xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 254 “จะเอา ‘นักการเมืองขี้ฉ้อ’ เข้าคุก...ต้องทำอย่างนี้!?”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว นั่งคุยกับเพื่อนสนิทถึงเรื่องการรัฐประหารในบ้านเรา ซึ่งตอนนี้ความตื่นเต้นก็ค่อยๆซาลงไปมากแล้ว ผู้คนจำนวนมากก็แสดงความยินดีที่ทักษิณหมดสิ้นอำนาจ และพ้นไปจากการบริหารประเทศเสียได้

เหตุการณ์รัฐประหาร ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกในบ้านเมืองของเราอีกแล้ว เป็นความผิดของรัฐบาลทักษิณโดยแท้ ที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากในบ้านเมือง คิดว่ารัฐบาลชองเขาเป็น “รัฐบาลกินบ้าน-ผลาญเมือง” ที่ผมเรียกขานว่า “รัฐบาลทำมาหาแดก” นั่นเอง

สำหรับพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน นั้น ผู้นำในการยึดอำนาจ ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว เพราะเข้าเรียนเตรียมทหารรุ่นหลังผม ไมเห็นกันในโรงเรียน แต่เมื่อท่านนี้ได้รับตำแหน่งสูงสุดของกองทัพบก ผมได้พูดถึงท่านเอาไว้ในกาแฟขม..ขนมหวาน ตอนที่ ๒๐๒ “กตัญญู กล้าหาญ แล้วต้องกล้าตายด้วยหรือ!? ” (ด้วยความห่วงใยเยาวชน ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้) ซึ่งวางแผงออนไลน์ เมื่อ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๘ หลังจากที่ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ได้รับตำแหน่งผบ.ทบ. โดยได้เขียนเอาไว้ ว่า

...ประเทศไทยของเรานั้น ไม่ได้กีดกันความแตกต่างกันทางเชื้อชาติ ศาสนาของประชาชนคนในชาติ

มุสลิมะอย่าง พระยาราชวังสัน (หวัง) เคยตำแหน่งเป็นแม่ทัพเรือของชาติ ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และมีแม่ทัพเรือที่เป็นมุสลิมต่อไปอีกหลายรัชกาล

มาถึง พ.ศ.นี้ นายทหารซึ่งเป็นมุสลิมะอีกท่านหนึ่ง ก็มีโอกาสก้าวขึ้นสูงสุดในตำแหน่งกองทัพบก อย่างไม่เคยปรากฏมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า

บ้านเมืองไทยของเรานั้น พระมหากษัตริย์ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง นอกจากจะทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ศาสนาสำคัญทั้งห้าในประเทศแล้ว ยังทรงมี พระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายทหารกองทัพไทย โดยเฉพาะตำแหน่ง ‘ผู้บัญชาการทหารบก’ ในปีนี้ เป็นไปตามหลักทศพิธราชธรรมโดยแท้ ไม่ว่านายทหารผู้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญยิ่งนั้น จะเป็นศาสนิกของศาสนาใด

ความนี้ได้เป็นที่ประจักษ์ พระมหาบารมีและพระเกียรติคุณขององค์พระประมุขชาติไทยเรา แพร่ไปอย่างกว้างไกลไพศาล ในบรรดาหมู่ผู้นำและกองทัพต่างๆในภูมิภาคต่างๆของโลก !

(ท่านผู้อ่านที่อยากรู้เรื่อง ‘พระยาราชวังสัน’ เพิ่มเติม กรุณาคลิกไปดูกาแฟขม...ขนมหวาน ตอน ๑๘๑“สุภาพบุรุษประเทศไทย...ใครที่ไหนกัน !?”)

พล.อ.สนธิฯจะต้องเข้ามาทำงานที่สำคัญที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตชาติ ด้วยการทำรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ซึ่งผมบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ตัวเองไม่เคยเห็นด้วยกับการโค่นล้มรัฐบาลในแนวทางนี้เลย เพราะยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และไม่มีวันที่จะสนับสนุนในการยึดอำนาจด้วยกำลังทหาร นอกจากนั้นยังเชื่อมั่นว่า

อำนาจของศาลสถิตยุติธรรม จะนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองของเราได้!

