เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว ต้องชิมขนมหวานหลายอย่างเพราะพรรคพวกเขาส่งมาให้ลอง และขอรับคำวิจารณ์ทานอย่างละนิดละหน่อย แล้วก็จดบันทึกไว้เพื่อบอกเจ้าของเขาต่อไป สังเกตว่าปีนี้ มีแม่บ้านของเพื่อนหลายคนพัฒนาฝีมือขึ้นไปเป็นอันมาก แต่อยากจะแนะนำว่า
ช่วงคริสต์มาสและปีใหม่มีขนมออกมามาก ผู้ที่ได้รับมักรับประทานกันไม่ทัน หากเราจะทำขนมอบที่สามารถเก็บรักษาได้สัก ๑-๒ สัปดาห์ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เรื่องนี้เห็นจะต้องพูดกันต่อไป แต่วันนี้อยากจะคุยถึงเรื่องผู้หญิงที่เป็น ‘Lifestyle Expert’เพราะมีฝีมือทางการบ้านการเรือนที่เก่งฉกาจฉกรรจ์ และประสบความสำเร็จในธุรกิจและกิจการแทบทุกด้านที่เธอทำ จนได้รับคำยกย่องว่า
“ผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดของอเมริกาแห่งปี ๑๙๙๖”
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ผมเองเพิ่งอ่านการเตรียมเมนู ‘วันขอบคุณพระเจ้า’ ในซึ่งเป็นเมนูของมาร์ธา สจ๊วต (Martha Stewart) คนดังของสหรัฐ ที่เป็นบุคคลมีชื่อเสียง ที่วัยรุ่นไทยสมัยนี้เรียกว่า “เซเลบ” ที่มาจากคำว่า celebrity นั่นเอง แต่ก็มีคนหมั่นไส้เธอไม่น้อย บางคนหาว่าเธอเป็นพวก fake หรือของปลอมหรือของเลียนแบบไปเสียอีก
เธอเคยทำงานเป็นนางแบบ นายหน้าค้าหุ้น แต่งงานเป็นแม่บ้าน และเปลี่ยนเป็นผู้รับจัดเลี้ยง ได้แสดงฝีมืออาหารและการจัดตบแต่งบ้านและสวน เป็นที่ประทับใจผู้คน ซึ่งผู้หญิงอย่างมาร์ธานั้น โดยไม่ได้เรียนที่ไหน นอกจากแม่ที่เก่งงานบ้านงานครัว และพ่อของเธอผู้เก่งงานสวน ซึ่งถ่ายทอดให้บุตรีคนนี้ ทำให้มาร์ธาได้พัฒนาและผลักดันสิ่งที่พระเจ้าประทานมา คือพรสวรรค์และเป็นอัจฉริยะในด้านงานแม่บ้านการเรือน
ความสามารถของเธอขจรขจาย จนเป็นที่กล่าวขวัญกัน เข้าตาผู้บริหาร K-Mart ห้างสรรพสินค้าใหญ่ เห็นแววความเก่ง จึงให้เธอทำโฆษณาของห้าง และเจ้าตัวก็เขียนหนังสือเกี่ยวกับการบ้านการเรือนออกมาอย่างหลากหลาย
ชีวิตสมรสเธอล่มลง หลังการหย่าร้าง สามีเพียงทิ้งนามสกุล Stewart ไว้ให้เธอใช้ต่อไป ซึ่งมาร์ธาแก้ความชอกช้ำในชีวิตคู่ ด้วยออกออกนิตยสาร ที่ให้ความรู้ในเรื่องของการรับรองแขกเหรื่อ การตกแต่งบ้าน เทคนิคการประกอบอาหารหวานคาว การจัดสวน และงานฝีมือชื่อ ‘Martha Stewart Living’ ยอดขายถล่มทลาย จนบรรดาหญิงที่หย่าสามีและพวกที่เป็น single mom ถือเอาเธอเป็นตัวอย่าง ในการต่อสู้ชีวิตภายหลังการหย่าร้าง
จากนั้นเธอดังเปรี้ยงปร้างทะลุจอโทรทัศน์ และกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านเมื่อ เธอผลักดัน Martha Stewart Living Omnimedia Inc. ซึ่งเป็นบริษัทของเธอเข้าตลาดหลักทรัพย์ และมาร์ธา สจ๊วต ได้กำไรมหาศาลจากมูลค่าล้ำหุ้นชองบริษัทตัวเอง ซึ่งมีทั้งรายการวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ แม้กระทั่งสินค้าที่ซื้อผ่านแคตาลอก ที่นำเสนอโดยเธอ เว็บไซด์ของเธอเอง ซึ่งผู้จัดการออนไลน์ของเรา ก็เพิ่งลงเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ ชื่อคอลัมน์ว่า “มาร์ธา สจ๊วต เก่งมาจากไหน ” เมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ นี้เอง จึงอยากให้ท่านผู้อ่านลองคลิกเข้าไปดูกัน ก่อนที่จะอ่านบทความของผมวันนี้ จะทำให้การอ่าน ‘กาแฟขม...ขนมหวาน’ วันนี้ มีอรรถรสขึ้น
