เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว ดูข่าวแพทย์ศิริราชทำคลอดเด็กแฝดสยามที่ตับและหัวใจติดกันเป็นรายแรกของโลก มีจำนวนแพทย์และพยาบาล ประกอบเข้าเป็นทีมงานเข้าร่วมปฏิบัติการการทำคลอดที่ยุ่งยากซับซ้อนครั้งนี้ จำนวนมากถึง ๖๑ ท่านด้วยกัน
การคลอดที่ รพ.ศิริราชครั้งนี้ ข่าวเขารายงานว่า เป็นการส่งต่อผู้ป่วยสิทธิประกันสังคมจาก รพ.สมุทรสาคร ที่คุณแม่เด็กไปฝากท้อง หลังจากตรวจที่คลินิกพบว่ามีลูกแฝด จึงใช้สิทธิประกันสังคมเข้ารับการรักษาที่ รพ.ศิริราช รวมทั้งใช้สิทธิผ่าตัดคลอด ส่วนลูกแฝดนั้นใช้สิทธิ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค จากโครงการของรัฐบาลเดิม ที่ทารกทั้งสองได้สิทธินั้นทันที หลังจากคลอดแล้ว
การผ่าตัดแยกร่างมีค่าใช้จ่าย ๑.๕ ล้านบาทต่อคน แฝดสองก็ตักเข้าไป ๓ ล้านบาทแล้ว ซึ่ง รพ.ศิริราช เบิกเงินได้จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ส่วนหนึ่งที่เหลือใช้งบประมาณของ รพ.ศิริราชเอง
น่าภาคภูมิใจกับ รพ.ศิริราชของเรานัก และต้องยกนิ้วให้กับความสามารถของทีมแพทย์ไทยเรา ว่ามีฝีมือเป็นเลิศจริงๆ เด็กที่คลอดออกมาหน้าตาน่ารักน่าชัง แถมชื่อที่ตั้งให้ก็ไพเราะ คนพี่ชื่อ “ปานวาด”ส่วนคนน้องชื่อ “ปานตะวัน” ชื่อช่างเป็นสิริมงคลดีจริงๆ
ถ้าแฝดสยามจะมีน้องอีกคน บอกคุณพ่อคุณแม่ให้ตั้งชื่อน้องของหนูทั้งสองว่า
“ปานวาทตะวัน” จะดียิ่งขึ้นไปอีก แต่มีโอกาสไปชื่อซ้ำ กับเด็กอื่นเขาอีกคนด้วยนะจ๊ะ...๕๕๕!
ได้อ่านหนังสือพิมพ์ ที่เขาลงข่าวเรื่องความไม่สงบที่ปักษ์ใต้ บอกว่านอกจากทางการจะประกาศเคอร์ฟิวแล้ว ยังจะมีกฎอย่างอื่นที่ควบมากับเคอร์ฟิวอีกด้วย คือ
การไม่ให้ชาวบ้านคลุมหน้าคลุมตาแบบไอ้โม่ง นัยว่าเพื่อสะดวกในการควบคุมฝูงชนและรักษาความปลอดภัย ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยว่า สมควรกระทำมานานแล้ว
ยุทธวิธีง่ายๆแต่ใช้ได้ผล คือให้ผู้หญิงใช้ผ้าคลุมคลุมหน้าตามากับเด็กๆ ขัดขวางการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ด้วยการยกเข้าปิดล้อมสถานที่ราชการ ปิดถนน เส้นทางคมนาคม ช่องทางการสัญจรไปมาของผู้คน ให้ผลดีกับพวกผู้ก่อการอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่กล้าผลักดัน กลัวว่าจะเกิดความรุนแรง เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่กระเทือนใจกัน
