xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 257 “ขับเจ้าเข้าป่า...แล้วเอาหมามานั่งเมือง!”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว มีขนมเค้กชิ้นเล็กๆจากร้านชื่อ ‘เลอโนท์’ (Lenotre) ของฝรั่งเศส แต่มาเปิดขายที่เมืองไทย รับประทานเป็นของหวาน เขานำเค้กและขนมรสต่างๆ มาวางเรียงเป็นแถว แถวละ ๓ ชิ้น แต่ละชิ้นขนาดโตกว่าเหรียญ ๑๐ บาท เล็กน้อย มีทั้งหมด ๔ แถว รสชาติของเขาก็อร่อยดี แต่ที่ชอบคือบรรจุภัณฑ์ของเขาเข้าท่า ดูเก๋ไก๋ คือบรรจุในกล่องพลาสติกใสแหนวและสามารถมองลอดดูได้ว่า มีขนมอะไรบ้าง ภริยาเพื่อนเธอซื้อมาฝาก ๑ กล่อง เลยได้รับประทานขนมได้หลากหลายชนิดในกล่องเดียว

บ้านเมืองของเรานั้นคงเป็นสถานที่สุขสงบพอสมควร ฝรั่งมังค่ายังเห็นว่าน่าอยู่ เลยต้องส่งขนมหวาน มาขายคนบ้านเดียวกันที่เข้ามาอยู่อย่างหนาตาที่เมืองไทย คนบ้านเราเลยพลอยได้อานิสงส์ มีโอกาสได้รับประทานขนมอร่อยๆ อีกหน่อยก็คงถูกคนไทยดัดแปลงเอาไปทำขายเองจนฝรั่งตามไม่ทัน

ไม่ต้องดูอะไรมาก เวลานี้อาหารอิตาเลียนคนไทยทำได้ดี จนชาวเมืองมักกะโรนีลือกันว่า ถ้าอยากกินอาหารชาติตัวเองอร่อยๆ ให้มากินที่เมืองไทย นี่อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโรมพูดให้ฟังเองทีเดียว ส่วนอาหารญี่ปุ่นแบบที่ไม่ซับซ้อนอะไรมากนัก คนไทยรับวัฒนธรรมพี่ยุ่นมา จนกระทั่งเปิดร้านอาหารญี่ปุ่น ขายดิบขายดีมานานหลายปีแล้ว

นั่นเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐสุดวิเศษของคนไทย ที่อาหารการกินของชาติใดเมื่อมาถึงเมืองไทย คนบ้านเราก็มี “รสมือ” และความ “ละเมียดละไม” ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันวิเศษที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ ทำให้เราสามารถทำหรือดัดแปลง แต่งเติมเสริมต่อความอร่อย จนชาติเจ้าของเองอดทึ่งไม่ได้ เพราะอาหารหรือขนมจะออกมาทัดเทียมหรือดีกว่า ของดั้งเดิมชาตินั้นๆทีเดียว
น่าภาคภูมิใจมาก!

ผมเขียนต้นฉบับวันนี้ เป็นเวลาที่คณะปฏิวัติได้ทำการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากรัฐบาลซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผ่านเลย ๑ เดือนไปแล้ว ทำให้หวนนึกถึงการปฏิวัติเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ ซึ่งมีผลพวงติดตามมาหลังการยึดอำนาจ คือ

พอคณะราษฎร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้มีข้าราชการในสมัยนั้น ซึ่งดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่สภาเผยแผ่พาณิชย์ (ตำแหน่งที่ทำหน้าที่เป็นอธิบดีกรมการค้าภายใน และกรมการค้าต่างประเทศควบรวมกัน) กระทรวงพาณิชย์ ชื่อ พระยาโทณวณิกมนตรี (วิสุทธิ์ โทณวณิก) ลุกขึ้นมาต่อต้านทันที ด้วยการจัดตั้งกลุ่มการเมืองชื่อ “คณะชาติ” ขึ้นมาเป็นฝ่ายตรงข้าม อย่างขัดเจนและไม่ปิดบัง แสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองขึ้นเมื่อใด ย่อมจะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและเห็นตรงข้าม ลุกขึ้นมาอย่างฉับพลันทันที
ตรงนี้ น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจกันไว้บ้าง เพราะประวัติศาสตร์ก็มีให้เห็นๆ!

