เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว ได้ฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ ที่สถานีวิทยุนำมาเปิดตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการบ่งบอกสัญลักษณ์แห่งความชื่นบาน ของอาณาประชาราษฎร์ที่อยู่ในเขตสยามประเทศ ทำให้ผู้คนในบ้านเมืองเรารู้ว่า ใกล้เวลามงคลกาลแห่งวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐใกล้เข้ามาแล้ว
ปีนี้เป็นปีสำคัญ ที่ในหลวงของเราทรงเจริญพระชนมายุครบ ๗๙ พรรษา และยังเป็นปีที่พสกนิกรชาวไทยทั้งชาติ ได้ร่วมเฉลิมฉลองวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงครองราชย์ครบรอบ ๖๐ ปี อย่างยิ่งใหญ่ และปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ ชาวเราก็ต้องตระเตรียมการ เพื่อเฉลิมฉลองปีที่ยิ่งใหญ่อีกปีหนึ่ง เพราะในหลวงของเราจะทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๐ พระชันษานั่นเอง
บ้านเมืองอื่นนั้น เขามีเพลงสำหรับประมุขของประเทศ อย่างอังกฤษนั้นเพลงชาติกับเพลงสำหรับองค์พระประมุข ซึ่งเป็นเพลงเดียวกันกับเพลงชาติ คือเพลง God Save The Queen หรืออย่างสหรัฐอเมริกามีเพลงสำหรับประธานาธิบดี คือ Hail To The Chief และเพลงชาติชื่อ The Star-Spangled Banner
เพลงชาติของอเมริกานั้น เขาไม่ได้เปิดตอนแปดโมงเช้ากับหกโมงเย็นเหมือนอย่างของเรา แต่ชอบเปิดก่อนการแข่งขันกีฬา อย่างอเมริกันฟุตบอล บาสเกตบอล พอจบเพลงคนอมริกันจะตะโกนร้องออกมาว่า “play ball!” ดังๆเลยทีเดียว จนติดเป็นนิสัย
ดังนั้น เมื่อไปได้ยินเพลงชาติของตัวเองที่ไหน พอเพลงจบลงอเมริกันชนก็มักจะพูดหรือร้องขึ้นว่า “play ball” ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการเล่นฟุตบอลแต่อย่างใด ก็แปลกดี
เพลงสำหรับองค์พระประมุขของชาติไทยนั้น คือเพลง “สรรเสริญพระบารมี” ที่เราคุ้นเคยกันดี แต่ประชาชนชาวไทยยังมีเพลงที่คนไทยได้ยินแล้ว คิดถึงในหลวงทันที คือบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงนี้แปลกไปจากชาติอื่นเขามากทีเดียว
บทเพลงพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ที่ทรงพระราชทานไว้ให้กับพสกนิกรของพระองค์ประกอบด้วย
๑. แสงเทียน (Candlelight Blues) ๒. ยามเย็น (Love At Sundown) ๓. สายฝน (Falling Rain) ๔. ใกล้รุ่ง (Near Dawn) ๕. ชะตาชีวิต (H.M. Blues) ๖. ดวงใจกับความรัก (Never Mind the H.M. Blues) ๗. มาร์ชราชวัลลภ (Royal Guards March) ๘. อาทิตย์อับแสง (Blue Day) ๙. เทวาพาคู่ฝัน (Dream Of Love Dream of You) ๑๐. คำหวาน (Sweet Words) ๑๑. มหาจุฬาลงกรณ์ ๑๒. แก้วตาขวัญใจ (Lovelight in My Heart) ๑๓. พรปีใหม่ ๑๔. รักคืนเรือน (Love Over Again) ๑๕. ยามค่ำ (Twilight) ๑๖. ยิ้มสู้ (Smiles) ๑๗. มาร์ชธงไชยเฉลิมพล ๑๘. เมื่อโสมส่อง (I Never Dream) ๑๙. ลมหนาว (Love in Spring) ๒๐. ศุกร์สัญลักษณ์ (Friday Night Rag) ๒๑. Oh I say ๒๒. Can't You Ever See ๒๓. Lay Kram Goes Dixie ๒๔. ค่ำแล้ว (Lullaby) ๒๕. สายลม (I Think of You) ๒๖. ไกลกังวล (When) ๒๗. แสงเดือน (Magic Beams) ๒๘. ฝัน (Somewhere Somehow) ๒๙. มาร์ชราชนาวิกโยธิน ๓๐. ภิรมย์รัก (A Love Story) ๓๑. แผ่นดินของเรา (Alexandra) ๓๒. พระมหามงคล ๓๓. ยูงทอง ๓๔. ในดวงใจนิรันดร์ (Still on My Mind) ๓๕. เตือนใจ (Old Fashioned Melody) ๓๖. ไร้เดือน (No Moon) ๓๗. เกาะในฝัน (Dream Island) ๓๘. แว่ว (ECHO) ๓๙. เกษตรศาสตร์ ๔๐. ความฝันอังสูงสุด ๔๑. เราสู้ ๔๒. เรา-เหล่าราบ ๒๑ ๔๓. BLUES FOR UTHIT ๔๔. รัก ๔๕. เมนูไข่