ผู้กระทำการเช่นว่าจึง ‘ได้ใจ’ และใช้ลูกไม้แบบเดียวกันนี้ อย่างต่อเนื่องและได้ผลตลอดมา แต่วันหนึ่งความแตกออกมา ว่า
ที่เข้าใจกันว่า เป็นหญิงชาวบ้านมารวมตัวกันนั้น ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะในกลุ่มสตรีที่คลุมหน้าตาพากันมาชุมนุม เพื่อกดดันเจ้าหน้าที่นั้น มีผู้ชายปนมาด้วยหลายคน แม้แต่งกายแบบหญิงเพื่อพรางไม่ให้ผู้คนจำหน้าได้ แต่อย่างว่าแหละครับ คนที่เป็นผู้ชายมาแต่งกายเป็นหญิง มักมองออกได้ไม่ยาก อาจมีความลำบากอยู่บ้างตรงที่คลุมหน้าคลุมตา แต่ความไม่รอบคอบ หรือเป็นเพราะการแต่งกายแบบนุ่งโสร่ง ดันไม่ใส่ถุงน่องให้เรียบร้อย ขนหน้าแข้งเลยแล่บออกมาปลิวไสว ประจานให้ชาวบ้านเขาเห็นว่า ตัวนั้นแท้ที่จริงเป็น ‘ผู้ชาย’ นั่นเอง
การแต่งตัวรุ่มร่ามแบบชาวอาหรับ คลุมหน้าคลุมตานั้น ก็มีประโยชน์ในการหลบพายุทรายได้เป็นอย่างดี ผมเคยอ่านพบว่า สาเหตุที่พวกยิวซึ่งเขามีกฎทางศาสนา ให้ขลิบอวัยวะเพศเด็กชายนั้น ก็เพราะพายุทรายเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้ต้องมีบทบัญญัติให้ขลิบปลายอวัยวะ เพราะชายที่ไม่มีคุณสมบัติแบบรถเปิด-ปิดประทุนได้เอง หรือที่เรียกว่า convertible car นั้น
หากเม็ดทรายจากพายุ ปลิวกระเด็นเข้าไปฝังติดอยู่ภายในอวัยวะเพศของผู้ที่หนังหุ้มปลายอวัยวะ (ส่วนหัว) ไม่สามารถเปิดออกล้างทำความสะอาดได้ จะมีอาการอักเสบปวดแสบปวดร้อน มากกว่าชายที่ปลายเปิดๆปิดๆได้คล่อง สามารถปลิ้นออกมาชำระล้างได้สะดวกกว่า...
อือม...ก็มีเหตุผล ที่ฟังได้ดีเลยทีเดียวนะ!
เคยดูข่าวที่เขาบอกว่า การแต่งกายแบบชาวอาหรับนี้ ทำให้นักข่าวต่างประเทศเพศชายคนหนึ่ง สามารถเอาตัวเล็ดรอดจากการจับกุม ของพวกตาลีบันในอัฟกานิสถานมาได้จนถึงชายแดนปากีสถาน เพราะนักข่าวคนนี้หัวคิดดี แกปลอมตัวเป็นผู้หญิง ซึ่งเมื่อห่มผ้าผ่อนคลุมเนื้อตัวหน้าตาแบบหญิงแล้ว ก็มองไม่ออกเลยว่าเขาเป็นคนต่างด้าวเพศชาย หากแต่มองเป็นผู้หญิงอัฟกานร่างอ้วนท้วนคนหนึ่งเท่านั้น เห็นแล้วขำจริงๆ แต่ก็นึกชมเชยว่า
เขาเอาตัวรอด จากสถานการณ์ร้ายแรงอย่างนั้นได้ นับว่าเก่งมาก และผมยังเชื่อด้วยว่า นักข่าวคนนี้แกต้องเก็บขนหน้าแข้งได้มิดชิดดี อาจเพราะสวมถุงเท้าเนื่องจากอากาศหนาวนั่นเอง ผิดกับพวกผู้ก่อการร้ายชายแดนใต้ของเรา ที่ลำพองคิดว่า อย่างไรเสียเจ้าหน้าที่คงไม่ได้สังเกต แต่ก็ถูกจับจนได้ในที่สุด
เพราะ ‘ขนหน้าแข้ง’ แท้ๆทีเดียว!