จุดยืนของผมแสดงเอาไว้อย่างแจ้ง ดังที่ได้เขียนเอาไว้ในกาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๔๖ “คุกตะรางไม่ได้มีไว้ขังหมา!” (ฤาทักษิณจะทับ รอย กกต.) หลังจากที่ศาลจำคุก ๓ อดีต ป.ป.ช.และลงโทษพวกละเมิดอำนาจศาล ดังนี้

...ท่านผู้อ่านคงสังเกตเห็นว่า ปฏิกิริยาชาวบ้านและสื่อมวลชนทุกสาขา ได้ออกมาสุดดีแซ่ซ้องขานรับคำพิพากษาของศาล แสดงความเห็นด้วยอย่างชัดเจน โดยพร้อมเพรียงกัน!

ฉะนั้น ที่ผมบอกว่า ศาลท่านจะแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ได้ดีกว่าการปฏิวัติหรือรัฐประหาร จริงหรือไม่อย่างไรนั้น ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นกันแล้ว และต้องขอบอกเอาไว้ตรงนี้ว่า


การปฏิวัติหรือรัฐประหาร มีแต่จะผลักประเทศให้ถอยหลังไป และแทบไม่มีอะไรที่เป็นผลดีต่อประเทศชาติเลยจริงๆ!!....


แม้จะวางตำแหน่งตนเองไว้อย่างนั้น และไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่การใช้กำลังเข้าล้มล้างรัฐบาลทักษิณ โดยปราศจากการต่อต้านอย่างไม่เสียเลือดเนื้อของคณะทหาร น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกว่าเป็นการกระทำทำร้ายจิตใจตัวเองแม้แต่น้อย หรืออาจเป็นเพราะเขียนเร่งเร้าแช่งชักให้ทักษิณพ้นไปจากตำแน่งเสียที อย่างที่ท่านผู้อ่านได้เห็นมาตลอด

ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์ยึดอำนาจเกิดขึ้นแล้ว ก็ได้แต่ขอร้องให้คณะผู้ก่อการ โปรดทำให้ประชาชนและชาติบ้านเมือง

ได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด...จากการที่ทำรัฐประหารครั้งนี้ด้วย!

หากท่านหักเหออกจากแนวทาง ที่ได้ให้คำมั่นไว้กับประชาชน การก่อหวอดของผู้คนที่จะต่อต้านคณะของท่าน ก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย เพราะนอกจากฝ่ายตรงข้ามของท่านยังมีความมั่งคั่ง มากด้วยทรัพย์ และพรรคการเมืองของผู้นำเก่าก็ยังดำรงคงอยู่ ตลอดจนผู้คนที่ยังนิยมชมชอบก็ยังมีอีกไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในชนบท อีกทั้งประชาชนจำนวนมากยังมีบทเรียนที่ขมขื่นจากการทำรัฐประหารของรสช. ยังฝังใจว่า ว่า

คณะรสช.นั้นมีพฤติกรรมที่ประชาชนรับไม่ได้ และได้คร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก ทิ้ง ‘รอยด่างดวงโต’ ในบันทึกประวัติศาสตร์ชาติเรา และยังคาใจของผู้คนอยู่ ไม่ได้จางหายไป คนเหล่านี้ก็ไม่ยั่นที่จะเข้าร่วมขบวนการต่อต้าน หากมีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น!

จึงได้แต่ขอเอาใจช่วย ให้ท่านแก้โจทย์ที่ผู้นำเก่าผูกเอาไว้ ได้อย่างจะแจ้งแทงตลอด มีผลงานเข้าตาประชาชน จนกลับมายืนข้างคณะทหารต่อไป!!

ย่างไรก็ตาม เมื่อได้ชมโทรทัศน์การพบปะกับสื่อมวลชน ของพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน หัวหน้าโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หลังจากการเข้ายึดอำนาจ ให้นึกชมในท่าทีที่สุภาพอ่อนโยนของพล.อ.สนธิฯ ได้เห็นลักษณะนอนน้อมถ่อมตน มีกริยาความเป็นผู้ดีอยู่เต็มตัว

ผบ.ทบ.ได้ตอบคำถามในทุกเรื่องที่สื่อมวลชนถาม โดยไม่มีการหลีกเลี่ยงหรือติดขัด ทั้งๆที่บางคำถามของสื่อมวลชน เป็นการถามแบบรุกเข้าใส่ แต่ลักษณะการชี้แจงของนายทหารท่านนี้ ด้วยกริยาที่คงไว้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษ นิ่มนวล หากหนักแน่นอยู่ในที และคำตอบของท่านกะทัดรัดและได้ใจความ ครอบคลุมคำถาม และไม่ได้เป็นการตอบอย่างหลีกเลี่ยงด้วย