พอปีรุ่งขึ้นคือวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๗๖ พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะนายทหารกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีนายพันโท หลวงพิบูลสงคราม เป็นกำลังสำคัญ ได้เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา

คณะผู้ยึดอำนาจไม่เรียกว่าคณะราษฎร์ แต่เรียกพวกตัวเองว่า คณะทหารบก ทหารเรือและพลเรือน และถือได้ว่าเป็นการรัฐประหารครั้งแรก และรัฐบาลของพระยามโนฯก็ยอมสละอำนาจแต่โดยดี

พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้จัดตั้งรัฐบาลในวันรุ่งขึ้น แต่คณะรัฐบาลชุดของเจ้าคุณพหลฯชุดนี้ไม่มีพระยาทรงสุรเดชรวมอยู่ด้วย ซึ่งเท่ากับเป็นการกีดกันเจ้าคุณทรงฯให้ออกไปนอกวงอำนาจ เพราะนอกจากไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแล้ว ตัวเจ้าคุณทรงฯเองและนายทหารอีก ๒ คน คือพระยาฤทธิ์อัคเณย์ และพระประศาสน์พิทยายุทธ ก็ถูกลดอำนาจทางการทหารลงด้วย ส่วนนาย ปรีดี พนมยงค์ ได้เดินทางกลับประเทศเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ปีเดียวกัน และได้เข้าร่วมในคณะรัฐบาลของเจ้าคุณพหลฯด้วย

หลังจากยึดอำนาจแล้ว พระองค์เจ้าบวรเดชทรงไม่พอพระทัยกลุ่มคณะราษฎร์ ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีกรณีนายถวัติ ฤทธิ์เดช ได้เป็นโจทก์ฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ จึงเกิดต่อต้านภายใต้การนำพระองค์เจ้าบวรเดชขึ้น โดยมีกำลังทหารหัวเมืองสนับสนุน ถึงขั้นมีการสู้รบกันอย่างรุนแรง ระหว่างทหารฝ่ายรัฐประหารกับกลุ่มผู้ต่อต้าน ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน

ฝ่ายหลังตกเป็นผู้แพ้กลายเป็นกบฏ หลังจากนั้นเจ้านายถูกจับกุมหลายพระองค์ บางพระองค์ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ

นไทยนั้นเป็นพวกชอบวิจารณ์การเมือง ในปีรัฐประหารครั้งแรก มีความบันเทิงที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของชาวบ้านตอนนั้นคือการแสดง ‘ลิเก’ แถบนครชัยศรีซึ่งในปี พ.ศ.นั้นก็ยังเป็นชนบทบ้านนอกอยู่มาก มีลิเกคณะนายหรั่ง (คนละคนกับตาหรั่ง เรืองนาม เจ้าของระบำจ้ำบ๊ะ นาฏศิลป์สำหรับผู้ใหญ่เพศชายที่ร่ำลือ ซึ่งผมเคยเขียนถึงแล้ว) ลิเกคณะนี้เขาดังแถวดอนหวาย, ท่าพูด, บางเตย, ทรงคะนอง ผู้คนรู้จักกันดี

ค่ำวันหนึ่งผู้แสดงเป็นตลกตามพระ ร้องกลอนลิเกด้วยความครึกครื้น แบบสอดใส่อารมณ์ศิลปินเสียดสีการเมืองไปด้วย ว่า

“เจ้าคุณพหลเป็นต้นเหตุ          พระองค์บวรเดชเป็นต้นเรื่อง
ขับเจ้าเข้าป่า                      แล้วเอาหมามานั่งเมือง”
การแสดงยังไม่ทันจบ ลิเกทั้งคณะถูกตำรวจหิ้วไปสอบสวนที่โรงพัก ด้วยข้อกล่าวหาว่าเล่นลิเกล้อเลียนทางการเมือง ไม่สบอารมณ์คณะผู้ก่อการยึดอำนาจ

คณะรัฐประหารชุดนั้น ดูเหมือนว่าต่อมน้ำอดน้ำทนสุดตื้น เป็นพวกประสาทเสียเอาง่ายๆ หากมีสิ่งใดที่พวกเขาเห็นว่า จะก้าวล่วงอำนาจที่ตนยึดมาได้ ก็ต้องปกป้องอย่างเต็มที่
เลยบ้าจี้ ระแวงกระทั่งพวกตลกยี่เก ที่ร้องเสียดสีตัว!

