xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 255 เรื่องบ๊องๆ บอมบ์ๆ ยังไม่จบนะ! (“ยูว่าคาร์บ๊อง...แต่ไอว่าคาร์บอมบ์”)

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมด้วยอารมณ์แจ่มใส แต่อารมณ์เปลี่ยนไปเพราะกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวี ไปเจอเอารายการของช่องสนามเป้า ที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ให้เปลี่ยนชื่อเป็นรายการ “มองรอบดาก” ที่ยังคงเอานายเบ๊นซ์แวน สาวกทักษิณมาดำเนินรายการแบบดากๆ พูดธรรมะผิดๆถูกๆ แถมด้วยการตั้งตนเป็นอาจารย์ให้หวยชาวบ้านอีกแล้ว ทนไม่ไหวเลยต้องรีบเปลี่ยนช่องไม่ทัน เพราะการได้ดูได้เห็นหรือได้ยินได้ฟังเรื่องดากๆตั้งแต่ตอนเข้า ย่อมไม่เป็นมงคลแก่ทวารหูของผมเป็นอย่างมาก พลอยทำให้บรรยากาศตอนเช้าที่กำลังชุ่มฉ่ำด้วยสายฝน กลายเป็นร้อนฉ่าไปได้

วิกสนามเป้า สาขาไทยรักถั่วดำไทยนั้น ทางผู้บริหารแกก็ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย แม้จะอยู่ในช่วงของ คปค. แต่ยังคงเอาพรรคพวกทักษิณ ที่ด่าและเหยียดหยามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาโดยตลอด ออกมาเสนอหน้าทางช่องนี้อย่างสม่ำเสมอ

ต้องขอชมเชยผู้บริหาร ที่คงความ ‘ดักดาน’ ได้คงเส้นคงวาแบบสุดดากจริงๆ ผมก็จะใช้สิทธิ์พูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์รายการของช่องนี้ ให้แสบสันสม่ำเสมอเหมือนกัน และจะไม่พูดถึงเฉพาะรายการดากๆอย่างนี้รายการเดียว แต่จะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอื้อฉาวอื่นๆของช่องนี้ รวมถึงรายการอื่นๆด้วย
แท๊กซี่ชนรถถัง
ก่อนทหารของคณะปฏิรูปฯถอนกำลังได้ ๑ วัน คือ ๒๙ ก.ย.๒๕๔๙ ได้มีได้มีข่าวที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุด ตั้งแต่มีการปฏิวัติรัฐประหารกันมาในบ้านเมืองของเรา ไทยรัฐเขาพาดหัวได้ถึงพริกถึงขิงว่า

‘แท็กซี่’ บ้าดีเดือด ชนรถถัง ประท้วง ‘คณะปฏิรูปฯ’
ผมขออนุญาตย่อยข่าวให้ท่านผู้อ่านฟังอีกครั้ง ดังนี้
ในวันเกิดเหตุนายนวมทอง ไพรวัลย์ อายุ ๖๐ ปี บ้านแกอยู่เมืองนนทบุรีขับรถแท็กซี่ ซึ่งไม่ใช่ของตัวเอง แต่เช่ารถเป็นของบริษัทสหกรณ์แหลมทองแท็กซี่ จำกัด มาขับหากิน และไม่ได้บรรทุกระเบิดเหมือนรถที่ฝั่งธนบุรี ที่สื่อมวลชนบางส่วนไม่เรียกว่าเป็น “คาร์บอมบ์” แต่เรียกว่า “คาร์บ๊อง”

โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย นายนวมทองฯขับรถที่ใช้ทำมาหากิน พุ่งชนแผงเหล็กที่กั้นล้อมรถถังจำนวน ๔ คัน จนล้มระเนระนาด หน้าหม้อรถแท็กซี่มุดเข้าไปอยู่ระหว่างล้อตีนตะขาบ ใต้ท้องรถถังเบา รุ่นเอ็ม ๔๑ ทะเบียน ตรากงจักร 71116 ที่จอดหันหน้าไปทางสะพานผ่านฟ้า ฝากระโปรงหน้ารถแท็กซี่พังยับเยินยู่ยี่ กระจกร้าว กันชนหน้าพังเสียหาย เป็นการชนแบบถึงเครื่องด้วย เพราะเครื่องยนต์พัง ยางล้อหน้าซ้ายแตก และพวงมาลัยรถหักงอเพราะตำอกโชเฟอร์คนเก่ง