บุคลิกอย่างท่านนี่แหละครับ ที่ผมเห็นว่า พอที่จะสร้างความสมานฉันท์ และดับความร้อนในอารมณ์ของผู้คน ที่ยังมีความเห็นขัดกันในชาติได้

ส่วนอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้น ท่านพูดออกมาตรงๆโดยยังไม่ยืนยัน แต่ก็เพิ่มเติมด้วยการทำให้กระจ่าง ด้วยการบอกถึงกำหนดระยะที่แน่นอน ในการที่จะผ่องถ่ายอำนาจให้นายกรัฐมนตรีพลเรือน ทำหน้าที่จัดตั้งและเป็นผู้นำรัฐบาลเฉพาะกาลทำหน้าที่สืบแทน โดย คปค.จะถอนตัวออกจากการบริหารประเทศ

ทั้งนี้เป็นทั้งหลักประกันและเพิ่มความมั่นใจ ให้ราษฎรได้วางใจว่า ฝ่ายทหารจะอยู่เพื่อแก้ไขวิกฤติของชาติเพียงระยะสั้นๆ และยังกำหนดกรอบเวลาสำหรับการทำงาน เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนต่อไปด้วย จากนั้นก็ย้ำด้วยธรรมนูญการปกครอง ที่ไม่ให้ตัวเองและพรรคพวกกลับมายุ่งกับการเมืองอีกเป็นเวลาถึง ๒ ปี แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่า

คณะผู้ก่อการฝ่ายทหาร ไม่ได้ฝักใฝ่ในอำนาจเหมือนพวก รสช.


ที่ได้ใจผมมากยิ่งขึ้นไปอีก ก็เมื่อได้อ่านข่าว ผู้จัดการออนไลน์ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๙ ที่ลงความเห็นของคณะปฏิรูปฯ ต่อการยึดทรัพย์นักการเมืองโดยผู้จัดการโปรยหัวข่าวว่า “คปค.ยันไม่เคยคิดยึดทรัพย์"ทักษิณ" ระบุปล่อยให้ ปปช.ดำเนินการ” และลงรายละเอียดดังนี้

... นอกจากนี้ ที่ประชุม(คปค)ยังได้มีการหยิบยกข้อเสนอถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะถูกตรวจสอบเรื่องทรัพย์สินตามที่ปรากฏ เป็นข่าวนั้น คณะปฏิรูปการปกครองฯ ก็แสดงความเป็นห่วง เนื่องจากเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง และสามารถใช้สิทธิ์ความเป็นคนไทยได้ตลอดเวลา ดังนั้นคณะปฏิรูปการปกครองฯ จะไม่อายัดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ต้องปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน และ ตามหลักฐานที่ปรากฏแน่ชัดเท่านั้น รวมถึงรัฐมนตรีท่านอื่นๆ ที่อาจจะถูก ปปช. ตรวจสอบในครั้งนี้ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะปฏิรูปการปกครองฯ ยังได้เสนอความเห็นต่ออีกว่า หาก ปปช. หรือ คณะปฏิรูปการปกครองฯ ทำอะไรที่ผิดขั้นตอนก็อาจจะถูกฟ้องร้องตามมาได้ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง เพราะเราไม่มีเจตนาที่จะไปบีบคั้น หรือ ใช้อำนาจ ที่มีอยู่โดยไม่ชอบธรรม และไม่ให้เกิดแรงเสียดทานใด ๆ จากฝ่ายเราโดยเด็ดขาด ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขบวนการขั้นตอนของกฎหมายทั้งสิ้น หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่า มีความผิดจริงก็จะต้องฟ้องร้องในชั้นศาล ซึ่งอยู่ที่ดุลพินิจการพิจารณาของศาลเป็นหลัก...

