เช้าวันนี้....จิบกาแฟขมแล้ว ต้องรับประทาน ‘คัสตาร์ด’ ที่ซื้อจากร้านอาหาร ‘ครัวโอ.วี.’ สมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธ วิทยาลัย ถนนพิชัย ยี่ห้อ Na Mum หรืออ่านเป็นไทยๆว่า ‘น่าหม่ำ’ ซึ่งเขาเขียนว่าเป็น ‘golden custard’ เพราะคัสตาร์ดเจ้านี้ เขาไม่ได้ใส่ถ้วยขายเห็นหน้าสีขาวเหมือนทั่วๆไป แต่ใช้วิธีคว่ำถ้วยรองแล้วเคาะออก เผยเห็นสีน้ำตาลไหม้สวย พอเราเอาช้อนตัดเนื้อคัสตาร์ดเท่านั้น สีทองเป็นประกายที่อยู่ในเนื้อก็โผล่ให้เห็นผิวเหลืองนวลสวย รับประทานทานหลังกาแฟ ทำให้สำคอชุ่มฉ่ำ บรรเทาอาการเจ็บคอได้ดีทีเดียว ‘คัสตาร์ด’ เจ้านี้เขาขายดิบขายดี ผู้คนชอบกันมากทีเดียว

ผมเพิ่งมาถึงกรุงเทพเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพราะไม่สามารถต้านทานมลพิษในเมืองเชียงใหม่ได้ แม้จะหลบไปนอนที่ลำพูนแล้ว ก็ยังไม่พ้นอยู่ดี อากาศที่เลวร้ายยังคงปกคลุมพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในเมืองเชียงใหม่วันที่ผมขึ้นเครื่องเข้ากรุงเทพนั้น มีค่าของฝุ่นละอองในอากาศถึง ๒๕๒ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซึ่งค่าปกติต้องไม่เกิน ๑๒๐ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร มากกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป ทำให้ผมเกิดอาการระคายคอ แต่ไม่ยอมรับประทานยาปฏิชีวนะ หากใช้วิธีการอมน้ำเกลือ กวาดคอ และจิบน้ำตลอดไม่ให้คอแห้งตลอดเวลา
ด้วยวิธีการนี้ ทำให้ผมสามารถทุเลาอาการเจ็บคอลงได้ และเมื่อมาถึงกรุงเทพก็รับประทานของหวานให้ชุ่มคอเข้าไว้ ก็รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว
ท่านผู้อ่านหากมีอาการเช่นนี้ ลองใช้วิธีของผมก็คงได้ แต่ต้องมีสุขภาพแข็งแรงพอสมควรเป็นทุนเดิมอยู่ก่อน จึงจะได้ผลดี

ปกติแล้วตอนเช้าผมต้องไปวิ่งที่สวนสาธารณะเป็นประจำ นอกจากอยู่ที่ลำพูนก็จะเดินหรือวิ่งในบริเวณบ้าน สังเกตดูเห็นว่าผู้คนไปเดินและวิ่งน้อยลงมาก ต่อมาจึงได้ทราบว่าทางการเขาเตือนไม่ให้ผู้คนออกกำลังนอกบ้าน เพราะมลพิษปนเปื้อนในอากาศมีสูง ประชาชนก็พยายามช่วยเหลือตัวเอง ด้วยการนำเอาผ้ามาปิดปากปิดจมูก ทำให้ผ้าสำเร็จรูปที่ใช้ปิดปากปิดจมูกขายดิบขายดีเป็นอย่างมาก โดยร้านขายยาเขาจำหน่ายปลีกราคาแผ่นละ ๕ บาท ผมรู้สึก ว่าราคาออกจะสูงไปหน่อย เพราะราคาส่งนั้นผมรู้ว่าต้นทุนอยู่ที่แผ่นละ ๑.๗๐ บาทเท่านั้นเอง แต่ก็จำต้องซื้อกับเขาเหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะของเขาขายดีตอนคนกำลังมีทุกข์นี่แหละ!

เมื่อต้นเดือนนี้เองผมไปตลาดต้นพะยอม ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสุเทพ เส้นที่พาดผ่านด้านหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ได้เห็นพนักงานดับไฟป่า ซึ่งสวมเสื้อสีเลือดหมูจำนวนหลายคน มาที่ตลาดแห่งเดียวกัน ที่น่าสังเกตก็คือ เสื้อคนหนุ่มพวกที่ผมเห็น ด้านหลังเสื้อมีการบอกหน่วยงานที่ตัวเองสังกัด บอกว่ามาจาก ‘ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าอุบลราชธานี’ หลังรถของพวกเขามีเครื่องมือปฏิบัติการณ์ดับไฟเช่นไม้ตีไฟ เครื่องหลัง ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่า
ขณะนี้ สถานการณ์ไฟป่าในเชียงใหม่ต้องเข้าขั้นร้ายแรงแล้ว จึงต้องมีการระดมสรรพกำลังข้ามภาคมากันแบบนี้!

