xs
xsm
sm
md
lg

ขับ 'อาเปี่ยน' ไล่ 'ไอ้เหลี่ยม' ความเหมือนที่แตกต่างของไต้หวันและไทย

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

“พลังของคนแต่ละคนอาจจะน้อยนิด แต่ถ้าหากเรายืนหยัดร่วมกันก็จะก่อเกิดเป็นพลังมหาศาลที่มิอาจหยุดยั้งได้” - หนึ่งในผู้ประท้วงไล่ประธานาธิบดีเฉินสุยเปี่ยน

สัปดาห์ที่แล้ว หากใครติดตามข่าวสารการเมืองโลกก็คงทราบว่า ขณะนี้ที่เกาะไต้หวัน ประชาชนของเขากำลังดำเนินแคมเปญ “เต๋าเปี่ยน (倒扁)” หรือ การชุมนุมประชาชนครั้งใหญ่เพื่อขับไล่ประธานาธิบดีเฉินสุยเปี่ยน ผู้นำของชาวไต้หวันให้ออกจากตำแหน่งอยู่

การชุมนุม “ไล่อาเปี่ยน” หรือ “เต๋าเปี่ยน” ของชาวไต้หวันนั้นเขาใช้สีสัญลักษณ์เป็น “สีแดง” เพื่อแสดงถึงความโกรธแค้นของประชาชนที่มีต่อความไม่ชอบธรรมในการปกครองของรัฐภายใต้การบริหารของเฉิน โดยผู้คนที่เข้าร่วมการชุมนุมจะแต่งกายเป็นสีแดง ใส่เสื้อผ้าสีแดง พันผ้าโพกหัว สวมหมวก เขียนหน้าเป็นสีแดงทั้งหมด

'เฉินสุยเปี่ยน' หรือ 'อาเปี่ยน' ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีไต้หวันครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2543 (ค.ศ.2000) โดยเขานับเป็นผู้นำไต้หวันคนแรกในรอบ 50 ปีที่สามารถช่วงชิงคะแนนเสียงมาจากพรรคก๊กมินตั๋งได้ และเมื่อครบรอบการดำรงตำแหน่งสมัยแรก ในการเลือกตั้งทั่วไปปี พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004) เฉินก็สามารถคว้าคะแนนเสียงส่วนใหญ่ได้อีกครั้ง

ทั้งนี้ระหว่างการหาเสียงของอาเปี่ยนเมื่อ 2 ปีก่อนมีเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้น โดยในวันที่ 19 มีนาคม 2547 ก่อนการเลือกตั้งหนึ่งวัน ระหว่างที่เฉินกำลังหาเสียงอยู่กับรองประธานาธิบดีแอนเนต ลูที่เมืองไถหนาน เฉินถูกกระสุนลึกลับยิงเข้าที่บริเวณท้องโดยรายงานข่าวระบุว่า บาดแผลจากกระสุนนั้นยาว 8 เซนติเมตร และลึก 2 เซนติเมตร ขณะที่รองประธานาธิบดีลูนั้นถูกกระสุนอีกลูกเฉี่ยวเข้าที่หัวเข่า

หลังถูกยิง เฉินและลูก็เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาล และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน

ข่าวการถูกลอบสังหารของเฉินก่อนวันเลือกตั้งทั่วไปของไต้หวันหนึ่งวันก่อให้เกิดกระแสความสงสารเฉินในหมู่ประชาชนชาวไต้หวันเป็นอย่างมาก จนในวันถัดมาประชาชนต่างเทคะแนนให้เฉินมีชัยชนะเหนือเหลียน จั้น ตัวแทนจากพรรคก๊กมินตั๋ง

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาด้วยความเหลือเชื่อจากเหตุการณ์ที่เฉินและลู สามารถรอดชีวิตจากการลอบสังหารก่อนวันเลือกตั้งเพียงวันเดียวก็ทำให้เกิดคำครหาในหมู่สื่อมวลชนไต้หวันว่า การลอบสังหารดังกล่าวนั้นทางฝั่งเฉินเป็นผู้จัดฉากขึ้นเองเพื่อฉุดคะแนนนิยมที่กำลังตกต่ำให้ฟื้นขึ้นมา!