แสงเทียน (Candlelight Blues) เป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรก โดยทรงพระราชนิพนธ์เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ครั้งยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช และได้นำเพลงนี้ออกบรรเลงครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงนิพนธ์คำร้องถวาย แต่เนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะทรงแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าเดิม จึงยังไม่โปรดเกล้าฯพระราชทานให้ออกนำมาบรรเลง แต่โปรดเกล้าฯพระราชทานเพลง ‘ยามเย็น’ (Love at Sundown) และเพลง ‘สายฝน’ (Falling Rain) ออกมาบรรเลงก่อนตามลำดับ
จึงทำให้ผู้คนส่วนใหญ่พากันเข้าใจว่า เพลง ‘ยามเย็น’ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรก ส่วนเพลง ‘สายฝน’ เป็นเพลงที่สอง
ส่วนเพลงที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ และคนไทยได้ชื่นชมกันล่าสุดก็คือเพลง "เมนูไข่" เป็นเพลงแนวสนุกสนาน เนื้อร้องโดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทานเป็นของขวัญวันพระราชสมภพครบ ๗๒ พรรษา แด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงมีเพลงพิเศษแตกต่างจากพระประมุขและประมุขของชาติอื่น เพราะในหลวงของเราทรงมีเพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์เอง ซึ่งเพลงของเหล่านี้ พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น และได้พระราชทานให้พสกนิกรของพระองค์ จึงทำให้คนไทยเรามีบุญ ที่ได้ยินได้ฟังเพลงอันไพเราะจับใจของในหลวงติดต่อมายาวนานเกิดกึ่งศตวรรษ จนซึมซับเข้าไปความรู้สึกว่า
เพลงของพระองค์ท่าน ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ของเราชาวไทยเลยทีเดียว!
บางเพลงก็ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นมานั้น ก็เพื่อพระราชทานในวาระอันสำคัญของชาวไทย เช่นเพลง ‘พรปีใหม่’ ‘ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ เพื่อพระราชทานเป็นของขวัญปีใหม่แก่ราษฎรของพระองค์โดยแท้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความปรารถนาดี ซึ่งทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์โดยแท้
อย่างนี้เป็นต้น
ผมเองนั้นคุ้นเคยกับบทเพลงพระราชนิพนธ์มากที่สุด ตั้งแต่เมื่อเป็นเด็กเรียนอยู่ที่วชิราวุธ วิทยาลัย ตอนอายุแค่ ๑๒ ชวบ ได้มีโอกาสร้องเพลงพระราชนิพนธ์ “สายฝน” ในงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ซึ่งตอนกึ่งพุทธกาลนั้นถือว่าเป็นงานใหญ่ของชาติเลยทีเดียว โดยร้องกับวงออเคสตราของโรงเรียน ในตอนนั้นแทบไม่มีสถานศึกษาใด ที่มีวงดนตรีขนาดใหญ่อย่างวชิราวุธ วิทยาลัย ซึ่งมีครบทั้งวงดนตรีโยทวาทิต วงจุลดุริยางค์ (ซิมโฟนีออเคสตรา) วงหัสดนตรี (แจ๊ส) มีกระทั่งวงปี่สกอตด้วยซ้ำ
วงแจ๊สของโรงเรียนที่ผมเล่นอยู่นั้น เครื่องดนตรี โน้ตเพลงซึ่งสั่งจากต่างประเทศ ก็ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาให้เต็มวง เพื่อสนับสนุนสถานศึกษา ซึ่งพระองค์ทรงเป็นเจ้าของโรงเรียนนี้
‘สายฝน’ ซึ่งเป็นเพลงจุดประกายการร้องเพลงให้กับผม เป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกที่ตัวเองรู้จัก เพราะพ่อร้องให้ฟังมาก่อน จนทำให้ได้มีโอกาสร้องเพลงต่อเนื่องมาโดยตลอด
สำหรับบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่ประชาชนคุ้นเคยที่สุดนั้น มีการสำรวจกันหรือยัง ผมไม่ทราบ แต่แน่ใจว่า ‘สายฝน’ นี้ เป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่คนไทยเรารู้จักมากที่สุด
ได้ยินเมื่อใดก็เสมือนพระบทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระสุหร่ายพร่างพรมความชุ่มฉ่ำให้กับหัวใจคนไทยเมื่อนั้น!