การรัฐประหารเกิดตามมาอีกหลายครั้ง ครั้งรองสุดท้าย(ก่อนหน้าคปค.) ทหารลุกขึ้นมาก่อการ ไล่คณะรัฐบาลที่ผู้คนกล่าวหาว่าเป็น “บุฟเฟต์แคบบิเนต์” โดยบอกว่าคอรัปชั่นกันเหลือกำลังลาก แต่ภายหลังไม่กระทำตามคำมั่นสัญญากับประชาชน เพราะผู้ก่อการเกิดพิสมัยในอำนาจ ผู้นำการปฏิวัติเกิดอยากเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ผู้คนเลยเดินขบวนขับไล่ เป็นผลให้กำลังทหารกับประชาชนเกิดปะทะกัน มีคนบาดเจ็บล้มตายกันมาก

ฝ่ายทหารมีอันต้องล่าถอยกลับเข้ากรมกอง จำยอมคายอำนาจคืนให้ประชาชนไปจัดการบริหารบ้านเมืองกันต่อไป ขุนทหารที่กุมอำนาจอยู่ถูกกล่าวหาว่า เป็นต้นเหตุให้มีการ
ฆ่าฟันประชาชน ก็ถูกโยกย้ายออกจากหน่วยคุมกำลัง ทิ้งรอยด่างดวงใหญ่ของการยึดอำนาจในครั้งนั้นไว้ ในประวัติศาสตร์การเมืองของชาติเราทีเดียว

ตรงนี้อยากบอกเอาไว้ให้รู้ทั่วกัน และให้ฝ่ายทหารสังวรเอาไว้ด้วยว่า ตำรวจกับประชาชนตีกัน เหมือนผัวเมียแค่ทุบถองกัน ทำนองลิ้นกับฟันกระทบกระทั่งกันบ้าง ในฐานะที่เป็นคนใกล้ชิดสนิทสนม เป็นการตีกันแบบเพลงที่เขาร้องว่า “ผัวเมียตีกัน สัมพันธ์ไมตรี...” ไม่มีอะไรมาก เดี๋ยวก็คืนดีกัน แต่ถ้าทหารตีกับประชาชน เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น มีอันบรรลัย
ฉิบหายไปทุกที!

จึงต้องเตือนสติกันไว้ตรงนี้ หากต่อไปมีการชุมนุมขึ้นมาอีก จงใช้ตำรวจรักษาความสงบเหมือนเดิม อย่าได้ออกมาเองเป็นอันขาด เว้นแต่โปลิศจะรับมือไม่ไหวจริงๆเท่านั้น
...ถ้าไม่เชื่อ อยากจะออกมารับหน้าเสื่อเสียเอง...ลองดูก็ได้!!

หลังจากทหารยุค ร.ส.ช.กลับเข้ากรมกองแล้ว ที่แย่ยิ่งกว่านั้น คือผู้นำที่เขาเลือกมาขัดตาทัพ เป็นคนที่ทหารกลุ่มรัฐประหาร เคยคัดสรรมาเป็นผู้นำหนหนึ่งแล้ว หลายคนเขาบอกว่าเป็น “ผู้ดี” แต่ก่อนเขาจะพ้นตำแหน่งไม่กี่วัน ดันออกลายชูหางแดงโร่ เอาโรงกลั่นน้ำมันของชาติไปขายในราคาถูกๆ เหมือนเซ็งลี้ปฏิกูลในส้วมสาธารณะ ผู้คนถึงกับพูดกันให้อื้ออึงไปทั้งเมืองว่า “ ไอ้แบบนี้ มันผู้ร้าย...นี่หว่า!” บางคนถึงถุยน้ำลาย แล้วพูดอย่างเคียดแค้น ว่า

ถ้าเอาคนพรรค์นี้มาบริหารประเทศ ไป “เอาหมามานั่งเมือง” เสียยังดีกว่า ถึงขนาดนั้นเลยทีเดียว!!