แล้วทำไมที่ไต้หวันจึงเกิดแคมเปญ “ไล่อาเปี่ยน” ขึ้นในเวลานี้?

เดิมที หลังขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวัน เฉินก็โหนกระแสชาตินิยม พร้อมกับโชว์ลีลาความระห่ำด้วยการแสดงท่าทีก้าวร้าว พร้อมประกาศท้ารบกับจีนแผ่นดินใหญ่ โดยตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลของเฉินพยายามสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากจากสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก ทั้งๆ ที่มีประชาชนจำนวนไม่น้อยแสดงความไม่เห็นด้วยกับท่าทีก้าวร้าวต่อจีนของเฉิน และการจัดซื้ออาวุธสงครามดังกล่าว เนื่องจากนโยบายดังกล่าวเป็นการผลักให้ชาวไต้หวันเข้าไปเสี่ยงกับภัยสงคราม ทั้งยังเป็นการผลาญงบประมาณแผ่นดินของไต้หวันไปเป็นจำนวนมาก

และในปีนี้เอง กระแสความไม่พอใจต่อ “อาเปี่ยน” ของชาวไต้หวันก็ถึงเพิ่มสูงขึ้นจนถึงจุดเดือด ......

เริ่มต้นตั้งแต่พฤษภาคมที่ลูกเขยของเฉินถูกจับเนื่องจากใช้ข้อมูลภายในเพื่อเล่นหุ้น (Insider-trading) ทั้งลูกเขยคนเดียวกันยังมีพฤติกรรมติดสินบนอีกด้วย ต่อมาในเดือนสิงหาคมก็เริ่มมีข่าวฉาวโฉ่ในการขุดคุ้ยเรื่องการใช้งบประมาณผิดวัตถุประสงค์ของเฉิน และมีการดำเนินการสอบสวนภรรยาของเฉินในข้อกล่าวหาคือ การรับสินบนในรูปแบบบัตรกำนัลจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมายังมีข่าวอีกด้วยว่า ลูกสาวของเฉินนาม 'เฉินซิ่งเฮ่า' ได้ใช้ช่องทางลับของทางราชการที่สนามบินเถาหยวน เพื่อขึ้นเครื่องบินไปทำธุระส่วนตัวที่สหรัฐอเมริกา อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าคนในครอบครัวเฉินใช้อภิสิทธิ์อย่างพร่ำเพรื่อ

สำหรับผู้นำการชุมนุมประชาชนไล่ผู้นำของชาวไต้หวันและผู้คิดแคมเปญ “ล้านเสียงเพื่อต่อต้านคอร์รัปชัน... เฉินต้องไป” ครั้งนี้นั้น ก็คือ นักการเมืองหนุ่มใหญ่วัย 60 กว่าที่ชื่อ “ซือหมิงเต๋อ”

40 กว่าปีที่แล้วซือหมิงเต๋อในวัยหนุ่ม เคยเข้าร่วมการเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งมาก่อนแต่ก็ถูกจับเป็นนักโทษการเมืองและได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามหลังบรรยากาศทางการเมืองคลี่คลายลงซือหมิงเต๋อก็ได้รับการปล่อยตัวออกมา โดยเขาได้ก้าวเข้าไปประกอบอาชีพผู้สื่อข่าวให้กับหนังสือพิมพ์ Liberty Times ก่อนที่จะเข้าสู่วงการเมืองไต้หวัน

กลับมาถึงเมืองไทย ......

แคมเปญการไล่ “ไอ้เหลี่ยม” ของไทยนั้นดำเนินมาครบหนึ่งปีแล้วในเดือนกันยายนนี้ (หรือหากจะนับตั้งแต่การชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2549 ก็ 8 เดือนกว่าๆ)

การชุมนุมเพื่อขับไล่ “อาเปี่ยน” ของชาวไต้หวัน กับการชุมนุมขับไล่ “ไอ้หน้าเหลี่ยม” ของชาวไทยนั้นมีจุดประสงค์คล้ายๆ กันคือเพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน ถามหาความโปร่งใสในการบริหารราชการของผู้นำ และที่สำคัญที่สุดคือเรียกร้องให้ผู้นำแสดงความรับผิดชอบต่อความบัดซบทางการเมืองต่างๆ