ที่ว่าการกระทำของ คปค.ได้ใจผมนั้น ก็เพราะคณะปฏิรูปฯดำเนินการเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างยิ่ง ซึ่งในโลกปัจจุบันนี้ หากคณะทหารเข้าไปยึดเอาทรัพย์สินของเอกชน โดยอาศัยอำนาจจากการทำรัฐประหาร ย่อมจะถูกตำหนิจากชาวโลกยุคโลกานุวัตน์อย่างรุนแรง เป็นผลร้ายกับบ้านเมืองของเรา แต่ถ้าหากเราให้กระบวนการทางกฎหมายที่มีอยู่ ดำเนินไปอย่างครบถ้วน ก็จะสามารถชี้แจงโต้ตอบกับประเทศต่างๆได้ไม่ยากนัก

และผมเชื่อว่า เราทำได้!


ความจริงแล้ว เรื่องจะเอานักการเมืองขี้ฉ้อเข้าคุกยามนี้ ไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็นอะไรนัก เพราะการตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง ก็มีกฎหมายบังคับให้นักการเมืองที่พ้นจากตำแหน่ง ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินของตนอยู่แล้ว ส่วนทรัพย์สินที่เพิ่มหรือลดลง ก็เอาจากผลต่างของบัญชีที่แจ้งเมื่อเข้าดำรงตำแหน่ง มาหักออกจากกัน ก็เท่านั้น

ตรงไหนที่เขาได้มาโดยไม่ชอบ หรือสร้างหลักฐานทางบัญชีอันเป็นเท็จ ก็ถูกจับพิรุธได้โดยไม่ยากอะไรเลย เช่นกรณีนักการเมืองนกกระจอก(เทศ) ครั้งยังสังกัดพรรคดักดาน กระทำการที่แสนจะโง่เง่า ด้วยการแสร้งสร้างหลักฐาน ทำให้ตัวเองเป็นหนี้กว่าสี่สิบล้าน ซึ่งก็อ่านได้แสนง่ายว่า เขาเตรียมการสร้างหลักฐานเท็จเอาไว้ เพื่อความมุ่งหมายอะไร?

คนพรรค์นี้ก็ต้องตกกระป๋องไปแล้ว ยังดันพยายามกระเสือกกระสน กลับมาอีก!


ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้คิดเอาเอง หากตัวผมเองมีประสบการณ์ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน และอาจารย์วิชานี้มาก่อน ตำรับตำราก็เขียนเอาไว้ก็มากพอสมควร แม้แต่คำว่า “ฟอกเงิน” ผมก็คิดขึ้นมาเป็นคนแรก และใช้ในการบรรยายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อยี่สิบปีก่อน ซึ่งกลายเป็นถ้อยคำในกฎหมายไปในที่สุด ท่านผู้อ่านที่ติดตามมาตลอดคงทราบกันดีอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังเคยเป็น อนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน ของ ป.ป.ป. มาก่อนด้วย

จึงสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ตัวเองทราบกลไกในการยึดทรัพย์ค่อนข้างดี ไม่ได้ออกความเห็นแบบ ‘ส่งเดช’ แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ยากในเรื่องการยึดทรัพย์ ก็คือ

๑.การตรวจสอบโครงการต่างๆนั้น เป็นการยากอย่างยิ่ง ที่จะสาวไปถึงนักการเมือง ซึ่งการสอบสวนมักจะไปติดแค่เจ้าหน้าที่บางระดับ ของหน่วยงานเจ้าของเรื่องเท่านั้น ขอให้ดูคดีโกงลำไยเป็นตัวอย่าง ขนาดระดมพนักงานสอบสวนตำรวจไปช่วยกันเยอะ แต่ลงเอยด้วยการจับได้แค่ชาวบ้านจำนวนมาก ข้าราชการบางคน พ่อค้าขี้โกงเท่านั้น

ส่วนนักการเมืองซึ่งเป็นพวกต้นคิด และได้ประโยชน์ไปมากมาย กลับลอยตัวสบายใจเฉิบ ไม่มีข้อกล่าวหาทางคดีอาญาอันใด ไปแผ้วพาลพวกมันได้เลย แต่คดีที่ ส.ต.ง.เข้าทำการตรวจสอบ ไม่ว่าเป็นเรื่อง CTX, สุวรรณภูมิ และโครงการต่างๆของรัฐบาลทำมาหาแดก แต่เนื่องจากยังไม่เห็นหลักฐาน ผมก็พูดไม่ได้

