เช้าวันนี้...ได้นำหนังสือพิมพ์เก่า ที่ตัดไว้ตั้งแต่ต้นเดือนมาอ่านย้อนหลัง เป็นงานเขียนของท่านศาสตราจารย์ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต คอลัมน์ที่ผมติดงอมแงม คือ ‘รื่นร่ม รมเยศ’ ซึ่งมีประจำทุกวันอาทิตย์ ในมติชนรายวัน เป็นเรื่องราวของนางวิสาขา ซึ่งเป็น “เบญจกัลยาณี” และตัวผมเองก็เคยเขียนเรื่องของ ‘มหาอุบาสิกา’ ท่านนี้ ในกาแฟขม...ขนมหวาน หลายครั้งแล้ว
ข้อเขียนของท่านอาจารย์เสถียรพงษ์ฯ ได้เล่าถึงความทุกข์ อันเกิดจากการสูญเสียหลานรัก ซึ่งเป็นการพลัดพราก ที่ยังความโศกเศร้าให้กับนางวิสาขาเป็นอันมาก และพระพุทธองค์ตรัสปลอบโยนนางว่า
"วิสาขา น้ำตาของเธอที่ไหลลง เพราะความเศร้าโศกเสียใจ ในสังสารวัฏอันยาวนานนี้ ถ้าจะวัดกันแล้ว มีมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก"
ท่านราชบัณฑิตได้อธิบายความว่า พระพุทธองค์ทรงเตือนนางว่า ในสังสารวัฏนี้ นางได้เวียนเกิดเวียนตายมาไม่รู้กี่ชาติ และแต่ละชาตินั้นก็ประสบความทุกข์โศก จนร้องไห้น้ำตาไหลมาจนนับไม่ได้ น้ำตาที่ไหลลงทีละนิดๆ ถ้าจะรวมกันแล้ว ตลอดชาติภพต่างๆ มีมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่อีก
อ่านแล้วรู้สึกเข้าใจในความทุกข์โศก ของการพลัดพรากจากของรักเป็นที่ยิ่ง และท่านอาจารย์เสถียรพงษ์ฯราชบัณฑิต ยังเล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนนางว่า
“วิสาขา...ผู้ใดมีสิ่งที่ตนรัก ๑๐๐ ผู้นั้นก็มีทุกข์ ๑๐๐
ผู้ใดมีสิ่งที่ตนรัก ๙๐ ผู้นั้นก็ทุกข์ ๙๐
ผู้ใดมีสิ่งที่ตนรัก ๘๐ ผู้นั้นก็ทุกข์ ๘๐
ผู้ใดมีสิ่งที่ตนรัก ๑ ผู้นั้นก็ทุกข์ ๑ ...
...ผู้ไม่มีสิ่งที่ตนรัก ผู้นั้นก็ไม่ทุกข์ ไม่มีโศก ไม่มีคับแค้นใจ”
คอลัมน์ ‘รื่นร่ม รมเยศ’ ของท่านอาจารย์เสถียรพงษ์ฯ ออกมาตรงกับจังหวะที่บ้านเมืองของเรา มีข่าวคราวยิงกัน ฆ่ากัน ด้วยความรักระคนแค้น ของคู่รักชายหญิงหลายต่อหลายคู่ สาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากการที่ฝ่ายหนึ่งถอนตัวหรือตีจาก อีกฝ่ายก็แสดงความหึงหวงและโกรธแค้นที่ถูกทิ้ง รวมทั้งการที่สามีภริยาฆ่ากันตาย ด้วยสาเหตุอีกฝ่ายหนึ่งไปปันใจให้คนอื่น จนถึงการฆ่ายกครัว แต่มีกรณีที่แปลกกว่ารายอื่น เพราะมีการหยิบยื่นปืนให้กันเป็นการท้านกันก่อน เลยลงเอยด้วยความตาย คือ...