นายนวมทองฯซึ่งไม่ได้สวมนวมที่มือ หรือไม่มีเบาะนวมหุ้มห่อตัว ถึงกับน๊อคคาที่หมดสติฟุบคาพวงมาลัยรถ มีคนนำส่งโรงพยาบาล

คุณหมอปราณี จงบัญญัติเจริญ แพทย์ประจำโรงพยาบาลวชิระเจ้าของไข้ บอกว่า อาการของโชเฟอร์นวมทองทีเด็ดรายนี้ เปิดเผยว่า

จากการเอกซเรย์ตรวจร่างกายนายนวมทอง พบว่าซี่โครงข้างซ้ายและขวาหักด้านละ ๓ ซี่ คางมีบาดแผลแตก รอบตาขวาแตกบวม ในเบื้องต้นที่รับตัวคนไข้ไว้ ไม่พบกลิ่นแอลกอฮอล์ถามตอบรู้เรื่องดีทุกอย่าง คุณหมอได้ให้ยาแล้วให้นอนพักผ่อน เพื่อรอดูอาการต่อไป

ตำรวจโรงพักดุสิต ที่เดินทางไปสอบสวนคุณนวมทอง ไม่ให้รายละเอียดเพียงบอกสั้นๆว่า ไม่สามารถเปิดเผยผลการสอบสวนได้ แต่ระบุว่าผู้ต้องหาให้การรู้เรื่องดี

เรื่องนี้ผมได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกสนาน บอกว่าโชเฟอร์คนนี้สติดีหรือเปล่า? ดันเอารถธรรมดาวิ่งชนรถถัง พอๆกับคนวิ่งชนเสาไฟฟ้าทีเดียว เลยต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันไป เพื่อนผมคนหนึ่งอ่านข่าวบอกผมว่า อย่าไปเถียงกันว่าเรื่อง ‘คาร์บ๊อง-คาร์บอมบ์’ กันต่อไปอีกเลย พูดแล้วเขาก็หัวร่องอหาย ก่อนจะลุกขึ้นประกาศขึงขัง ว่า
“นี่แหละโว้ย ‘คาร์บ๊อง’ ตัวจริง เสือกเถียงกันอยู่ได้!”

ผมเองก็ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป เพราะที่ผ่านมาการที่สื่อมวลชนเล่นข่าวพบระเบิดในรถที่ฝั่งธนบุรี ว่าเป็นเรื่องของคาร์บ๊องมากกว่าคาร์บอมบ์นั้น

ทำให้ผมต้องไปเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่มล่าสุด คือปี พ.ศ.๒๕๔๒ ดูซิว่า คำว่า “บ๊อง” นั้นหมายความว่าอย่างไร ปรากฏว่า

บ๊อง, บ๊องๆ (ปาก) เป็นคำวิเศษณ์ แปลว่า ไม่เต็มเต็ง,บ้าๆบอๆ
คาร์ เป็น-ภาษาปะกิต Car แปลว่า รถ ดังนั้น“คาร์บ๊อง” จึงควรแปลว่า รถบ้าๆบอๆ
ส่วน คาร์บอมบ์ เป็นภาษาปะกิต ถ้าใช้เป็นคำนาม มีความหมายว่า รถที่บรรทุกระเบิดจะเกิดระเบิดขึ้นหรือไม่เกิดระเบิดก็ตาม หรือเป็นคุณศัพท์ แปลว่า รถบรรทุกระเบิด ที่พุ่งเข้าชนเป้าหมาย หรือที่ฝรั่งพูดว่า carbomb attack คือการโจมตีด้วยรถบรรทุกระเบิด ซึ่งคนขับรถที่พุ่งชนเป้าหมาย ต้องยอมตายแบบพลีชีพไปด้วย เพื่อให้บรรลุภารกิจที่จะไปสังหารหรือทำความเสียหายให้กับผู้คนหรือเป้าหมาย

คาร์บอมบ์นั้นมาฮิตเอาตอนที่ นายทหารชั้นยศร้อยโทถูกจับกุมพร้อมด้วยระเบิดในรถที่ย่านฝั่งธนบุรี ใกล้กับเส้นทางของอดีตนายกตกกระป๋อง เดินทางออกมาจากบ้านไปทำงานที่ทำเนียบ เมื่อร้อยโทคนนี้ถูกจับ ตำรวจขยายผลต่อเนื่องไปจนถึงผู้ร่วมกระทำความผิด มีทั้งจ่ายักษ์และนายทหารระดับนายพัน ๒ คน แถมนายพลอีก ๑ นาย ว่ากระทำความผิดร่วมกัน