๒.การติดตามทรัพย์ของนักการเมืองคอรัปชั่น ที่ซ่อนเร้นเอาไว้ในชื่อคนอื่นนั้น นักการเมืองขี้ฉ้อเหล่านี้ ก็มีทีมกฎหมายแข็งแกร่งทุกด้าน รวมทั้งด้านภาษีอากรด้วย ซึ่งเราก็ได้เห็นกันแล้ว เมื่อนายสุวรรณ วลัยเสถียร ผู้เชี่ยวชาญภาษีอากร ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยด้วย ออกมาลอยหน้าลอยตา แถลงเรื่องการขายหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ นายกตกกระป๋อง เป็นตัวอย่างก็แล้วกัน (ดู กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๒๖ “ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร นักกฎหมายมืออาชีพ...จริงหรือ!?” )จึงไม่ใช่เรื่องที่จะจับผิดกันง่ายดายอย่างที่คิด ตรงนี้ต้องขอบอกกันไว้ อย่าได้คิดว่าทางการจะฝ่าด่านคนพวกนี้เข้าไปได้โดยง่าย ถ้ายึดทรัพย์ไม่ได้หรือยึดได้แต่เป็นส่วนน้อย ก็ต้องทำใจกันบ้าง

ฉะนั้น ทีมอนุกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะเข้าไปสอบสวนหาความผิดปกติทรัพย์สินของนักการเมือง ต้องมีความรู้ในการสอบสวนเป็นอย่างดี ต้องทราบกลไก และเล่ห์เหลี่ยมของนักการเมืองอัปรีย์พวกนี้ด้วย

พนักงานสอบสวนหรือบุคลากรของ ป.ป.ช.ในบางกรณี นอกจากต้องมีพื้นฐานในการสอบสวนคดีอาญาเป็นอย่างดีแล้ว ควรมีพนักงานสอบสวนที่รู้ภาษาอังกฤษ และเข้าใจในเรื่องการค้าระหว่างประเทศ อ่านและตรวจจนทำความเข้าใจในสัญญา หรือหลักฐานระหว่างประเทศ ที่อาจมีในสำนวนการสอบสวนได้อย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ผมคิดว่า

ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเคยรับผิดชอบการสอบสวนคดีข้าราชการทุจริตมาก่อน ป.ป.ช.มาช้านาน มีพนักงานสอบสวนที่มีความรู้ความสามารถ ในเรื่องเหล่านี้อยู่หลายคน และสามารถสนับสนุนช่วยเหลืองานของ ป.ป.ช.ได้เป็นอย่างดี อย่างที่เคยทำมาโดยตลอด และจะต้องแต่งตั้งพนักงานอัยการ และผู้เชี่ยวชาญเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงินการธนาคาร จากธนาคารชาติ การค้าระหว่างประเทศจากหน่วยงานของรัฐหรือมหาวิทยาลัย รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญเรื่องการนำเข้าและส่งออกฯลฯ เข้ามาร่วมประอนุกรรมการ ป.ป.ช.ด้วย

เรียกได้ว่า เราต้องสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา เพื่อชนและต่อกรกับไอ้พวกขี้ฉ้อ!


อย่างไรก็ตาม หน้าที่ในการไล่ติดตาม เพื่อยึดทรัพย์นักการเมืองขี้ฉ้อของ ป.ป.ช. ผ่อนคลายและเบาบางลงเป็นอย่างมาก เมื่อ คปค.แต่งตั้ง นายสวัสดิ์ โชติพานิช เป็นประธานคณะกรรรมการตรวจสอบทรัพย์สินคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ ๒๓ เพื่อให้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินงาน หรือโครงการซึ่งได้รับอนุมัติหรือเห็นชอบโดยบุคคลใน ครม. ที่พ้นจากตำแหน่ง หลังจาก คปค.ยึดอำนาจ ว่าเป็นไปโดยสุจริตหรือไม่ และให้มีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องของผู้นั้น คู่สมรสและบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะของผู้นั้นไว้ก่อนได้ นั้น
ผมมั่นใจว่า ท่านอดีตประธานศาลฎีกาท่านนี้ จะทำตามหลักกฎหมายอย่างโปร่งใส ไม่ให้คนต่างด้าวท้าวต่างแดน มาดูแคลนกระบวนการยุติธรรมของเราได้เลย!