การปฏิบัติงานดับไฟป่าของบ้านเรานั้น ทางราชการมีชุดปฏิบัติการพิเศษดับไฟป่า หรือที่เรียกว่า ‘หน่วยเสือไฟ’ อยู่กระจายกันในจังหวัดที่มีพื้นที่ป่า ทั้งประเทศมีอยู่ด้วยกัน ๑๕ ชุด จาก ๑๕ ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าทั่วประเทศ คราวนี้คงยกกันมาเพื่อสนับสนุนการดับไฟป่า ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย และพื้นที่ติดต่อกันอีกหลายจังหวัดทางภาคเหนือตอนบน ก็เป็นการที่มาช่วยกันอย่างนี้
เรื่องการเผาป่าทางภาคเหนือนั้นก็ทำกันเป็นประจำ ตามวิถีและความเชื่อของชาวบ้าน ควันที่ปกคลุมเมืองเชียงใหม่อยู่นั้น ปกติก็มีกันทุกปี แต่ปีที่ผ่านมามักจะมีลมแรง ช่วยพัดพาเอาหมอกควันพิษ ให้ลอยออกไปจากเมือง ปีนี้จึงแปลกกว่าทุกปี
เหตุที่ผมบอกว่าแปลกกว่าทุกปี เพราะสิ้นมกราคมแล้ว แทนที่
“กุมภาพันธ์ผันไปสู่ฤดูร้อน ทินกรเรืองรองส่องแสงจ้า
เป็นฤดูเกี่ยวข้าวของชาวนา หอบข้าวปลาเข้าเคหาสำราญใจ...”
การณ์กลับก็หาเป็นอย่างนั้นไม่ เพราะอากาศยังคงความหนาวเย็นอยู่ จนถึงต้นเดือนมีนาคมแล้ว ผมออกจากบ้านไปวิ่งออกกำลังที่สวนสาธารณะแต่มืดทุกวัน ก็พบว่าอากาศตอนเช้าก็ยังเย็นเหมือนหน้าหนาวทีเดียว
ผมสอบถามผู้รู้ในเมือง เขาบอกว่าเป็นเพราะ ‘ลิ่มความกดอากาศต่ำ’ มันมีอิทธิพล ทำให้หมอกควันซึ่งปนเปื้อนฝุ่นละอองขนาดเล็ก จากอิทธิพลของไฟป่าที่คลุมเมืองอยู่นั้น ลอยขึ้นไม่ได้ เพราะอากาศหนาวจากความกดอากาศต่ำ มันกดทับอยู่ ซึ่งทุกปีนั้นไม่เป็นอย่างนี้ เพราะปีก่อนๆเคยมีลมแรงช่วยพัด พาหมอกควันเหล่านั้นลอยขึ้นสูงและกระจายออกไปได้ แต่ปีนี้ไม่มีลมเช่นว่านั้น มาช่วยอนุเคราะห์พัดพาหมอกควันพิษออกไป แถมยังมีความกดอากาศต่ำมากดทับคาเอาไว้อีกด้วย...เลยยิ่งไปกันใหญ่!
เมืองทั้งเมืองจึงถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน หรือ smog ที่แตกต่างจากหมอกปกติ ซึ่งเกิดจากละอองน้ำค้างที่ระเหยขึ้น หรือที่เรียกกันว่า fog หรือ haze
คำว่า smog นั้น เป็นศัพท์ที่เกิดใหม่หลังยุคเครื่องจักรไอน้ำราว ๑๐๐ ปีที่ผ่านมานี้เอง เป็นคำที่รวมกันจากคำว่า smoke รวมกับ fog กลายเป็นคำใหม่ที่เรียกว่า smog ซึ่งมีความหมายว่าเป็น ‘ควันผนวกกับหมอก’ ซึ่งปนเปื้อนไปด้วยมลพิษในอากาศ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ในเขตที่เกิดปรากฏการณ์นั้นเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับผู้เป็นโรคภูมิแพ้ เด็กและผู้สูงอายุ
ขณะนี้ก็มีรายงานว่า ผู้ชรากว่ากว่า ๑๐๐ ท่านของ ‘บ้านธรรมปกรณ์’ สถานรับดูแลคนชราไร้ที่พึ่ง ของจังหวัดเชียงใหม่ เกือบครึ่งมีอาการเจ็บป่วย ทั้งหายใจติดขัด เจ็บคอ และมีอาการน้ำมูกไหล พยาบาลต้องเพิ่มการดูแลใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และให้งดการออกกำลังกายกลางแจ้งด้วย
ตอนเดือนเมษายนปีที่แล้ว ผมเพิ่งเขียนเตือนเรื่องวิกฤตจาก‘ไฟป่า’เอาไว้ด้วยความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ในกาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๓๐ ตอนไฟป่า-ไฟสำนึก นึกไม่ถึงว่า เพียงหนึ่งปีเท่านั้น เรื่องที่เป็นห่วงเป็นใยก็แผลงฤทธิ์ขึ้น และนำความเสียหายมาอย่างชัดเจน (เรื่องที่ผมเป็นห่วงและคาดการณ์เอาไว้ มักเกิดขึ้นเสมอ ดังท่านจะได้เห็นบ้างแล้ว และผมจะได้ชี้ให้เห็นในตอนต่อๆไปอีกด้วย)
ในกาแฟขมตอนดังกล่าว ผมได้บอกเอาไว้ว่า....