ตอนที่มีเรื่องใหม่ๆ ผู้คนก็โจมตีว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ ที่คนเขาพูดกันอย่างนั้น เพราะอดีตนายกตกกระป๋องเป็นคนปากไว อวดรู้สารพัด แบบรู้จริงบ้าง รู้แค่ครึ่งๆกลางๆบ้าง หรือบางเรื่องรู้ไม่จริงแต่เดาส่งเดช บางเรื่องแกก็โกหกเอาอย่างหน้าเฉยตาเฉย เช่นเรื่องการดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา ตัวทักษิณเองไม่เคยได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์รามาธิบดี ซึ่งผู้เข้ารับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ จะต้องเข้าพิธีดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา

เลยถูกผู้คนด่าเยาะเย้ยถากถาง เป็นที่สนุกสนานกัน ขายขี้หน้าเขาไปอีก!

ส่วนเรื่องเดาส่งเดชแล้วพูดไปเรื่อยที่เห็นชัดเจน คือกรณีเครื่องบินของการบินไทยระเบิด ขณะจอดเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๔ ก่อนที่อดีตนายกทักษิณจะขึ้นเครื่องบินลำโดยสารลำดังกล่าวไป พอเครื่องบินระเบิดตูม อีตาแม้วดันบอกว่าบอกว่าเป็นการลอบสังหารตัวแก แต่ต่อมาภายหลังเรื่องกลับโอละพ่อ กลายเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ ผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยไม่เชื่อถือในคำพูดทักษิณ บอกว่าแกเป็นคนขี้โม้ เชื่อถือไม่ได้

พอมีเรื่องนายทหารถูกจับ พร้อมระเบิดที่มีอานุภาพทำลายในวงกว้าง มีการออกมาให้ข่าวว่า เป็นเรื่องของความพยายามลอบสังหารอดีตผู้นำ มีการพูดว่าเป็นเรื่องของคาร์บอมบ์ ซึ่งฟังดูน่ากลัวมาก แต่การที่ทักษิณเป็นคนประเภทพูดจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง โกหกดื้อๆคนจับได้ก็มี ซึ่งผิดวิสัยผู้นำ เลยทำให้คนในบ้านเมืองเขาไม่เชื่อถือ วิจารณ์สาดเสียเทเสียว่าเป็น “คาร์บ๊อง”
จัดฉากชัวร์...แหงๆ

อย่าว่าแต่นักการเมืองเลย ขนาดคนที่ให้ฉายาตัวเองว่าเป็นนาย “โก๋ บางเกือก” ยังเสือกออกมาบอกว่า ตำรวจสอบสวนเรื่องนี้เหมือนเป็น “จำอวด” แถมยังเขียนสั่งเขียนสอนตำรวจ ทั้งๆที่ตัวแกเองไม่เคยเป็นตำรวจโรงพัก ทั้งชีวิตก็ไม่เคยสอบสวนคดีฆ่าคนตายมาก่อนเลย เพื่อนของผมที่เป็นนักสืบด้วยกันพูดกับผมว่า พอเกิดเหตุ “อวดรู้” พยายามสำแดงตนว่าทรงภูมิเหนือตำรวจคนอื่น ที่เขาทำงานด้านนี้มาชั่วชีวิต

อยากจะฟ้องท่านผู้อ่านว่า ไอ้พวกดีแต่สร้างภาพตัวเอง ดูหมิ่นเหยียดหยามสถาบันเก่าของตัวเอง แต่ตอนที่ผู้บังคับบัญชาเขาให้ไปสอนหนังสือ กลับไม่ไปทำงานที่ได้รับมอบหมาย ดันไปเขียนด่าโรงเรียนที่ตนมีหน้าที่ต้องไปสอน ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา จนกรมตำรวจเอาเรื่องถึงตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวน ดีแต่ว่าปราณีลงโทษแกแค่ภาคทัณฑ์ไว้ แต่เขาก็ไม่ให้ไปสอนหนังสืออีกเลย

คนพรรค์นี้มีแยะนะครับ อย่างไอ้คนที่ตอนเรียนหนังสือมหาวิทยาลัย อาศัยบ้านเพื่อนอยู่ จนได้แต่งงานกับเมียที่เป็นลูกสาวเจ้าของบ้าน พอแต่งงานอยู่กินกันได้ดิบได้ดีแล้ว วันดีคืนร้ายอายุมากเข้า ลุกขึ้นทิ้งเมียเก่าเมียแก่ ไปอยู่กินกับผู้หญิงอื่นหน้าเฉยตาเฉย แล้วคนห่วยๆแบบนี้แหละครับ มันยังมีหน้าดันมาสั่งสอนคนให้ปฏิบัติธรรม