ข่าวนายดาบตำรวจชายยื่นปืนให้ภริยา เพราะถูกกล่าวหาว่านอกใจ โดยบอกฝ่ายหญิงว่า ไม่เชื่อใจตนก็เอาปืนนี่ยิงตนเสียให้ตายให้ ข้างภริยากำลังโกรธ ฉวยปืนมาได้ก็กระหน่ำยิงเสียสองนัด ฝ่ายชายคงตกใจ ร้องขึ้นมาว่า “เอาจริงหรือนี่!?” แล้วเข้าแย่งปืนกระบอกเดียวกัน กลับมายิงภริยาตายไปและตัวเองก็ตายตามไปด้วย ทิ้งให้ลูกอยู่ในโลกต่อไปโดยขาดพ่อขาดแม่
น่าเวทนาจริงๆ!!
คนเรานั้นพอผ่านชีวิตมานาน จนกระทั่งเกษียณอายุจากการทำงานแล้ว ส่วนใหญ่ก็ผ่านมาแล้วทั้งเรื่องที่ทำให้เกิดยินดี และเรื่องที่ต้องเสียใจ จนมองเห็น ว่า
คนที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว หรือยังอยู่ในวัยทำงาน หากได้รับการสั่งสอนหรือมีพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก หรือมีญาติผู้ใหญ่ พี่น้อง เพื่อนฝูงที่ดี เป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษาหารือ คอยให้กำลังใจยามที่ประสบปัญหาชีวิต ก็จะสามารถก้าวข้ามความทุกข์ หรือปัญหาเหล่านั้นไปได้ ดีกว่าคนที่ต้องนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว ขาดญาติพี่น้องหรืไม่มีผู้ที่ให้คำแนะนำที่เหมาะสม
จึงต้องหมั่นสังเกตดูอากัปกริยาลูกหลานรอบข้าง แล้วช่วยเป็นกำลังใจให้คำปรึกษาที่เหมาะสม ตามความรู้ความสามารถของตน ตรงนี้ผมเห็นว่า เป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว
หากเห็นว่าเหตุการณ์นั้น มันก้าวล่วงไปกันไปในทางเลวร้าย แก้ไขเองไม่ได้แล้ว ก็ต้องขวนขวายหาความรู้หรือคำแนะนำ จากผู้มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าตัวเอง มาร่วมด้วยช่วยกัน
จึงจะเป็นผลดี!
ความรักนั้น ก็เป็น ‘ธรรมดา’ เหมือนกับเรื่องอื่น เมื่อมันมีเกิด ก็มีดับ และทางที่ดีมากคือการให้หรือใช้ ‘เวลา’ เป็นเครื่องรักษาแผลหัวใจ อย่างเพลงเขาว่านั่นแหละ ไม่ช้าไม่นานก็คงจะพอทำใจทำใจได้
ตามสถิติเขาว่าแม้คนเคยรักสนิทเหลือเกิน แต่เวลาผ่านไปแล้ว ๕ ปีแล้ว ก็จะรักษาแผลหัวใจให้หายขาดได้ แต่หากเวลาก็สั้น แถมยังไม่มีผู้คอยแนะนำแล้ว ก็จะเป็นเรื่องค่อนข้างยากทีเดียว บางครั้งก็อันตรายถึงกับเกิดเรื่องรุนแรง ถึงขั้นต้องสูญเสียชีวิตกันไป อย่างที่เห็นกันบ่อยมากเหลือเกินในระยะนี้
เห็นแล้ว...น่าเสียดายนัก!