การรัฐประหารสองห้าสี่เก้า ซึ่งไม่ใช่ปีที่อันธพาลครองเมือง แต่เป็นปีที่ทักษิณครองเมืองแล้ววุ่นวายหนัก การก่อการครั้งนี้บ้านเมืองก็ดูเรียบร้อยดี คล้ายๆกับว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ผู้อ่านบางท่าน ดูเหมือนจะโกรธเคืองกับบทความที่ผมเขียนเตือนคณะทหาร สองฉบับที่แล้ว มีคนที่ไม่เข้าใจหรือไม่พอใจ หรือไม่เห็นด้วยอยู่มาก ที่เขียนไปอย่างนั้นก็เพราะทราบดีว่า การเคลื่อนไหวเช่นนั้นมีอยู่จริง ไทยโพสต์ฉบับอังคารที่แล้วลงพาดหัวหรา ว่า

จับตารากหญ้าทรท.แม่ทัพ1 เตือนเคลื่อนไหวผิด
แล้วโปรยข่าวต่อว่า...."สนธิ" ยังหวั่นเกิดคลื่นใต้น้ำ สั่งหน่วยข่าวเฝ้าระวัง อย่ามองว่าทุกอย่างสงบเรียบร้อยไปทั้งหมด ย้ำกระทบความมั่นคงยังไม่ให้ "ทักษิณ" กลับประเทศ

นอกจากนั้นยังมีข่าวสารการแสดงความไม่พอใจ ของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารโผล่ออกมาถึงหูผู้คน ทั้งข่าวลือหนาหูรวมทั้งเอกสารการต่อต้าน แพร่สะพัดออกมาเป็นระยะ บางฉบับก็มีความเข้มข้นพอสมควร

ที่น่าแปลกใจคือ ผู้ที่มีความเห็นตรงข้ามกับทักษิณและคัดค้านมาตลอด รวมทั้งอดีต
สมาชิกรัฐสภาบางคนจากทั้งชุดเก่าและชุดใหม่ ที่เคยได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน และมีความเห็นคนละฝั่งกับรัฐบาลทักษิณ ก็ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารครั้งนี้ แม้แต่กลุ่มอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ยังคงเดินหน้าปลุกนักศึกษาให้เคลื่อนไหว ลุกขึ้นต่อต้านการรัฐประหารกันไม่ได้หยุดหย่อน อย่างนี้เป็นต้น

การเตือนของผมนั้น กระทำไปในฐานะผู้ที่มีความห่วงใยต่อสถานการณ์บ้านเมือง และตัวเองเคยอยู่ในแวดวงประชาคมข่าวกรองของประเทศมาก่อน ถึงตอนนี้อยู่นอกวงการแล้ว แต่ก็ยังพอจะทราบว่า...อะไรกำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเมือง!

ถ้าหากคำเตือนของผม ไม่มีรากฐานมาจากความจริง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คงไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปภาคอีสานอย่างเร่งด่วน จนบางกอกโพสต์ถึงกับบรรยายว่า เป็นการรุกเข้าใส่ Thaksin stronghold หรือฐานที่มั่นสำคัญของทักษิณ และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหยกๆนี้เอง เวปผู้จัดการก็ลงกันให้เห็นจะจะอีกว่า
"สุรยุทธ์"ขึ้นเหนือเคลียร์มวลชน สยบคลื่นใต้น้ำป่วน
สถานการณ์บ้านเมืองเรา ยังวางใจอะไรไม่ได้เลยจริงๆ!