การเกิดไฟป่าขึ้นบริเวณผืนป่า บนดอยสูงอย่างดอยสุเทพ-ปุย นั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักกินอาณาบริเวณกว้าง เป็นบริเวณกว้างหลายสิบไร่ การขึ้นไปดับไฟทำได้ยากเพราะตรงบริเวณไฟไหม้ มักเป็นพื้นที่สาดชัน ครั้นจะเดินเท้าลงไปจัดการกับไฟก็ลำบาก บางครั้งต้องใช้เฮลิคอปเตอร์หลายลำ ขนน้ำไปโปรย แม้จะดับไฟได้ในที่สุด แต่ความเสียหายก็กระจายตัวออกไปกว้างขวางแล้ว
การดูแลรักษาธรรมชาติหรือผืนป่านั้น หากท่านผู้อ่านได้ติดตาม ข้อเขียนของผมมาโดยตลอดนั้น คงเห็นได้ชัดว่า ผมห่วงใยเสมอมา โดยสำคัญสิ่งที่จะทำลายผืนป่าได้รวดเร็วอย่างยิ่งคือ “ไฟป่า” ซึ่งกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์นั้น
เกิดจาก ‘การกระทำของมนุษย์’ นั่นเอง!
ทางภาคเหนือนั้น เกิดไฟป่ามากกว่าทางใต้ เพราะทางภาคใต้นั้นเป็นป่าดิบชื้น ไม้ติดไฟยากเพราะมีความชื้นสูง แต่ทางเหนือมีไม้ผลัดใบเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงฤดูกาลที่ใบไม้ร่วงหล่นลงพื้น ก็แห้งกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ซึ่งตรงกับฤดูร้อนที่อากาศแห้งแล้งมาก แม้ไฟป่าจะลุกไหม้เองได้ตามธรรมชาติ เช่นฟ้าผ่าต้นไม้และต้นไม้ลุกไหม้ แต่สาเหตุประการสำคัญที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ทั้งจงใจและการกระทำโดยประมาท เช่นการทิ้งบุหรี่และการก่อกองไฟแต่ดับไม่สนิท
ท่านผู้อ่านอาจเห็นว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ใครๆก็รู้ แต่ผมบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจากประสบการณ์การเดินป่า ทำให้ผมได้ทราบว่า ในระหว่างฤดูการท่องเที่ยวผู้ที่มาหาความสุขจากการเดินป่า (เช่น ท่านนายกสุรยุทธ์ฯเป็นตัวอย่าง) หากไม่ได้รับความรู้ในการท่องเที่ยวในป่า มักเผลอเลอหรือละเลยในเรื่องการใช้ฟืนไฟเสมอ แต่ที่สำคัญมากๆ และเป็นปัญหาของทางภาคเหนือ คือ
การจงใจจุดไฟเผาป่า เช่นการเผาป่าเพื่อประโยชน์ในการเก็บหาของป่า ไม่ว่าจะเป็นการเผาเพื่อให้เกิดเถ้าถ่านเพื่อให้ spawn หรือส่าของเห็ด หรือเชื้อเห็ด เจริญเติบโตขึ้นมา เพื่อจะได้เก็บเห็ดนั้นไปเลี้ยงครอบครัว เนื่องจาก ‘เห็ดถอบ’ ตอนออกใหม่ๆนั้น เขาขายกันเป็นลิตร (ประมาณ ๘ ขีด) ราคาประมาณ ๒๐๐ บาท ซึ่งรายได้มันเย้ายวน ชวนให้เผาป่าเป็นอันมาก
นอกจากนั้น ยังมีการเผาป่าเพื่อการล่าสัตว์ รวมถึงการเผาไร่โดยเฉพาะ การทำไร่เลื่อนลอยบนพื้นที่สูง เพื่อทำการเตรียมดินเพื่อทำการเพาะปลูกใหม่
เหล่านี้จะกลายเป็น ‘วัฎจักร’ ไม่รู้จบสิ้น
หากเหตุการณ์ยังเป็นอย่างนี้ต่อไป หรือเกิดขึ้นซ้ำอีก จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ซึ่งทำเงินจากการท่องเที่ยวได้อย่างมากมาย หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของสามเมืองสำคัญของภาคเหนือตอนบนมาช้านาน นั้น
สิ่งที่ผมเกรงกลัวเป็นอย่างมากก็คือ ทั้ง ๓ เมืองนี้ อาจถูกการท่องเที่ยวของต่างชาติ ออกคำเตือนประชาชนของเขาว่า
“ฤดูที่ ‘ไม่ควรท่องเที่ยว’ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน ของประเทศไทยคือ ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม!”
เท่านี้...การท่องเที่ยวในเทศกลาสงกรานต์ และเทศกาลต่อเนื่องอื่นๆ เขาเราจะเกิดภาวะชะงักงัน เศรษฐกิจในเมืองอันสวยงามทั้งสามนี้ จะต้องถดถอยไปทันที!
ถ้ามีคำเตือนอย่างนี้ เราจะทำอย่างไรดี?...ตรงนี้เป็น ‘โจทย์ใหญ่’ สำหรับการท่องเที่ยวของบ้านเมืองเราเลยทีเดียว!!!