ข้อเสนอของผมโดยปัจจุบันทันด่วน สำหรับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประชาชน ที่มีความต้องการรับรู้เรื่องการทุจริตของนักการเมือง และต้องการให้มีการนำตัวพวกขี้ฉ้อ มาดำเนินการตามกระบวนยุติธรรมให้รวดเร็วทันใจ คนพวกนี้จะได้เข้าคุกเข้าตะรางกันเสียบ้างนั้น

คณะกรรมการ ป.ป.ช. สามารถหยิบยกเรื่องขึ้นมาดำเนินการได้ทันที ซึ่งล้วนแล้วแต่จะทำให้นักการเมืองที่เกี่ยวข้อง มีโอกาสเดินทางไปติดคุก โดยเรื่องเหล่านี้ยังค้างคาอยู่ในสำนักงาน ป.ป.ช. เฉพาะตามการรับรู้ของผม (ขอเน้นว่า เฉพาะตามการรับรู้ของผม เท่านั้น) ปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน ๓ เรื่องใหญ่ๆ คือ

เรื่องที่ ๑. คดีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งให้ ป.ป.ช.กรณีมีผู้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับคณะรัฐมนตรีของเขา กรณีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ในการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งเรื่องนี้ขอบอกตรงๆอย่างคนที่ติดตามคดีนี้มาโดยตลอด และคุ้นเคยกับการสอบสวนคดีคอรัปชั่น บอกได้เลยว่า

หากการสอบสวนอย่างตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพ จะสามารถนำคดีนี้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้โดยไม่ยากเย็นเลย


เรื่องที่ ๒. เรื่องการทุจริตของกรุงเทพมหานคร ที่ผู้บริหารทั้งเก่าและปัจจุบัน ร่วมกับอดีตรัฐมนตรีแก๊งกินเมือง จากรัฐบาลทำมาหาแดกของทักษิณ ในคดีงาบรถ-งับเรือดับเพลิง ที่กรมสอบสวนพิเศษ ได้ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว และเรียกตัวนาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน กับพวก มาแจ้งข้อกล่าวหาว่า ทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๓ ส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ไปเรียบร้อยแล้ว นั้น

เรื่องนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. สามารถตั้งคณะอนุกรรมการเข้ามาดำเนินการได้ทันที ผมคาดว่าจะเสร็จสิ้นได้ไม่เกิน ๓ เดือนเป็นอย่างช้าที่สุด สามารถส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้เลย จึงอย่าได้รอช้าเชียว จะได้รู้กันไปเสียที ว่า

พรรคการเมืองที่ชูนโยบายว่าว่า ‘ซื่อสัตย์’ นั้น เขากินบ้านแดกเมืองกันอย่างไร!


เรื่องที่ ๓. คดีที่นักการเมืองทุจริตยางพารา เรื่องนี้การสอบสวนเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ในระดับอนุกรรมการ เพียงแต่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ลงความเห็น จึงสามารถหยิบยกมาพิจารณาลงความเห็นได้ทันที และนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก่อน ๒ คดีแรกอย่างแน่นอน

แต่ถ้าหากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุด คปค. แต่งตั้งนี้ เปิดช่องให้มีการสอบสวนใหม่ในคดีโกงยางพารา เพื่อให้คดีนี้ยืดยาวต่อไป รับรองได้ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่นี้ ก็จะต้องถูกผมวิพากษ์วิจารณ์ อย่าไม่ไว้หน้ากัน แบบป่นปี้ถึงพริกถึงขิง เป็นแน่!

ถามว่าทำไม หรือครับ?


ต้องตอบง่ายๆสั้นๆ เพื่อให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายทราบทั่วกัน ว่า


เพราะผมไม่ไว้วางใจเป็นอย่างมาก ที่หนึ่งในคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่นี้ เคยถูกนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช นำหลักฐานออกมาเปิดโปงยืนยันว่า เคยเป็น ‘ยุวสมาชิก’ ของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกถูกกล่าวหา ในคดีโกงยางพารา นั่นเอง!

หรือใครจะเถียงว่าไม่จริงบ้าง บอกมาเร็ว...เร้วๆๆๆๆๆ!!

                                                            ....................

