xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 268 “ขอทานการเมือง...มีจริงๆ นะจ๊ะ!”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว เดินออกจากบ้านไปตลาดพะยอมที่ถนนสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักพอเหงื่อซึมเท่านั้น พอเดินเข้าไปในตลาดเห็นชายคนหนึ่งนั่งร้องเพลงอย่างมีความสุข ตรงหน้ามีกระป๋องใส่เศษเงินวางอยู่ ภาพอย่างนี้ท่านผู้อ่านคงเห็นกันจนชินตา เราเรียกผู้ที่ดำรงชีพอย่างนี้ว่า “วณิพก” บ้าง เรียกว่า “ขอทาน” บ้าง บางครั้งก็นำสัตว์มาเป็นเครื่องประกอบในการหาสตางค์

เคยเห็นมีผู้นำสัตว์เช่น สุนัข แมว เป็นผู้ช่วยในการขอทาน แต่ที่เห็นกันเจนตามากๆในเมืองหลวงก็คือ “ช้างขอทาน” บ้างก็เรียกว่า “ช้างเร่ร่อน” แต่ผมเห็นเขาเรียกว่า ‘ช้างขอทาน’ เสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะต้องขอเงินจากผู้ใจบุญ เลี้ยงทั้งตัวมันเองและคนที่พามาขอ เมื่อช้างไทยบางเชือกได้ไปออสเตรเลีย ได้อยู่ในที่กว้างขวาง อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ มีคนเลี้ยงและสัตว์แพทย์ดูแลเอาใจใส่ ดูไปแล้วช้างพวกนี้ช่างเหมือนคนไทยยุคผมเป็นหนุ่ม ที่ทุรนทุรายออกไปทำมาหากินเพื่อให้มีชีวิตที่ดีกว่าในต่างแดน เช่นสหรัฐอเมริกา จนหลายคนกลายเป็นเศรษฐีมหาศาล หากอยู่บ้านเราคงมีโอกาสมันน้อยนิด

เลยก็อดดีใจกับสัตว์ใหญ่โชคดีเหล่านั้นไม่ได้ เพราะอนาคตไม่ต้องอดๆอยากๆต้องมาตากแดดเดินตีนร้อนร่อนเร่ขอทาน กลายเป็นขอทานในบ้านเกิด ไม่ไปอยู่ทางโน้นเขาเลี้ยงดูมีความสุข

แต่อาจเหงาหน่อย..เพราะบ้านเขาเจริญแล้ว ไม่มีปฏิวัติ มีระเบิดทั่วกรุงให้ตื่นเต้นก็เป็นได้!

สำหรับ สุนัขขอทาน นั้น มีภาพที่ผมชอบมาก ไม่ทราบว่าใครเป็นคนถ่ายทำ แต่ก็แพร่หลายกันในเวปไซด์ต่างๆ ดังที่ท่านเห็น ดูน่ารักดี!

เคยได้ยินขอทานที่ใช้สุนัขเป็นผู้ช่วย เรียกตัวเองว่าเป็นวณิพก ซึ่งดูเหมือนไม่ตรงนัก ถึงแม้ว่าคำว่า ‘วณิพก’ กับคำว่า ‘ขอทาน’นั้นใกล้เคียงกันก็ตาม พออธิบายได้ดังนี้

ขอทาน นั้นแปลว่า ขอเงินหรือสิ่งของเลี้ยงชีวิต, หากินทางขอสิ่งที่ผู้อื่นให้ และเรียกบุคคลที่หาเลี้ยงชีพอย่างนี้ว่า ขอทาน

คนขอทานโดยการร้องเพลงหรือดีดสีตีเป่าให้ฟัง นั้นเขาเรียกว่า วณิพก หรือวนิพก สะกดได้ทั้งสองแบบ


ดังนั้น ผู้ที่จะเป็นวณิพก ดูเหมือนว่าจะต้องมีเรื่องดนตรีดีดสีตีเป่า หรือการร้องเพลงเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่การเอาสัตว์มาแสดงร่วมไม่ได้เรียกว่าวณิพก แต่เรียกว่าขอทาน