คิดถึงหัวอกพ่อแม่ของผู้ตาย ที่อุตส่าห์กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงถนอมลูกมา หวังจะให้เขาช่วยอยู่ดูแลตนยามแก่เฒ่า ก็มีอันเป็นไปเสียก่อน ส่วนผู้ตายหากมีบุตรด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ สงสารลูกๆของผู้เสียชีวิต ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ กลายเป็นลูกกำพร้า ไม่มีผู้จะคอยเลี้ยงดู การขาดผู้บุพการีอย่างตัวอย่างที่ยกมานั้น เป็นปัญหาหนักสาหัสเลยทีเดียว
ฟังคำพระพุทธเจ้าท่านเทศน์สั่งสอน และท่านอาจารย์เสถียรพงษ์ฯนำมาถ่ายทอด ก็ให้ซาบซึ้งว่า ความรักกับความทุกข์นี้ มันมีเพียงเส้นบางๆขั้นกันอยู่เท่านั้น และข้ามไปมาหากันได้ง่ายเป็นที่สุด แต่บางคนสามารถทนทานต่อความผิดหวังได้อย่างเก่งกาจ อย่างเพื่อนรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง มีเรื่องรักๆใครๆกับสาวๆมาตลอดชีวิต มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำ ท่านเคยบอกผมว่า
“ปีหนึ่งๆ พี่อกหักไม่น้อยกว่า...ยี่สิบครั้ง!”
ขนาดนั้นเลยทีเดียว แต่ท่านก็ควงสาวสวยรวมทั้งนางงามระดับต่างๆไม่ซ้ำหน้า จนกระทั่งถึงกาลต้องอำลาจากโลกนี้ไปด้วยโรคาพยาธิ ผมยังระลึกถึงเสมอเพราะเป็นผู้ที่อกหักจนเคยชิน เอ่ยชื่อขึ้นมารับรองว่า
ท่านผู้อ่านหลายคนต้องร้อง “อ๋อ...คนนี้เอง” เลยทีเดียวเชียว
หลังจากที่อ่านคอลัมน์ ‘รื่นร่ม รมเยศ’ แล้ว ก็ได้ดูหนังทางเคเบิลทีวี เกี่ยวกับความรักของฝรั่ง แม้ไม่ใช่รักหฤโหดอย่างที่เล่าข้างต้น แต่มีเรื่องที่ต้องพูดถึง ภาพยนตร์เรื่องนั้น ชื่อว่า Love Affair เรื่องมีอยู่ว่า...
อดีตนักฟุตบอลชื่อ ไมค์ แกมบริล (Mike Gambril)ที่ผันตัวมาเป็นโคชและนักวิจารณ์กีฬาทางโทรทัศน์ แสดงโดย วอร์เรน บีทที (Warren Beatty) พระเอกอมตะ พบกับ เทอรี่ แมคเคย์ (Terry McKay) สวมบทโดย แอนเนท เบนนิ่ง (Annette Benning) นางเอกที่สวยเย็นๆ ดูสะอาดสะอ้านเป็นที่สุดคนหนึ่ง ทั้งสองบนเที่ยวบินไปซิดนีย์ หนุ่มสาวทั้งสองต่างมีคู่หมั้นหมายกันเรียบร้อยแล้ว โดยไมค์หมั้นอยู่กับพิธีกรสาวรายการทอล์คโชว์ชื่อดังและมีรายได้สูงมาก ส่วนเทอร์รี่ก็มีคู่หมั้นเป็นนักการเงินที่เป็นนักการเงินและยังเป็นเจ้าของธนาคารใหญ่ด้วย
ชายหญิงทั้งสองได้พบและรักกัน โดยที่แต่ละฝ่ายยังมีคนอื่นคาอยู่ในใจ ก่อนมาพบเจอด้วยกันทั้งคู่
ความจริงเรื่องแบบนี้ มันก็ไม่ค่อยพิกลเท่าไหร่ เพราะตัวคนเขียนเองก็เคยเห็นมาหลายคู่แล้ว ประเภทที่เขาเรียกว่า ‘รักซ้อน’ นั่นแหละ
ในหนังเรื่องนี้ ทั้งพระเอกและนางเอกที่เกิดรักซ้อน-ซ่อนรักขึ้น เพราะเครื่องบินที่ทั้งสองโดยสารไป มีปัญหาต้องลงจอดในเกาะคุก (Cook Island) และผู้โดยสารต้องต่อเรือไปแผ่นดินใหญ่ของออสเตรเลีย ทั้งคู่ให้สัญญาต่อกันว่า...