อย่างไรก็ตาม คนไทยเรานั้นยังมีบุญ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยและทรงเร่งให้มีการทำฝนหลวง เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร ทำให้รัฐบาลชุด ‘เต่า-ไดโนฯ’ กระฉับกระเฉงขึ้นมาบ้าง และบางแห่งก็มีฝนตกลงมาบรรเทากันบ้างแล้ว นอกจากนั้นยังมีการยืนยันจากกรมอุตุนิยมวิทยา ว่า
เทวดาอาจสงสารและช่วยเหลือ โดยจะโปรยฝนลงมาบ้าง ในวันหวยออกกลางเดือนนี้อย่างแน่นอน (แต่ผมไม่รู้ว่าจริงหรือไม่?...เพราะต้องส่งต้นฉบับก่อนหลายวัน)
ผมเห็นด้วย กับการที่เราจะต้องเพิ่มมาตรการที่จำเป็น เช่นขอความร่วมมือ หรือออกคำสั่งไม่ให้ราษฎรเผาไร่นาในระยะนี้ แต่ไม่ถึงกับต้องไปห้ามร้านหมูกระทะ แผงปิ้งไก่ ย่างไส้อั่ว หมูสะเต๊ะ หมูปิ้ง ลูกชิ้นย่างฯลฯ อันเป็นการปิดทางทำมาหากินของราษฎรกันเลย เพราะดูออกจะเกินเลยไปหน่อยแล้ว
สิ่งที่ดีที่สุดคือ การให้ความรู้โดยกับเยาวชนในท้องถิ่น ถึงภยันตรายจากการการเผาป่าเพื่อการเก็บหาเห็ดถอบ ผักหวานป่า (คนละชนิดกับผักหวานบ้าน) หรือการจุดไฟไล่มดแดงเอาไข่ รวมทั้งการเผาป่า เพื่อไล่ล่าสัตว์ป่าฯลฯ ซึ่งผมว่าได้ผลกว่า
การปลูกฝังเด็กและเยาวชนเรื่องความรักธรรมชาติ โดยการสอดแทรกลงไปในเนื้อหาการเรียนการสอนนั้น จะได้ผลดีเอามากๆ เพราะเราอาจหวังไม่ได้อีกแล้ว กับพวกผู้ใหญ่หัวดื้อทั้งหลาย แต่สามารถฝากความหวังให้กับเด็ก ที่กำลังเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตได้อย่างแน่นอน เพราะเมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้น ก็จะมีภูมิคุ้มกันเรื่องความรัก และมีจิตใจเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อม
อยากให้ทำกันวันนี้เลยครับ เพราะอย่างน้อยที่ทำได้เร็วที่สุด คือการผลิตจุลสารแจกจ่ายให้กับโรงเรียน ในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนบนก่อนก็ได้ รวมทั้งการอบรมวิทยากรแล้วส่งกระจายลงไปในโรงเรียนต่างๆ หรือทำสื่อการเรียนการสอนประเภทอื่น เช่นวิดิทัศน์แจกจ่ายให้กับโรงเรียนในเขต และส่งออกโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ
ถ้าจะให้ดี ลองนำเอาแนวทางของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ที่สอนเยาวชนในพื้นที่สูง ให้รักและหวงแหนสิ่งแวดล้อม โดยให้ช่วยกันรักษาธรรมชาติ ไปปรับใช้กับเด็กบนพื้นที่ราบ หรือนักเรียนในเมืองดูบ้างก็จะดี และหากมีงบประมาณเพียงพอ ก็ส่งนักเรียนเข้าค่ายฝึกอบรมของตำรวจตระเวนชายแดน พวกเขาก็จะได้รับทัศนคติที่ดีในเรื่องนี้ติดตัวไปจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย
ท่านผู้อ่านอาจยังไม่ทราบว่า ปัจจุบันนี้ค่ายฝึกของตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งแยกส่วนจากหน่วยกำลังรบ (แต่มีหน้าที่ทำการฝึกตามวงรอบ ให้กับหน่วยกำลังรบ) มีประจำทั้ง ๙ ภาคทั่วประเทศ ได้ให้การฝึกอบรมเด็กและเยาวชนในหลักสูตรต่างๆอยู่แล้ว ในแต่ละปีนั้น มีจำนวนกว่า ๓ หมื่นคนเลยทีเดียว
สำหรับเรื่องไฟป่านี้ ควรจัดเป็นหลักสูตรพิเศษขึ้น โดยจัดเน้นความรู้เรื่องการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องไฟป่ากับเด็กและเยาวชนในพื้นที่สุ่มเสี่ยง โดยจัดให้มีลำดับความสำคัญ เร่งด่วนกว่าเรื่องอื่นๆด้วย หากเราทำกันอย่างเต็มกำลังเสียแต่ปีนี้ ในปีที่จะถึง...
เราอาจไม่ต้องพบกับปัญหาเช่นปีนี้...ก็เป็นไปได้!
สอนเด็กนี่แหละครับ ได้ผลดีมาก เพราะพวกเขาจะนำความรู้ที่ได้รับ เอาไปบอกหรือสอนพ่อแม่เอง เหมือนอย่างทางราชการเรา เคยรณรงค์เด็กไปบอกพ่อแม่ไม่ให้ ‘นอนหลับทับสิทธิ’ ต้องไปเลือกตั้งกันทุกคน ซึ่งให้ผลดีมาแล้ว บรรดาพ่อแม่ซึ่งปกติไม่สนใจเรื่องการบ้านการเมือง ยังต้องออกไปใช้สิทธิใช้เสียง...เพราะเกรงใจลูกนั่นเอง!
เมื่อมีการอบรมแล้ว เราก็หวังที่จะให้เด็กและเยาวชน เป็นผู้ห้ามพ่อแม่ ญาติพี่น้องในหมู่บ้านไม่ให้เผาป่าตามวิถีชีวิตเดิม รวมทั้งยังเป็นการสร้างทรัพยากรบุคคล ในการเป็นหูเป็นตาให้กับทางการ ในด้านการป้องกันการเผาป่า หรือช่วยแจ้งเบาะแสการกระทำเช่นนั้น ให้กับทางการด้วย
ที่สำคัญที่สุด เราหวังว่าเด็กและเยาวชนพวกนี้ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นแล้ว จะมี ‘ภูมิคุ้มกัน’ที่จะไม่กลายเป็น...