อนที่ผมเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ วงดนตรีสุนทราภรณ์กำลังเฟื่องฟูมาก ตอนบ่ายสามโมงเย็นเลิกเรียนกลับโรงนอน เพื่อเปลี่ยนเป็นชุดฝึกหรือกีฬาตามแต่ตารางฝึกและกีฬา นักเรียนที่เตียงอยู่หัวโรงนอน จะเปิดวิทยุที่มีอยู่เครื่องเดียวตรงนั้น ฟังรายการเพลงวงครูเอื้อหนึ่งชั่วโมงจากบ่ายสามถึงสี่โมงเย็น ฟังเกือบทุกวันสี่ปีจนรู้จักและจำเพลงของวงดนตรีเก่าแก่นี้ได้หลายเพลง และมีเพื่อนที่ร้องเพลงเสียงคล้ายครูเอื้ออยู่หนึ่งคน ที่เสียงเหมือนคุณวินัย จุลบุษปะก็มี ตัวผมเองก็เคยร้องเพลงกับวงครูเอื้อ ออกโทรทัศน์หลายหนอยู่เหมือนกัน

สุนทราภรณ์นั้น มีเพลงที่เกี่ยวกับขอทานอยู่หลายเพลง ที่ พวกเช่นเพลง พรานสัญจร ขึ้นต้นว่า

เราพวกพรานสัญจร
เร่ร่อนฟ้อนรำ (ฟ้อนรำ)
ขับลำนำ (ลำนำ) ร่ายรำนี่หนา
รำ เต้นรำขอทาน พวกพรานพลัดมา (พลัดมา)
จงเมตตากรุณาผองข้าพวกพราน
เราหากินกันไปไม่พอจึงขอท่าน.....
โปรดทำบุญทำทานเพราะร่างกายพิการสิ้นทางหากิน
เมตตาเถิดหนาเป็นค่าอาหาร ขอทานท่านกิน
ขับเพียงเสียงพิณหากินด้วยศิลปะเรา


เพลงนี้ให้ความหมายเข้าใจง่ายว่า ผู้ที่มาร้องเพลงขอทานเขากิน ก็เพราะ ร่างกายพิการสิ้นทางหากิน คนที่ร่างกายยังดีอยู่ ก็ไม่ควรไปขอทานใคร แต่เพลงนี้ไม่ใช่เพลงของพวกนักเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน เพราะพรานที่เป็นต้นเค้าของอำเภอสามพราน เป็นแค่พวกล่าสัตว์ธรรมดาเท่านั้น

พรานสัญจรเป็นเพลงประกอบละครเรื่อง "ปาริชาต" ซึ่งหมายถึงดอกไม้บนสรวงสวรรค์ และเพลงประกอบละครเรื่องนี้ ที่คนรู้จักมากก็ชื่อเดียวกับละคร ที่ขึ้นต้นว่า “กลิ่นล่องลมมา หอมปาริชาติสวรรค์ กลิ่นเจ้าเท่านั้น สัมพันธ์ชาติที่ผ่าน...” ดอกปาริชาติสวรรค์นี้ตามตำนานเขาว่า ดมแล้วระลึกชาติได้

ตายไปแล้วถ้าได้ขึ้นสวรรค์ จะลองไปดมดูบ้าง!

เพลงที่เกี่ยวกับขอทานของสุนทราภรณ์ที่ถูกใจผมมาก คือเพลง “ขอทานรัก” ที่ชอบเพราะว่า ไม่ทราบว่าคนแต่งเนื้อเพลงคือ ครูสมศักดิ์ เทพานนท์ ท่านคิดได้อย่างไรว่าจะมีคนเขาให้ทานความรักกับเราได้ เนื้อเพลงนี้ดีมาก ตรงท่อนจบลงท้ายเขาบอก ว่า

พี่ปฏิญาณจะรักยืนนานไม่เสื่อมคลาย
ตราบจนวันตายมิหน่ายดวงใจเลยสักวัน
จงเกื้อกูลนึกว่าทำบุญแก่ฉัน
โปรดทำทานรักให้ฉันเอย


แน่ะ! ขอทานความรักเขาเอาดื้อๆอย่างนั้นแหละ...แต่ความจริงแล้วก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าใครที่อายุมากอย่างคนเขียน แล้วยังมีสาวๆมาให้ทานความรักกับตัวบ้าง

ขนาดยังไม่มีคนมาโปรยทานให้ แต่แค่คิดเล่นๆ ก็ครึ้มแล้วนะเนี้ยะ!!