...แต่ละฝ่ายจะกลับไปหาคนรักเดิมของตัวเองกันก่อน โดยชายหญิงทั้งสองตกลงที่จะพบกันอีกสามเดือนข้างหน้า ถ้ามาเจอหน้าพร้อมกัน แสดงว่าทั้งคู่จะมาสานความรักกันต่อ แต่ถ้าใครไม่มาก็ถือว่ายกเลิกกันไป (ดีเหมือนกันแฮะ) ซึ่งปรากฏว่า
เหตุการณ์ได้เกิดผันผวน การนัดพบล้มเหลว เพราะนางเอกเกิดประสบอุบัติเหตุเสียก่อน ไปพบฝ่ายชายไม่ได้ตามนัด แต่ก่อนที่เรื่องจะเดินไปอย่างที่ผู้ชมพากันผิดหวัง คนเขียนเรื่องเขาก็หักมุม ให้พระเอกนางเอกวกกลับมาพบกันอีกโดยบังเอิญ และครองรักกันสืบไปอย่างมีความสุข เฉกเช่นเดียวกับนิยายรักหวานแหววทั้งหลาย
หนังทั้งเรื่องไม่ได้ทำให้ผมซาบซึ้งอะไรได้มากนัก แต่ที่ชอบมากจนต้องนำมาพูดถึงกันในวันนี้ คือคำพูดที่คมคายของ ‘ป้า’ พระเอก ซึ่งแสดงโดย แคทเธอรีน แฮบเบิร์น (Katharine Hepburn) เจ้าของ ๔ รางวัลออสการ์ ซึ่งไม่มีดาราคนไหนเทียบได้ โดยเล่นเป็น Aunt Ginny อายุในเรื่อง ๘๖ ปี เท่ากับอายุผู้แสดงจริงๆ ซึ่งชราภาพมากแล้วเพราะมีอาการสั่นเทิ้ม เวลาพูดและเคลื่อนไหวให้เห็นชัดเจน แต่การแสดงของเธอยังเฉียบคมสมจริงนัก
คุณป้า ‘กินนี่’ ของพระเอกคนนี้ ซึ่งในเรื่องเธอที่มีนิวาสถานอันอัครฐาน อยู่บนเกาะอันสวยงามในหมู่เกาะปาซิฟิคใต้ และพระเอกพานางเอกไปเยี่ยม ระหว่างที่คู่รักทั้งสองต้องรอไปขึ้นเครื่องบินบนเกาะใหญ่
เมื่อป้ากินนี่ได้พบกับเทอรี่ แมคเคย์ นางเอก การสนทนาทั้งสองฝ่ายเริ่มขึ้น คุณป้า
มองเธออย่างแปลกประหลาด และถามเทอรี่ว่า
รู้หรือเปล่าว่า ‘ไม้ค’ พระเอกหลานคุณป้านั้น เขามีคู่หมั้นอยู่แล้วนะ? (ในทำนองจะปรามเทอรี่ ไม่ให้เรื่องมันเลยเถิด...ทำนองนั้น)
นางเอกก็ตอบหน้าตาเฉยว่า รู้แล้ว และตัวเธอเองก็หมั้นแล้วเหมือนกัน
เมื่อคุณป้าฝ่ายชายได้ยินคำตอบ มองดูนางเอกของเรา ซึ่งดูท่าทางจะไม่สู้นำพาในเรื่องที่ผู้สูงอายุพูดเตือน แต่เทอรี่กลับเฉไฉ ไปตั้งข้อสังเกตลอยๆว่า
ม้าที่เกาะของคุณป้านี้ ดูมันรักกันมากเหลือเกินนะ หญิงชราป้าพระเอกเอ่ยตอบอย่างคมคาย เหมือนจะพูดเตือนสติให้เทอรี่ได้คิด โดยบอกว่า
เหตุที่ม้าต้องรักกัน เพราะมันติดอยู่เกาะนี้ด้วยกัน ไปไหนไม่ได้ ยังไงๆมันก็ต้องรักกันอยู่ดี เพราะไม่รู้จะ หันไปหาม้าตัวอื่นที่ไหน ซึ่งเป็นการบอกโดยนัยว่า ถ้ามีที่ไป บางทีพวกมันก็อาจไม่รักกันอย่างนี้ เพราะต่างฝ่ายอาจไปหาม้าตัวผู้ หรือตัวเมียตัวใหม่ ที่ตัวมันเองพึงพอใจก็ได้
เทอรี่กลับพูดว่า ไก่บนเกาะก็ดูรักกันดีนะคะ
คุณป้าแจกแจงว่า ไก่มันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรนักหรอก เพราะตัวผู้ตัวเดียว มีตัวเมียออกเยอะแยะ ฝ่ายนางเอกของเรา ก็ช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน ถามคุณป้าว่า แล้วเป็ดล่ะคะ คุณป้าขา?