พวกจัญไรแบบที่ผมเล่าให้ฟัง มีในสังคมไทยมาก แต่คนพวกนี้เก่งในการซ่อนพรางตัวได้ ‘เนียน’ ด้วย คนทั้งหลายที่ไม่รู้ขี้รู้ไส้ ก็เลยยังยกย่องกราบไหว้กันอยู่ ท่านผู้อ่านลองดูรอบๆตัวให้ดี อาจเจอคนอย่างที่ผมว่าก็ได้

เฮ้อ!...ต้องขออภัยแฟนๆที่เคารพ นิสัยผมไม่ค่อยจะดี เพราะเวลาของขึ้น เมื่อหมั่นไส้พฤติกรรมของใคร ยับยั้งอะไรไม่ค่อยจะเป็นกับเขา ทนไม่ไหวก็ต้องด่าสั่งสอนกันบ้าง ไม่อย่างนั้นคนแบบนี้จะคิดว่า ตัวมันเป็นเทวดา นึกจะด่าใครก็ด่าได้ด่าเอา
ด่าสวนหมัดกันตรงๆ แรงๆ แบบท้ารบอย่างนี้ จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างหัวมัน!!
คราวนี้ กลับมาคุยเรื่องของเราต่อดีกว่า

วกที่เชื่อว่าเป็นเรื่องคาร์บอมบ์จริง เมื่อมาเจอกับพวกที่บอกว่าเป็นการสร้างเรื่อง
หรือจัดฉาก ก็เกิดการทุ่มเถียงกันพวกที่เชื่อว่าเป็นการวางระเบิดจริงๆก็โต้กลับว่า
“ยูว่า คาร์บ๊อง...แต่ไอว่า คาร์บอมบ์!”
แล้วก็โดดเข้าตะลุมบอนตีกันอุตลุด ดังปรากฏเป็นข่าวให้เห็นกัน

ที่ต้องเป็นหนังหน้าไฟที่สุดก็ไม่พ้นพวกตำรวจ เพราะเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบในการสอบสวน ผู้คนก็กล่าวหากันว่า ตำรวจที่อยู่ในระบอบทักษิณ ต้องช่วยอีตาแม้วสร้างเรื่องแน่ๆ ทั้งๆที่นายกตกกระป๋องไม่เคยไว้ใจตำรวจ จนกระทั่งแกต้องสร้างหน่วยเลียนแบบเกสตาโปขึ้นมา คือกรมสอบสวนคดีพิเศษ เอาไว้เป็นกองกำลังของตัวเอง เพื่อบีบและกดดันตำรวจ รวมทั้งเอาไว้ไล่กระทืบศัตรู หรือคนที่แกไม่ชอบหน้า เช่นนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เป็นตัวอย่างที่น่าเห็นใจและน่าสงสารมาก

แต่คดีรถบรรทุกระเบิด กลับดันให้ฝ่ายตำรวจทำการสอบสวน !
ที่ว่าทักษิณไม่ไว้ใจตำรวจนั้น ผมมีความเห็นว่า เพราะโปลิสเป็นพวกเดียวที่รู้ไส้ทักษิณดีนั่นเอง พูดอย่างนี้หากใครไม่เชื่อ ก็ลองไปดู ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่กลายเป็นโมฆะไป จะพบเรื่องไม่น่าแปลกใจ ที่ทักษิณแกไม่เอาตำรวจเข้าไปไว้เป็นปาร์ตี้ลิสต์ แม้แต่คนเดียวจริงๆ

ตอนอีตาแม้วมีอำนาจราชศักดิ์ ข้าราชการทุกฝ่ายต่างหัวหดตดแตก เมื่อพันธมิตรเคลื่อนไหวไล่ทักษิณ ไม่มีใครกล้าหือแต่กลับมีข้าราชการตำรวจระดับสูง เพียงนายเดียว ที่ทำหนังสืออย่างเป็นทางการขอให้ทักษิณเว้นวรรค ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไป เพื่อเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง (จะเป็นใครไปท่านลองหาหนังสือพิมพ์เก่าอ่านดู) แต่พอทักษิณต้องอยู่นอกประเทศยังกลับเมืองไทยไม่ได้ กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นคนในระบอบทักษิณ
มันก็ตลกดี!

