xs
xsm
sm
md
lg

ระเบิดเวลาของ 'รัฐบาล-คมช.'

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

2 มกราคม 2550 บทสนทนาบนโต๊ะอาหารเย็นระหว่างผมกับอาจารย์ชาวจีน ผู้ผันตัวเองจากแวดวงสื่อสารมวลชนของจีนมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้ไม่นาน ครึ่งหนึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ในช่วงรอยต่อระหว่างปี 2549 กับ 2550

“เธอรู้ไหมใครเป็นคนวางระเบิดในกรุงเทพฯ?”
“เห็นเขาว่าน่าจะเป็นกลุ่มอำนาจเก่านะครับ อาจจะเป็นคนของทักษิณก็ได้” ผมตอบ
“เหรอ ... แต่เพื่อนของฉันเล่าให้ฟังว่า บางทีรัฐบาลทหารของพวกเธอนั่นแหละที่เป็นคนทำเอง ... ทำเพื่อกลบข่าวฉาวโฉ่หลายๆ เรื่องในช่วงปลายปี โดยเฉพาะเรื่องมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ทำเอาเศรษฐกิจไทยเสียหายไปไม่ใช่น้อย เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน?” อาจารย์ท่านเดิมซักต่อด้วยความสงสัย
“อืมม ...... “

พูดกันตามตรง ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามข้างต้นของอาจารย์ชาวจีนท่านนี้เช่นไร แต่ที่ผมรู้แน่นอนประการหนึ่งก็คือ ณ ปัจจุบัน ‘แนวรบทางด้านข่าวสาร’ รัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ของ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลินพ่ายแพ้ให้กับกลุ่มอำนาจเก่าอย่างหมดท่า

น่าเสียดายที่สุภาพบุรุษทั้งสองท่านต่างก็เป็นนักการทหาร ที่ผ่านศึกสงครามมามากมาย ผ่านการดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดในกองทัพบกของไทยมาแล้วทั้งคู่ แต่ในแนวรบทางด้านข่าวสาร โฆษณาการ การใช้สื่อสารมวลชน ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาอาจถือได้ว่าทั้งสองท่านสอบตกอย่างสิ้นเชิง

เว้นเรื่องใหญ่ๆ อย่างเช่น 'การปฏิรูปสื่อ' โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ที่เป็นที่รับรู้กันมาหลายเดือนแล้วว่า คมช. และรัฐบาล ไม่สามารถเข้าไป เขย่า-ขยับ-เขยื้อน หรือทำอะไรกับ อาวุธชั้นดีที่ระบอบทักษิณเคยใช้ได้เลย พอจะเข้าไปปรับเปลี่ยนก็กลายเป็นว่า ‘กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้’ ... ลองหันมายกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเรื่องทีมโฆษกของรัฐบาล

ปัจจุบันทีมโฆษกของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ นั้นประกอบไปด้วย 1 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคือ ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ และ 2 ผู้ช่วยโฆษกหญิงโดยหนึ่งในนั้นเป็นชื่อที่คนไทยพอจะคุ้นหูกันดี ‘ครูเคท’ เนตรปรียา ชุมไชโย ...

หากมองอย่างผิวเผิน ไม่มีใครปฏิเสธว่าโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งสองท่านนี้เป็นบุคลากรที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในสังคมไทย หนึ่งเป็นสื่อมวลชนที่เก่งทางด้านวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ หนึ่งมีชื่อเสียงเป็นถึงอาจารย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ และที่สำคัญอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่รัฐบาลชุดนี้เลือกคนเก่งภาษาอังกฤษทั้งสองคนมานั่งเป็นปากกระบอกเสียงให้กับตัวเอง

ทว่า ... แม้ทั้งสองท่านคือ นพ.ยงยุทธและครูเคทจะเป็นโฆษกที่เก่งภาษาอังกฤษ พูดภาษาอังกฤษเหมือนเป็นภาษาแม่ของตัวอย่างไร แต่สถานการณ์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า ทีมโฆษกรัฐบาลชุดนี้ขาดความรู้ ขาดสติปัญญา ขาดกึ๋นทางด้านการเมือง ที่ที่สำคัญกว่าทักษะทางด้านภาษาอังกฤษเป็นไหนๆ

อย่างเช่น ไอเดียการจัดรายการ "สายตรงทำเนียบ" ทุกวันเสาร์ของ ‘หมอยงยุทธ’ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเป็นครั้งเมื่อต้นเดือนธันวคมที่ผ่านมา ก็เหมือนกับเป็นการเดินตามรอยการจัดรายการ "นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชน" ที่จัดมาหลายปีดีดัก

นอกจากนั้นเนื้อหาของรายการ “สายตรงทำเนียบ” ดังกล่าว ยังไม่ได้มีการออกแบบเนื้อหาของรายการให้เป็นไปใน ‘เชิงรุก’ อันเหมาะสมกับภารกิจระยะสั้นของรัฐบาลชั่วคราว แต่กลับเป็นเนื้อหา ‘เชิงรับ’ ที่เหมาะสมเฉพาะในช่วงเวลาที่สถานการณ์บ้านเมือง-สถานการณ์การเมืองยังปกติ มิใช่ปัจจุบันที่สถานการณ์บ้านเมืองและการเมืองใกล้จะเป็นสงครามรอบ 2 เข้าไปทุกที ...

เมื่อมองในด้านต่างประเทศ ทีมโฆษกของรัฐบาล แม้จะอุดมไปด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษา แต่เพราะเหตุใด สื่อต่างประเทศจึงไม่สามารถเกาะกุมข่าวสาร ข้อมูล สาระที่รัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ พยายามถ่ายทอดออกมาได้เลย จนเกิดการวิเคราะห์กันไปว่า เหตุการณ์วางระเบิดใหญ่ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม นั้นเป็นการวางระเบิดเพื่อกลบกระแสข่าวที่ไม่เป็นคุณต่อรัฐบาลและ คมช.