มีเพลงที่เกี่ยวข้องกับ “ขอทาน” โดยตรงก็คือ “เพลงขอทาน” หรือ “เพลงวณิพก”เป็นเพลงพื้นบ้านที่เกิดมาจากการเล่านิทาน ในการทำบุญในสมัยก่อนมีคนรับจ้างเล่านิทาน ซึ่งมีคล้ายกันในหลายชาติ ฝรั่งเรียกว่า storyteller ที่ผมเคยอธิบายให้ฟังบ้างแล้ว

คนที่ทำอาชีพนี้ก็ร่อนเร่ เล่านิทานแลกเปลี่ยนสิ่งของ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือขอเป็นเงินทอง ต่อมาเมื่อมีงานวัดพวกทายกและทายิกาทั้งหลาย จะทำการเรี่ยรายหาสิ่งจำเป็นเข้าวัด การที่จะขอให้ทำบุญด้วยปากเปล่า ก็ดูเรียบง่ายเป็นธรรมดาเกินไป มันไม่สนุก หรือไม่จูงใจคนที่จะมาทำบุญ จึงเล่านิทานเพื่อจูงใจให้คนทำบุญกัน เป็นคำร้องแบบกลอนหัวเดียวเหมือนกับเพลงฉ่อย เพลงเรือ คือเป็นกลอนสัมผัสท้ายไปเรื่อยๆ แล้วไปลงสัมผัสกันระหว่างสามวรรคหลัง เช่น

จะร่ำคำขานเป็นตำนานเก่า  เรื่องพระร่วงเจ้า    กรุงสุโขทัย
มียายตาอาศัยอยู่              เขาหลวงยอดภู    นั้นเป็นพงไพร...


นี่เป็นคำร้อง ‘ตำนานกรุงสุโขทัย’

การร้องเพลงขอทานนั้น ส่วนใหญ่มักชาดกเป็นหลัก มีการใส่ทำนอง มีลูกคู่เข้ามาผสม และเพิ่มเครื่องกำกับจังหวะตามถนัด ต่อมามีผู้เลียนแบบและยึดเป็นอาชีพไปเลยก็มี

ผู้ที่มีชื่อเสียงในการร้องเพลงขอทาน ซึ่งเคยแสดงออกงานต่างๆหลายครั้ง รวมทั้งการไปโชว์ศิลปะนี้ในต่างประเทศ คือ อาจารย์ ประทีป สุขโสภา หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันดีในฉายา ประทีป หนองปลาหมอ เพราะท่านเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงเรียนหนองปลาหมอวิทยาคม กรมสามัญศึกษา จังหวัดสุโขทัย

ท่านอาจารย์ประทีปนี่แหละครับ ที่ปัจจุบันเป็นปรมาจารย์เรื่องเพลงขอทานเลยทีเดียว ใครเคยฟังท่าร้อง “ตำนานกรุงสุโขทัย” ต้องยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ทั้งสองมือ เพราะอาจารย์ท่านร้องไปพร้อมกับขยับกรับในมือฉับฉับ ส่วนเท้าก็คีบฉาบตีเข้าจังหวะไปด้วย ถูกอกถูกใจผู้ฟังยิ่งนัก

เมื่อไม่กี่ปีมานี้ วงหัวควาย ของพ่อแอ้ด คาราบาว เขาก็ไม่น้อยหน้า มีเพลงดังที่ร้องกันทั้งเมือง ว่า “เกิดมาเป็นวณิพกพเนจร...เที่ยวเร่ร่อน ร้องเพลงแลกเศษเงิน...” นั่นแหละครับ!