ากคนที่มีความรู้เรื่องการสอบสวน จะทราบดีว่า กรณีทหารตกเป็นผู้ต้องหา จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อตกลงกระทรวงกลาโหมกับมหาดไทย อย่างเคร่งครัด

ตำรวจไม่มีวันกล้าเบี้ยวในคดีที่ทหารเป็นผู้ต้องหา เพราะนายทหารพระธรรมนูญนั้นไม่ธรรมดา ขี้ไก่ซะที่ไหนกัน ฝ่ายกฎหมายทหารหน่วยนี้ เขามีคนดีๆที่มีความรู้ ความสามารถ เก่งกฎหมาย ทำหน้าที่รักษาความเป็นธรรม ปกป้องคุ้มครองทหารที่ไม่ได้กระทำผิดแต่ถูกกล่าวหา อย่างเต็มกำลังอยู่จำนวนไม่ใช่น้อย

ดังนั้น ถ้าหากตำรวจเกิดทะลึ่งเอาหลักฐานเท็จยัดใส่ หรือสร้างเรื่องขึ้นมากลั่นแกล้งกล่าวหารั้วของชาติคนไหนเข้า ทหารกับตำรวจต้องตีกันแหลกลาญ
เผลอๆป่านนี้ คงยิงกันเข้าไปแล้ว...ก็เป็นได้!

เมื่อเป็นอย่างนี้ ในเรื่องคาร์บอมบ์นั้น ทั้งนายตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวน กับนายทหารพระธรรมนูญกลับทำงานคู่ขนานกันไปอย่างดี ฝ่ายตำรวจก็รวบรวมพยานหลักฐานไปตามหน้าที่ ฝ่ายทหารก็ทำการตรวจสอบ ดูแลไม่ให้มีเรื่องไม่เป็นธรรมกับทหารผู้ถูกกล่าวหา ไม่ได้มีอะไรที่ขัดแย้งกันเลย โดยทั้งสองฝ่ายมีความมุ่งหมายจะทำความจริงเรื่องนี้ ออกมาสู่พี่น้องประชาชน จนเห็นว่าเมื่อได้หลักฐานครบถ้วนกระบวนความแล้ว ก็เสนอ....
กัน “จ่ายักษ์” เป็นพยาน!

ใครที่เคยเห็นว่าคุณจ่าคนนี้ เป็นพวกตัวโตแต่ ‘ติงต๊อง’ ก็แล้วแต่จะคิดกันไป เพราะไม่มีใครห้ามกันได้ แต่คุณพ่อแกบอกว่าไอคิวของจ่าแกตั้ง ๑๘๐!

ถึงแม้ผู้คนจะบอกว่าจ่าแกเป็นพวกปลายอ้อปลายแขมก็จริง แต่ในเรื่องคดีแล้ว ข่าวหนังสือพิมพ์เขาก็ยังบอกว่า

“จ่ายักษ์” ให้รายละเอียดสอดคล้องกับพยานหลักฐาน ที่ฝ่ายพนักงานสอบสวนรวบรวมได้ จึงจำต้องกันเป็นพยาน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ ที่ตำรวจต้องกันผู้ต้องหาบางคนไว้แม้เขาจะเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดก็จริง แต่เป็นเพราะไม่มีพยานบุคคลอื่น มาสนับสนุนวัตถุพยานหรือหลักฐานอื่นอีกชั้นหนึ่ง ก็จำเป็นต้องทำคือกันผู้ต้องหาบางคนที่มีส่วนร่วมกระทำความผิด ที่ไม่ใช่ตัวการสำคัญ เอาไว้เป็นพยาน และเป็นเรื่องที่ทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด แต่ถ้ามีประจักษ์พยานมั่นคงแล้ว ไม่จำเป็นต้องกันผู้ต้องหาคนใดเป็นพยานอีก
ให้ติดตะรางไปด้วยกัน ทั้งแก๊งนั่นแหละ!

