ามาสู่กองทัพ ยามชาติบ้านเมืองมีความจำเป็นด้วยมีการพระราชสงคราม แต่ก็เป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น หมดภารกิจและความจำเป็นเพราะสงครามสงบ หรือการรบพุ่งยุติลง คนหนุ่มที่ถูกเกณฑ์มาเป็นทหารเหล่านั้นก็กลับบ้านใครบ้านมัน ไปทำไร่นาหรือเข้าสวน หากินใส่ปากใส่ท้องกันต่อไป เราไม่เคยมีกองทัพประจำเลยจริงๆ ทัพไทยสมัยโบราณ จึงเป็น ‘กองทัพชาวบ้าน’ โดยแท้!

พระพุทธศาสนากับกองทัพไทยนั้น มีหลักฐานในพระราชพงศาวดารชัดเจนว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระผู้ทรงเป็นวีรกษัตริย์ กอบกู้เอกราชของชาติไทยให้รอดพ้นเงื้อมมือพม่า เมื่อคราวเสด็จไปตีเมืองเมาะตะมะ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินจากกรุงศรีอยุธยาทางชลมารค พอได้เวลาฤกษ์ พระโหราราชครูอธิบดีศรีทิชาจารย์ ก็ลั่นฆ้องชัยให้พายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ อันเป็นเรือทรงพระพุทธปฏิมากรทองนพคุณ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุถวายพระนามสมญา "พระพิชัย" นั้นล่วงหน้าไปก่อน แล้วเรือกระบวนหน้าทั้งปวงก็ติดตามไปโดยลำดับ

ในการจัดกระบวนทัพทางสถลมารค (ทางบก) ก็ไม่แตกต่างกัน ช้างทรงหนึ่งเชือกที่มีพระพุทธรูปพระพิชัยหลังช้างประทับ ก้าวย่างนำหน้ามีพระคชาธารขององค์จอมทัพไทยประทับ เสด็จพระราชดำเนินติดตามไปออกสู่สมรภูมิ ไม่ต่างจากการเสด็จกรีธาทัพทางชลมารค

การที่มีพระพุทธรูปนำ ก็เพื่อเป็นขวัญทัพ เพราะคนไทยนั้นเชื่อว่า พระพุทธคุณนั้น จะทรงคุ้มครององค์พระมหากษัตริย์เจ้าของชาวไทย และไพร่พลแกล้วกล้าทั้งมวล ที่กำลังจะต่อกรกระทำสับประยุทธ์กับข้าศึก ซึ่งเดินทัพเข้าประจันหน้ากัน ณ. ยุทธบริเวณที่เลือกสรรแล้ว

นี่ไง...ทหารทั้งหลาย เห็นกันหรือยังว่า พระพุทธศาสนากับพระเจ้าแผ่นดินไทย และกองทัพของชาตินั้น เข้าสู่สมรภูมิพร้อมกัน โดยทัพไทยยึดถือพระพุทธคุณคุ้มครองป้องตน สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ปรากฏชัดเจนในรูป ‘ธงชัยเฉลิมพล’ ที่มีสิ่งที่แสดงออกถึง...

ชาติ คือผืนธง...

บนยอดคันธงนั้นบรรจุพระพุทธรูปซึ่งหมายถึงศาสนา(พระพุทธศาสนา) และ...

‘เส้นพระเจ้า’หรือ ‘เส้นพระเกศา’ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แทนองค์พระมหากษัตริย์...

สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระพุทธศาสนานั้น แนบแน่นใกล้ชิดกันแค่ไหนนั้น ท่านผู้อ่านคงเห็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนของ สถาบันหลักทั้ง ๓ ของชาติกันแล้ว!