ผู้จุดไฟเผาป่าเสียเอง!!
ดังนั้น...จึงขอฝากแนวความคิดนี้ให้ท่านรองนายกฯไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ที่เคารพของผมพิจารณาด้วย...เพราะ...
“ถ้าพึ่งผู้ใหญ่หัวหงอกไม่ได้ ก็ลองพึ่งเด็กกันดูบ้าง...ซีครับ!!!”
..............................
ผมเพิ่งมาถึงกรุงเทพเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพราะไม่สามารถต้านทานมลพิษในเมืองเชียงใหม่ได้ แม้จะหลบไปนอนที่ลำพูนแล้ว ก็ยังไม่พ้นอยู่ดี อากาศที่เลวร้ายยังคงปกคลุมพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในเมืองเชียงใหม่วันที่ผมขึ้นเครื่องเข้ากรุงเทพนั้น มีค่าของฝุ่นละอองในอากาศถึง ๒๕๒ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซึ่งค่าปกติต้องไม่เกิน ๑๒๐ ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร มากกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป ทำให้ผมเกิดอาการระคายคอ แต่ไม่ยอมรับประทานยาปฏิชีวนะ หากใช้วิธีการอมน้ำเกลือ กวาดคอ และจิบน้ำตลอดไม่ให้คอแห้งตลอดเวลา
ด้วยวิธีการนี้ ทำให้ผมสามารถทุเลาอาการเจ็บคอลงได้ และเมื่อมาถึงกรุงเทพก็รับประทานของหวานให้ชุ่มคอเข้าไว้ ก็รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว
ท่านผู้อ่านหากมีอาการเช่นนี้ ลองใช้วิธีของผมก็คงได้ แต่ต้องมีสุขภาพแข็งแรงพอสมควรเป็นทุนเดิมอยู่ก่อน จึงจะได้ผลดี
ปกติแล้วตอนเช้าผมต้องไปวิ่งที่สวนสาธารณะเป็นประจำ นอกจากอยู่ที่ลำพูนก็จะเดินหรือวิ่งในบริเวณบ้าน สังเกตดูเห็นว่าผู้คนไปเดินและวิ่งน้อยลงมาก ต่อมาจึงได้ทราบว่าทางการเขาเตือนไม่ให้ผู้คนออกกำลังนอกบ้าน เพราะมลพิษปนเปื้อนในอากาศมีสูง ประชาชนก็พยายามช่วยเหลือตัวเอง ด้วยการนำเอาผ้ามาปิดปากปิดจมูก ทำให้ผ้าสำเร็จรูปที่ใช้ปิดปากปิดจมูกขายดิบขายดีเป็นอย่างมาก โดยร้านขายยาเขาจำหน่ายปลีกราคาแผ่นละ ๕ บาท ผมรู้สึก ว่าราคาออกจะสูงไปหน่อย เพราะราคาส่งนั้นผมรู้ว่าต้นทุนอยู่ที่แผ่นละ ๑.๗๐ บาทเท่านั้นเอง แต่ก็จำต้องซื้อกับเขาเหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะของเขาขายดีตอนคนกำลังมีทุกข์นี่แหละ!
เมื่อต้นเดือนนี้เองผมไปตลาดต้นพะยอม ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสุเทพ เส้นที่พาดผ่านด้านหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ได้เห็นพนักงานดับไฟป่า ซึ่งสวมเสื้อสีเลือดหมูจำนวนหลายคน มาที่ตลาดแห่งเดียวกัน ที่น่าสังเกตก็คือ เสื้อคนหนุ่มพวกที่ผมเห็น ด้านหลังเสื้อมีการบอกหน่วยงานที่ตัวเองสังกัด บอกว่ามาจาก ‘ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าอุบลราชธานี’ หลังรถของพวกเขามีเครื่องมือปฏิบัติการณ์ดับไฟเช่นไม้ตีไฟ เครื่องหลัง ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่า
ขณะนี้ สถานการณ์ไฟป่าในเชียงใหม่ต้องเข้าขั้นร้ายแรงแล้ว จึงต้องมีการระดมสรรพกำลังข้ามภาคมากันแบบนี้!
การปฏิบัติงานดับไฟป่าของบ้านเรานั้น ทางราชการมีชุดปฏิบัติการพิเศษดับไฟป่า หรือที่เรียกว่า ‘หน่วยเสือไฟ’ อยู่กระจายกันในจังหวัดที่มีพื้นที่ป่า ทั้งประเทศมีอยู่ด้วยกัน ๑๕ ชุด จาก ๑๕ ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าทั่วประเทศ คราวนี้คงยกกันมาเพื่อสนับสนุนการดับไฟป่า ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย และพื้นที่ติดต่อกันอีกหลายจังหวัดทางภาคเหนือตอนบน ก็เป็นการที่มาช่วยกันอย่างนี้
เรื่องการเผาป่าทางภาคเหนือนั้นก็ทำกันเป็นประจำ ตามวิถีและความเชื่อของชาวบ้าน ควันที่ปกคลุมเมืองเชียงใหม่อยู่นั้น ปกติก็มีกันทุกปี แต่ปีที่ผ่านมามักจะมีลมแรง ช่วยพัดพาเอาหมอกควันพิษ ให้ลอยออกไปจากเมือง ปีนี้จึงแปลกกว่าทุกปี
เหตุที่ผมบอกว่าแปลกกว่าทุกปี เพราะสิ้นมกราคมแล้ว แทนที่
“กุมภาพันธ์ผันไปสู่ฤดูร้อน ทินกรเรืองรองส่องแสงจ้า
เป็นฤดูเกี่ยวข้าวของชาวนา หอบข้าวปลาเข้าเคหาสำราญใจ...”