ความจริงแล้ว ขนหน้าแข้งนั้น สำแดงความเป็นชายชาตรีได้เป็นอย่างดี รวมทั้งขนอย่างอื่นด้วย แต่ขนหน้าแข้งก็เหมือนกับ ‘ขน’ ในส่วนอื่นๆของร่างกายคนเรา ซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศ ที่ขนจะลดหดน้อยลงไป เมื่อวัยสูงขึ้น ยังผลให้เส้นขนต่างๆพากันหลุดร่วง จนเหลือน้อยเต็มที
สังเกตได้จากตัวผู้เขียนเอง เมื่อครั้งยังหนุ่มแน่น เล่นกีฬาหนัก ขนหน้าแข้งก็ดกดำ เมื่อเล่นฟุตบอลและรักบี้ รวมทั้งชกมวยมากเข้า การประสานแข้งรวมทั้งการเตะกระสอบทรายต่อเนื่องกันเป็นเวลานานหลายปี ทำให้ขนตรงสันหน้าแข้ง ร่วงหลุดก่อนขนด้านอื่น แต่พอมาถึงวัยนี้แล้ว ขนหน้าแข้งแทบจะไม่เหลือหลอเลย รวมทั้งขนบนศีรษะก็ดูบางลงไปด้วย แต่ก็ยังดูไม่หนักหนาอะไร แต่คงจะเล่นละครเป็นพระเอกไม่ได้อีกแล้ว เคยปรับทุกข์กับเพื่อนๆ เขาก็บอกว่า
“....เป็นเหมือนกันนั่นแหละวะ!” ....เออ...ให้เบาใจขึ้นมาหน่อย
ตอนหนุ่มๆเป็นนายตำรวจอยู่โรงพักพระราชวัง ในท้องที่มีห้างชาวอินเดีย ซึ่งเขาขายยาปลูกหนวดปลูกผม เพื่อนนายตำรวจคนหนึ่งอยากมีขนหน้าอกมาก อุตส่าห์ไปซื้อยาปลูกขน ขวดเล็กกว่าขวด ‘ซีม่าโลชั่น’ (ยาทาเพื่อกำราบ ‘สังคัง’คุณภาพสูง) ด้วยซ้ำ ขวดละกว่า ๓๐๐ บาท ตอนนั้นทองคำบาทละ ๔๐๐ บาท เท่านั้นเอง
เพื่อนผมเอายาแขกอินตะระเดียราคาแพงนั้น มาทาตรงกลางหน้าอกอยู่ ๒-๓ วัน ขนก็งอกขึ้นมาให้เชยชม ๒-๓ เส้น เขาอุตส่าห์ประคับประคองเป็นอย่างดี แต่พอตอนอาบน้ำ เผลอถูสบู่ตรงหน้าอกแรงหน่อยเข้าเท่านั้นเอง
ขนหน้าอกที่ขึ้นมาอย่างยากเย็นนั้น ก็หลุดผลอยออกไปอย่างง่ายดาย เพื่อนจึงให้ผมลองมั่ง ผลก็ออกมาอย่างเดียวกัน จึงทำให้ได้ข้อสรุป ว่า
การทำให้ขนขึ้นนั้น ทำได้ไม่ยาก แต่ขนขึ้นใหม่รากจะไม่แข็งแรง ทำให้การที่จะเก็บขนให้ฟูฟ่องล่องละลิ่วนั้น ทำได้ยากจริงๆ ยาปลูกขนนี้ใครคิดได้ก็คงจะดี โดยเฉพาะ ‘ยาปลูกผม’นั้น ผู้ที่คิดได้สำเร็จ คงจะร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีอย่างแน่นอน
ใช่แต่ธุรกิจผลิตยาปลูกผมปลูกหนวดนั้นที่ทำเงิน การกระทำตรงข้าม คือให้บริการกำจัดขนก็เฟื่องฟูมากในขณะนี้ ผู้หญิงฝรั่งนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีปัญหา ในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