นอกจากนั้น เพื่อนทหารทัพภาค ๓ คงไม่ทราบว่า พระเจ้าแผ่นดินของเราในอดีต รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ปัจจุบัน ทรงรับสั่งมีหลักฐานปรากฏเอาไว้ชัดเจนกับสมเด็จพระสันตะปาปาแห่งโรมตั้งแต่เมื่อ ๔๐ ปี ที่แล้วว่า ประเทศไทยเรานั้นมีศาสนาพุทธ เป็น ‘ศาสนาประจำชาติ’ โดยไม่ต้องมานั่งถกเถียงกันอีกแล้ว

หากทางกองทัพภาคที่ ๓ ยังไม่เคยเห็นหลักฐาน หรือยังไม่มี ก็ให้ไปขอรับจาก
กองอนุศาสนาจารย์กองทัพบกก็คงได้ หรือถ้าไม่มีอีก ก็ให้บอกมา...จะจัดส่งไปให้

ดังนั้น การนำพระราชดำรัส บรรจุลงไปในรัฐธรรมนูญ ฝ่ายทหารเห็นว่าไม่ควรทำอย่างนั้นด้วยเหตุผลอะไร? ผมเองก็อยากรู้ เพราะเคยใส่ในแบบเรียนต่างๆของชาติ รวมทั้งเอกสารอื่นๆของทางราชการมานานแล้วด้วย แต่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรที่พิสดารพันลึก ถึงขั้นผู้คนจะฆ่าแกงกัน เหมือนอย่างตอนไม่ได้ใส่ หลังยุคทหารทำรัฐประหารปัจจุบันนี้ด้วยซ้ำไป!

ถ้าผู้บังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ ๓ ผู้จัดให้มีการหยั่งเสียงประชามติ นำเอาข้อความตามที่ผมบอกข้างต้นนี้ ไปแจ้งทหารผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ถ้ายังมีผู้สงสัยอยู่อีก ก็ให้เอาเหตุผลที่ผมกำลังจะบอกต่อไปนี้ ไปแจ้งเพิ่มเติมกับบรรดาทหารของตัวด้วย ก็ไม่ขัดข้อง กล่าวคือ

เพื่อนทหารภาคเหนือ อาจยังไม่ทราบว่า รัฐธรรมนูญฉบับสมุดข่อยแบบที่วางบน
พานสี่แยกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนั้น บนปกข่อยจารึกเอาไว้ว่า

“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ....”

นั่นคือ การเริ่มต้นด้วยคำบอกกล่าวว่ากฎหมายสูงสุดฉบับนี้ เป็นของประเทศไทย ซึ่งเป็น “ราชอาณาจักร” คือ องค์ประกอบแรกสิ่งสำคัญสูงสุด ๓ ประการของคนไทยคือ “ชาติ”

จากนั้นถ้อยคำประกาศรัฐธรรมนูญ ขึ้นต้นด้วยถ้อยคำที่เป็นมิ่งมงคลยิ่ง ซึ่งเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเต็มๆเลยทีเดียว คือ

“ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนากาลเป็นอดีตภาค ๒๕๔๐ พรรษา ปัจจุบันสมัย จันทรคตินิยม พฤษภสมพัตสร อัสสยุชมาส ศุกลปักษ์ ทสมีดิถี สุริยคติกาล ตุลาคมมาส เอกาทสมสุรทิน โสรวาร โดยกาลบริเฉท...


คำว่า “ศุภมัสดุ” นั้นเป็นถ้อยคำอุดมมงคล แปลว่า “ขอความดี ความงามจงมี” เป็นคำใช้ขึ้นต้นประกาศและข้อความสำคัญ แล้วตามด้วยศักราช ซึ่งเป็นพุทธศักราชเท่านั้น เพราะชาติเราไม่เคยใช้ศักราชอื่นใดเลย อย่างหลักศิลาจารึกของโรงเรียนนายร้อยตำรวจของผมนั้น ก็เริ่มด้วยถ้อยคำมงคลยิ่งนี้เช่นกัน แต่ต่างกันเล็กน้อย คือ “ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนายุกาลเป็นอดีตภาค ลุได้...พรรษา....” เห็นกันหรือยังครับ ว่า