ทานนั้นเป็นเรื่องที่คนไทยนั้นส่วนใหญ่แล้วรู้จัก มักจะบำเพ็ญกิจที่เรียกว่าการให้ทานนี้ เพราะได้รับอิทธิพลทางพระพุทธศาสนา ที่สอนเรื่องไตรสิกขา ซึ่งเป็นคำสอนสำคัญหมวดหนึ่ง ในบรรดาคำสอนสำคัญหลายหมวด มุ่งไปที่ฆราวาสกับนักบวช

หากเป็นฆราวาส ก็เริ่มที่ ทาน แล้ว ศีล แล้ว ภาวนา (คือเรื่องสมาธิ บวกกับ ปัญญา) ถ้าเป็นนักบวชก็เริ่มที่ ศีล สมาธิ ปัญญา

การนำเรื่องทานมานำสำหรับฆราวาส ด้วยเหตุผลที่ว่าฆราวาสนั้น เป็นผู้ประกอบสัมมาอาชีพมีรายได้ สามารถนำไปซื้อหาปัจจัยเครื่องอุปโภคบริโภค แล้วไปทำบุญถวายแด่นักบวชมีภิกษุเป็นต้น นี่เรียกว่าทาน

คำว่า "ทาน" นี้ยังรวมความกว้างไปถึงเรื่อง การบริจาคทั้งหลาย และการให้อภัยทาน
เมื่อการให้ทานกลายเป็นอุปนิสัยของคนไทย เมื่อพบคนที่อดอยากยากจน คนไทยก็ไม่แล้งน้ำใจที่จะให้ทาน

เมื่อตอนเป็นเด็กคุณยายพาผมไปเที่ยวงานพระบาทสระบุรี ตัวเองรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับขอทานจำนวนมากมาย ที่มานั่งขอทานกันที่บันไดทางขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาท รวมทั้งในบริเวณงานก็คลาคล่ำไปด้วยบรรดาขอทาน
พอเรียนสำเร็จออกเป็นนายตำรวจ ผมจึงรู้ว่าในประเทศของเราขอทานมีจำนวนมาก เพราะเวลาท้องที่ที่ตัวองทำงานอยู่จะมีงาน เช่นงานกาชาด งานประจำปีของจังหวัด จะต้องมีการระดมกวาดล้างตามแผนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือแผนรวมของจังหวัด นอกจากจะมีคำสั่งให้จับกุมพวกอาชญากรตามหมายจับเดิมแล้ว ยังจะต้องจับกุมคนเร่ร่อน คนขอทาน เพื่อเป็นการป้องกันภัยที่อาจมาสู่ประชาชน

ถามว่า ทำไมต้องกวาดล้างคนเร่ร่อนด้วย?

ตอบว่า เพราะบุคคลจำพวกนี้ก่อคดีง่าย กว่าคนธรรมดา เพราะไม่มีหลักแหล่งตามตัวยาก ส่วนคนขอทานนั้น ผู้ออกแผนกวาดล้างอาจคิดว่า เพื่อให้เกิดทัศนียภาพที่ไม่ดีกับสายตาแขกบ้านแขกเมือง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นชาวต่างประเทศผู้มาเยือน คงไม่อยากให้เขาเห็นว่าบ้านเมืองเรายากจนข้นแค้น จนคนต้องมาขอทานกันมากมายเกินเหตุ

...อายเขาน่ะ!

ท่านผู้อ่านอาจคิดว่า คนที่ออกแผนกวาดล้างนั้น ดัดจริตมากเกินเหตุหรือเปล่า ทำไมไม่ยอมรับความจริงว่าเรามีขอทานในบ้านในเมือง ตรงนี้ก็ตอบแทนได้ว่า เจ้าหน้าที่นั้นเขายอมรับว่ามีขอทาน แต่ต้องเก็บเอาไปฝากไว้ที่ประชาสงเคราะห์ก่อน ให้หมดงานแล้วค่อยออกมาขอทานต่อกันใหม่อีก วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ ขอทานเมืองเราจึงกลายเป็น ‘อาชีพ’ ไปในที่สุด

พูดแล้วก็ไม่น่าเชื่อว่า ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๔๘ เมืองลาวนั้นเขาออกกฎระเบียบที่เคร่งครัดมาก ใครเดินตามถนนในนครเวียงจันทร์ แล้วแบมือขอเงินในลักษณะขอทานนั้น จะต้องถูกจับติดคุกทันที ขอทานเลยปลาสนาการหรือหายไป จากเขตกำแพงนครเวียงจันทร์เลยในตอนนี้

นี่คือผลของกฎหมาย ที่มีการบังคับใช้อย่างแข็งแรง!