หญิงอเมริกันก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลายคนต้องโกนขนหน้าแข้งทุกวัน จนกระทั่ง บริษัทดูปองท์ (Du Pont Company) ประดิษฐ์ถุงเท้าไนล่อน จากวัสดุสังเคราะห์ซึ่งมีความเหนียวแน่น มีความแข็งแรงผิดจากถุงเท้าแพรไหมมาก นวัตกรรมนี้ได้ออกวางตลาดเมื่อปี ค.ศ.๑๙๓๘ หลังจากมีการโฆษณาเพียงไม่กี่วัน ปรากฏว่าในการจำหน่ายวันแรกสตรีอเมริกันจำนวนมาก วิ่งกรูกันเข้าซื้อตามห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ เพื่อแย่งกันซื้อหาถุงเท้าไนล่อน เพียงแค่วันแรกที่เปิดตัว สามารถจำหน่ายได้มากกว่า ๑ ล้านคู่เลยทีเดียว!
ถุงเท้าไนล่อนนี่แหละ เป็นอาภรณ์ตอบโจทย์ที่รกรุงรัง เพราะช่วยปกปิดขนหน้าแข้งที่รุ่มร่ามได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ใช้ถุงเท้าไนล่อนสีดำเข้มสักหน่อย ก็ช่วยปิดบังความดกดื่นของขนที่สาวๆไม่ต้องการ ให้รอดพ้นจากสายตาคนแล้ว แต่ถ้าต้องการปล่อยให้ขาคู่งามของตัว เปล่าเปลือย เพื่อเย้ายวนใจชายหนุ่ม โดยไม่มีความประสงค์ที่จะปิดบังความยาวเรียวของขาขาวอวบสวยทั้งสองข้างไว้ หากขนยังเป็นปัญหาอยู่ ก็คงต้องพึ่ง
‘บริการกำจัดขน’ กันแล้ว !!
สุภาพสตรีส่วนใหญ่ไม่นิยมการไว้ขน ไม่ว่าจะเป็นไม่ขนบนใบหน้า ขนรักแร้ ขนหน้าแข้ง ความพยายามที่จะหาทางกำจัด ทำได้หลายวิธี เช่น การใช้ยากำจัดขน ก็มีปัญหาที่พบมากคือการแพ้ยาถอนขน เพราะยาละลายเส้นขน (depilatory) นั้น แท้ที่จริงก็คือสาร thioglycolate เขาเอาผสมในครีมหรือโลชั่น สารจะทำให้เกิดการแยกพันธะของกรด
อะมิโน (cysteine bond) ของก้านขน หลังทาไว้เพียง ๕-๑๐ นาที เส้นขนก็จะมีอันละลายวูบ กลายเป็นของเหลวข้นไป แม้จะสามารถล้างออกได้ แต่สารตัวนี้ก็ยังเป็นสารเคมีที่อาจระคายผิว ทำให้ผู้ใช้ออกอาการการแพ้ได้
การถอนขนโดยดึงด้วยแหนบ ก็เจ็บแสบไม่บันเบาเลยทีเดียว แต่แถวเยาวราชผมเห็นหญิงจีนชรา รับจ้างถอนขนด้วยการใช้เส้นด้าย หนีบขนอ่อนที่ขึ้นบนใบหน้าออก ก็เพราะขนเหล่านี้ แม้จะเป็นขนอ่อนก็ตามที หากปล่อยทิ้งไว้บนใบหน้า ถ้าขึ้นมามากๆ ก็จะทำให้หน้ามีสีคล้ำได้