การณ์กลับก็หาเป็นอย่างนั้นไม่ เพราะอากาศยังคงความหนาวเย็นอยู่ จนถึงต้นเดือนมีนาคมแล้ว ผมออกจากบ้านไปวิ่งออกกำลังที่สวนสาธารณะแต่มืดทุกวัน ก็พบว่าอากาศตอนเช้าก็ยังเย็นเหมือนหน้าหนาวทีเดียว
ผมสอบถามผู้รู้ในเมือง เขาบอกว่าเป็นเพราะ ‘ลิ่มความกดอากาศต่ำ’ มันมีอิทธิพล ทำให้หมอกควันซึ่งปนเปื้อนฝุ่นละอองขนาดเล็ก จากอิทธิพลของไฟป่าที่คลุมเมืองอยู่นั้น ลอยขึ้นไม่ได้ เพราะอากาศหนาวจากความกดอากาศต่ำ มันกดทับอยู่ ซึ่งทุกปีนั้นไม่เป็นอย่างนี้ เพราะปีก่อนๆเคยมีลมแรงช่วยพัด พาหมอกควันเหล่านั้นลอยขึ้นสูงและกระจายออกไปได้ แต่ปีนี้ไม่มีลมเช่นว่านั้น มาช่วยอนุเคราะห์พัดพาหมอกควันพิษออกไป แถมยังมีความกดอากาศต่ำมากดทับคาเอาไว้อีกด้วย...เลยยิ่งไปกันใหญ่!
เมืองทั้งเมืองจึงถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน หรือ smog ที่แตกต่างจากหมอกปกติ ซึ่งเกิดจากละอองน้ำค้างที่ระเหยขึ้น หรือที่เรียกกันว่า fog หรือ haze
คำว่า smog นั้น เป็นศัพท์ที่เกิดใหม่หลังยุคเครื่องจักรไอน้ำราว ๑๐๐ ปีที่ผ่านมานี้เอง เป็นคำที่รวมกันจากคำว่า smoke รวมกับ fog กลายเป็นคำใหม่ที่เรียกว่า smog ซึ่งมีความหมายว่าเป็น ‘ควันผนวกกับหมอก’ ซึ่งปนเปื้อนไปด้วยมลพิษในอากาศ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ในเขตที่เกิดปรากฏการณ์นั้นเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับผู้เป็นโรคภูมิแพ้ เด็กและผู้สูงอายุ
ขณะนี้ก็มีรายงานว่า ผู้ชรากว่ากว่า ๑๐๐ ท่านของ ‘บ้านธรรมปกรณ์’ สถานรับดูแลคนชราไร้ที่พึ่ง ของจังหวัดเชียงใหม่ เกือบครึ่งมีอาการเจ็บป่วย ทั้งหายใจติดขัด เจ็บคอ และมีอาการน้ำมูกไหล พยาบาลต้องเพิ่มการดูแลใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และให้งดการออกกำลังกายกลางแจ้งด้วย
ตอนเดือนเมษายนปีที่แล้ว ผมเพิ่งเขียนเตือนเรื่องวิกฤตจาก‘ไฟป่า’เอาไว้ด้วยความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ในกาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๓๐ ตอนไฟป่า-ไฟสำนึก นึกไม่ถึงว่า เพียงหนึ่งปีเท่านั้น เรื่องที่เป็นห่วงเป็นใยก็แผลงฤทธิ์ขึ้น และนำความเสียหายมาอย่างชัดเจน (เรื่องที่ผมเป็นห่วงและคาดการณ์เอาไว้ มักเกิดขึ้นเสมอ ดังท่านจะได้เห็นบ้างแล้ว และผมจะได้ชี้ให้เห็นในตอนต่อๆไปอีกด้วย)
ในกาแฟขมตอนดังกล่าว ผมได้บอกเอาไว้ว่า....
การเกิดไฟป่าขึ้นบริเวณผืนป่า บนดอยสูงอย่างดอยสุเทพ-ปุย นั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มักกินอาณาบริเวณกว้าง เป็นบริเวณกว้างหลายสิบไร่ การขึ้นไปดับไฟทำได้ยากเพราะตรงบริเวณไฟไหม้ มักเป็นพื้นที่สาดชัน ครั้นจะเดินเท้าลงไปจัดการกับไฟก็ลำบาก บางครั้งต้องใช้เฮลิคอปเตอร์หลายลำ ขนน้ำไปโปรย แม้จะดับไฟได้ในที่สุด แต่ความเสียหายก็กระจายตัวออกไปกว้างขวางแล้ว
การดูแลรักษาธรรมชาติหรือผืนป่านั้น หากท่านผู้อ่านได้ติดตาม ข้อเขียนของผมมาโดยตลอดนั้น คงเห็นได้ชัดว่า ผมห่วงใยเสมอมา โดยสำคัญสิ่งที่จะทำลายผืนป่าได้รวดเร็วอย่างยิ่งคือ “ไฟป่า” ซึ่งกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์นั้น
เกิดจาก ‘การกระทำของมนุษย์’ นั่นเอง!
