xs
xsm
sm
md
lg

30 วันผ่านไป ... แล้วทำรัฐประหารไปทำไม?

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

ช่วงสายของวันนี้ ผมยืนอยู่ที่หน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกรอคุณสนธิ ลิ้มทองกุลและบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ที่กำลังรอการประกันตัวจากกรณีอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ...

เมื่อเหลือบสายตาไปดูวัน-เวลา บนหน้าปัดนาฬิกาก็พบว่าเหตุการณ์รัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยคณะปฏิรูปการปกครองเพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ล่วงเลยมาแล้ว 30 วันเข้าไปแล้ว

เกือบปีที่ผ่านมาการเดินทางเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่กองปราบ เดินขึ้นบันไดไม้ที่โรงพักต่างจังหวัด เดินขึ้นบันไดหินอ่อนที่ศาล การปฏิเสธข้อกล่าวหา การพิมพ์ลายนิ้วมือกลายเป็นสิ่งที่คุณสนธิ คนรอบๆ ตัวของคุณสนธิ และพันธมิตรนั้นคุ้นชินไปเสียแล้ว ทั้งยังอาจหลงลืมไปด้วยแล้วว่าตั้งแต่ลุกขึ้นต่อสู้กับคนที่ชื่อทักษิณ และระบอบเลวทรามที่เขาสร้างขึ้น พรรคพวกของเราต้องตกเป็นผู้ต้องหา ต้องเข้ามอบตัว ต้องพิมพ์ลายนิ้วมือมากี่ครั้งแล้ว

พวกเราไม่เคยติดใจอะไรกับกระบวนการยุติธรรม หากกระบวนการดังกล่าวดำเนินไปอย่างเที่ยงธรรม และเสมอภาค เพราะเราเชื่อว่าคำพูด การกระทำและสิ่งที่เราต่อสู้มาตลอดจะเป็นเครื่องชี้ 'เจตนา' เป็นเครื่องยืนยัน 'จุดยืน' ของเราที่เราปฏิบัติให้สาธารณชนเห็นมาตลอด

วัน-เวลา ที่ระบุบนหน้าปัดนาฬิกาได้ก็กระตุ้นเตือนผมอีกครั้งว่า เหตุการณ์รัฐประหารนั้นเกิดขึ้นมาเดือนหนึ่งแล้ว ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์รัฐประหารก็ยังคงซ้ำเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราฝ่ายพันธมิตรประชาธิปไตยเพื่อประชาธิปไตย (ซึ่งกลายเป็นอดีตไปแล้ว) นั้นก็คือ การเดินขึ้นบันไดโรงพัก-ศาล ขณะที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับฝ่ายทักษิณก็คือ พวกเขาก็ยังสามารถนั่งกระดิกเท้า นั่งพักผ่อนอยู่ในต่างประเทศ อยู่ที่บ้านอย่างสบายเฉิบ โดยไม่มีหมายเรียกมาให้ปากคำ หมายศาล หรือข่าวคราวการดำเนินคดีอะไรเล็ดรอดมาให้ประชาชนรับรู้ทั้งสิ้น

นี่เองที่ทำไม คุณสนธิจึงออกมาเตือนว่าการทำรัฐประหารครั้งนี้จะล้มเหลว!

ความล้มเหลวที่ว่าก็คือ รัฐประหารผ่านมาแล้ว 30 วัน แต่ทางคณะปฏิรูปฯ ก็ยังมะงุมมะงาหรา โดยไม่ได้มีความพยายามที่จะอธิบายเหตุผลของการทำรัฐประหาร เดินหน้าแจกแจงความผิด เผยแพร่ความรู้ เปิดเผยข้อมูลความชั่วร้ายของระบอบทักษิณให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับรู้เลย

ถ้าหากไม่มองการทำงานตรวจสอบการทุจริตของ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่คงต้องใช้เวลาอีกเป็นปีๆ กว่าเรื่องราวจะจบสิ้น สามารถยึดทรัพย์ จับตัวผู้กระทำผิด ลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องได้ พวกเราก็เห็นว่าระยะเวลา 30 วันที่ผ่านมาการเมืองไทย สังคมไทย ก็ไม่ได้เคลื่อนหนีวงจรอุบาทว์เดิมๆ แต่อย่างใด

ประการที่หนึ่ง ผู้ยิ่งใหญ่ของ คปค. ก็ยังคงแต่งตั้งพรรคพวกของตนเองขึ้นมากุมอำนาจ รับตำแหน่ง รับบำเหน็จไปตามๆ กัน จนหลายคนถามว่า แล้วมันต่างอะไรกับยุคทักษิณ?

ประการที่สอง ฝ่ายบริหารแม้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จะขึ้นชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษที่ซื่อสัตย์และไว้ใจได้ แต่เมื่อพิจารณาจากรายชื่อของคณะรัฐมนตรี ก็มีประชาชนหลายคนส่งเสียงมาว่า รัฐมนตรีแก่ไม่ว่า แต่มีรายชื่อสมุนในระบอบทักษิณแฝงมาด้วยนี่สิ รับไม่ได้จริงๆ!