ไม่ใช่แต่คดีระเบิดฝั่งธนฯนี้เท่านั้น มีคดีลักษณะเดียวกันที่จำเป็นต้องกันผู้ต้องหาบางคนเอาไว้เป็นพยาน มีให้เห็นมาโดยตลอดในคดีสำคัญ ไม่ว่าคดีลอบสังหาร ส.ส. หรือคดีฆ่าผู้ว่าฯลฯ ต้องเอาผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดมาเป็นพยาน หรือไม่เอาเป็นผู้ต้องหาก็มี ไม่อย่างนั้นจะ ‘มัด’ ตัวการสำคัญไม่ได้

ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ไม่ได้นั่งเทียนเขียนเอาเอง แต่ตัวคนเขียนเองมีประสบการณ์เรื่องแบบนี้มาเป็นอย่างดี และไม่ใช่พวกนักการเมืองระดับหัวหน้าพรรค ที่ดันออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอานุภาพของระเบิด ทำยังกับตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทั้งๆที่เกิดมากะอีแค่ระเบิดมือสักลูก ก็ไม่เคยขว้างหรือปาสักหน ดันออกมาพูดได้อย่างเป็นตุเป็นตะ
น่าขันสิ้นดี!

มีหนังสือพิมพ์บางฉบับและสื่อวิทยุบางคลื่น วิพากษ์วิจารณ์ในทำนองสงสัยว่า ทำไมระดับนายทหารที่ผ่านโรงเรียนเสนาธิการ ถึงวางแผนแย่ๆปล่อยให้ผู้น้อยระดับ ‘จ่า’ ล่วงรู้ถึงรายละเอียดของแผนการได้ดีนัก ไม่รู้จักการ “ปิดลับ” หรืออย่างไรกัน? อีกทั้งยังทิ้งพยานหลักฐานเอาไว้ในที่เกิดเหตุเต็มไปหมด ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย ก็พูดกันในทำนองนี้มาก
ตรงนี้หากจะให้ผมแย้ง หรือตอบ ก็คงไม่มีอะไรยาก

อธิบายสั้นๆได้ว่า ก็เพราะคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ไม่ใช่พวกฆาตกรหรืออาชญากรโดยสันดาน แต่เป็นข้าราชการที่เป็นทหารอาชีพ ที่ไม่มีประสบการณ์ในการก่ออาชญากรรม เมื่อกระทำความผิดสำคัญ จึงได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้มากมาย ให้ตำรวจตามเจอเข้าจนได้ อย่างที่
หนังสือพิมพ์เขาลงว่า พบลายนิ้วเมือของผู้ร่วมกระทำผิดในที่เกิดเหตุ ตลอดจนมีพยานบุคคล ที่ให้การเชื่อมโยง ไปถึงหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุได้อย่างสอดคล้องกัน
ตำรวจจึงมีความมั่นใจมาก ถึงกล้าแถลงว่าเรื่องนี้ต้องมีคน...ติดคุก!

ฉะนั้น ผมอยากให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูว่า คดีนี้จะมีทิศทางต่อไปอย่างไร? ดังต่อไปนี้
จำกันได้หรือเปล่าว่า ในคดีนี้มีผู้ต้องหาที่ชั้นยศสูง เป็นถึงนายพลของกองทัพ แต่ไม่ยอมให้ตำรวจพิมพ์มือ ซึ่งถ้าเป็นผู้ต้องหาธรรมดา ไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้ จนตำรวจกองปราบปรามที่รับผิดชอบคดี ต้องแจ้งความกับพนักงานสอบสวนท้องที่ ให้ดำเนินคดีในข้อหาขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน แต่ในที่สุดพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปฯออกประกาศกำหนดหน้าที่ผู้ต้องหาในคดีอาญา ห้ามบิดพลิ้วในการพิมพ์ลายนิ้วมือ ลายมือ
ตามคำสั่งของอัยการหรือพนักงานสอบสวน หากฝ่าฝืนต้องได้รับโทษจำคุก ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๒๔ เมื่อ ๒๙ ก.ย.๒๕๔๙ เรื่อง การดำเนินการเกี่ยวกับการยุติธรรมทางอาญา
อย่างนี้พอบอกอะไรบ้าง?

ผมไม่อยากออกความเห็น เพราะเป็นตำรวจเก่า พูดไปเดี๋ยวก็หาว่าเข้าข้างพวกตัวเอง แต่อยากจะขออนุญาตตัดตอน ความเห็นของคุณกิเลน ประลองเชิง ในคอลัมน์ชักธงรบของไทยรัฐ เขียนเรื่องคาร์บ๊อง-คาร์บอมบ์ ในชื่อตอน “แม่ทัพหลัง” เมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง และในตอนนั้นกำลังมีการโต้เถียงกันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือด ว่าเรื่องจะเป็น คาร์มันบ๊องหรือคาร์มันบอมบ์กันแน่ ท่านลองอ่านดูซิครับ
“หลายคนเชื่อว่า คาร์บอมบ์ เป็นการสร้างฉากหวังผลการเมือง แต่ผมเชื่อว่า