...... อาจเป็นความบังเอิญที่ผู้นำไต้หวันกับผู้นำไทยต่างก็มีพฤติกรรมทุจริต-ไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณแผ่นดินคล้ายๆ กัน
...... อาจเป็นความบังเอิญที่เครือญาติของผู้นำไต้หวันกับเครือญาติของผู้นำไทยต่างก็มีพฤติกรรมชั่วๆ เกี่ยวกับการซื้อ-ขายหุ้นเหมือนๆ กัน
...... อาจเป็นความบังเอิญที่เครือญาติของผู้นำไต้หวันกับเครือญาติของผู้นำไทยต่างก็มีพฤติกรรมในการคอร์รัปชันกินสินบาท คาดสินบนจนเป็นที่ครหาไปทั่วประเทศเหมือนๆ กัน
...... อาจเป็นความบังเอิญที่ผู้นำไต้หวันและเครือญาติ กับ ผู้นำไทยและเครือญาติต่างก็มีพฤติกรรมในการใช้สิทธิพิเศษ ใช้งบประมาณของประเทศเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ส่วนตนเหมือนๆ กัน
...... อาจเป็นความบังเอิญที่ผู้นำไต้หวันกับผู้นำไทยต่างก็หันมาใช้มุก ‘การลอบสังหาร’ เพื่อดึงคะแนนเสียงที่ตกต่ำของตนให้กลับมาเหมือนๆ กัน

ขณะที่ไต้หวันใช้สัญลักษณ์ “พลังสีแดง” อันแสดงถึงความโกรธแค้นในการไล่อาเปี่ยน ชาวไทยที่ไล่ไอ้เหลี่ยมมาก่อนหน้าก็ยืนหยัดที่จะใช้สัญลักษณ์ “พลังสีเหลือง” อันบ่งบอกถึงความจงรักภักดี และความต้องการที่จะธำรงรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเอาไว้ให้อยู่คู่กับประเทศไทย

...... อาจเป็นเรื่องบังเอิญ ที่ชื่อของผู้นำการชุมนุมของไต้หวัน คือ ซือหมิงเต๋อ (施明德) กับ ชื่อของผู้นำที่ยืนหยัดในการไล่ไอ้เหลี่ยมมาตั้งแต่แรกเริ่ม คือคุณสนธิ ลิ้มทองกุลซึ่งมีชื่อจีนว่า หลินหมิงต๋า (林明达) ไปมีความคล้ายคลึงกัน

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในความเหมือนระหว่างการชุมนุมขับไล่ผู้นำของไต้หวันและไทยก็ยังมีอยู่อีกมากมายหลายประเด็น และต่างก็เป็นประเด็นที่บ่งบอกให้เห็นถึงความอ่อนแอของประชาชนชาวไทยทั้งหลาย

อย่างที่คุณสนธิเคยกล่าวเอาไว้ หากเปรียบความชั่วร้ายของ “อาเปี่ยน” ผู้นำไต้หวันกับ “ไอ้เหลี่ยม” ผู้นำของไทยแล้ว “อาเปี่ยน” ก็คงเป็นได้แค่เพียงแค่เด็กอมมือ หรือเด็กอนุบาลเท่านั้น เพราะกรณีความผิดพลาด ความไม่โปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดิน การคอร์รัปชันทั้งของส่วนตัว เครือญาติ และพวกพ้อง มิพักต้องพูดถึงจริยธรรม และคุณธรรมในการเป็นผู้นำ ที่หากจะเทียบกับ “ไอ้เหลี่ยม” แล้ว “อาเปี่ยน” ก็คงกลายเป็นเทวดาไปในบัดดล

เมื่อวันศุกร์ที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมาประชาชนชาวไต้หวัน “กว่าล้านคน” สามารถร่วมกันแสดงพลัง ร่วมแรงร่วมใจไปรวมพลกันบริเวณทำเนียบประธานาธิบดีเพื่อกดดันให้เฉินสุยเปี่ยนลาออก ทั้งๆ ที่ประชากรของไต้หวันนั้นมีเพียง 23 ล้านคนหรือน้อยกว่าประเทศไทยเกือบ 3 เท่า!
กำลังโหลดความคิดเห็น