หลังจากนั้นพอเริ่มเล่นแจส ก็มีโอกาสเข้าไปเล่นในสถานีวิทยุ อส.บ่อยๆ รวมทั้งได้ไปบรรเลงในงานพระราชทานเลี้ยงปีใหม่ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตอนนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเป็นประจำทุกปี โดยจัดขึ้นที่สวนอัมพร นี่เวลาก็ผ่านยาวนานมาร่วม ๕๐ ปี แล้ว
นักดนตรีซึ่งมีโอกาสเข้าไปเล่นในงานนี้ มีความรู้สึกตื่นเต้น เตรียมตัวกันเป็นอย่างดี เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯร่วมบรรเลงดนตรีกับวงดนตรีที่เข้าไปร่วมงานเลี้ยง โดยทรงเครื่องเป่าหลายชนิด เช่น แคลริเน็ต แซกโซโฟน รวมทั้งทรัมเป็ต และบางครั้งก็ทรงเปียโน
ภาพอย่างนี้ผมไม่เคยเคยลืม เพราะพิมพ์ไว้ในหัวใจเรียบร้อยแล้ว!
หลังจากออกจากวชิราวุธฯได้เข้ามาเป็นนักเรียนเตรียมทหาร และเรียนต่อในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ไม่ได้มีโอกาสเล่นดนตรีจริงจังอีกเลย นอกจากงานการกุศลบางครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นผู้บังคับบัญชาของสถานีตำรวจ มีวังที่ประทับซึ่ง เป็นเขตพระราชฐานอยู่ในเขตความรับผิดชอบ ได้มีโอกาสนำวงดนตรีขึ้นไปเล่นถวายที่ ‘ผาดำ’ บนดอยภูพิงค์ ในงานพระราชทานเลี้ยงเหล่าข้าราชบริพาร และได้ร้องเพลงถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ชื่อเพลง I Have But One Heart ซึ่งดัดแปลงมาจากบทเพลงภาษาอิตาเลียน ชื่อ Marenariello และปลื้มใจมากที่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเล่นกีตาร์และขับร้องเพลงร่วมกับวงดนตรีด้วย
เหตุการณ์ผ่านไป ๓๒ ปี แล้ว ภาพก็ยังพิมพ์ฝังแน่นไม่มีวันลืม!!
เมื่อ ๓ ปี ที่แล้ว ผมขับรถผ่านถนนมหาไชย ความทรงจำเก่าแวบขึ้นมา เพราะจำได้ว่ามีบุญได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งแรกในชีวิตนั้น ยังเป็นเด็กอยู่มาก วันนั้นพ่อพาไปยืนอยู่บริเวณสนามไชย ในหลวงท่านเสด็จออกมุขพระที่นั่งพระบรมมหาราชวัง ด้านถนนสนามไชย มีประชาชนไปเฝ้าแหนกันมากมาย ผมเห็นพระองค์ท่านในระยะไกลมองไม่ถนัด เพราะผู้คนแน่นเบียดเสียดกัน พ่อผมซึ่งสูงกว่า ๖ ฟุต ตัวใหญ่และแข็งแรง แต่งเครื่องแบบตำรวจด้วยในวันนั้น คว้าเอวผมด้วยมือสองข้าง และชูผมให้เห็นถนัด แต่ก็เห็นพระองค์ท่านได้เพียงแค่อึดใจเดียว และจำได้ไม่มีวันลืมเลย ได้ยินเสียงพ่อร้องสั่งว่า
“ไหว้ในหลวงท่านซะลูก”
ผมยกมือไหว้ไปในทิศทางที่เห็นในหลวงท่านทรงยืนประทับอยู่ กำลังโบกพระหัตถ์ให้ฝูงชนเบื้องล่าง เมื่อกลับบ้านแล้ว พ่อก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ให้ฟัง จึงมีความรู้ว่าบ้านเมืองของเรามี “ในหลวง”
ตัวเองเลยอยากรู้ว่า คนไทยทั้งหลายทั้งที่อยู่ในกรุงเทพและต่างจังหวัด มีโอกาสที่จะเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้แตกต่างกันทั้งสถานที่ เวลา วัย และโอกาส รวมทั้งปัจจัยอื่นที่จะเป็นตัวแปร
เลยนำมาเป็นคำถามใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๐๕ “เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมเอ่ย ท่านเห็นในหลวงครั้งแรกเมื่อไหร่ ?