คาร์บอมบ์เป็นอาชญากรรมทางการเมืองที่น่าสยดสยอง ฝีมือคนโหดร้ายใจดำ ไม่คำนึงถึงชีวิตประชาชนและชาติบ้านเมือง”
นี่ขนาดคนที่เป็นสื่อสารมวลชนของหนังสือพิมพ์ซุปเปอร์ไจแอนท์ อย่าง “ไทยรัฐ” และคร่ำหวอดในวงการข่าวสารบ้านเมืองมานานปี ยังมีความเห็นอย่างนี้
ท่านผู้อ่านล่ะครับ พอมองเห็นอะไร ในคดีนี้กันบ้างหรือยัง!

หมดเรื่องระเบิดแล้ว คราวนี้ย้อนกลับไปดูเรื่องของคุณนวมทอง โชเฟอร์ที่ขับรถพุ่งชนรถถังแบบไม่กลัวตาย พิสูจน์ออกมาแล้วว่า ตัวแกทั้งไม่บ้า ไม่เมา รวมและไม่บ๊องด้วย แต่ทำลงไปแกบอกว่า เพราะยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยจริงๆ ทนไม่ได้ที่เห็นทหารลุกขึ้นมายึดอำนาจที่เป็นของประชาชนไป ข่าวเขาบอกว่าแกพูดอย่างนั้นจริงๆ
ฟังแกพูดแล้ว ผมมีความเห็นส่วนตัว ว่า
น่ากลัวกว่าคาร์บอมบ์ของอีตาทักษิณเป็นไหนๆ

ที่ผมว่าน่ากลัวก็เพราะว่า เรื่องของโชเฟอร์แท็กซี่ใจกล้าที่ท้าทายอำนาจ คปค. สำนักข่าวต่างประเทศสนใจมาก เช่น AFP ได้รายงานข่าวนี้ฉับพลันทันทีว่า
“คนขับรถแท็กซี่คนหนึ่งได้ขับรถแท็กซี่พ่นข้อความด้วยสีสเปรย์ว่า “ทำลายประเทศ” และคำว่า “พลีชีพ” พุ่งชนรถถังคันหนึ่งที่จอดประจำการอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นเหตุให้คนขับรถซี่โครงหักและได้รับบาดเจ็บตามใบหน้า ที่คาง และตา ต่อมาคนขับรถแท็กซี่รายนี้เปิดเผยถึงสาเหตุว่า ต้องการประท้วงคณะปฏิรูปการปกครองฯ พร้อมกับยอมรับด้วยว่าเป็นผู้พ่นสีสเปรย์ข้อความข้างรถด้วยตัวเอง”
การกระทำของคุณนวมทอง กลายเป็นสัญลักษณ์ของการ ‘ต่อต้านรัฐประหาร’ ไปแล้ว และโชเฟอร์รายนี้ก็ไม่เกรงกลัวต่อภัยที่จะมาถึงตน หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันพุธที่ผ่านมา พาดหัวรองว่า
Cabby says he'll do it again
แน่ะ...คุณนวมทอง แกกลัวซะเมื่อไหร่กัน!

ผมขอบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า เรื่องนี้น่าเป็นห่วงและน่ากลัวกว่าเรื่องคาร์บอมบ์ของทักษิณมากนัก ทั้งนี้ก็เพราะว่า
แม้คนที่ไม่เห็นด้วยกับ คปค. จะไม่ได้มีความกล้าหาญชาญชัย ถึงกับขับรถพุ่งชนรถถังอย่างไม่คิดถึงอันตรายแก่ตนเอง ตลอดจนผลที่จะติดตามมา เหมือนอย่างคุณนวมทองก็จริง แต่ผู้คนในบ้านในเมืองเรา ที่เขาคิดเหมือนโชเฟอร์ใจเด็ดคนนี้นั้น ยังมีอยู่มากมายในประเทศนี้
คนที่ยังมีความเชื่อว่า ทหาร ‘รังแก’ ทักษิณและรัฐบาลของเขา ยังมีอีกนับไม่ถ้วน!
ไม่ต้องไปถึงจังหวัดในภาคอีสานหรือภาคเหนือ ที่เป็นฐานเสียงของพรรคไทยรักไทยหรอกครับ
ใครไม่เชื่อผม ก็ลองขึ้นแท็กซี่ แล้วคุยกับคนขับดูเอาเอง จะบอกว่าผมพูดจริง!!