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้นำที่มาขัดตาทัพ ระหว่างที่การปกครองบ้านเมืองยังไม่ปกติ และเข้าที่เข้าทาง นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้มีศักยภาพในการสร้างความปรองดอง กอปรด้วยความสามารถในการประสานงานกับบุคคลกลุ่มต่างๆ ที่มีความเห็นต่างกัน ให้หันหน้าเข้ามาปรับความเข้าใจ ลดทิฐิมานะระหว่างกัน โดยมีประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเราเป็นที่ตั้ง

เป็นความโชคดีของประเทศไทยและ คปค.ด้วย ที่เราได้บุคคลอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงต้องจัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อย ก่อนทหารจะคืนอำนาจการปกครองให้ปวงชนชาวไทยครั้ง เพราะหลังจากที่เข้ารับตำแหน่ง ท่านได้รีบเดินทางไปยังภาคอีสาน เพื่อดับไฟแห่งการต่อต้าน ให้มอดลงในบางจุดเสียก่อน

ใช่แต่เพียงแค่นั้น ท่านยังต้องทำต่อไปอีกมากในหลายภาคส่วน เพราะบรรดากลุ่มต่างๆที่ไม่พอใจ ยังคงซุ่มซ่อนรอจังหวะเปิดอีกครั้ง รวมทั้งฝ่ายที่สูญเสียอำนาจ ก็ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติการการตีโต้ตอบ ท้าทายอำนาจคณะทหารอย่างจริงจัง เพียงแต่รอคอยเวลาที่เหมาะสม และกำลังใช้ช่วงเวลาแห่งความสงบเงียบ จัดวางและกำหนดตำแหน่งเพื่อปักหลักให้มั่นคง
ก่อนจะเริ่มกระบวนการตีโต้ตอบ อย่างเป็นระบบ!

ดังนั้น บุคคลที่ต้องรักษาความสงบสุขของประเทศนี้ไว้ให้ได้ ตัวจักรกลใหญ่กลับไม่ใช่คณะรัฐประหาร หากแต่เป็น พล.อ.สุรุยุทธ์ จุลานนท์ ที่จะต้องเอาแบกภาระอันหนักอึ้ง ไว้บนบ่าทั้งสองข้างของท่าน จนผมต้องพูดเอาไว้ใน บทความกาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๕๕ เรื่องบ๊องๆ บอมบ์ๆ ยังไม่จบนะ! (“ยูว่าคาร์บ๊อง...แต่ไอว่าคาร์บอมบ์”) ว่า

...ตอนนี้ได้แต่อธิษฐาน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง ดลบันดาลให้ท่านนายกคนใหม่ ถอดสลักระเบิดแห่งความแตกแยกของผู้คนในบ้านเมืองที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ก่อเอาไว้ ได้สำเร็จ!
ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรี นำประชาชนคนในชาติของเรา กลับมาสู่การปรองดองสมานฉันท์กันได้ ให้ทันภายในยุคสมัย ที่ท่านเป็นผู้นำประเทศ...

การถอดสลักแห่งความแตกแยกนั้น คงต้องดำเนินการต่อไป จนกว่าประเทศจะกลับไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง...
ขอยืนยันตรงๆว่า คนที่จะสามารถถอดสลักได้ ไม่ใช่คณะรัฐประหารอย่างแน่นอน!

ระหว่างที่นายกท่านนี้ปกครองบ้านเมือง ผมแน่ใจว่าพล.อ.สุรยุทธ์ฯมีความโปร่งใส เป็นธรรม สามารถทำให้พี่น้องประชาชนมีความเข้าใจว่า คณะทหารที่ทำการปฏิรูปการปกครองและรัฐบาลใหม่ เป็น ‘ฝ่ายเทพ’ คือ เป็นผู้มีคุณธรรมสูง ไม่ได้หวังลาภสักการะจากการเข้ายึดอำนาจ ไม่ได้กระทำตรงข้ามเช่น อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งพรรคการเมือง เพื่อสนับสนุนการดำรงอยู่ต่อไปในอำนาจของ คปค. หรือตั้งทหารเข้าไปเป็น ผอ.กองสลากเสียเองฯลฯ จนกลายเป็น ‘ฝ่ายมาร’ ไปในสายตาประชาชน

ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมตัวอย่างกรณีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่พอตกกระป๋องเข้าเท่านั้น ผู้คนเขาเปลี่ยนชื่อคณะ ร.ส.ช.ชุดนั้นว่า เป็นพวก “รวม-สิ่ง-ชั่ว” ทันทีทันใดเลย ก็ได้เห็นกันแล้ว!