ตั้งใจว่าจะพูดถึงเรื่องของผู้หญิงคนนี้มานานแล้ว หลังจากติดตามผลงานของเธอมาเป็นเวลาพอสมควร และเมื่อปลายเดือนที่แล้ว เพิ่งได้ดูภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง Matha Stewart:Behind Bars ทางเคเบิลทีวี เลยตั้งใจเขียนถึงเธอสักหน่อย แต่อีกแง่มุมหนึ่งซึ่งไม่เหมือนกับทางผู้จัดการออนไลน์นำเสนอ
มาร์ธา สจ๊วต ต้องประสบเคราะห์กรรมครั้งสำคัญในชีวิต เมื่อเธออยู่ในยุคที่รุ่งเรืองถึงขีด เหตุเพราะเธอซื้อหุ้นบริษัทยาชื่อ ImClone ตามคำแนะนำของ Sam Waksal อดีต C.E.O ของบริษัทนี้ ซึ่งกำลังผลิตยารักษามะเร็งชื่อ Erbithux สู่ตลาด แต่ภายหลังข่าวรั่วออกมาว่า
ยาซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้ ยังไม่ผ่านการรับรององค์การอาหารและยาหรือ อ.ย.ของเมืองลุงแซม ทำให้หุ้น ImClone ตกรูดมหาราช มาร์ธาจึงขายหุ้นตัวนี้ทิ้ง แต่เกิดปัญหาและตัวเธอต้องถูกดำเนินคดี เพราะทางการกล่าวหาว่า มาร์ธา สจ๊วต ล่วงรู้ข้อความภายในจาก broker หรือนายหน้าค้าหุ้นชื่อ Peter Bacanovic เป็นความผิดคดีอาญา ฐานซื้อขายหุ้นโดยล่วงรู้ข้อมูลภายใน ซึ่งกระทำโดยคนในบริษัทหรือองค์กร ที่เรียกกันว่า insider trading อันเป็นเรื่องต้องห้าม และเป็นความผิดอาญาในทุกตลาดหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในโลกนี้
คดีที่เธอกล่าวหานั้น จำนวนหุ้นของบริษัทยาที่เธอถืออยู่ มีมูลค่าไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าหุ้นทั้งหมดที่เธอมีอยู่
เรียกว่ากระริบกะร่อย ‘จิ๊บจ๊อย’ มากก็ว่าได้ แต่นั่นแหละครับ...
ระบบยุติธรรมของสหรัฐอเมริกานั้น ผิดก็คิดผิด ไม่มีไว้หน้าใครทั้งสิ้น!
การดำเนินคดีกับหญิงเก่งอย่างมาร์ธา สจ๊วต ได้มีการพิจารณาคดีกันในปี ค.ศ.๒๐๐๓ซึ่งใช้สิทธิในการสู้คดีแบบเย็บตา แต่ไม่อาจหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา ในปี ค.ศ.๒๐๐๔ ลูกขุนลงความเห็นว่า เธอได้กระทำความผิดหลายกระทงตามฟ้อง ศาลมลรัฐสั่งจำคุก ๕ เดือนใน federal custody หรือเรือนจำกลางของรัฐ และกักกันในบ้านตัวเอง หรือที่เรียกว่า home detention ต่ออีก ๕ เดือน ซึ่งทนายความของเธอเตรียมการอุทธรณ์ทันที เพื่อให้คดียืดเยื้อต่อไป แต่หญิงแกร่งคนนี้ทำสิ่งที่คนไม่คาดคิด แม้แต่ทนายความเองยังตะลึง เพราะ
มาร์ธายื่นความจำนง ขอรับโทษจำคุกเลยทันที โดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา!
เธอบอกกับหุ้นส่วนและผู้ร่วมงานว่า ให้มันจบๆรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ออกมาจากคุกแล้ว จะได้คิดหาทำอะไรใหม่ๆกัน โดยไม่ต้องพะวักพะวงกับการต่อสู้คดี ให้ยืดเยื้อรุงรังกันอีกต่อไป จะได้เป็นการ rebirth หรือเกิดใหม่อีกครั้งนั่นเอง
ว่าแล้วมาร์ธาก็เดินเข้าคุกไป..นี่คือความ ‘ใจเพชร’ ของเธอ!