ผลการทำงานดังกล่าวเป็นข้อพิสูจน์ชัดว่า ทีมงานโฆษกของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ไม่ได้เป็นทีมงานโฆษกสำหรับในช่วงวิกฤต ที่ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่งต้องกอปรด้วยกึ๋นทางการเมือง และความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง อย่าว่าแต่จะไปต่อกรกับโฆษกระดับเขี้ยวลากดินของทาง พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย อย่าง นพดล ปัทมะ, น.ต.ศิธา ทิวารี, จตุพร พรหมพันธุ์ ฯลฯ

มากกว่านั้นหากลงลึกไปถึง ประวัติการทำงานของ นพ.ยงยุทธ กับครูเคท แล้วก็จะเห็นได้ว่าทั้งสองท่านต่างก็เคยเป็น "คนของระบอบทักษิณ" มาก่อน

สำหรับ นพ.ยงยุทธ นั้นมีเสียงคัดค้านมาตั้งแต่เมื่อครั้งเขาเข้ารับตำแหน่งโฆษก คมช. และโดดมารับตำแหน่งโฆษกรัฐบาลแล้วว่าเจ้าตัวนั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกของพรรคไทยรักไทย และหนึ่งในคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติที่มีนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะนั่งเป็นหัวโต๊ะ อันส่งผลให้ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาบทบาทสื่อมวลชนของ ‘หมอยงยุทธ’ ล้วนแล้วแต่มีเนื้อหาที่โน้มเอียงและเป็นไปในทางเชียร์และสร้างภาพพจน์ที่ดีให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น

ขณะที่ ‘ครูเคท’ นั้นในรัฐบาลทักษิณสมัยที่ 1 และ สมัยที่ 2 ต่างก็เข้าไปมีบทบาทเข้าไปเป็นลูกมือของรัฐมนตรีรัฐบาลทักษิณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ (สมัยนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็น รมช.พาณิชย์ พ.ศ. 2546-2547) รองโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ (สมัยนายปองพล อดิเรกสารเป็นรัฐมนตรี พ.ศ.2544-2546) เป็นต้น

ถึงวันนี้ (4 ม.ค.) หลังจากฟังคำแถลงของนายกรัฐมนตรีที่แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว ผมกลับรู้สึกว่าประชาชนไทยก็ยังคงไม่อาจทำใจกับคำอธิบายดังกล่าวเท่าที่ควร เพราะว่า หนึ่ง แม้เหตุการณ์วางระเบิดอย่างอุกอาจที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 คนและได้รับบาดเจ็บอีก 42 คนจะผ่านไปได้หลายวันแล้ว แต่ทางรัฐบาล ผู้กุมอำนาจในการบริหารประเทศเต็มกลับยังไม่สามารถให้คำมั่น หรือให้คำยืนยันได้เลยว่าจะสามารถจับผู้บงการ-ผู้ก่อการมาดำเนินคดีได้ในระยะเวลาที่กำหนด หรือจะหยุดยั้งเหตุเช่นเดียวกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร?

สอง รัฐบาลยังไม่ยอมดำเนินการใดๆ กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) หรือง่ายๆ การปลด-ย้าย พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ จากตำแหน่ง ผบ.ตร. ทั้งๆ ที่ในช่วงหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายเดือนที่ผ่านมามีบทพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่า พล.ต.อ.โกวิท ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของ สตช. บกพร่องต่อหน้าที่อย่างรุนแรง จนกระทั่งกรณีล่าสุดขาดประสิทธิภาพในการคุ้มครอง-รักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน (อ่านเพิ่มเติม : ยังจำได้ไหม? เหตุร้ายที่จับมือใครดมไม่ได้ ภายใต้ความรับผิดชอบของ...พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร.! โดย เซี่ยงเส้าหลง)

นี่ยังไม่นับรวมความผิดพลาดอย่างร้ายแรงในกรณีอื่นๆ อีก เช่น การผ่านกฎหมายหวยบนดินของคณะรัฐมนตรี ความอ่อนหัดในการออกมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทจนทำให้ในวันที่ 19 ธันวาคม 2549 หุ้นตกกว่า 108 จุดภายในวันเดียว ความพยายามเร่งรีบผลักดันนโยบายมหาวิทยาลัยออกนอกระบบอย่างผิดสังเกต เป็นต้น

เสียงนาฬิกาของ ‘ระเบิดป่วนเมือง’ ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2549 เงียบลงไปแล้วละครับ สิ่งที่เราได้ยินกันอยู่ ณ วันนี้ก็คือ เสียงสะอื้นของประชาชน ของญาติพี่น้องผู้สูญเสียจากเหตุระเบิดในคืนวันนั้น คือเสียงสั่นเครือของประชาชนที่ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง คือเสียงโอดครวญจากกความวินาศทางเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยว ที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา

กระนั้นนาฬิกาบน ‘ระเบิดเวลา’ อีกลูกหนึ่งก็กำลังหมุนไป ระเบิดลูกนี้ถูกตั้งเวลาให้ระเบิดไว้ ณ จุดที่ ‘ศรัทธาของประชาชน’ ต่อรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคมช. หมดลง

... ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าระเบิดเวลาลูกนี้ถูกตั้งเอาไว้เมื่อไหร่ แต่หลายคนเริ่มเห็นเค้าลางแล้วล่ะว่า มันใกล้เข้ามาเต็มที
กำลังโหลดความคิดเห็น