ท้ายบท ผมส่งบทความนี้ไปให้คุณทิพย์วัลย์ฯ ผู้ควบคุมคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” เช้าวันเสาร์ที่ ๓๐ ก.ย.๒๕๔๙ เหมือนที่เคยปฏิบัติมา แต่ตกค่ำวันเดียวกัน คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ออกประกาศฉบับที่ ๓๐ เรื่อง การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ มีข้อความระบุ ให้ยกเลิกประกาศ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๒๓ เรื่องการตรวจสอบทรัพย์สิน ลงวันที่ ๒๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ โดยให้มีคณะกรรมการตรวจสอบคณะหนึ่งประกอบด้วยบุคคล ๑๒ คน รวมทั้งท่านสวัสดิ์ โชติพานิช ประธานเดิมเป็นกรรมการด้วย และให้คณะกรรมการใหม่นี้เลือกประธานกันเอง
จึงต้องเขียนส่วนต่อท้ายบท ดังนี้

หากผมเป็นท่านสวัสดิ์ฯ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกามาแล้ว จะไม่มีวันยอมรับตำแหน่งกรรมการตามประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ ลง ๓๐ ก.ย. เด็ดขาด เพราะถือว่าไม่ได้รับเกียรติ ตามสมควรกับตำแหน่งประธานศาลสูงที่ท่านเคยเป็นมา ซึ่งหากคำสั่งใหม่ให้อยู่ในตำแหน่งประธานฯ ก็ยังพอจะรับกัน (ก่อนส่งต้นฉบับแก้ไขนี้ ได้ข่าวว่าท่านจะตัดสินใจลาออกแล้ว)

อีกประการหนึ่ง กรรมการชุดใหม่ดันปรากฏรายชื่อบุคคลหลายคน โดยเฉพาะพวกที่เป็นนักการเมืองอดีตสมาชิกวุฒิสภา ที่ประกาศตัวชัดเจนว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับทักษิณและรัฐบาลเก่า รวมทั้งกรรมการบางคนที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับพรรคการเมือง และนักการเมืองที่ยืนอยู่คนละขั้วกับทักษิณ

คนเหล่านี้มีโอกาสครองเสียงข้างมากในคณะกรรมการ เอาไว้ได้โดยเด็ดขาดอย่างง่ายดาย

เป็นการไม่เข้าท่าอย่างยิ่งของ คปค. ที่ตั้งคนไม่ถูกกัน มาสอบสวนหาความผิดอีกฝ่ายหนึ่ง ขนาดเป็นสำนวนการสอบสวนวินัยของทางราชการ ยังมีการคัดค้านตัวกรรมการหรือประธานฯที่เคยมีเรื่องกันมาก่อน หรือผูกใจเจ็บกับผู้ถูกกล่าวโทษกันมา เป็นเรื่องเป็นราวมากมายมีให้เห็นกันนักต่อนัก หรือแม้แต่การเป็นคดีความในศาล ผู้พิพากษาก็อาจถูกคู่ความคัดค้านถ้าคู่ความอีกฝ่ายเห็นว่ารู้จักคุ้นเคยกับคู่ความฝ่ายตรงข้าม แต่นี่เป็นคดีการเมืองแท้ๆ จึงน่าจะระมัดระวัง และใช้ความรอบคอบในการพิจารณาแต่งตั้งให้มากกว่านี้ แต่ก็น่าเห็นใจ คปค. เพราะท่านเป็นทหารรู้จักและเข้าใจสันดานนักการเมืองน้อยไป

ดังนั้น จึงไม่มีวันที่จะพูดให้คนที่มีสติสัมปชัญญะดีเขาเชื่อว่า คณะกรรมการชุดนี้ จะรักษาความเป็นกลางเอาไว้ได้!

ผมขอทำนายเอาไว้ล่วงหน้าว่า

คณะกรรมการชุด “สิบสองตะบองมาร” นี้ จะกลายเป็นจุดอ่อน ที่ให้สำนักข่าวต่างประเทศและพรรคพวกของทักษิณ โจมตีได้อย่างง่ายดาย แม้ผมเองจะวิพากษ์วิจารณ์คณะบริหารของทักษิณว่าเป็น “รัฐบาลทำมาหาแดก” มาก่อนก็จริง แต่เรื่องความเป็นธรรมนั้นสำคัญมากกว่า และจะต้องมาก่อนเรื่องจะล้างแค้นส่วนตัวด้วย อีกทั้งบรรดาพวกนักการเมืองที่ คปค.ตั้งมานั้น ก็หาได้มีคุณสมบัติวิเศษอันใด ที่จะทำให้เชื่อว่า

พวกเขาสืบสวนหรือสอบสวนเก่งเหนือมนุษย์ และจะดำเนินการสอบสวนไป โดยปราศจากอคติ กับคู่ปรับทางการเมืองอย่างทักษิณและพรรคพวก!