ก่อนหน้านั้นพวกหุ้นส่วนไม่รู้เลยว่า เธอส่งคงไปสอดแนมสภาพในคุกมาแล้ว ว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรเกินไปนัก นึกเสียว่าเข้าโรงเรียนประจำภาคฤดูร้อนเท่านั้น แต่เมื่อเธอออกจากคุก ทีวีก็พากันไปทำข่าวใหญ่โต คนดูกันทั้งประเทศ
มาร์ธายังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองอย่างเต็มที่ และยืนกรานปฏิเสธมาจนทุกวันนี้ ส่วนยา Erbithux เจ้าปัญหา ที่ทำให้เธอซื้อหุ้นของบริษัท ImClone ผู้ผลิตยาตัวนี้ ก็ได้รับการรับรองจาก อย.สหรัฐ ในเวลาต่อมา
ประชาชนที่นิยมผลงานของเธอ ยังอยู่เคียงข้างข้างเธอเต็มร้อย และเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีต่อสินค้าที่มาร์ธานำเสนอต่อไป สิ่งที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนภายหลังจากที่เธอออกจากคุกไม่เท่าไร
หุ้นบริษัทของเธอ พุ่งพรวดขึ้นไปอีกสามเท่าตัว!
ผมดู Cybil Shepherd ดาราอาวุโสเล่นบทเป็นมาร์ธาผู้เย็นชาแต่
แข็งแกร่ง จากหนังเรื่อง Matha Stewart Behind Bars ซึ่งเจ้าตัวคือมาร์ธาเองกลับวิจารณ์อย่างหัวเสียว่า
ที่ซีบิลสวมบทนั้นไม่ใช่เธอเลย เพราะมาร์ธาตัวจริง ไม่ได้เป็นคนที่เป็นน้ำแข็งก้อน เย็นทื่อมะลื่อ อย่างที่ดาราอย่างซีบิลแสดงออกมาให้เห็นในหนัง เจ้าตัวยืนยันว่าตัวจริงของเธอมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน
ข้อถกเถียงเรื่องมาร์ธานี้ มีทั้งแง่ดีและแง่ร้าย มีทั้งคนชอบและเกลียดเธอ เพราะข่าวลือเกี่ยวกับคนดังนั้น ย่อมีสีสันที่แตกต่างกันไป สุดแต่ว่าคนหรือสื่อใดจะเป็นผู้บรรเลง แต่เมื่อดูหนังเรื่องนี้แล้ว กลับไปคิดถึง
‘คุณหญิง พจมาน ชินวัตร’
เลยอยากเขียนเปรียบเทียบกันให้ดูเล็กๆน้อย ในมุมมองของผู้เขียนเอง เพราะขณะนี้อดีตสตรีหมายเลข ๑ ยังคงเป็นข่าวได้แทบจะทุกวัน
รับรองว่า ไม่ได้มานั่งเชียร์คุณหญิงอ้อ ให้ท่านผู้อ่านหมั่นไส้เล่นหรอกน่า!...
(...555...)
ท่านผู้อ่านที่เคารพอาจสงสัยว่า ดูหนัง Matha Stewart Behind Bars ทำไมผมดันไพล่ไปคิดถึงคุณหญิงพจมาน ตรงนี้ตอบได้เลยว่า
แม้ภริยาอดีตนายกทักษิณนั้น ไม่ได้มีชีวิตที่เป็นอย่างมาร์ธา สจ๊วต ที่ครอบครัวพ่อแม่ชาวโปลของหล่อนอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น มีกิจกรรมร่วมกันอย่างครอบครัวแสนสุขตามสไตล์อเมริกัน แต่อดีตสตรีหมายเลข ๑ เมืองไทย ต้องอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน และคุณหญิงพจมานต้องทำหน้าที่ เป็นเสาหลักให้กับครอบครัว โดยทำหน้าที่แม่บ้าน แทนมารดาที่แยกทางไป ดูแลพี่น้องซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมด
เมื่อบิดาไปรับราชการเป็นผู้บังคับกอง สถานีตำรวจภูธร แดนไกลจากเมืองกรุงนอกจากเธอต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวแทนแม่ ยังต้องสนใจและเอาใจใส่ในสารทุกข์สุขดิบ ของครอบครัวตำรวจใต้บังคับบัญชาของคุณพ่อด้วย ซึ่งก็ได้ข่าวว่า เธอทำได้ดีมากเลยทีเดียว
ความเป็นผู้นำของคุณหญิง ฉายให้เห็นตั้งแต่เด็ก!