รัฐธรรมนูญนั้น ได้ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนา ตั้งแต่บรรทัดแรกของคำประกาศกฎหมายสูงสุดเลยทีเดียวเชียว และเป็นองค์ประกอบที่ ๒ คือ “ศาสนา” ที่เป็น ศาสนาประจำชาติด้วยคือ พระพุทธศาสนาด้วย

ถัดมา รัฐธรรมนูญก็จะบรรจุด้วยถ้อยคำ ว่า

“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ประเทศไทยได้มีรัฐธรรมนูญ ประกาศใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาเป็นเวลากว่าหกสิบห้าปีแล้ว....


เป็นพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ ที่เคารพสูงสุดเหนือเกล้าฯของปวงชนชาวไทย สิริมงคลปรากฏครบถ้วน ๓ สถาบัน ตามสำนวนที่เรารู้จักกันดี คือ

“ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”


จึงมีคำกล่าวติดปากกันว่า “ รู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์” เป็นฉัตรไชย ”...ชัดหรือยังล่ะ?

(ขอให้สังเกตว่า ประเทศไทยนั้น ยืนยันในเจตนารมณ์ระบอบการปกครองว่า เป็นการปกครองประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาเนิ่นนานกว่า ๗๐ ปี แล้ว ไม่ใช่เพิ่งมามี ตอนอีตา ‘บัง’ กับพวกทำรัฐประหารกัน!)

เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยกร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องทูลเกล้าฯ
ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ก็เป็นเสร็จสิ้นกระบวนการ และกฎหมายสูงสุดนี้ มีผลบังคับใช้ วันถัดจากที่ได้ประกาศลงในพระราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว...เป็นกระบวนการ ที่ต้องถือว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’ ทีเดียว!!

ที่สำคัญคือ หลักศาสนาพุทธนั้น มีแต่ความปรารถนาดี เกื้อกูลและสร้างความสงบสุขต่อชนทุกชั้น ทุกเชื้อชาติ ไม่ได้เกียจรังงอนความเป็นศาสนิกที่แตกต่างกัน แม้ชาวพุทธจะเป็นชนส่วนใหญ่ แต่เพราะความมีเมตตาตามคำสั่งสอนเรื่องพรหมวิหาร ๔ ดังนั้น ความเอื้อเฟื้อต่อชนทุกเชื้อชาติและทุกศาสนา มีติดต่อกันยาวนานตั้งแต่อดีตกาล สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ยกตัวอย่างชัดๆให้เห็นสักนิดก็ได้

เมื่อพี่น้องชาวไทยมุสลิมของเรา ต้องไปประกอบศาสนกิจต่างแดนด้วยความยากลำบาก ทางรัฐบาลก็จัดหาที่พักเป็นสัดส่วนให้ในซาอุดิอาระเบีย โดยใช้งบประมาณรัฐช่วยเหลือหาที่พักในการแสวงบุญให้ หรือเมื่อมุสลีมะ (ผู้นับถือศาสนาอิสลาม) ต้องการกฎหมายพิเศษขึ้นมา เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองศาสนาอิสลามและศาสนิกในประเทศ

ผมไม่เห็นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งมีจำนวนเกินกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ในสภา จะยกมือคัดค้าน มิหนำซ้ำยังร่วมด้วยช่วยลงคะแนนเสียง ผลักดันกฎหมายนี้ ให้ออกมาได้อย่างราบรื่นเสียด้วยซ้ำไป โดยไม่รังเกียจรังงอนเลย แม้ว่าคนไทยพุทธไปแสวงบุญที่อินเดีย ยังออกเงินกันเอง โดยรัฐไม่ต้องสนับสนุนก็ตาม

...หรือไม่จริง?