ผมจึงขอยืนยันหนักแน่นว่า ‘รับไม่ได้’ จริงๆกับคำสั่งของ คปค.ฉบับนี้ และเห็นว่าคณะผู้ก่อการรัฐประหาร ซึ่งทำได้อย่างดีมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้กลับกลายเป็น ‘จุดด้อย’ อย่างสำคัญของ คปค. ที่ไม่ควรจะทำให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นเลย

นอกจากนั้น การแต่งตั้งที่ไม่รอบคอบนี้ ยังเป็นโอกาสทองให้ผู้ที่ยังนิยมและศรัทธาในตัวทักษิณที่มีจำนวนมากมาย จะใช้เป็นเงื่อนไข ‘จุดพลุ’ ในการโจมตีคณะรัฐประหาร ว่า

ถือโอกาสกลั่นแกล้งผู้ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน และสูญเสียอำนาจด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร ต้องมาถูกสอบสวนยึดทรัพย์ โดยคณะรัฐประหารใช้นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม มาสอบสวนอดีตนายก...ทำให้ ‘เสีย’ กันเข้าไปอีก

คนเสียหายไม่ใช่พวกอดีตส.ว. ซึ่งเป็นนักการเมืองและเป็นคู่ปรับของพวกที่จะถูกสอบสวน แต่เป็น คปค.นั่นแหละ!

การแต่งตั้งกรรมการคณะนี้ ผิดหลักความเป็นธรรมอย่างยิ่ง น่าเสียดายมากจริงๆ!!

สิ่งที่ติดตามและน่าเป็นห่วงอย่างมาก คือการใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างกว้างขวางของคณะกรรมการ โดยเฉพาะกรรมการที่เป็นนักการเมือง ที่จะอาจมีต่อไป ที่ผมไม่มีทางที่จะให้ความไว้วางใจได้เลย

จึงต้องขอเรียนเตือนไปยังบรรดาข้าราชการ ที่จะถูกเรียกเช้าไปเป็นอนุกรรมการชุดต่างๆของคณะกรรมการชุดใหม่ ว่า

ท่านนั้นมีอิสระ ที่จะมีความเห็นหรือออกเสียงตามเหตุปัจจัย อันประกอบด้วยข้อมูลที่เป็นจริง เพื่อให้ความเป็นธรรมกับบุคคลที่ถูกกล่าวหา และขอให้คัดค้านอย่างเต็มกำลัง ถ้าเห็นมีการใช้อำนาจกรรมการหรือประธานอนุกรรมการแต่ละคณะ ส่อไปในทางไม่ชอบธรรม และจงเผยแพร่สิ่งที่ท่านเห็นว่าไม่เป็นธรรมและโปร่งใสนั้น ออกสู่สาธารณะโดยทันที โดยไม่ต้องยำเกรงพวกคณะกรรมการ เพราะคนเหล่านี้ให้คุณให้โทษในทางราชการท่านไม่ได้

จำเอาไว้ให้จงดีว่า อย่าได้ยอมให้สิ่งไม่ชอบธรรมเกิดขึ้นเป็นอันขาด พึงยึดหลักความยุติธรรม และความถูกต้องเอาไว้ให้มั่นคง มิฉะนั้นภัยก็อาจมาถึงตัวท่านเองได้

ถ้าเห็นท่าไม่ดี ก็ให้ ‘ถอนตัว’ ไปเสียเลย ไม่มีใครว่าท่านได้ และรายงานให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด ทราบถึงสาเหตุถอนตัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผมยังอุ่นใจที่คณะปฏิรูปฯ ถอนตัวออกจากการบริหารประเทศชั่วคราวไปแล้ว โดยให้รัฐบาลตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว เข้าดำเนินการแทน

มิฉะนั้น คปค.อาจต้องตามไปออกคำสั่งเพื่อ ‘เพิ่มอำนาจ’ หรือออกคำสั่ง ‘ไม่ให้มีการฟ้องร้อง’ คณะกรรมการชุด ยกม.นี้ อีกก็เป็นได้!

                                                            ....................
กำลังโหลดความคิดเห็น