อดีตสตรีหมายเลข ๑ เริ่มชีวิตการทำงาน แม้จะคนละด้านกับมาร์ธา สจ๊วต คือเริ่มจากการเป็นพนักงานต้อนรับภาคพื้นดินของบริษัทการบินไทย เมื่อแต่งงานแล้วโดดเข้าสู่วงการธุรกิจ แม้ทักษิณจะเป็น C.E.O ของบริษัท แต่เธอเล่นบทผู้กำกับการซี.อี.โอ. อีกชั้นหนึ่ง พูดง่ายๆ
เธอคือ Super C.E.O ของบริษัท เหมือนมาร์ธา สจ๊วต ที่กุมความเป็นความตายขององค์กรของเธอเองอย่างเด็ดขาด ธุรกิจในเครือชินวัตร เจริญเติบโตอย่างพรวดพราด คุณหญิงอ้อร่ำรวยมีเงินมากมายกว่ามาร์ธา สจ๊วต หลายเท่านัก
นอกจากนั้น ผู้คนเขายังเห็นว่าคุณหญิงอ้อ มีอำนาจเหนือทักษิณชัดเจน และเมื่อสามีเข้าสู่วงการเมือง...
การตัดสินใจของพจมาน ก็คือ การตัดสินใจของทักษิณ...นั่นเอง!
เธอกลายเป็นผู้หญิงเบอร์ ๑ ของประเทศ ซึ่งมาร์ธา สจ๊วตไม่เคยได้เป็น และคุณหญิงอ้อยังกำกับดูแลการทำงานของอดีตนายกรัฐมนตรีอีกชั้นหนึ่ง จะเรียกว่าเป็น Super Prime Minister ก็ไม่น่าจะผิด และมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาของพรรคการเมือง ที่สามีและเธอร่วมกันเป็นเจ้าของ (ต้องใช้คำนี้) อีกด้วย
เมื่อเผชิญวิกฤติในพรรค หรือปัญหาอื่นเข้ามากระทบรัฐบาล หากมีความจำเป็นต้องออกศึกเอง เพราะสามีรับมือไม่ไหว ผู้หญิงอย่างเธอก็เข้าปะทะปัญหาด้วยความเยือกเย็น เดินเกมสุขุมรอบคอบ ไม่ออกความเห็นเลอะเทอะในที่สาธารณะ จะปรากฏกายต่อฝูงชนเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่จะอยู่เคียงข้างสามีทุกครั้ง ยามเมื่อรัฐบาลหรือพรรคของเธอมีปัญหา ทำให้รัฐบาลทักษิณอยู่มาได้ยาวกว่า ๕ ปี แถมยังชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายอีกด้วย
จนบัดนี้คนก็ยังเชื่อว่า หากบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง และสามีเธอลงแข่งขันได้ ก็คงชนะการเลือกตั้งอีกแน่ๆ!
ตรงนี้แตกต่างกับมาร์ธา สจ๊วตชัดเจน เพราะหญิงอเมริกันเชื้อสายโปลคนนี้ นอกจากไม่ได้เป็นหมายเลข ๑ ของประเทศใดแล้ว
สามีของเธอยังหย่า แล้วยังจะไปหาภริยาหมายเลข ๒ อีกด้วย!
จุดนี้เซเล็บฯอเมริกันแพ้หลุดลุ่ย เพราะหลังแต่งงานคุณหญิงอ้อเธอมีครอบครัวที่จัดว่าอบอุ่นทีเดียว เพราะอยู่พร้อมพ่อแม่และลูกๆ และแถมสามียังประพฤติตนอยู่ในโอวาทดียิ่ง
เรียกว่า ‘กลัวเมีย’ ก็ได้ ว่าอย่างนั้นเถอะ
ประชาชนคนไทยเห็นว่า การมีนายกที่อยู่พร้อมลูกเมียเป็นของดี จะได้เป็นตัวอย่างกับประชาชน เพราะที่ผ่านมานั้นชาวบ้านเขาเบื่อนายกฯประเภทมี เมียอยู่คนละบ้าน ใช้คนละนามสกุล มีลูกก็ทำให้ผู้คนเขางงงวย แยกไม่ออก เดี๋ยวนายกฯก็บอก “นั่นลูกของเธอ” เมียนายกฯก็ชี้เด็กอีกคนว่า “นี่ลูกของฉัน” หรือไม่ก็โบ้ยไปอีกทิศว่า “โน่นไง...ลูกของเรา” อะไรทำนองนี้ รวมทั้งเขาไม่ชอบนายกฯมีเมียมากกว่าหนึ่ง อย่างอีตาฤาษีเมียสอง หรือไม่ก็อย่างจอมพลผ้าขาวม้าแดง นั่นมีเป็นร้อยเลยทีเดียว อะไรทำนองนี้ คนที่เข้ามาเป็นผู้นำประเทศสมควรต้องระวังเรื่องแบบนี้กันด้วย
...อ้าว เผลอนินทาเขาไปอีกแล้ว!