สำหรับบ้านเรานั้นคนไทยใจบุญ ขอทานที่เป็นคนไทยนั้นก็ยังไม่หมดไปเสียเลยทีเดียว แต่บัดนี้ขอทานจำนวนมาก ได้หลั่งไหลมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากบ้านใกล้เรือนเคียง มากันเยอะแยะเสียจริงๆจนน่าตกใจ ใครที่มีอำนาจลองชำเลืองดูหน่อย เพราะขอทานต่างประเทศแพร่ระบาดไปในหลายจังหวัด ผมเป็นพวกนักเดินทางท่องเที่ยว พบบ่อยจนชินตา แค่หัวหินถิ่นมีหอยอำเภอเดียว ก็ไม่น้อยกว่า ๓๐๐ คนแล้ว เห็นแล้วเกรงว่า

ขอทานเมืองไทย จะตกงานจริงๆ!

ใช่ว่าจะมีแต่ขอทานจากประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเท่านั้น ฝรั่งก็มาขอทานที่บ้านเราดังที่ท่านเห็นตามรูปก็แล้วกัน คนนี้นั่งขออยู่หน้าศูนย์การค้าเวิลด์เทรด น่าจะเรียกได้ว่าเป็นขอทานอินเตอร์ก็คงพอได้

เหตุที่คนแห่มาขอทานที่บ้านเราเพราะคนไทยนั้นใจดี มีความเมตตากรุณาอย่างมาก มีคำว่า ‘ทาน’ อยู่ในหัวใจ

เรื่องขอทานต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนั้น ผมกลัวมาก ด้วยว่าทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เตือนให้ระวังขอทานจากต่างประเทศว่าเป็นพาหะของโรค เพราะลักลอบเข้ามาโดยไม่ได้ผ่านการตรวจ ซึ่งบางโรคเมือไทยเราไม่มีมาหลายปีเพิ่งมาพบเอาระยะหลัง เช่นโรคเท้าช้าง โรคกาฬหลังแอ่น เป็นต้น

คุยเรื่องขอทานมาพอสมควร หากท่านผู้อ่านจะถามผมว่า ‘ขอทานการเมือง’มีบ้างหรือไม่?

ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า ...‘มี’!

ดูอย่างประเทศสาระขันขัน (รับรองว่าไม่ใช่ประเทศไทยของเราแน่ๆ...ใครอย่าดันออกรับล่ะ!) ที่ระบอบการปกครองยังด้อยพัฒนาอยู่มากนั่นไง แม้ตอนนี้ไม่มีประชาธิปไตยแล้ว แต่อีกไม่ถึง ๒ ปี อาจได้ประชาธิปไตยคืนมา ถ้าไม่มี ‘อุบัติเหตุ’ เสียก่อน

หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ประชาธิปไตยที่คิดจะได้กลับคืนมาในปีหน้า ต้องมีอันแปรผัน อาจกลายเป็นปีโน้น หรือหากปะเหมาะเคราะห์ร้าย เกิดมีอุบัติเหตุซ้อนอุบัติเหตุ ดันอุบัติขึ้นมาให้เป็นเหตุ (เอ๊ะ หลาย ‘อุบัติ’ จริงแฮะวันนี้) ประชาธิปไตยอาจเว้นว่าง ลากยาวไกลเป็น ๘ ปี ๑๐ ปี หรือ ๑๕ ปีก็ได้ ใครจะไปรู้

ตัวอย่างก็เคยมี ให้เห็นกันมาแล้ว!