คุณป้าตอบว่า ฮู้ยยยยยย...อะไรกันจ๊ะ....
ไอ้เป็ดน่ะ มันยิ่งมั่วนัก...สำส่อนขนาดหนักเลยจ้ะ...หนูจ๋า!
เออ...แฮะ...จริงอย่างคุณป้าเธอว่า ถ้าเราดูเป็ด เวลามันเดินกันไปเป็นฝูง ตัวโน้นขึ้นทับตัวนี้ ไอ้ตัวนี้ไปขึ้นขี่ตัวโน้น
มัน ‘ปี้’ กันแบบมั่วแหลกไปหมดเลย..จริงๆ!!
ฟังแล้วคิดถึงบทกลอนสอนใจ ของครูกลอนสุนทรภู่ขึ้นมาทันที เพราะท่านบรรยายเอาไว้แจ่มแจ้งแดงแจ๋ดีเหลือเกิน คือ
ประเวณีมีทั่วทุกตัวสัตว์ ไม่จำกัดห้ามปรามตามวิสัย
นาคมนุษย์ครุฑาสุราไลย สุดแต่ใจปรองดองจะครองกัน...
นางเอกหน้าหวานเธอถามสำคัญว่า แล้วสัตว์ที่อยู่แบบ ‘ผัวเดียว-เมียเดียว’ มีบ้างไหมคะ? คุณป้าเธอตอบว่า ไอ้ที่มีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว นั้น
...“ต้อง ‘หงส์’ สิจ๊ะหนู!”
(ผมอาจจำรายละเอียดของหนัง ไม่ได้ดีนัก แต่ก็ออกมาในทำนองนี้แหละครับ)
ใช่ครับ จริงอย่างที่คุณป้าท่านว่าอีกนั่นแหละ เพราะหงส์นั้นเป็นสัตว์ประเภท ‘ผัวเดียว-เมียเดียว’ จริงๆ
อยู่กันจนตายกัน ไปข้างหนึ่งเลย!
หงส์ตัวเมียตาย ตัวผู้ซึ่งเป็นผัวก็ไม่ยอมมีใหม่...บางตัวนั้น พอเมียตาย ตัวมันก็ตรอมใจตายตามไปด้วย...มันรักเมียของมันเหลือเกิน นี่พูดจริงๆไม่ได้พูดเอาสนุก!!
คุณป้ากินนี่เธอสำทับ ว่า
คนอย่างไมค์หลานป้านั้น เขาเลียนแบบเป็ดได้ แต่ที่สำคัญ เขาไม่ได้เป็นเป็ด อาจเป็นได้ก็แค่ ‘ลูกเป็ดขี้เหร่’ เท่านั้น ซึ่งเมื่อเติบโตขึ้นมาแล้ว จะเป็นอะไรไม่ได้เลย นอกจากจะต้องเป็น ‘หงส์’ อย่างเดียวเท่านั้น เพราะผู้ชายอย่างไมค์นั้นเป็นประเภทที่ ‘รักเดียวใจเดียว’ ถ้ามีภริยา ก็ต้อง ‘เมียคนเดียว’ แค่นั้นจริงๆ...