ดังนั้น คณะทหารผู้ก่อการรัฐประหาร จะต้องดำรงความซื่อสัตย์สุจริตเอาไว้จงดี อย่าได้เฉไฉออกนอกแนวเป็นอันขาด เพราะท่านก็มีเวลาเพียงสั้นๆ ปีหน้าผู้นำการยึดอำนาจก็จะต้องเกษียณอายุราชการกันแล้ว จึงต้องทำตามและรักษาคำมั่นสัญญา ที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างมั่นคง จะได้พ้นจากราชการ ไปนอนเลี้ยงหลานกันอย่างสุขกายสบายใจ
ไม่ต้องให้ใครเขาด่าไล่หลังส่งไป หรือพบจุดจบที่น่าสังเวชอย่าง ร.ส.ช.!!

คนไทยนั้นไม่ธรรมดา แม้แต่ตลกยี่เก ก็ยังกล้าที่จะร้องประชดประชันผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ได้อย่างไม่เกรงกลัว ถ้าร้องด่าทอต่อหน้าไม่ได้ ก็แอบนินทาเอาลับหลัง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา แม้แต่ครั้งรัชกาลที่ ๕ พวกฝรั่งมารังแกคนไทย ทำให้เราต้องสูญเสียดินแดนไปมากมาย คนไทยเรายุคนั้นด่าฝรั่งต่อหน้าไม่ได้ ด้วยอำนาจปืนมันใหญ่กว่าและเหนือกว่ามาก แต่บรรพบุรุษของเรา ก็ยังประดิษฐ์สำนวนเอาไว้ด่าฝรั่ง แต่ไม่ให้พวกตาน้ำข้าวได้ยิน ว่า
“ผ่อนที่ให้ฝรั่ง ผ่อนวังให้จระเข้”
ผมใช้สำนวนนี้ โต้ตอบนายไมเคิล ไรท์ นักเขียนฝรั่งอังกฤษ ที่ชอบเขียนกระแนะ
กระแหนคนไทย และกระทบเจ้านายของเราอย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด ในกาแฟขม..ขนมหวาน ตอนที่ ๑๐๓ “ผ่อนที่ให้ฝรั่ง ผ่อนวังให้จระเข้” โดยเขียนเอาไว้ตอนหนึ่ง ว่า

...เรื่องถูกฝรั่งรังแกนั้น คนไทยในสมัย รัชกาลที่ ๕ ก็ได้แต่เก็บความช้ำชอกไว้ในหัวอก แต่แสดงออกมาไม่ได้ เพราะตอนนั้นฝรั่งอังกฤษเขาเป็นเจ้าโลก
แต่ถึงกระนั้น คนไทยก็ยังเก็บอาการไว้ไม่หมด ต้องหลุดออกมาทางปากเป็นสำนวนไทยทำนองประชดประชัน ว่า
“ผ่อนที่ให้ฝรั่ง...ผ่อนวังให้จระเข้ !”

อยากให้ท่านผู้อ่านลองคลิกเข้าไปอ่านกัน จะได้ขยายมุมมองฝรั่งให้กว้างขวางออกไปอีก จะได้เอาไว้เป็นข้อมูลในการโต้ตอบพวกฝรั่งวิปริตคนไหนก็ตาม
ที่มันชอบพูดจาดูถูกคนไทย!

สำหรับการตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ ที่จะมีการประชุมสภา พิจารณานโยบายรัฐบาลกันครั้งแรกในวันนี้ (อังคารที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๙) ซึ่งผมเห็นว่า มองภาพรวมของสมาชิกผู้ทรงเกียรติแล้ว แม้จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ก็ไม่ได้น่าเกลียดน่าชังอะไร เพราะยังมีบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีชื่อเสียง เกียรติประวัติที่งดงาม รวมอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนพวกที่ผู้คนตั้งข้อสงสัยก็มีอยู่ไม่กี่คน จึงพอรับกันได้อย่างไม่ขัดเขิน หรือดูน่าทุเรศอะไรนัก!

ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้กระแนะกระแหนว่า เป็น “สภาปฏิปักษ์ทักษิณ” บ้าง หรือ “สภานิติบัญญัติ-คู่กัดทักษิณ” บ้าง และผู้คนเขาก็พูดกันให้เซ็งแซ่ ว่า

หากใครไม่เคย ‘กัด’ หรือไม่ได้ ‘งัดข้อ’ กับทักษิณมาก่อน จะไม่ได้รับการแต่งตั้งในคราวนี้ เพราะคนเขาเห็นชัดว่าเกือบทั้งหมด ล้วนเป็นพวกตรงข้ามกับอีตาแม้ว หรือเป็น
‘คู่ฟัด-คู่กัด’ กันมาก่อนทั้งสิ้น หรือไม่ก็ต้องเป็นพวกที่เคยดูดปาก-จูบตูดทักษิณ แต่เอาใจออกห่างมาระยะหนึ่ง หรือบางคนได้แปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง

ส่วนการตั้งนักการเมืองจากพรรคต่างๆ เข้ามาเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ พร้อมกับสื่อสารมวลชนจำนวนหนึ่งด้วยนั้น คนในบ้านเมืองเขาวิจารณ์กันว่า เพื่อกันไม่ให้พรรคการเมืองหรือสื่อทั้งหลาย อ้าปากด่าคณะรัฐประหารได้ถนัด เลยเอาตำแหน่งสมาชิกสภาฯ เป็นตะปูเกลียวขันขากรรไกรทั้งสองข้างเอาไว้จนแน่น จะได้แหกปากวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ อะไรทำนองนั้น แต่โดยส่วนตัวผมกลับเห็นว่า

อย่างน้อยสภานิติบัญญัติชุดนี้ น่าจะดีกว่าสมาชิกสภาสูง แต่ใจต่ำ ของประเทศสาระขันขัน (รับรองว่าไม่ใช่ประเทศไทย ใครอย่าดันออกมารับนะ!) นั่นน่ะ...ดูไม่ได้เอาเลย!!

สภาเฮงซวยที่ผมว่านั้น ตั้งแต่เปิดมาจนวันปิด ผู้คนก็ต้องสาปแช่งเพราะมีแต่เรื่องไม่เป็นมงคล เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไปซื้อบริการทางเพศขยี้บี้กามเด็ก จนศาลสั่งติดคุกไปแล้ว บ้างก็ไล่ต่อยกันในสภาซึ่งเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้านายท่าน ก็มีให้เห็นกัน บางคนก็ถูกตำรวจจับ เพราะไปจ้างฆ่าเพื่อนสมาชิกรัฐสภาที่เป็นผู้หญิง แค่ผลประโยชน์ขัดกันเท่านั้น ส่วนบางคนก็ถูกเขาฟ้องว่าไปโกงชาวบ้านเขาก็มี จนสื่อมวลชนและผู้คนเขาต้องใช้คำว่าเป็น “สภาสวะ” บ้าง “สภาระยำ” บ้าง น่ารังเกียจนัก!

ถ้าให้ผมเรียกขานสภาทุเรศๆแบบนี้ ก็จะไม่รีรอ ที่จะเลือกใช้คำเรียกขานอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็น “สภาอัปรีย์” เลยทีเดียว เพราะดีแต่ตั้งหน้าตั้งตาเป็นตัวป่วนเมือง และทำเสียชื่อประเทศสาระขันขันเขาหมด

สมาชิกสภานิติบัญญัติชุด คชค.อุปถัมภ์นี้ ที่ใครๆเขากล่าวหาว่าเป็น สภาตรายางบ้าง สภาฝักถั่ว บ้าง แต่ผมว่า

ต่อให้เรียกว่าเป็น ‘สภาถั่วดำ’ ผมก็ไม่เห็นว่าท่านผู้ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งทั้งหลาย จะต้องไปเดือดร้อนกับเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น ทำไมกัน?