ไม่ต้องผู้หญิงหรอกครับ ดูผู้ชายนี่แหละ หากวันไหนตัดผมและให้ช่างเขาใช้มีดโกนกันขนอ่อนบนใบหน้า วันนั้นหน้าตาจะดูใหม่เอี่ยมอ่อง ขึ้นมาทันทีเลยทีเดียว
ตอนผมเป็นนายตำรวจรุ่นหนุ่ม จำได้ว่าเริ่มมีการหรือแวกซ์ขนให้หลุด แพร่เข้ามาในประเทศเราใหม่ๆ เคยตามเพื่อนผู้หญิงไปร้านเสริมสวย ดูเขากำจัดขนด้วยวิธีนี้ พอถึงตอนลอกพลาสเตอร์และขนติดออกมาก ให้รู้สึกคันหน้าแข้งตัวเองยุบยิบ เลยถามความรู้สึกของเพื่อนสาวเธอก็ตอบว่า ก็เจ็บๆคันๆดีพอสมควร แต่การกระทำลักษณะนี้ มีบางคนเขาบอกว่าไม่ดี เพราะจะทำให้ผิวกลายเป็นตุ่มๆ อันเนื่องมาจากขนใหม่นั้น จะคุดอยู่ภายใน และมีลักษณะคล้ายคลึงไม่ผิดอะไรกับหนังไก่ ที่ชาวบ้านถอนขนมาขายเป็นตุ่มๆ ปูดๆโปๆ โผล่ออกมา ดูไม่เรียบเหมือนผิวหนังไก่ ที่ห้างใหญ่นำออกจำหน่ายในตลาด ซึ่งเขาถอนด้วยเครื่องจักรอย่างดี แต่ก็อย่างว่าแหละครับ คนอยากสวยมันก็ต้องมีความอดทนกันบ้าง
ไม่อย่างนั้น...จะสวยได้อย่างไรกันจ๊ะ!?
ปัจจุบันนี้ การใช้แสงเลเซอร์หรือ intense pulse light ได้เข้ามาในประเทศของเรา และการถอนขนกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ควรจะทำกับผู้ที่มีความชำนาญหรือแพทย์เท่านั้น ก่อนจะไปทำสวยต้องถามไถ่ตรวจสอบกับคนรอบข้างให้ดีเสียก่อน จะได้ไม่เสียใจภายหลัง
ขนหน้าแข้งนั้น คนไทยใช้ในความหมายของคนที่เป็นเศรษฐีมีเงินมาก เป็นการใช้วัดระดับฐานะของผู้คน เพราะความรวยนั้น ขึ้นอยู่กับขนหน้าแข้งที่ดกหนา เหนียวแน่น และหลุดยากด้วย จนมีคำพูดติดปากกัน เช่นควักเงินบริจาคโรงพยาบาลปัญญาอ่อน ๑๐-๒๐ ล้านบาท หรือกินไวน์ขวดละ ๑.๒ ล้านบาทนั้น
“ขนหน้าแข้ง...ไม่ร่วงหรอกย่ะ!”
คนที่ยิ่งร่ำรวยมากอย่าง โอกาสขนหน้าแข้งจะร่วงหลุดมีน้อยเต็มที เวลาตั้งพรรคการเมือง แกก็ชวนคนอื่นให้ยื่นหน้าแข้งมาช่วยทำให้ขนหลุด เพื่อลงขันหาทุนร่วมด้วยช่วยพรรค ซึ่งนั่นก็ทำให้ขนหน้าแข้งของหัวหน้าพรรค หลุดน้อยลงไปด้วย แต่ก็นั่นแหละ...
ใครเขาจะเข้ามาให้ขนร่วงฟรีๆ มันก็ต้องแบ่งปันอำนาจผลประโยชน์เฉลี่ยไป ให้ทั่วๆกัน...ความจริงก็เป็นอย่างนี้ !