เมื่อมองย้อนไปดู ตอนที่ประเทศสาระขันขัน เมื่อครั้งยังคงมีประชาธิปไตย และมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรให้สนุกสนานกันอยู่นั้น ยิ่งเวลาใกล้เรื่องตั้งเมื่อใด พวกพ่อค้าวาณิชย์รวมถึงนายธนาคารคนสำคัญ ต่างก็ไม่อยากอยู่ในประเทศตัวเอง ต้องหาเหตุเดินทางออกไปท่องเที่ยวเมืองนอกเมืองนา ให้สบายอกบายใจเฉิบ ดีกว่าจมอยู่ในบ้านในเมืองของตัวเอง เพราะในช่วงนั้น บรรดานักการเมืองจะมาขอเข้าพบ บางทีก็มาเฝ้ากันหน้าสลอน อดทนรอเป็นวันคอยเขา เพื่อขอบริจาคทุนไปสู้รบกับการเลือกตั้ง ซึ่งคนค้าขายเขาไม่อยากเผชิญหน้า กับบรรดานักการเมืองที่แห่กันมาขอเงินสนับสนุน พวกพ่อค้าโรงเหล้าโรงเบียร์เขาชอบใช้คำพูดลับหลัง ว่า

“ไอ้พวกนี้มันมา...ขอทาน”...๕๕๕

ดังนั้น บรรดาเศรษฐีกระเป๋าหนักเห็นว่า ก่อนจะมีเลือกตั้ง หากอยู่ในประเทศไปก็เปลืองเงินทองเปล่าๆปลี้ๆ ออกไปเที่ยวเมืองนอกให้สบายใจกว่ากันนัก

ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกบาล คอยรับหน้าไอ้พวก...ขอทานการเมือง!

ป็นธรรมดาอยู่เองสำหรับประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย ที่พรรคการเมืองซึ่งอยู่ในตำแหน่งบริหารก่อนการเลือกตั้ง ย่อมได้เปรียบ แม้จะต้องใช้จ่ายมากช่วงเลือกตั้ง แต่ก็ยังพอค่อยยังชั่วหน่อย เพราะหันหน้าไปทางไหน ก็ยังพอหยิบเป็นชิ้นเป็นอันได้บ้าง พอจะถูไถกันไป หรือจะควบคุมเสียงให้เด็ดขาด ต้องใช้ปัจจัยมาก เมื่อมีอำนาจอยู่ ก็ทุจริตคอรัปชั่นมันซะให้มโหฬารกันไปเสียเลย

ถึงขั้นขายประเทศ พวกมันก็กล้าทำกัน!

สำหรับพวกที่เป็นฝ่ายค้าน จะไปเอื้อนเอ่ยขอทานเขาที่ไหนก็คงลำบาก โดยเฉพาะถ้าคนเขายังเห็นว่าดักดานไม่สร่าง จึงยังไม่มีวี่แววว่าพอจะตีคู่ แซงหน้าพรรครัฐบาลเก่า ขึ้นมามีอำนาจบริหารบ้านเมืองได้ มิหนำซ้ำยังดันมีเรื่องราวดันทุจริต คดโกงได้แม้กระทั่งคนบ้านเดียวกัน คดียังค้างคาอยู่ และผู้คนเขาเห็นว่า

คนพวกนี้เคยนั่งบริหารบ้านเมืองกันมาแล้ว แต่ทำความฉิบหายเอาไว้ไม่น้อย ชาวบ้านจำนวนมากรังเกียจนัก จึงไม่อยากเห็น ‘กระสือตัวเก่า’ กลับบริหารประเทศอีกครั้ง ก็พากันไม่เลือกเข้าไปเป็นรัฐบาล

ถึงกระนั้นก็เถอะ คนพวกนี้บางทีไม่ได้อำนาจในรัฐบาลกลาง พอจับพลัดจับผลูได้เป็นใหญ่ในเทศบาลนครโตเข้าเท่านั้น ความที่ท้องแห้งมานาน คราวนี้ได้ทีแล้ว ก็รุกไล่บีบเจ้าพนักงานที่อยู่ใต้อำนาจตน บังคับให้ตากหน้าไปขายบัตรกินโต๊ะจีน โต๊ะละล้านครึ่งล้าน พวกพ่อค้านายธนาคารขี้เกียจรำคาญ ก็ยอมบริจาคทานให้นึกว่าเป็นค่า “เก๋าเจี๊ยะ” หรือให้
“หมาแดก” ตัดรำคาญไป แต่เรื่องจะให้ไปนั่งโต๊ะร่วมเจี๊ยะด้วยกันนั้น เขาไม่เอาด้วย เพราะกลัวโดนฝ่ายรัฐบาลตามเช็คบิลเอาทีหลัง เจ็บเนื้อเจ็บตัวกันปลี้ๆเปล่าๆไม่เข้าการ