ตรงนี้เป็นปัญหาใหญ่ของชาติบ้านเมืองจริงๆ เพราะใครที่นึกว่าทหารยึดอำนาจแล้วผู้คนจะไม่กล้าเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น คิดอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ผิดเอามากๆ แม้แต่เรื่องของคุณนวมทองเอง ผู้คนและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองก็พากันไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจกันถึงโรงพยาบาลไม่ขาดสาย หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่า กระเช้าดอกไม้ที่ไปเยี่ยมโชเฟอร์นวมทองมีเต็มโรงพยาบาลเลยทีเดียว

ถึงตอนนี้เหตุการณ์ต่อต้านทหาร ยังไม่ค่อยมีให้เห็นเป็นรูปธรรมนัก แต่จะมีขึ้นในภายภาคหน้าหรือไม่นั้น ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะคนไทยปัจจุบันไม่ได้กลัวกระบอกปืนของทหาร ตำรวจ เหมือนสมัยก่อนหน้า ๑๔ ตุลาฯอีกต่อไป และก็ได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นประจักษ์กันครั้งแล้วครั้งเล่า บนถนนราชดำเนินสายประชาธิปไตย...และประชาชนก็ชนะทุกครั้ง!

คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลทักษิณ สามารถรวมกำลังเข้าโจมตีฉาบฉวย ต่อกำลังทหาร-ตำรวจอย่างที่เกิดในปักษ์ใต้ ถึงขนาดยกปล้นค่ายทหาร อย่างที่ผมเขียนในคอลัมน์นี้ว่า เป็นการปล้นแบบ “ยกกองพัน” ก็มีให้เห็นกัน และฝ่ายบ้านเมืองก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ด้วยซ้ำ
น่าจะคิดกันให้มากๆ เพราะประมาทไม่ได้เลย!!

อย่างไรก็ตาม ผมแน่ใจว่านายกคนใหม่คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีความเข้าใจปัญหานี้ เรื่องนี้เป็นอย่างดี เคยเขียนถึงท่านใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๗๒ "มืออาชีพ...ต้องอย่างนี้ !” ผมเขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ
เอเชี่ยนฮีโร่
....ก่อนจบคอลัมน์วันนี้ ผมขอแสดงความยินดีและภูมิใจกับ พลเอก สุรยทธ์ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในโอกาสที่ท่านจะได้รับการคัดเลือกจากนิตยสารไทม์อันทรงอิทธิพล ให้เป็น
Asian Hero Of The Year !
ซึ่งเป็นเกียรติกับคนไทยทั้งชาติด้วย !!

อยากจะเล่าเรื่องของผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้มากกว่านี้ แต่มีผู้คนเขียนถึงท่าน มากมายแล้วในระยะนี้ จึงขอสรุปไว้เพียงสั้น ๆ ว่า
หากจะพิจารณากันในเรื่องของความเป็นนายทหารอาชีพ และเป็น “มืออาชีพ” ตามคำจำกัดความที่ผมเคยนำเสนอท่านผู้อ่านไว้ ท่านผู้นี้แหละครับ
ของจริง....ไม่ใช่ของเก๊ !...


ใช่ครับ ขอยืนยันว่าพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น “ของจริง ไม่ใช่ของเก๊”
ที่มั่นใจขนาดนั้น ก็เพราะผมเห็นและศึกษาท่านมานาน ด้วยความเคารพรักและนับถืออย่างยิ่ง ตัวเองก็เป็นรุ่นน้องใกล้กับท่าน นอกจากนั้นนายกฯใหม่ท่านนี้ ยังเป็นอาจารย์สอนวิชาทหารราบและวิชายุทธวิธี ให้กับผมในโรงเรียนเสนาธิการทหารบกอีกด้วย

ตอนนี้ได้แต่อธิษฐาน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง ดลบันดาลให้ท่านนายกคนใหม่ ถอดสลักระเบิดแห่งความแตกแยกของผู้คนในบ้านเมืองที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ก่อเอาไว้ ได้สำเร็จ!
ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรี นำประชาชนคนในชาติของเรา กลับมาสู่การปรองดองสมานฉันท์กันได้ ให้ทันภายในยุคสมัย ที่ท่านเป็นผู้นำประเทศ
ชาติบ้านเมืองของเราจะได้มีแต่ความสุข สงบ และสันติ สามารถเดินก้าวหน้าไปสู่ความเจริญอย่างมั่นคง ด้วยดีเถิด!!


...เจ้าประคู้น!!!
                                                            .............................
กำลังโหลดความคิดเห็น