หากท่านใช้ความรู้ความสามารถเต็มกำลังเต็มพิกัด พิจารณากฎหมายที่เข้ามาสู่สภาด้วยความรวดเร็ว แต่ถี่ถ้วนและรอบคอบ โดยยึดประโยชน์กับชาวบ้านเป็นที่ตั้งอย่างแท้จริง น่าจะทำให้เสียงดูแคลนเหล่านั้น ถดถอยน้อยลงได้ไม่ยากเลย

หวังว่าท่านที่ได้รับโอกาสเข้าไปในสภาชั่วคราวนี้ ไม่ทำเรื่องเสื่อมเสีย จนถึงขั้นผมต้องถกผ้าขาวม้า ร้องตะโกนด่าทอเข้าให้ เหมือนด่าไอ้สภาอัปรีย์นั่นหรอก...นะครับ!

มาจนถึงวันนี้แล้ว ผมมั่นใจใน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีเอามากๆ จนเชื่อว่าไม่มีใครไปร้องลิเกนินทาท่าน หรือ คปค.ชุดนี้ เหมือนอย่างพวกคณะรัฐประหารปี ๒๔๗๖ ที่โดนกระทั่งตลกยี่เกบ้านนอก ร้องเสียดสีเล่นให้เห็นขัน
แต่สิ่งที่ผมกริ่งเกรงเหลือเกิน...นั่นก็คือ

หลังจากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น บ้านเมืองมีการเลือกตั้ง จนได้รัฐบาลใหม่ที่มาจากพรรคการเมืองที่ลงแข่งขันกันแล้ว จะมีพระเอกหรือโต้โผบางวิก อย่างคุณ บุญเท่ง น้อยโหน่ง ในหนังเรื่อง “โหน่งเท่ง-นักเลงภูเขาทอง” และชาวคณะเขาจะมาร้องกลอนลิเกค่อนขอดเอา ว่า

ปฏิวัติเป็นต้นเหตุ                       นักการเมืองผีเปรตเป็นต้นเรื่อง
ขับตาแม้วไปกินแหนมห่อ            แล้วเอา “สะตอ”มานั่งเมืองงงงงงงงงง!


แหม...แค่คิดเท่านั้น ‘ขนแขน-สแตนด์อัพ’ พรึ่บพรั่บ แล้วนะเนี่ยะ!!
                                                       .......................

ท้ายบท เรื่องบทร้องลิเก “หมานั่งเมือง” นี้ มีหลายเวอร์ชั่น เช่น บางคนไม่ร้อง “ขับเจ้าเข้าป่า” แต่ไปร้องว่า “ไล่เจ้าเข้าป่า” โดยใช้คำว่า “ไล่” แทนคำว่า “ขับ” แต่ความหมายเดียวกัน หรือไม่ร้องว่า “เจ้าคุณพหลเป็นต้นเหตุ...” แต่กลับร้องว่า
“พระยาพหลเป็นต้นเหตุ            พระองค์บวรเดชเป็นต้นเรื่อง...
เขาไปใช้คำว่า “พระยา” แทน “เจ้าคุณ” บางคนก็ร้องเปลี่ยนจาก “พระองค์บวรเดช” เป็น “เจ้าคุณทรงสุรเดช” หรือ “พระยาทรงสุรเดช” เลยกลายเป็น
“พระยาพหลเป็นต้นเหตุ            พระยาทรงสุรเดชเป็นต้นเรื่อง...”
ผมร้องเวอร์ชั่น “เจ้าคุณพหลเป็นต้นเหตุ พระองค์บวรเดชเป็นต้นเรื่อง ขับเจ้าเข้าป่า แล้วเอาหมามานั่งเมือง”” มานานแล้ว เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่คุ้น

ขอใช้ของเก่าที่เคยชิน ดีกว่าครับ!
กำลังโหลดความคิดเห็น