ทางภาคเหนือนั้น เกิดไฟป่ามากกว่าทางใต้ เพราะทางภาคใต้นั้นเป็นป่าดิบชื้น ไม้ติดไฟยากเพราะมีความชื้นสูง แต่ทางเหนือมีไม้ผลัดใบเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงฤดูกาลที่ใบไม้ร่วงหล่นลงพื้น ก็แห้งกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ซึ่งตรงกับฤดูร้อนที่อากาศแห้งแล้งมาก แม้ไฟป่าจะลุกไหม้เองได้ตามธรรมชาติ เช่นฟ้าผ่าต้นไม้และต้นไม้ลุกไหม้ แต่สาเหตุประการสำคัญที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ทั้งจงใจและการกระทำโดยประมาท เช่นการทิ้งบุหรี่และการก่อกองไฟแต่ดับไม่สนิท
ท่านผู้อ่านอาจเห็นว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่ใครๆก็รู้ แต่ผมบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจากประสบการณ์การเดินป่า ทำให้ผมได้ทราบว่า ในระหว่างฤดูการท่องเที่ยวผู้ที่มาหาความสุขจากการเดินป่า (เช่น ท่านนายกสุรยุทธ์ฯเป็นตัวอย่าง) หากไม่ได้รับความรู้ในการท่องเที่ยวในป่า มักเผลอเลอหรือละเลยในเรื่องการใช้ฟืนไฟเสมอ แต่ที่สำคัญมากๆ และเป็นปัญหาของทางภาคเหนือ คือ
การจงใจจุดไฟเผาป่า เช่นการเผาป่าเพื่อประโยชน์ในการเก็บหาของป่า ไม่ว่าจะเป็นการเผาเพื่อให้เกิดเถ้าถ่านเพื่อให้ spawn หรือส่าของเห็ด หรือเชื้อเห็ด เจริญเติบโตขึ้นมา เพื่อจะได้เก็บเห็ดนั้นไปเลี้ยงครอบครัว เนื่องจาก ‘เห็ดถอบ’ ตอนออกใหม่ๆนั้น เขาขายกันเป็นลิตร (ประมาณ ๘ ขีด) ราคาประมาณ ๒๐๐ บาท ซึ่งรายได้มันเย้ายวน ชวนให้เผาป่าเป็นอันมาก
นอกจากนั้น ยังมีการเผาป่าเพื่อการล่าสัตว์ รวมถึงการเผาไร่โดยเฉพาะ การทำไร่เลื่อนลอยบนพื้นที่สูง เพื่อทำการเตรียมดินเพื่อทำการเพาะปลูกใหม่
เหล่านี้จะกลายเป็น ‘วัฎจักร’ ไม่รู้จบสิ้น
หากเหตุการณ์ยังเป็นอย่างนี้ต่อไป หรือเกิดขึ้นซ้ำอีก จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ซึ่งทำเงินจากการท่องเที่ยวได้อย่างมากมาย หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของสามเมืองสำคัญของภาคเหนือตอนบนมาช้านาน นั้น
สิ่งที่ผมเกรงกลัวเป็นอย่างมากก็คือ ทั้ง ๓ เมืองนี้ อาจถูกการท่องเที่ยวของต่างชาติ ออกคำเตือนประชาชนของเขาว่า
“ฤดูที่ ‘ไม่ควรท่องเที่ยว’ ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน ของประเทศไทยคือ ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม!”
เท่านี้...การท่องเที่ยวในเทศกลาสงกรานต์ และเทศกาลต่อเนื่องอื่นๆ เขาเราจะเกิดภาวะชะงักงัน เศรษฐกิจในเมืองอันสวยงามทั้งสามนี้ จะต้องถดถอยไปทันที!
ถ้ามีคำเตือนอย่างนี้ เราจะทำอย่างไรดี?...ตรงนี้เป็น ‘โจทย์ใหญ่’ สำหรับการท่องเที่ยวของบ้านเมืองเราเลยทีเดียว!!!