นี่เอง อาจเป็นผลที่ทำให้ เมื่อปลายเดือนที่แล้วหยกๆนี้เอง คณะกรรมาธิการ การศาสนา จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยกรรมาธิการที่นับถือพระพุทธศาสนา จำนวน ๗ คน ศาสนาอิสลามจำนวน ๕ คน และศาสนาคริสต์ จำนวน ๑ คน รวมจำนวน ๑๓ คน มีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบด้วย กับการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ได้ทำหนังสือถึงประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ, ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรียบร้อยแล้ว โดยมีความเห็นของคณะกรรมาธิการ ให้บัญญัติเพิ่ม ในมาตรา ๒ ความว่า

“ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ศาสนาอื่น ได้แก่ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ เป็นศาสนาที่ได้รับการรับรองจากรัฐ”


ทัพภาค ๓ อยู่ไกลปืนเที่ยง อาจตกข่าวนี้ไป จึงได้จัดชุมนุมแสดงท่าทีกันในประเด็นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ยังชื่นใจว่าทหารรู้จักรักประชาธิปไตย จะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมายึดอำนาจไปจากประชาชนไป เหมือนผู้บังคับบัญชาตัวเพิ่งทำ ให้ผู้คนเขาสาปแช่งเอาเล่น ด้วยทำให้บ้านเมืองของเราต้องตกต่ำลง อย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ และเพื่อนทหารลองคิดต่อไปอีกนิด ว่า

หากศาสนาพุทธ ไม่ได้รับการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนแล้ว เวลาค่ายทหารของท่าน ทำพิธีประดับยศ หรือการประชุมใดๆ ซึ่งปกติแล้วมีการเชิญพระสงฆ์มาในพิธี หรือมีการกราบบูชาพระพุทธรูปของประธานที่ประชุม ก่อนเปิดการประชุมนั้น ลองคิดกันเล่นๆนะ...

ถ้าทหารบางนายจะโต้แย้งว่า ไม่มีความจำเป็น เพราะไม่ได้เป็นเรื่องมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือหากมี ทหารหัว DOCTOR เกิดผีเข้า ปฏิเสธไม่ยอมสาบานธง โดยบอกว่า กฎหมายไม่ได้มีบัญญัติไว้ว่าต้องสาบาน อีกทั้งบนยอดคันธงยังมีพระพุทธรูปสถิตอยู่ รวมทั้งแถบสีขาวของธงชาติก็หมายถึงพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่ศาสนาประจำชาติ!

เจอเข้าอย่างนี้ ผู้บังคับบัญชาทหารจะคิดกันอย่างไร? เพราะแบบธรรมเนียมของทหารยึดถือว่าความสมบูรณ์ของการเป็นทหาร ต่อเมื่อได้สาบานตนต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล!!

ขอฝากเพื่อนทหารไปคิดเป็นการบ้านกันดู และถ้าเพื่อนๆ ‘ได้คิด’ หรือไตร่ตรองดูโดยรอบคอบกันแล้ว ให้กลับมาตอบผมใหม่ว่า

สมควร ที่จะบัญญัติเรื่องศาสนาประจำชาติ ไว้ในรัฐธรรมนูญ กันได้หรือยัง !!!?

อย่างไรก็ตาม ต้องขอเปิดอกกับท่านผู้อ่านว่า ผมมองเห็น ‘ลางร้าย’ ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตั้งแต่ ‘หัวโจก’ ที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ ออกมายืดอก แสดงอาการกร่าง พูดจาน่ารังเกียจ ว่า กฎหมายสูงสุดที่พวกเขากำลังยกร่างกันอยู่นั้น เป็นรัฐธรรมนูญฉบับวงศาคณาญาติของ “เหี้ย” โดยบอกว่า เป็นรัฐธรรมนูญ ฉบับ “ไล่จับตะกวด” บ้าง "ดักตะกวด" บ้าง นัยว่ามีอิทธิฤทธิ์ป้องกันการโกงชาติได้ชะงัดนัก

ทำให้ผู้คนตกตะลึงว่า ทำไมอีตา “หัวโจก” ของพวกยกร่าง ดันใช้สัตว์อัปมงคล มาเป็นคุณศัพท์วิเศษณ์ ขยายกฎหมายสูงสุดของประเทศ!?