แม้คณะรัฐบาลของสามีจะถูกรัฐประหารไปแล้ว คุณหญิงอ้อก็ไม่ได้สำแดงความยำเกรงคณะทหาร ไม่ได้หลบลี้หนีหายไปไหน ยังคงอยู่ในประเทศ ที่บ้าน “จันทร์ล่องหล้า” ของตัวเอง ต้อนรับแขกเหรื่อทั้งชาวไทยและเทศ ที่แวะเวียนไปมาหาสู่ตามปกติ
เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ก็ออกมาทำบุญวันเกิดครบ ๕๐ ปี ยังคงยิ้มแย้มยิ่งกว่านายนาม คตส. และดูใสแจ่มมากกว่าแจ่มใสสุพรรณบุรีหลายช่วงตัว แถมเต็มไปด้วยความเบิกบานเกินร้อยเสียด้วยซ้ำไป เหมือนอย่างที่เห็นในรูปข้างบนนั่นแหละครับ
การที่เธอเชิดหน้าได้อย่างไม่เกรงกลัวมนุษย์ ให้ผู้คนแปลกใจที่ได้เห็นถึงความไม่สะทกสะท้านอย่างชัดเจน คล้ายแสดงโดยนัย ให้ผู้ที่คิดจะเอาเธอเข้าคุกว่า “ฉันไม่ได้เกรงกลัวอะไรพวกแกนะ...ไอ้พวกไม่มีน้ำยา!” เป็นการยืนยันต่อสาธารณะชนเช่นนี้ก็เพราะ...
คุณหญิงเธอไม่ได้คิดว่า ตัวเองกระทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด!
ยิ่งกว่านั้น วันดีคืนดีอดีตสตรีหมายเลข ๑ คนนี้ ยังกล้าบุกเดี่ยวเข้าไปจับเข่าคุย ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ ‘ป๋า’ ถึงบ้านสามเสาเกินหนึ่งเสียอีกด้วย
เอากะเธอซี่!
จนทำให้ชาวบ้านทั้งหลาย ที่เขาเคลือบแคลงกันอยู่แล้วว่า ‘ป๊ะป๋า’ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการกดปุ่มสตาร์ท จุดการปฏิวัติของทหาร นั้น
คราวนี้นอกจากหายสงสัยกันแล้ว แถมยิ่งเพิ่มความมั่นใจกันหนักเข้าไปอีก จนผู้คนเมาท์กระจา กันไปทั่ว ว่า
“ป๋าแหงๆ!!!”
(จบภาคที่ ๑)
...............................
ท้ายบท ฮู้ยยยยยยย!...แหม...ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มมันๆเค็มๆอยู่ทีเดียว แต่จำต้องให้จบลงเป็นภาคที่ ๑ เอาไว้ก่อน เพราะเรื่องมันยาว จะทรมานสายตาของท่านผู้อ่านมากเกินไป
เอาไว้ตอนต่อไปซึ่งรับรองว่า สนุกสนานมากกว่านี้ ขอให้ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนกันได้โปรดกรุณาติดตาม นึกว่าดูหนังซุปเปอร์แมนก็แล้วกันครับ นั่นก็มีหลายภาค แต่ของผมจะให้จบลงในตอนหน้า หรือ ‘ภาคจบ’นั่นเอง
ระยะนี้ เวลาไปจ่ายของที่ฟู้ดแลนด์ ได้ยินทางร้านเขาเพลง Christmas มาตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน เลยสงสัยว่า
เขาคงจะส่งเสริมการขายด้วยเสียงเพลง เพื่อเตือนให้เราเร่งซื้อหาของขวัญ ให้ลูกหลานและเพื่อนฝูงเสียแต่เนิ่นๆ และนี่ก็อีกไม่กี่วัน จะถึงวันคริสต์มาสแล้ว อยากส่งเค้กไปให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน และกล่าวกับท่าน ว่า
Merry Christmas ครับ!