ทำไปทำมา เมื่อพากันยกทีมเข้าบริหารประเทศ ขนที่ต่างคนต่างหลุดตอนตั้งพรรค จึงได้รับการซ่อมแซมให้ดกหนาดังเดิม หลายคนอยู่ในตำแหน่งเอื้อประโยชน์ ขนยิ่งขึ้นดำพรื่ดมืดตึ้ดตื๋อ รกรุงรังมากขึ้นกว่าเก่าคนละอีกหลายเท่า
ส่วนหัวหน้าพรรค ที่ไม่ยอมให้ขนหน้าแข้งร่วงหล่นแต่เพียงคนเดียว เพราะความเหนียวแน่นของตัวเองในตอนตั้งพรรคครั้งแรกนั้น มาบัดนี้ ต้องใช้เท้าทั้งสองข้าง พร้อมหน้าแข้งขนยังดื่นดกหนาทึบของตนนั้น เดินระหกระเหเร่ร่อนไปตามต่างประเทศ กลับบ้านเมืองตัวเองไม่ได้ อย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ !!
นี่เป็นเพราะความขี้เหนียว ใจไม่ถึง ไม่ยอมให้ขนตัวเองหลุดร่วงแต่เพียงคนเดียวแท้ๆเทียว จึงต้องตกที่นั่งลำบาก แถมการค้นหาหลักฐานของ ‘คณะตัวแสบ’ ทั้งหลาย (ใส่ตัวย่อกันเอาเอง) อาจทำให้ขนหน้าแข้งของตัวเอง หลุดร่วงต่อไปได้อีกหลายสิบเส้น หรือเป็น ‘กระจุก’ เลยทีเดียว แต่ก็นั่นแหละครับ...
...เป็นเครื่องเตือนใจว่า สัตว์โลกทั้งหลาย ต้องเป็นไปตามกรรม !!!
เมื่อตอนผมเป็นนายตำรวจใหม่ๆ มีพวกกะเทยถูกจับมาโรงพักเพราะพกอาวุธบ่อยๆ ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
ทำไมผู้ชายที่มีจิตใจเป็นหญิงเหล่านี้ ถึงชอบ พกอาวุธกันนัก?
เมื่อสอบถามเหตุผล ก็ได้ความว่า มีไว้เพื่อป้องกันคนรังแก เพราะบ้านเรามีคนสติไม่สมประกอบ ที่ขาดเมตตา และชอบทำร้ายกะเทยมีอยู่มากในสังคมนี้ ทำให้คนที่เขามีปมด้อยอยู่แล้ว ต้องหาทางให้ตัวเองปลอดภัย ด้วยการหาเครื่องทุ่นแรงเอาไว้ป้องกันตัวเอง
สมัยนั้น ชายใจหญิงพวกนี้ มักพกหลาวทองเหลืองซึ่งหาซื้อได้ง่าย แต่แทงเข้าพุงแล้วเลือดตกในดีนัก หรือไม่ก็พกมีดพับ เสือซ่อนเล็บ (มีดสั้นสองฝัก เสียบเข้าหากัน)ฯลฯ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่จำไม่ลืม คือเธอพกมีดโกนพับแบบพวกทหารเรือสมัยเก่า ชอบใช้เป็นอาวุธเชือดใบหน้าศัตรูคู่ปรับ เพื่อฝากแผลให้เป็นที่ระลึก มีดโกนพับนี้แทบจะเป็นอาวุธประจำกายของ ‘ทหารน้ำ’ เลยก็ว่าได้ ในถุงทะเลมีแทบทุกทุกคน
ผมถามว่า เอาไว้ทำไม?...คำตอบที่ได้รับนั้นผิดคาดนัก เพราะเธอตอบว่า
“เอาไว้โกน ‘หนามกุหลาบ’ ค่ะ!”
ตั้งแต่นั้นมา จึงเข้าใจศัพท์กะเทย ที่เขาเรียกขนหน้าแข้งว่า ‘หนามกุหลาบ’ ซึ่งฟังแล้วก็เอ็นดูดี แต่เป็นของแน่ที่เหล่าชายใจอยากเป็นหญิงสาวสวยนั้น ยังไงๆก็ไม่ชอบขนหน้าแข้งเช่นเดียวกับสตรีแท้ๆ หาได้แตกต่างกัน แต่อย่างใดเลย...