โต๊ะจีนเลยว่างโหรงเหรง เรียกคนรถคนสวนขึ้นมาช่วยกินแล้วก็ยังไม่เต็ม อาหารคาวหวานเหลือเบะบะ

หมาประจำพรรค เลยอิ่มท้องสบายกันถ้วนทุกตัว เรียบร้อย ‘โรงเรียนน้องน้อยของกะทิ’ ...สบายไปแล้ว!

มาถึงวันนี้ บรรดาพวกขอทานทั้งฝ่ายอดีตรัฐบาลเมืองสาระขันขัน ไม่เว้นแม้แต่ขอทานฝ่ายค้าน ต้องนั่งร้องเพลงรอไปอีกนานทีเดียวเชียว จากนี้ต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ไม่รู้ว่า

คนที่มีอำนาจเขาจะหงายกะลา เคาะส่งสัญญาณให้มีเกมประชาธิปไตยเล่นกันอีกเมื่อไหร่ เพราะยังเป็นเรื่องของเวรกรรมในอนาคต

ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่เขาเล่นเกมอำนาจอยู่ อาจติดลมบน ทั้งอมทั้งดูด เล่นเพลินอยู่พวกเดียวต่อไปอีกหลายๆปี เหมือนดังที่ปรากฏในอดีต ก็ล้วนแค่เป็นไปได้ทั้งนั้น

ส่วนฝ่ายหลังคือพวกค้านอาชีพนี่หนักหน่อย แม้ขอทานโต๊ะจีนตุนไว้ได้มากก็จริง แต่หัวหน้าก๊กก็ลงทุนโฆษณา หาเสียงล่วงหน้าเอาไว้ไม่ใช่น้อย แต่สะดุดเพราะการเลือกตั้งไม่มี แล้ว แถมเรื่องคอรัปชั่นของพรรคพวกตนที่ก่อไว้ ก็ดันโผล่หางแดงโร่ กำลังจะเข้าเครื่องประหารหัวหมาอยู่รอมร่อหลายคน เลยต้องแก้เกี้ยวกลบข่าว ด้วยการกล่าวหาคนโน้นคนนี้เปะปะเรื่อยไป แต่ไม่มีใครเขาเชื่อน้ำหน้า!

เจ้าหัวหน้าเลยออกอาการ “เจ๊กอั้ก” อ้าปากตีคำพูดออกมาเก้ๆกัง ไม่ประทับใจผู้คน ตุปัดตุเป๋เซซัด เหมือนออกอาการเมาหมัด ยิ่งตัวแสดงว่า ไม่ได้คัดค้านการที่เขามาเอาอำนาจไปจากผู้คนในบ้านในเมือง ทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้นำฝ่ายประชาธิปไตย กลับทำได้แค่ฉวยโอกาสโจมตีคนโน้นคนนี้เขาไปเรื่อย ที่เหลือจากนั้น ก็แค่เดินตามดมตูด ตามก้นของผู้ทีเข้ามาฉวยอำนาจไป เพราะตัวขาดความองอาจกล้าหาญ พอที่จะให้ผู้คนเขาเคารพนับถือ ขึ้นมาเป็นผู้นำของชาติได้ อย่างนี้แค่เป็นผู้นำในครอบครัว คนใช้ในบ้านก็คงทรยศเข้าให้แล้ว
ราศีของนายคนนี้ที่เหลือน้อยเต็มที ก็หมดไปซะดื้อๆอย่างนั้นแหละ!

โถ...คงต้องทนรออีกสักสองสามปี ฟ้าถึงจะเปิดสดใส แล้วจึงค่อยถือกะลากลับมาขอกันใหม่นะจ๊ะ......คุณขอทานทั้งหลาย!!

...สะใจจริง...จิ๊งงงงงงงงง!!!

...................................

กำลังโหลดความคิดเห็น