ดังนั้น เมื่อไมค์แต่งงานแล้ว ผู้ชายแบบเขาคนนี้ ก็จะมีผู้หญิงแต่เพียงคนเดียวเท่านั้น คือภริยาของตน โดยไม่มีวันไปมีความสัมพันธ์ หรือเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นเด็ดขาด!!!
(อย่างนี้ ต้องให้เป็นป้าของพระเอกคนเดียวเถอะนะเจ้าคะ...คุณป้าเจ้าขา...๕๕๕)
เรื่องการนอกใจภริยานั้น ดูเหมือนทางฝรั่งจะถือสามากกว่าคนไทย เพราะตอนแต่งงานนั้นตามธรรมเนียมของเขา มักจะกระทำพิธีต่อหน้าหลวงพ่อ หรือนักบวชทางศาสนาของเขา มีการให้คำมั่นหรือคำสาบานว่า จะรัก ดูแล และทะนุถนอมผู้หญิงที่จะแต่งงานด้วยเพียงคนเดียว ดังนั้น หากฝ่ายชายมีพฤติกรรมนอกใจ จนถูกจับได้นั้น มักถูกภริยาฟ้องหย่าเอาง่ายๆ
แต่คนบ้านเรา ไม่มีการให้คำมั่น หรือการสาบานเช่นว่านั่น!
นี่เอง อาจเป็นสาเหตุสำคัญของการนอกใจภริยา เพราะแต่งงานโดยไร้การสาบาน จึงไม่มีพันธะสัญญาที่จะต้องคอยรักษา ดังนั้น เมื่อผู้ชายไปทำงานต่างจังหวัด หรือไปราชการต่างท้องที่ การที่มีเพศสัมพันธ์ หรือร่วมหลับนอนกับหญิงที่ไม่ใช่ภริยาของตน เช่นหมอนวด หญิงบริการ แทบจะกลายเป็นเรื่องที่แสนจะปกติ ไม่ใหญ่โตเหมือนฝรั่งเขา กลายเป็นเรื่อง ‘ธรรมดาๆ’ เสียด้วยซ้ำไป สามารถพบเห็นกันได้อย่างดาษดื่น หรือ...
...ถ้าจะให้รู้สึกผิด น้อยลงไปหน่อย (...คิดเอาเองนะจ๊ะ) เวลาไปตรวจราชการบ้านนอก ก็นัดกิ๊ก คู่ขาหรือภริยาน้อย หรือจะให้ทันสมัย ‘ภริยาอีกคน’ (เรียกเอาใจ ท่านประธานฯ และ ผบ.ท่านหน่อย...๕๕๕) ไปเจอกันตามต่างจังหวัด ซึ่งก็ดูกลายเป็นเรื่องแสนจะธรรมดา สำหรับผู้ชายบ้านเราจำนวนมาก
เขียนอย่างนี้คงมีคนถามว่า...ไม่กลัวเข้าตัว หรือพรรคพวก ด่าเข้าให้เรอะ!!?
ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงในประเด็นนี้ กับใครที่ไหนทั้งนั้น เพราะถึงอย่างไรก็เสมือนได้คลุกคลีกับ ‘สังคมเป็ดๆ’ ในประเทศนี้มานาน จนแก่เฒ่าแล้ว
โอกาสที่จะไปอยู่ใน ‘สังคมหงส์’ กับเขา...เห็นทีต้องรอเอาไว้ชาติหน้า!!
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนเขียนยังปลอบใจตัวเองว่า สักวันหนึ่งอาจมี ‘ลูกเป็ดขี้เหร่’ จำนวนมาก เกิดขึ้นในสยามประเทศแห่งนี้ และเมื่อพวกเขาเหล่านั้นเติบโตขึ้น จะกลับกลายเป็น ‘หงส์’ ฝูงใหญ่ในอนาคต
ถึงวันนั้น...บ้านเมืองของเรา...
....อาจกลายเป็น ‘สังคมหงส์’ ไปก็ได้นะ!?
.......................