ผมเขียนว่า
“ผมอยากฟังเรื่องของท่านผู้อ่านบ้าง ท่านใดมีความประสงค์ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวในวันที่ท่านได้เห็น “ในเหลวงของเรา” ครั้งแรก กรุณาโพสท์มาเล่าความรู้สึกที่บันทึกไว้ในไดอารีส่วนคัว หรือความทรงจำให้พวกเราได้อ่านกันบ้าง”
น่าอัศจรรย์จริงๆ ที่คอลัมน์นี้ มีคนเข้ามาอ่านกันกว่าหนึ่งหมืนคนเป็นครั้งแรก มาถึงวันนี้บทความนี้มีคนอ่านเกือบ ๑๓,๐๐๐ คน (หนึ่งหมื่นสามพันคน) แล้วครับ
ท่านที่ยังไม่เคยอ่าน ต้องรีบคลิกไปดูกันเร็ว
วันนี้ ผมเขียนเรื่องเพลงพระราชนิพนธ์ เพราะได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ของท่านองคมนตรี พล.ร.ต ม.ล.อัศนีย์ ปราโมช (ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง ดนตรีสากล พ.ศ. ๒๕๓๗) ซึ่งท่านได้นำวงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ หรือ บางกอก ซิมโฟนี ออเคสตร้า (B.S.O.) ไปบรรเลงในชาติอาเซียน ซึ่งมีผู้เข้าชมการแสดงหนาแน่นอย่างมาก
เมื่อตอนไปบรรเลงในประเทศฟิลิปปินส์ ผู้มีชื่อเสียงตากาล๊อคคนหนึ่ง บอกกับท่านองคมนตรีว่า เขาฟังเพลงของพระเจ้าอยู่หัวของเราแล้ว ทำให้เข้าใจน้ำพระราชหฤทัยในหลวง ที่ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์ได้ในทันที
นั่นไงครับ...
เพลงของพระองค์ท่าน สื่อให้คนต่างด้าวท้าวต่างแดน เข้าใจได้ถึงขนาดนั้นเลย!
ในโอกาสอันเป็นมงคลวันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีนี้ จึงอยากให้ท่านผู้อ่าน “เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม...ท่านได้ยินเพลงไหนของในหลวงครั้งแรกเมื่อไหร่!?” เมื่อได้ยินแล้วท่านรู้สึกอย่างไร? ลองเขียนบรรยายมาสั้นๆเช่น ตอนได้ยินนั้นท่านอายุเท่าไหร่? ได้ยินจากวิทยุหรือโทรทัศน์? หรือได้ยินจากคุณพ่อคุณแม่ร้องให้ฟัง? ถ้าไม่ได้ยินจากทั้งสองท่าน แล้วได้ยินจากโรงเรียนใช่ไหม หากคุณครูหรือเพื่อนไม่ได้ร้องให้ฟัง แฟนร้องให้ท่านฟังหรืออย่างไร? ชอบเพลงไหนมากที่สุด
อะไรทำนองนี้
ท่านใดที่สามารถเล่าเรื่องได้อย่างประทับใจ คอลัมนิสต์ออนไลน์ ของ “ผู้จัดการ” ก็จะมีของที่ระลึกที่มีคุณค่าทางจิตใจให้กับท่าน รีบโพสท์กันเข้ามาเถอะครับ อย่าได้ชักช้าเชียว
วันนี้ กาแฟขม...ขนมหวาน ออกวางแผนในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ เป็นวันแรกของปีที่ ๖ ที่ได้เขียนคอลัมน์นี้มาในร่มเงาของ “ผู้จัดการ” และฉบับนี้ก็ออกวางแผงออนไลน์ตรงกับวันมหามงคลของปวงชนชาวไทย คือวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ ตรงกับวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เจริญพระชนม์มายุครบ ๗๙ พระชันษา
ค่ำคืนนี้ ประชาชนชาวไทยเราทุกคนสวมใส่เสื้อเหลือง อันเป็นสีของวันพระราชสมภพ จะพร้อมใจกันจุดเทียนชัยมงคล ร่วมร้องเพลงราชสดุดี ถวายแด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของชาวเรา ในงานวัน “๕ ธันวามหาราช” และเปล่งเสียงถวายพระพรพร้อมกันว่า
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า”
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม
ขอเดชะฯ
ข้าพระพุทธเจ้า
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช