xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 261 ความในใจ ทำไมถึงต้องไล่ทักษิณ !!!

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว ต้องรีบทำภารกิจในตอนเช้าให้เสร็จ เพราะตอนกลางวันต้องรับประทานอาหารกับเพื่อนที่ร้าน “เส่ย” สถานีรถไฟสามเสน ร้านนี้อาหารเขาอร่อย โดยเฉพาะปลาดุกทะเลผัดฉ่า เมี่ยงปลาทู หอยเสียบคั่วร้อนๆ ต้มยำปลาทูแบบชาวทะเลฯลฯ เจ้าของร้านเป็นนักรักบี้รุ่นน้องหลายปี มีฝีมืออาหารเด็ดดวงนัก

เข้าไปข้างในร้าน เห็นรูปคุณชายถนัดศรี สวัสดิวัตน์ และ พล.ต.ถาวร ช่วยประสิทธิ์ ยืนยิ้มเผล่กับเจ้าของร้าน เป็นเครื่องหมายรับประกันความอร่อย ซึ่งลูกชายของยอดนักชิมประเทศไทยคนที่เป็นนายทหารบก ก็เล่นรักบี้ทีมเดียวกับ “เส่ย” เจ้าของร้านนี่เหมือนกัน ตอนเย็นๆที่ร้านนี้จะเห็นนักกีฬาประเภทชนคนรุ่นเก่า นั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านจำนวนไม่น้อย ปะปนกับแขกเหรื่อที่มากหน้าหลายตา เรียกว่าร้านของเขาขายดิบขายดีเลยทีเดียว

ตรงสถานีรถไฟสามเสนนี้เอง เมื่อยังเป็นเด็กอยู่ คอนเช้าๆผมชินตากับภาพผู้ใหญ่ ๓ ท่าน สวมหมวกถือไม้เท้า เดินออกกำลังมีขุนตำรวจเอก พระมหาเทพกษัตรสมุห (เนื่อง สาคริก) บิดาของ ศ.ระพี สาคริก ซึ่งอาจารย์ระพีท่านเป็นคุณพ่อของ อาจารย์ ชนก สาคริก รุ่นน้องผม ซึ่งเป็นนักดนตรีไทยชื่อดัง และเป็นเจ้าของสถาบันการสอนดนตรีไทยด้วย

อีกท่านหนึ่งคือ พล.ร.ท.หลวงมงคลยุทธนาวี (มงคล ศิริเวทิน) อดีตเสนาธิการทหารเรือ บิดา ศ.ดร.อนุมงคล ยุทธนาวี อดีตอธิการบดีนิดา เพื่อนร่วมรุ่นผมอีกเหมือนกัน และท่านสุดท้ายคือ คุณทวี บุณยะเกตุ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบิดาของคุณวีรวัฒน์ บุณยะเกตุ อดีตอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงอุตสาหกรรม รุ่นพี่ที่เคารพของผม

ภาพของผู้ใหญ่ที่เคารพทั้งสาม เป็นที่คุ้นตาของชาวบ้านคนเก่าคนแก่ละแวกสถานีรถไฟสามเสนนั้น พอมาถึงวันนี้ผมก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับท่านแล้วคือ

ทุกเช้าต้องถือไม้พลองเดินออกกำลัง บริหารร่างกาย เป็นชั่วโมงกว่าจะกลับเข้าบ้าน เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน พิสูจน์สัจธรรมของคำกล่าวที่ว่า

กาลเวลา...ย่อมกลืนกินสรรพสิ่งทั้งหลาย!

ดูอย่าง กาแฟขม...ขนมหวาน ฉบับที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ เป็นฉบับที่ใกล้ครบ ๕ ปีและฉบับที่ ๒๖๒ หรือฉบับหน้า เป็นฉบับครบ ๕ ปีเต็มขึ้นปีที่ ๖ เพราะคอลัมน์กาแฟขม...ขนมหวาน นี้ ได้วางแผงให้ท่านผู้อ่านได้ชิมกันออนไลน์ตั้งแต่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๔ เวลา ๐๓.๓๖ น.

ระยะเวลาที่เขียนมานี้ ถ้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย หรือนักเรียนนายร้อยตำรวจ ก็จบไปแล้ว ๑ ปี หรือถ้าเรียนโรงเรียนนายร้อย นายเรือ หรือนายเรืออากาศสมัยก่อน ปีนี้ก็จบออกรับพระราชทานกระบี่ ไปเป็นนายทหารกันแล้ว

ต้องกราบขอบพระคุณทุกท่าน ที่ติดตามกาแฟขม...ขนมหวาน มาโดยตลอด รวมทั้งท่านที่กรุณาซื้อหนังสือรวมเล่มไปอ่าน และแฟนๆติดตามฟังทางวิทยุ รายการ ‘สวนอักษร’ จาก FM ๑๐๐.๕ ซึ่งมีดีเจเสียงใส คุณวรรณลักษณ์ ศรีสด บรรณาธิการข่าวต้นชั่วโมงของ อสมท. เป็นผู้อ่านให้แฟนได้ฟังและผู้คนก็ชอบกัน

หนังสือนั้นพิมพ์ขายไป ๒ ครั้ง และกลายเป็นหนังสืออ่านนอกเวลานักเรียนด้วย ดังที่เคยกราบเรียนไปแล้ว

สำหรับตัวคนเขียนเอง มีความรู้สึกราวกับว่า เพิ่งเริ่มลงมือเขียนกาแฟขม...ขนมหวานมาไม่นานนี้เอง ทำให้รู้สึกว่าเวลาของคนมีอายุนั้น ช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริงหนอ

เดี๋ยวปี...เดี๋ยวปี...คิดแล้วให้ใจหายจริงๆ!

ดูเหมือนว่าในชีวิตที่ตัวเองดำรงอยู่ทุกวันนี้ แม้จะหมดภาระในหลายเรื่องแล้ว มีชีวิตบั้นปลายอย่างเรียบๆง่ายๆ แบบโบราณเขาบอกว่า “หิวก็กิน ง่วนก็นอน ร้อนก็อาบน้ำ” วันไหนอยากออกกำลังโปรแกรมพิเศษ ก็ชวนสาวๆ ไปดริงค์กันที่ผับในตัวเมืองเชียงใหม่ เต้นระบำกันพอเหงื่อซึมดี แล้วแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน นอกจากพวกที่มาจากกรุงเทพฯ จำเป็นต้องให้ค้างที่บ้านเสียด้วยกัน

ดึกๆ ดื่นๆ จะให้เธอขับรถกลับกรุงเทพได้อย่างไรกัน เดี๋ยวคนขาจะหาว่าใจดำแย่!

วันไหนเกิดคึกคะนอง อยากไปเที่ยวจังหวัดอื่นบ้าง ก็คว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็ก ขึ้นรถขับออกไปเอง หรือเรียกแท็กซี่เผ่นไปสนามบิน ขึ้นเครื่องไปเลย ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะมีเวลาเป็นส่วนตัวมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน ก็ไม่เลวจนเกินไปนัก

เวลาที่พระเจ้าให้มนุษย์เรามานั้น คนละ ๒๔ ชั่วโมงต่อวัน ไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไร พระองค์ประทานเวลามาเท่ากันหมด แต่กระนั้นยามเมื่อมีอายุมากขึ้นอย่างผม ท่านผู้อ่านอาจพบว่าเวลาที่พระเจ้าทรงให้มานั้น กลับดูเหมือนมันช่างเดินเร็ว เสียจริงหนอ!

เมื่อเริ่มเขียนคอลัมน์นี้ใหม่ๆนั้น มีแต่เรื่องรื่นรมย์ตลกโปกฮา ไม่ได้มีเรื่องการเมืองเข้ามาปะปนเลย เห็นชัดเจนจากกาแฟขม...ขนมหวานเล่มที่ ๑ แต่ต้องผันตัวเอง มาแตะการเมืองเรื่องบ้าบอคอแตกเป็นบางครั้ง ก็เพราะคนชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ แท้ๆ

อยากบอก ‘ความในใจ’ กับท่านทั้งหลายว่า เมื่อทักษิณขึ้นเป็นนายก ตัวเองก็ยินดีที่เห็นนักเรียนนายร้อยตำรวจด้วยกัน ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของชาติ

ผมเข้าใจเอาเองว่า ทักษิณคงไม่ต้องเสียเวลา ไปกับความคิดเรื่องการหาทุนทรัพย์ เพราะตัวเขาเองมีเงินทอง ที่ได้มาจากผลกำไรจากการค้าขายมากมาย สามารถทำงานตอบแทนบุญคุณบ้านเกิดเมืองนอนได้โดยสะดวก ไม่ต้องคำนึงถึงต้นทุนที่จะต้องใช้จ่าย เหมือนนักการเมืองอื่นๆที่เราคุ้นเคย เพราะคนเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่หาประโยชน์ จากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองจริงๆ

ตรงนี้อยากให้ท่านลองสังเกตดูรายชื่อของนักการเมือง ที่เพิ่งถูก ปปช.ประกาศออกมาว่า จะต้องเข้ากระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ปปช. เพื่อส่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีหลายคนด้วยกัน แต่เกือบทั้งหมดก็มาจากพรรคเก่าแก่ หรือเคยอยู่เคยเป็นศิษย์เก่ากันมาแล้วทั้งนั้น เรียกว่าโรงเรียนนี้เขาขลังจริงๆ พอมายุคที่เขาจับได้ไล่ทันเลยลำบากหน่อย ส่วนที่อยู่พรรคอื่น โผล่ออกมาให้เห็นหน้าค่าตาเรื่องร่ำรวยผิดปกติ มีเพียงคนเดียวจริงๆ

ก็ดันปลูกบ้านยังกับ ‘วัง’ ให้คนเขาหมั่นไส้เอานี่นา!

เรื่องบ้านใหญ่ๆของนักการเมืองนี่ก็เหมือนกัน ผมกำลังคิดจะอวดภาพ ‘วัง’ ของนักการเมืองผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ที่ปลูกเอาไว้แถวปักษ์ใต้กันบ้าง

รับรองว่า “วัง-ตาตือ” ที่เมืองอ่างชิดซ้ายไปเลย!!

มเห็นว่า ฐานะมั่งคั่งอย่างทักษิณ ไม่จำเป็นต้องหาประโยชน์ใดเลย เพราะทรัพย์สินที่มีอยู่ กินใช้ได้ไปจนถึงชาติหน้าและอีกหลายๆชาติ เขาจึงได้เปรียบกว่านักการเมืองคนอื่นๆ สามารถรับราชการในฐานะนักการเมือง เป็นผู้นำของรัฐบาล บริหารราชการแผ่นดิน สนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สร้างความเจริญให้กับบ้านเมืองได้อย่างเต็มที่

ตอนหาเสียงก่อนเป็นนายกสมัยแรกนั้น ทักษิณเองก็ยืนยันชัดเจนต่อประชาชนว่า

“ผมพอแล้ว”

ผู้คนเลยเทคะแนนเสียงให้ ทักษิณจึงชนะในการเลือกตั้งถล่มทลาย!

แต่แล้วผมก็เหมือนกับประชาชนจำนานมากมาย ที่ต้องผิดหวังกับพฤติกรรมของอดีตนายกคนนี้ เพราะเอาเข้าจริงแกก็ “ยังไม่พอ” จนทำให้ผมต้องโดดออกไปอยู่กันคนละฝั่ง กับอดีตนายกตกกระป๋องเลยทีเดียว

การที่ออกมายืนฝั่งตรงข้ามกับทักษิณได้อย่างรวดเร็ว เพราะตัดสินใจได้เอง ตรงนี้ความเป็นตำรวจและพนักงานสอบสวน คุ้นเคยกับคดีทุจริตมานาน เรียกว่าบางปีผมได้เห็นเรื่องทุจริตทุกเรื่องของบ้านเมืองนี้ ที่เข้ามาสู่หน่วยสอบสวนของตำรวจ (ตอนนั้น ปปป.ยังไม่ได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาคดีทุจริต) อีกทั้งยังเคยเป็นอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของ ปปป.มาก่อน รวมทั้งยังทำงานเป็นผู้ทำบทวิเคราะห์การเมืองทั้งในและต่างประเทศ ของหน่วยงานตัวเองที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง

ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยได้มากทีเดียว เพราะทำให้ตัวเองได้เห็นร่องรอย ความไม่ชอบมาพากลของการบริหารราชการรัฐบาลทักษิณ ได้เกือบฉับพลันทันที เพียงแต่มีข้อมูลบางอย่างแลบหรือแปลกปลอมเข้ามากระตุ้นเท่านั้น ผมก็จะสามารถสืบสาวราวเรื่องเอาเองได้ว่า ความจริงที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร? เพราะยังมีพรรคพวกอยู่ในวงการจำนวนไม่น้อย เช่น

เมื่อเขียนเรื่องการซื้อขายหุ้น ให้บริษัทเทมาเส็กของอดีตนายก ก็สามารถแจงแยกแยะให้ท่านผู้อ่านได้เห็นเป็นขั้นเป็นตอนว่า วิธีการทักษิณฉกฉวยประโยชน์ จากการเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วทำมาหากินส่วนตัวไปด้วยนั้น เขาทำได้อย่างไรกัน ? ในกาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๒๓ “นายกฯทักษิณถูกถีบ...ใครถีบ !?”

คนที่เป็น ‘ตัวช่วย’ ของทักษิณบางคน ผมก็ได้ชี้ความไม่ชอบมาพากลในความสัมพันธ์ของพวกเขา โดยอยู่ทั้งในตำแหน่งข้าราชการการเมือง ซึ่งได้รับค่าตอบแทนจากรัฐ และยังทำงานในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัวไปด้วยในเวลาเดียวกัน แจงไว้ชัดเจนใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๒๖ “ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร นักกฎหมายมืออาชีพ...จริงหรือ!?”

นอกจากนั้น ผมยังลำดับวิธีการการประกอบธุรกิจของอดีตนายกคนนี้ ซึ่งดูว่าแยบยลแบบคิดว่าตนเองฉลาด แต่กลับมองออกอย่างง่ายดาย เพราะ ‘มูมมาม’ เกินไปและไม่เหมาะสมเพราะมีฐานะเป็นผู้นำประเทศใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๓๕ นักการเมืองขี้ถุย! ซึ่งบทความของผมถูกถอดไปเผยแพร่มากมายในเว็บไซต์ต่างๆ ให้ผู้คนได้อ่านกัน

ไม่เว้นแม้แต่เว็บไซต์ www.parliament.go.thของรัฐสภาเองด้วยซ้ำ!

บอกตรงๆว่า ไม่เคยคิดเลยว่าต้องมาเขียนคอลัมน์ แล้วต้องอัดทักษิณอย่างหนัก ซึ่งผู้คนอ่านแล้วก็บอกว่า “แรงมาก” ซึ่งดูแค่ชื่อคอลัมน์แต่ละตอนแล้ว ใครอ่านก็ต้องรู้ได้ทันทีว่า เป็นการรุกไล่ทักษิณ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เช่น

“อดเหล้าเข้าพรรษา...ไม่งดด่ารัฐบาล!” , “ทักษิณคนขาดบารมี...อัยการสูงสุดออกศึกครั้งนี้ อย่าถอยนะ!” , “ เดทสะมอเร่ แหงๆ !” (รัฐบาล หรือใครที่ไหนกัน?) ,“ปีใหม่...ทักษิณต้องเปลี่ยน...ปากใหม่ ! ” , “คุกตะรางไม่ได้มีไว้ขังหมา!” (ฤาทักษิณจะทับรอย กกต.) , “มันไม่อายบ้าง...ให้รู้ไป !!!” , “ตำนานรัฐบาล ‘แม้ว’ ตำนานรัฐบาล ‘มาร’, “รัฐบาลเพื่อความแตกแยก และความพินาศฉิบหายแห่งชาติ !!!”!!! ”

บางตอนก็บอกกันโต้งๆไปเลยว่า องค์กรบริหารของทักษิณเป็น “รัฐบาลทำมาหาแดก” แถมยังกระแทกซ้ำไปอีกด้วยคอลัมน์ชื่อ “DNA ของ ‘รัฐบาลทำมา-หาแดก’ เชื้อชั่ว...ไม่เคยตาย! ” อย่างนี้เป็นต้น

มีอยู่หนหนึ่งที่ของขึ้นจัด ให้ชื่อคอลัมน์ไปแบบบ้าบิ่นเลยว่า “ทักษิณ ชินวัตร...‘ตัวซวย’ ประเทศไทย !?” เอากันขนาดนี้ขนาดนี้เลยจริงๆ ซึ่งก็เชื่อว่าได้ผ่านสายตาท่านผู้อ่านที่เคารพไปแล้ว

ท่านอ่านแล้วคงนึกสงสัย ว่าจุดของความเปลี่ยนแปลงจากที่คิดว่า น่าจะสนับสนุนทักษิณเพราะเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจด้วยกัน แล้วมาแปรเปลี่ยนไปนั้นเกิดขึ้นตอนไหน? และเมื่อไหร่?

ขอเรียนให้ท่านทราบ พอเป็นสังเขปดังนี้ว่า

เมื่อทักษิณเข้ามาบริหารราชการงานแผ่นดินใหม่ๆ นักเขียนผู้ที่มีนามสกุลเดียวกับผม ได้เสนอแนวความคิด ให้ทักษิณมี “เวที” เอาไว้คุยกับประชาชน โดยนำเสนอชัดเจนทางหน้าหนังสือพิมพ์มติชนรายสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๔ โดยแนะให้ทักษิณ นำวิธีการแบบเดียวกับประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี รูสเวลท์ ที่เรียกว่า fireside chat มาใช้ในการพูดจากับประชาชน

ท่านประธานาธิบดีอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ นั่งอยู่ข้างเตาผิงในห้องนั่งเล่นทำเนียบขาว แล้วพูดคุยกับประชาชนของท่าน ทุกสัปดาห์ทางวิทยุกระจายเสียง ซึ่งตอนนั้นวิทยุยังเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทันสมัย โทรทัศน์ผู้คนยังไม่รู้จัก

ประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้แจ้งผลการดำเนินการของรัฐบาลกลาง ให้กับประชาชนของท่านรับทราบอย่างตรงไปตรงมาทุกสัปดาห์ เรื่องอะไรที่ทำแล้วเป็นประโยชน์กับประชาชนได้ ท่านก็บอกว่าจะทำ ตรงไหนที่ทำไม่ได้ก็บอกว่า ตอนนี้ยังไม่อาจจัดการให้ได้หรือยังขาดงบประมาณอยู่ ขอให้รอไปก่อน เมื่อพร้อมแล้วก็จะทำให้ อะไรทำนองนี้ ซึ่งชาวบ้านก็เข้าใจ

อเมริกันชนยุคนั้นจึงพอใจรัฐบาล เคารพในตัวผู้นำของเขา มีความรู้สึก “เป็นพวกเดียวกัน” กับท่านประธานาธิบดี อเมริกันทั้งชาติจึงจูงมือเดินไปในทิศทางเดียวกัน

อดีตนายกทักษิณผู้ตกเก้าอี้ ได้รับเอาคำแนะนำ จากคนในครอบครัวผมไปทันที หลังจากนั้นรายการ “นายกทักษิณพบประชาชน” ก็เริ่มเปิดฉากขึ้น แต่การณ์ไม่ได้เป็นไปตามคาด เพราะอดีตนายกดันไปใช้เวทีวิทยุนี้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ไล่ถล่มผู้ที่มีความเห็นตรงข้ามกับตนอย่างสนุกสนาน จนผมเห็นว่าเป็นการไม่ถูกต้อง จึงออกมาเตือนว่า ทักษิณใช้เวทีนี้ผิดไป ดังนี้

“...แม้นายกมีความตั้งใจ มุ่งมั่นในการทำงานก็จริง แต่อรรถรสและแนวทางการพูดทางวิทยุของผู้นำประเทศเรา ดูจะผิดจากของเขา เพราะนายกท่านนอกจากจะไม่ “กระหนุงกระหนิง” แล้ว ยังออกจะเคร่งเครียด ไม่เป็นกันเองตอบโต้กับผู้ไม่เห็นด้วยทุกรูปแบบ ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ พอพูดกระทบกระทั่งกัน เหตุการณ์ดูจะไปกันใหญ่...”

ท่านผู้อ่านจะดูรายละเอียดได้ใน กาแฟขม...ขนมหวานตอนที่ ๑๘ ซึ่งวางแผงไปตั้งแต่ ต้นปี ๒๕๔๕ แล้วจะทราบที่มาที่ไปของรายการ “นายกทักษิณพบประชาชน” รวมทั้งข้อทักท้วงของผมด้วย

แต่ทักษิณไม่เคยฟัง!

ดันใช้รายการนี้เอนจอยปากตัวเองต่อไป ด่าคนไม่เห็นด้วย พูดจาดูถูกดูหมิ่นผู้คนที่ไม่เห็นด้วย สร้างความแค้น ความแตกแยก การแบ่งพรรคแบ่งพวก พยายามเอาชนะทุกคนที่เห็นต่างไปจากตนด้วยคำพูดเสียดสี แดกดัน เย้ยหยัน ผู้คนที่เป็นมิตรก็ถอยห่าง เมื่อเห็นว่าตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ ก็ยิ่งรุกไล่ถล่มเขาให้ตกเวที

ฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม จึงมีพวกมาสะสมมากขึ้นทุกวัน!

ในตอนนั้นยังไม่เป็นไร เพราะยังมีผู้คนเชียร์อดีตนายกอยู่มาก แม้กระทั่งตอนที่ผมเริ่มเขียนรุกไล่ทักษิณ เพื่อนๆที่เขียนคอลัมน์ทั้งหลายในเว็บผู้จัดการของเรา ก็ยังมุ่งมั่นเชียร์ทักษิณต่อไปอีกนานนับเป็นปีๆ

กว่าจะหันปลายดาบและปากกระบอกปืน ไล่ถล่มทักษิณตามผม!!

ากท่านผู้อ่านจะถามว่า อะไรที่เป็นจุดเปลี่ยนความเห็นของผมเกี่ยวกับทักษิณ? ผมก็ไม่ลังเลที่จะตอบได้ทันที ว่า

จุดผกผันที่สุดที่ผมหันหลังกลับให้ทักษิณ เกิดขึ้นเมื่ออดีตนายกตกกระป่องคนนี้ รับเอาแนวความคิดของพรรคดักดาน จะนำกองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ เรียกกันในตอนนั้นว่ากรม FBI ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี

จุดประสงค์ก็เพื่อกุมอำนาจ ในการสอบสวนคดีอาญาบางประเภท เอาไว้ให้ได้ในกำมืออย่างเต็มที่ เพราะตอนนั้นกองบังคับการใหม่นี้ ต้องทำการสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับสถาบันการเงิน ที่ประสบปัญหาในการฉ้อฉลภายในสถาบันเอง และจากบุคคลภายนอก

มีหลายคดีสำคัญ ที่นักการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง หรือผู้ใกล้ชิดเช่น ลูกสาวแท้ๆ ของอดีตหัวหน้าพรรคการเมือง พี่น้องแท้ๆ ของคนในแวดวงการเมือง บ้างก็เป็นญาติสนิท รวมทั้งภริยาที่ไม่จดทะเบียนนักการเมือง (หลายคนไม่นิยมจด ระดับผู้นำพรรคก็มี คนเลยนินทาว่าต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อจดทะเบียนกับคนใหม่ ที่ร่ำรวยและมีคุณสมบัติดีกว่าคนเก่า!) เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงของบริษัทการเงิน หรือธนาคารที่บางแห่งในตอนนี้เจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว

ครั้นจะมีการดำเนินคดีกับคนโกง คนพวกนี้หนีไปเสวยสุขต่างประเทศ

โดยมีคนเปิดทางสะดวกให้!

ดังนั้น หากกองบังคับการนี้ไปอยู่ในอุ้งมือของพวกเขา นอกจากจะสามารถปกป้องพวกเดียวกันให้พ้นคดีอาญา ก็ยังจะเป็นการเพิ่มพลังให้กับตัวเองอย่างเต็มที่ แต่พรรคต้นคิดไม่มีโอกาสดำเนินการได้สำเร็จ เรื่องกลับมาตกอยู่ในสมัยนายกตกกระป๋อง ซึ่งตอนนั้นมีอำนาจเต็มที่ประชาชนกำลังชื่นชมมาก

แต่คนอย่างทักษิณ คิดไกลไปกว่านั้น!!

อดีตนายกเห็นว่า หากมีการตั้งองค์กรตำรวจใหม่ขึ้นมาอีกหนึ่งหน่วย จะสามารถควบคุมองค์กรตำรวจของชาติที่มีอยู่เดิมเอาไว้ จึงร่างกฎหมายให้องค์กรใหม่นี้ มีอำนาจมากกว่าตำรวจซึ่งเป็นองค์กรเก่า กล้ากระทั่งร่างให้ยกเว้นข้อบัญญัติสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ตามรัฐธรรมนูญด้วยด้วยซ้ำ

พอถึงตรงนี้ ความอดทนของผม ขาดผึงเลย !!!

ผมเห็นว่า คนอย่างทักษิณนอกจากไม่รู้จักพอแล้ว ยังแสวงหาอำนาจอย่างไร้ขีดจำก้ดมักใหญ่ใฝ่สูง อยากกุมอำนาจอย่างเด็ดขาด จึงเขียนบทความแจงให้เห็นชัดๆว่า การมีกรมสอบสวนพิเศษนั้น เป็นการตั้งองค์กรตำรวจซ้อนองค์กรเดิม ขอท่านผู้อ่านได้โปรดดูกาแฟขม...ขนมหวานตอนที่ ๒๒๒“ผมว่า...ศาลรัฐธรรมนูญ ทำถูกต้องแล้ว...ใครจะทำไม !?” และคำวิพากษ์วิจารณ์ของคุณรุ่งอรุณ สุริยามณี ซึ่งได้ทำบทวิเคราะห์ไว้ในคอลัมน์ของเธอชื่อ ‘ป้อมพระสุเมรุ’ในเว็บผู้จัดการเมื่อ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๕ โดยใช้ชื่อตอนว่า “ตำรวจ ๒ ระบบ – เป้าหมายดึง ‘กองทัพที่ ๔’ มาอยู่กับ (ทุน) การเมือง” ซึ่งมีผู้วิพากษ์วิจารณ์กันมากมายอย่างเหลือเชื่อ

คุณรุ่งอรุณได้ quote คำพูดของผม ที่ได้กล่าวหาหากมีใครมาถามว่า มีประเทศไหนบ้างที่เป็นรัฐเดี่ยว แต่ใช้ระบบตำรวจ ๒ ระบบ ดังนี้


ผม (วาทตะวัน สุพรรณเภษัช) ตอบไปว่า

ที่เห็นชัดเจนก็คือประเทศเยอรมันก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ตำรวจมี 2 ระบบ คือ ตำรวจทั่วไป 1 ระบบ และผู้ปกครองขณะนั้นก็ตั้งอีกระบบหนึ่งซ้อนขึ้นมาภายใต้ชื่อว่า....

“Geheime Staats Polizei ”

มีอำนาจกว้างขวางเหมือนกรมเอฟบีไอที่รัฐบาลนี้มิได้ผิดเพี้ยนกันแต่ประการใด

รัฐบาลเยอรมันถึงแก่กาลล่มสลาย บรรลัยวายวอด ส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งก็เพราะระบบตำรวจซ้อนนี่แหละ – จะบอกให้


ความพยายามในการสร้างกรมเอฟบีไอหรือดีเอสไอหรือ “กรมสอบสวนพิเศษ” นี่แหละครับ คือความพยายามในการสร้าง “รัฐตำรวจ” ของทักษิณ

แต่ไม่สำเร็จ!

รัฐบาลของทักษิณก็ ‘ล่มสลาย’ ไป เหมือนอย่างที่ผมเขียนไว้ไม่มีผิด!!

ผมบอกไว้ล่วงหน้าก่อนถึงกว่าสี่ปี แต่ไม่น่าเชื่อว่า ในตอนนั้นไม่ยักมีใครเฉลียวใจว่า ทักษิณเตรียมการสร้าง “รัฐตำรวจ” ขึ้นมา

น่าประหลาดที่สุด ที่ไม่มีใครไหวทันเลย ยิ่งไปกว่านั้นสื่อต่างๆ พลอยพากันเห็นดีเห็นงามไปหมด ใช่แต่ว่าสื่ออื่นเท่านั้น แม้แต่คอลัมน์ในเว็บไซต์ผู้จัดการของเราเองนี่ก็เถอะ ก็เขียนสดุดีแนวความคิด ในการตั้งกรมสอบสวนพิเศษของทักษิณเสียด้วยซ้ำไป!!!

มีความพยายามจากนายตำรวจรุ่นพี่ของอดีตนายกที่ใกล้ชิดผม และเป็นอาจารย์ของทักษิณด้วย ที่เขาเห็นว่าการตั้งกรมสอบสวนพิเศษ เป็นการสั่งสมอำนาจส่วนตัวอย่างไม่สมควร และจะเกิดความเสียหายได้ นายตำรวจผู้นี้ได้บอกผ่านไปยังภริยาทักษิณว่า

<“อย่าได้ตั้งกรมนี้ขึ้นมาเลย เพราะเมื่อตกจากอำนาจเมื่อไหร่ จะถูกกรมที่ตนตั้งมาเองนั่นแหละ สอบสวนย้อนรอยเอา!”

เขาเตือนดีๆ แท้ๆ แต่เมื่อพบกัน กลับถูกทักษิณพูดใส่หน้าอย่างขัดเคือง ว่า

“พี่จะขวางผมหรือ!!?”

เลยตึงกันไป และในที่สุดคนถูกเตือน ก็สิ้นอำนาจไปจริงๆด้วย!!!

แม้การสร้างรัฐตำรวจของทักษิณ จะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เจ้าตัวหวัง แถมอาณาจักรแห่งอำนาจ และขุมข่ายการเมืองที่ตนสร้างไว้ ยังมีอันต้องล่มสลายอีกไปอีก เหมือนกับเกสตาโปนอนหงายเท่งทึง แต่ยังยกมือทำท่า “ไฮล์...ฮิตเลอร์” อย่างที่ท่านเห็น

เรื่องนี้ยังไม่จบเพราะค่อนข้างยาว กลัวแฟนๆก็จะอ่านกันเมื่อยนัยน์ตาเสียก่อน จึงขอแยกออกเป็น ๒ ตอน โดยจะเอาตอนจบที่ “มันยกร่อง-ฟักทองแตงไท” ไปไว้ฉบับหน้า

รับรองว่าอ่านแล้ว.....

เผลอนายทหารใหญ่ๆ ในบ้านเมือง ก็อาจต้องสะดุ้งน้อยๆ ก็เป็นได้!

...............

ท้ายบท อยากจะคุยเรื่อง “สภาหมากัดกัน” ให้ท่านผู้อ่านฟัง เพราะเห็นมันเห่า มันกัด มันฟัดกันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว ดูไอ้พวกนี้จะเลวระยำยิ่งกว่าหมาธรรมดาเสียอีก

ผมเห็นแล้วสมเพชนัก ไม่นานช้าชาวบ้านคงช่วยกันไล่ถีบออกไป เพราะทิ้งไว้จะรังแต่เป็นเสนียดชาติบ้านเมือง

แต่เอาไว้วันหลังค่อยเล่า ก็แล้วกันนะครับ!

กำลังโหลดความคิดเห็น