...เฮ้อ ‘กุหลาบไร้หนาม’ ในหมู่สาวประเภทสองนี้ หายากจริงๆนะ แต่ก็นั่นแหละ ใครจะปล่อยให้หนามกุหลาบ ขึ้นมาเป็น ‘ตะแลงแกงแทงใจ’ อยู่ได้...
...ก็โกนนนนน...มันออกเสียซี่...จริงไหมคะ...คุณๆเจ้าขาาาาาาา.....!!?
........................
ท้ายบท ความจริงแล้ว ‘ขน’ นั้นถ้าคนเรามีพอเหมาะพอสม มันก็ดูเป็นสิ่งสวยงาม หากไม่มีขนเสียเลยมันก็ดูแปลก บางทีกลายเป็นของไม่ดีหรือเป็นกาลกิณีไปก็ได้ อย่างตำราของคนจีนบางเล่ม ห้ามผู้ชายไม่ให้มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง ที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์แล้ว แต่กลับไม่มีขนในที่ลับ ภาษาจีนเรียกสาวไร้ขนพวกว่า ‘แปะโฮ้ว’ แปลว่า ‘เสือขาว’ ตามตำราเขาบอกว่า
หากชายใดขืนไปสมสู่ด้วยละก้อ ชีวิตภายหน้าของชายผู้นั้น จะต้องพบแต่ความซวยอัปรีย์จังไรถึงแก่ชีวิตและหายนะได้ ขนาดนั้นเลยเลยทีเดียวเชียว...น่ากลัวมาก
อย่าว่าแต่คนเลยครับ แม้สัตว์ที่ต้องมีขนตามเผ่าพันธุ์ แต่เกิดมาไม่มีขนปกคลุมร่างกายหรือมีน้อยจนดูประหลาด อย่าง ‘หนูไร้ขน’ หรือตัวแฮร์รอท ที่ลักษณะท่าทางและหน้าตาของหนู แต่เพราะการผสมข้ามสายพันธุ์จึงกลายเป็น “หนูไร้ขน” คนไทยเรานิยมเรียกว่า ‘หนูฮิปโป’ เนื่องจากตัวของมันอ้วนพี และดันไร้ขน จนเห็นหนังย่นชัดเจน ดูคล้ายฮิปโปโปเตมัสกระจ้อยร่อยกระจิ๋วหลิว ร้านขายสัตว์เขานำเข้าจากญี่ปุ่น ให้คนไทยที่ชอบของแปลกๆซื้อหากัน แต่ผมไม่รู้ว่า มีใครทะลึ่งเอาไปกินเป็น ‘ยาโป๊ว’ กันบ้างหรือเปล่า!?
โปรดอย่ากินเลยครับ ผมขอร้อง เพราะดูหน้าตามันแล้ว...น่าสงสารจริงๆ
ดูหนูตัวนี้แล้วให้เวทนา และนึกถึงรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร พอผู้แทนของประเทศแบบนี้ไปประชุมที่ไหน ก็ดูน่าสงสาร เพราะแตกต่างไปจากบ้านเมืองอื่นเขาทั้งหลายในโลกนี้
ถ้าเปรียบประเทศอื่นเป็น ‘หนู’ ก็ล้วนมี ‘เส้นขนประชาธิปไตย’คลุมร่างกันทั้งนั้น!!
นอกจากรูปร่างประหลาดแล้ว ยังถูกตั้งข้อรังเกียจแล้ว เพราะโดนหลายประเทศเขาตั้ง ‘ข้อจำกัด’ เอาต่างๆนานาๆอย่างที่เห็นกันอีกด้วย...
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็เพราะการเป็น ‘รัฐบาลหนูไร้ขน’ นี่แหละครับ!!!