คนไทยนั้นถือว่า ตะกวด เหี้ย แลน สามเกลอนี้เป็นญาติโหติกากันทั้งหมดนี้ คือสัตว์ที่ไม่เป็นมงคล หรืออัปมงคลนั่นเอง

ความเป็นมงคลนั้น หมายถึง เหตุนำความสุขความเจริญมาให้ คือสิ่งที่นำความโชคดี ความสวัสดีมาให้ตามใจปรารถนา ซึ่งมีทั้งมงคลทางโลกและมงคลทางธรรม

มงคลทางโลก คือสิ่งหรือวัตถุที่ชาวโลกถือว่าเป็นมงคล ได้แก่สิ่งของ สัตว์ และต้นไม้บางชนิด เช่นมงคลแฝด ของขลัง ช้างเผือก ใบเงินใบทอง รวมถึงชื่อ อักษร กาลเวลาหรือฤกษ์ยาม เป็นต้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “มงคลนอก”

มงคลทางธรรม คือมงคลที่เป็นข้อปฏิบัติ ต้องทำหรือปฏิบัติให้ได้จริง จึงจะเป็นมงคล มี ๓๘ ประการของพุทธศาสนา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “มงคลใน”

สัตว์อัปมงคลอย่างเหี้ย ตะกวด แลน ที่ชอบลักขโมยเป็ด ไก่ ชาวบ้านเขากิน ขึ้นบ้านใครก็ต้องทำบุญล้างซวยกัน ถึงขนาดคนปักษ์ใต้บ้านนายหัว ของพรรคที่กำลังหวาดเสียวจะถูกยุบอยู่รอมร่อ มีคำเรียกคนที่พูดจากลับกลอก หรือพวกปลิ้นปล้อนว่า เป็นคน “ลิ้นแลน”แต่โดยทั่วไป คนที่มีความประพฤติเลวทราม ชาวบ้านทุกภาคเขาก็เรียกกันติดปากว่า

“ไอ้ตัวเหี้ย!”

แล้วอย่างนี้ ตัวหัวโจกดันนำเอาสัตว์อัปรีย์ มาเป็นคำประกอบขยายความรัฐธรรมนูญ ฉบับที่พวกตัวยกร่างขึ้นมาเองแท้ๆ...ไม่รู้ว่ากบาลเขาทำด้วยอะไร

จึงคิดและพูดจา...ได้พิเรนทร์ถึงปานฉะนี้!?

ดังนั้น ในทันทีที่ร่างรัฐธรรมนูญ “ฉบับไล่จับตะกวด” หรือ “ฉบับดักตะกวด” โผล่หน้าเผยโฉม ออกสู่สายตาประชาชน ความวุ่นวายและความไม่พอใจ ก็ฟักตัวขึ้นและแผ่ขยายไปในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง กระแสการตอบรับของชาวบ้าน ส่วนใหญ่จึงออกมาในทางปฏิเสธ...ไม่ยอมรับ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้!

บอกกันตรงๆ ผมเองก็เห็นตั้งแต่แรกว่า ลองเริ่มต้นกันด้วยเอาชื่อสัตว์อัปมงคล มาเชิดชูยกย่องรัฐธรรมนูญ ที่พวกตัวยกร่างกันอย่างนี้แล้ว กฎหมายสูงสุดฉบับเจ้าปัญหานี้ คงยากที่จะผ่านไปได้ด้วยความสะดวก และต้องพบอุปสรรคมากมายอย่างแน่แท้

รัฐธรรมนูญที่วางรากฐานกฎเกณฑ์ เพื่อให้คนทั้งชาติปฏิบัติตามนั้น ต้องถือว่าเป็นของสูงหรือของมีค่า ต้องเป็นของเสียหายและไม่มีความเป็นมงคล เพราะกลายเป็นฉบับไล่จับไล่ดักสัตว์อัปมงคลไปเสียอย่างนี้แล้ว ถ้าจะต้องถูกคว่ำในสภาที่ทหารผู้ก่อการตั้งขึ้นมาเสียเอง ก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดเลย และไม่ต้องไปเสียดมเสียดายด้วยซ้ำไป

จะเสียดายอยู่บ้าง ก็เงินของชาติที่ต้องจ่ายเป็นค่าแรง ให้กันพวกยกร่างไปเท่านั้น หรือถ้าหากฝืนดันกันให้ผ่านสภาไปได้ แต่คงถูกประชาชนรุมถีบคว่ำ โดยลงคะแนนเสียงไม่ยอมรับ และแก๊งยกร่างและพวกก่อการรัฐประหาร ที่ดันตั้งพวกเขามาร่าง

จะมาต่อว่าชาวบ้าน ก็คงไม่ได้!!

นี่เป็นเพราะเจ้าหัวโจกแท้ๆ ทะลึ่งเริ่มต้นด้วยการเลือกใช้ถ้อยคำอัปมงคล มาใช้เรียกขานกฎหมายสูงสุดของชาติ จนทำให้ผู้คนในบ้านในเมืองเขางุนงง โกรธเคืองเหมือนถูกหลอกหลอน ด้วยแรงฤทธิ์ระยำของ ‘ปีศาจฟันดำ’ อย่างนั้นเลยทีเดียวเชียว

ปฏิกิริยาตอบโต้ ด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งจึงเกิดขึ้น และเราได้เห็นกันแล้ว! ลืมกันไปหรือว่า คนไทยเรานั้น ถือนักถือหนาในเรื่องของความเป็นมงคลและสิ่งดีงาม จนมีคำกล่าวที่ว่า

“เริ่มต้นไม่ดี อัปรีย์จึงบังเกิด”

อย่างนี้ต่อให้ห้อยจตุคามองค์โตเท่า ‘เขียง’ ไว้ที่คอ...ก็คงช่วยอะไรไม่ได้!!

ขอเรียนสรุปว่า ตัวผู้เขียนจะไม่แปลกใจอะไรเลย หากกฎหมายสูงสุดฉบับที่เริ่มต้นด้วยทั้งการกระทำและคำพูด อันไม่เป็นมงคลยิ่งนี้ จะไม่ผ่านฉันทานุมัติ จากประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่คัดค้านการรัฐประหาร เพราะคนกลุ่มนี้เขาเชื่อตามคำพังเพย ที่ว่า

“งาช้างไม่มีวันงอก ออกจากปากหมา ฉันใด...ประชาธิปไตยก็ไม่เคยเงยงอก โผล่ออกจากการปฏิวัติหมาๆ ฉันนั้น!”...

ดังนั้น...หากคนผู้ใดหรือใครผู้หนึ่ง ที่เชื่อตามคำพังเพยดังกล่าว และถ้าใครคนนั้นเขาจะไม่ใช่แค่ลงมติ ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ หากเขาจะกู่ก้องร้องตะโกนขึ้นอย่างดุดัน ด้วยความขัดเคืองระคนโกรธแค้น ถึงกับไม่ยอมเรียกว่าเป็นร่างฉบับ ‘ตะกวด’ ตามคำยกย่องเรียกขานอย่างภาคภูมิใจของเจ้าหัวโจก แต่ใช้นามเรียกขานชื่อวงศาคณาญาติของพวกมัน อย่างตรงไปตรงมาแทนเลยทีเดียว ว่า...

“ก็พวกแม่งงงงงง เล่นเอา ‘ฉบับเหี้ยๆ’ ....มายัดเยียด ให้พวกเรานี่หว่า!!”

นอกจากผมไม่แปลกใจแล้ว...ยังจะสมน้ำหน้าให้อีกด้วย !!!

.............................

กำลังโหลดความคิดเห็น