ประการที่สาม มองในแง่สื่อสารมวลชน ฟรีทีวีทั้งหลายก็ยังคงถนัดกับการทำตัวเป็น 'กิ้งก่าเปลี่ยนสี' จากรายงานข่าวที่เชิดชูทักษิณ ก็หันมาเชิดชูกลุ่มอำนาจใหม่แทน เท่าที่ดูจะมีก็แต่ 'ไอทีวี ทีวีชินคอร์ป' เท่านั้นแหละที่ยังยึดมั่นอยู่กับระบอบทักษิณ โดยพยายามรายงานข่าวเกี่ยวกับทักษิณและพรรคพวกอย่างเข้าข้าง ทั้งยังกระแนะกระแหนคณะปฏิรูปฯ อย่างเห็นได้ชัด ... น่าแปลกใจที่เห็นกันชัดๆ อย่างนี้แล้ว ผู้นำของคณะปฏิรูปฯ ก็ยังสามารถนิ่งเฉยอยู่ได้?

ประการที่สี่ ในส่วนของสถาบันทางการเมือง ทางสถาบันนิติบัญญัติ ก็ยังคงมีความพยายามดันเนติบริกรที่เคยรับใช้ เผด็จการ-ระบอบทักษิณขึ้นมาเป็นผู้นำ ขณะที่ในส่วนของพรรคการเมืองก็ยังมีข่าวแว่วมาว่า มีความพยายามจะตั้งพรรคการเมืองสายทหารขึ้นมาสนองพระเดชพระคุณของ คปค. (ที่กลายมาเป็นคมช.) คล้ายๆ กับการตั้งพรรคสามัคคีธรรม เมื่อสมัย รสช.

ประการที่ห้า ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ สถาบันตำรวจ!
เกือบเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน แต่งตั้งเพื่อนร่วมรุ่น ตท.6 นาม พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะขึ้นมากุมอำนาจสูงสุดในสถาบันตำรวจ พล.ต.อ.โกวิท แทบจะไม่ได้ทำอะไรเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองพร้อมแก้ตัว นอกเหนือไปจากย้ายตำรวจบางคนเข้ากรุ ขณะที่ตำรวจบางคนนอกจากจะไม่ถูกลงโทษแล้วยังได้รับการปูนบำเหน็จเพิ่มอีก ... ที่เห็นชัดที่สุด อย่างไม่ต้องอธิบายความมากก็คือ กรณีพล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ที่ขึ้นจากตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นรองผบ.ตร. แถมได้เลื่อนยศจาก พล.ต.ท. เป็น พล.ต.อ. เสียอีก!

หะแรกพวกเราก็พยายามมองโลกในแง่ดีว่า จะเลื่อนใคร จะแต่งตั้งใครก็ไม่เป็นไร ขอให้สะสางเรื่องราว คดีต่างๆ ที่ไม่ยุติธรรม ไม่เสมอภาค ให้ยุติธรรม ให้เสมอภาคก็แล้วกัน แต่ถึงตอนนี้คดีของทักษิณและสมุนที่ถูกดองอยู่ในลิ้นชัก ก็ยังคงค้างเติ่งอยู่ในนั้นเช่นเดิม

... ไม่มีการตั้งข้อหา ไม่มีการเรียกตัวมาสอบสวน ไม่มีการสั่งพักราชการ ไม่มีการส่งคดีต่อไปยังอัยการ ไม่มีการแถลงข่าวอย่างแข็งขัน ไม่มีการรายงานข่าวให้ประชาชนได้รับทราบว่าคดีที่ทักษิณและพรรคพวกเป็นผู้ต้องหาซึ่งถูกดองอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง?!?

มิหนำซ้ำ วันนี้ยังมีการเปิดเผยจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยว่า พล.ต.อ.โกวิทได้อนุมัติให้ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ที่ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองสลากกินแบ่งรัฐบาล กลับเข้ามารับราชการตำรวจยศพลตำรวจตรี ในตำแหน่งรองผู้บัญชาการได้อีก

... ขอย้ำให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเป็น พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เพื่อนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกส่งไปปู้ยี่ปู้ยำเงินในสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และนำเงินหวยบนดินมาปรนเปรอระบอบทักษิณเฉกเช่นเป็นเงินในกระเป๋าของ พ.ต.ท.ทักษิณเอง!

วานนี้ (18 ต.ค.) เหตุการณ์การเดินทางกลับถึงเมืองไทยอย่างสะดวกโยธินของพจมาน ชินวัตร ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของภรรยาอดีตนายกฯ ผู้ถูกระบุจากทาง คปค. ว่า
1.เป็นผู้ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยอย่างรุนแรง
2.เป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบ และเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องอย่างกว้างขวาง
3.เป็นผู้มีพฤติกรรมแทรกแซงอำนาจขององค์กรอิสระ จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ หรือแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติให้ลุล่วงไปได้
และ 4.การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองบางโอกาสของเขา ยังหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นต่อพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชนชาวไทย ...

คุรุทางการเมืองไทยหลายคนวิเคราะห์ตรงกันว่า การเหยียบประเทศไทยของ 'พจมาน' เป็นเพียงแค่การลองเชิงเท่านั้น เป็นการทดสอบปฏิกิริยาของคณะทหารที่ทำการยึดอำนาจจากสามีของเธอว่าพวกเขาจะดำเนินการยังไงกับตัวเธอ ก่อนที่เดินหน้าจะเล่นเกม 'Thaksin returns' ในโอกาสต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น