อย่างไรก็ตาม คนไทยเรานั้นยังมีบุญ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยและทรงเร่งให้มีการทำฝนหลวง เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร ทำให้รัฐบาลชุด ‘เต่า-ไดโนฯ’ กระฉับกระเฉงขึ้นมาบ้าง และบางแห่งก็มีฝนตกลงมาบรรเทากันบ้างแล้ว นอกจากนั้นยังมีการยืนยันจากกรมอุตุนิยมวิทยา ว่า
เทวดาอาจสงสารและช่วยเหลือ โดยจะโปรยฝนลงมาบ้าง ในวันหวยออกกลางเดือนนี้อย่างแน่นอน (แต่ผมไม่รู้ว่าจริงหรือไม่?...เพราะต้องส่งต้นฉบับก่อนหลายวัน)
ผมเห็นด้วย กับการที่เราจะต้องเพิ่มมาตรการที่จำเป็น เช่นขอความร่วมมือ หรือออกคำสั่งไม่ให้ราษฎรเผาไร่นาในระยะนี้ แต่ไม่ถึงกับต้องไปห้ามร้านหมูกระทะ แผงปิ้งไก่ ย่างไส้อั่ว หมูสะเต๊ะ หมูปิ้ง ลูกชิ้นย่างฯลฯ อันเป็นการปิดทางทำมาหากินของราษฎรกันเลย เพราะดูออกจะเกินเลยไปหน่อยแล้ว
สิ่งที่ดีที่สุดคือ การให้ความรู้โดยกับเยาวชนในท้องถิ่น ถึงภยันตรายจากการการเผาป่าเพื่อการเก็บหาเห็ดถอบ ผักหวานป่า (คนละชนิดกับผักหวานบ้าน) หรือการจุดไฟไล่มดแดงเอาไข่ รวมทั้งการเผาป่า เพื่อไล่ล่าสัตว์ป่าฯลฯ ซึ่งผมว่าได้ผลกว่า
การปลูกฝังเด็กและเยาวชนเรื่องความรักธรรมชาติ โดยการสอดแทรกลงไปในเนื้อหาการเรียนการสอนนั้น จะได้ผลดีเอามากๆ เพราะเราอาจหวังไม่ได้อีกแล้ว กับพวกผู้ใหญ่หัวดื้อทั้งหลาย แต่สามารถฝากความหวังให้กับเด็ก ที่กำลังเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตได้อย่างแน่นอน เพราะเมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้น ก็จะมีภูมิคุ้มกันเรื่องความรัก และมีจิตใจเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อม
อยากให้ทำกันวันนี้เลยครับ เพราะอย่างน้อยที่ทำได้เร็วที่สุด คือการผลิตจุลสารแจกจ่ายให้กับโรงเรียน ในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนบนก่อนก็ได้ รวมทั้งการอบรมวิทยากรแล้วส่งกระจายลงไปในโรงเรียนต่างๆ หรือทำสื่อการเรียนการสอนประเภทอื่น เช่นวิดิทัศน์แจกจ่ายให้กับโรงเรียนในเขต และส่งออกโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ
ถ้าจะให้ดี ลองนำเอาแนวทางของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ที่สอนเยาวชนในพื้นที่สูง ให้รักและหวงแหนสิ่งแวดล้อม โดยให้ช่วยกันรักษาธรรมชาติ ไปปรับใช้กับเด็กบนพื้นที่ราบ หรือนักเรียนในเมืองดูบ้างก็จะดี และหากมีงบประมาณเพียงพอ ก็ส่งนักเรียนเข้าค่ายฝึกอบรมของตำรวจตระเวนชายแดน พวกเขาก็จะได้รับทัศนคติที่ดีในเรื่องนี้ติดตัวไปจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย
ท่านผู้อ่านอาจยังไม่ทราบว่า ปัจจุบันนี้ค่ายฝึกของตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งแยกส่วนจากหน่วยกำลังรบ (แต่มีหน้าที่ทำการฝึกตามวงรอบ ให้กับหน่วยกำลังรบ) มีประจำทั้ง ๙ ภาคทั่วประเทศ ได้ให้การฝึกอบรมเด็กและเยาวชนในหลักสูตรต่างๆอยู่แล้ว ในแต่ละปีนั้น มีจำนวนกว่า ๓ หมื่นคนเลยทีเดียว
สำหรับเรื่องไฟป่านี้ ควรจัดเป็นหลักสูตรพิเศษขึ้น โดยจัดเน้นความรู้เรื่องการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องไฟป่ากับเด็กและเยาวชนในพื้นที่สุ่มเสี่ยง โดยจัดให้มีลำดับความสำคัญ เร่งด่วนกว่าเรื่องอื่นๆด้วย หากเราทำกันอย่างเต็มกำลังเสียแต่ปีนี้ ในปีที่จะถึง...
เราอาจไม่ต้องพบกับปัญหาเช่นปีนี้...ก็เป็นไปได้!
สอนเด็กนี่แหละครับ ได้ผลดีมาก เพราะพวกเขาจะนำความรู้ที่ได้รับ เอาไปบอกหรือสอนพ่อแม่เอง เหมือนอย่างทางราชการเรา เคยรณรงค์เด็กไปบอกพ่อแม่ไม่ให้ ‘นอนหลับทับสิทธิ’ ต้องไปเลือกตั้งกันทุกคน ซึ่งให้ผลดีมาแล้ว บรรดาพ่อแม่ซึ่งปกติไม่สนใจเรื่องการบ้านการเมือง ยังต้องออกไปใช้สิทธิใช้เสียง...เพราะเกรงใจลูกนั่นเอง!
เมื่อมีการอบรมแล้ว เราก็หวังที่จะให้เด็กและเยาวชน เป็นผู้ห้ามพ่อแม่ ญาติพี่น้องในหมู่บ้านไม่ให้เผาป่าตามวิถีชีวิตเดิม รวมทั้งยังเป็นการสร้างทรัพยากรบุคคล ในการเป็นหูเป็นตาให้กับทางการ ในด้านการป้องกันการเผาป่า หรือช่วยแจ้งเบาะแสการกระทำเช่นนั้น ให้กับทางการด้วย
ที่สำคัญที่สุด เราหวังว่าเด็กและเยาวชนพวกนี้ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นแล้ว จะมี ‘ภูมิคุ้มกัน’ที่จะไม่กลายเป็น...
ผู้จุดไฟเผาป่าเสียเอง!!
ดังนั้น...จึงขอฝากแนวความคิดนี้ให้ท่านรองนายกฯไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ที่เคารพของผมพิจารณาด้วย...เพราะ...
“ถ้าพึ่งผู้ใหญ่หัวหงอกไม่ได้ ก็ลองพึ่งเด็กกันดูบ้าง...ซีครับ!!!”
..............................