xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 252 อาจารย์สุขุม นวลสกุล กับรายการ “มองรอบดาก” ของ ททบ.๕

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

นิธิพร มั่นนาค
เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว นั่งดูโทรทัศน์รายการข่าวต่างๆ ซึ่งตัวเองก็ไม่ได้เป็นแฟนช่องหนึ่งช่องใดโดยเฉพาะ แต่ที่ดูประจำแน่ๆคือตอนตีสี่ วันจันทร์-ศุกร์ ต้องดูรายการของ คุณวิศาล ดิลกวณิชย์ กับคุณนิธิพร มั่นนาค ทางไทยทีวีสี ช่อง ๓ เพราะหนุ่มสาวทั้งสองทำหน้าที่สรุปหัวข้อข่าวสำคัญของแต่ละวันได้ดี ทำให้คนมีอายุที่ตื่นแต่เช้าและอยู่ต่างจังหวัดอย่างผม รับรู้ข่าวสารบ้านเมืองได้ดี อยากรู้เรื่องไหนเพิ่มเติมเป็นพิเศษ ก็ไปหาอ่านรายละเอียดเอาในหนังสือพิมพ์รายวัน หรือรายสัปดาห์อีกครั้ง จึงเป็นการประหยัดเวลาได้มาก

คุณนิธิพร มั่นนาค นั้น เธอเป็นคนขยัน พออ่านข่าวเสร็จก็ลงจากตึกมาลีนนท์ ของช่อง ๓ ไปนั่งขายดอกไม้ที่ร้านชื่อว่า “N Two Flower” บนถนนพระราม ๔ ติดอาคารมาลีนนท์ของช่อง ๓ ที่ทำงานของหลักของเธอนั่นเอง เพราะคุณนิธิพรฯเป็นเจ้าของร้านรับจัดดอกไม้สด ตะกร้าผลไม้ พวงหรีด ฯลฯ ข้าง ใครผ่านไปทางนั้นก็แวะอุดหนุนกันได้ ขยันอย่างนี้อีกไม่นานเธอคงร่ำรวยเป็นเศรษฐีอย่างแน่นอน

จบรายการข่าวตีสี่แล้ว ผมยังยอมไม่เปลี่ยนช่อง ต้องดูคุณแคลร์ ปัจฉิมานนท์ ในรายการโลกยามเช้าก่อน เพราะชอบบุคลิกและน้ำเสียงที่อ่อนละมุนนุ่มละไม ของเธอ เหมือนอย่างที่เขาโฆษณาบน Golden Custard ยี่ห้อ Na Mum (น่าหม่ำ) ที่วางขายในห้องอาหาร O.V.ของสมาคมนักเรียนเก่าวชิราวุธ วิทยาลัยนั่นแหละครับ

พอคุณแคลร์สรุปข่าวต่างประเทศเรียบร้อย ในฐานะที่เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษเด็กมาก่อน ผมจึงต้องดูคุณครูแอนดรูว์ บิ๊กส์ สอนภาษาอังกฤษจนจบ แล้วหันไปดู CNN ประมาณครึ่งชั่วโมง พอได้เวลาหกโมงครึ่ง ก็มาคอยดูรายการต้นทุนต่ำ คือรายการประเภทบอกกล่าว-เล่าข่าว โดยผู้ดำเนินรายการเขาเก็บเอาข่าวจากหนังสือพิมพ์ มาเล่าให้ผู้ชมฟัง

บางครั้งผู้ดำเนินรายการ กางหนังสือพิมพ์ยกให้ดูภาพประกอบ หรือบางทีข่าวมันยาว ก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเมามัน หน้าตาไม่ต้องเงยมาดูกล้อง ชาวบ้านเลยได้รับอานิสงส์ ไม่ต้องขวนขวายหาซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านกัน ให้เปลืองสะตุ้งสตางค์เปล่าๆ ส่วนเจ้าของหนังสือพิมพ์ที่ไปลอกข่าวเขามาเล่า จะเป็นอย่างไรช่างหัวปะไรไม่สนใจ ใส่ความเห็นตัวเองไปแหยมๆไว้นิดๆหน่อยๆ แถมยังมีข่าวโทรทัศน์ที่ตกค้างจากช่วงกลางคืนมาเสริม พอเป็นกระษัย รายการประเภทนี้มีอยู่เกลื่อนเกือบทุกช่อง เช่น

รายการของคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ทางช่อง ๓ รายการของคุณกนก รักษ์วงษ์สกุล กับ “คุณหว่อง” หรือพิสิทธิ์ กีรติการกุล ที่ช่อง ๗ สี ทีวีเพื่อคุณ หรือรายการของคุณสร้อยฟ้า โอสุคนธ์ทิพย์ กับคณะสาวๆๆ ทางช่องไอทีวี ผมก็เปลี่ยนดูไปมา สุดแต่รีโมทในมือจะพาไป ซึ่งเนื้อข่าวของทุกช่องก็พอฟัดพอเหวี่ยงกัน ไม่มีใครล้ำหน้าใครในความเห็นของผม

บางวันก็ดู “รายการมองรอบด้าน” ซึ่งเป็นการออกความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองตามข่าวสารที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ของทางสถานีตะหานบกช่อง ๕ เขา โดยเฉพาะวันที่มีอาจารย์สุขุม นวลสกุลมาร่วมรายการ เพราะผมว่าความเห็นของท่านอาจารย์ รับฟังเป็นประโยชน์ทีเดียว

ส่วนผู้จัดร่วมคนอื่นๆ ยังไม่สามารถสร้างความประทับใจให้ผมได้เลย ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์นักทำโพลที่ชื่อ “สุขุม” เหมือนกัน หรือคุณนักกฎหมายหนุ่มสาวอีก ๒ คน ซึ่งผมเห็นว่า ยังต้องฝึกฝนศึกษาวิทยายุทธเรื่องราวการเมืองไทย ให้แน่นๆมากกว่านี้อีกก็คงจะดี

ที่พูดตรงๆอย่างนี้ ไม่ได้เป็นการตัดทอนกำลังใจกัน เพราะผู้ที่เพิ่งเริ่มทำรายการใหม่ๆก็มักจะเป็นอย่างนี้ เรียกว่าหากเป็นพระสงฆ์ พรรษาก็ยังน้อยอยู่ ไม่อาจเทียบกับ อ.สุขุม นวลสกุล ซึ่งเป็นชาวใต้โดยกำเนิด ภูมิภาคที่ผู้คนมีความสนใจการเมือง มากกว่าคนส่วนอื่นของประเทศ และท่านศึกษาทางรัฐศาสตร์มาโดยตรง ได้รับราชการเป็นอาจารย์สอนวิชานี้มานมนาน จนเออร์ลี่รีไทร์ไปร้องเพลงเอลวิสอยู่บ้านหลายปีแล้ว เคยเป็นทั้งคณบดีคณะรัฐศาสตร์และอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ที่ออกไปประกอบอาชีพเป็นนักการเมืองในตอนนี้ก็ไม่ใช่น้อย เติบโตเป็นระดับหัวหน้าพรรค ผู้บริหารพรรคก็มี

อาจารย์สุขุมได้ติดตามการเมืองมานาน แถมยังเคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จึงเป็นผู้ที่คร่ำหวอดในวงของการเมืองไทยอีกคนหนึ่ง และถือว่าเป็นนักการเมืองคนหนึ่งก็ว่าได้

ดังนั้น หากอาจารย์สุขุมบวชเป็นพระ ท่านก็มากด้วยพรรษาแล้ว ถึงป่านนี้คงมียศตำแหน่งทางพระหรือสมณะศักดิ์ อย่างน้อยก็ต้องเป็นพระครูฐานานุกรม หรือถ้าไม่สึกหาลาเพศไปได้ภริยาเสียก่อน เผลอๆอาจถึงชั้น ‘เจ้าคุณ’ เอาด้วย จึงไม่แปลกใจเวลาอาจารย์สุขุมจะสวดหรือเทศน์ ก็มีญาติโยมติดตามฟังกัน มากกว่าพวกพระนวกะอย่างผู้ร่วมรายการคนอื่น ซึ่งคราบผ้าเหลืองยังไม่ทันจับดี

ยังใหม่อยู่ ว่าอย่างนั้นเถอะ!

เมื่อวันจันทร์สัปดาห์ที่แล้ว บังเอิญได้ดูรายการมองรอบด้าน ซึ่ง อาจารย์ สุขุม นวลสกุล มาร่วมรายการเข้าพอดี พิธีกรหญิงผู้ดำเนินรายการหลัก ถามความเห็นเกี่ยวกับการเลือก กกต. ของวุฒิสภา ซึ่งอดีตสมาชิกสภาดังกล่าว คือนายแก้วสรร อติโพธิ หนึ่งในผู้ได้รับการคัดสรรจากที่ประชุมของคณะผู้พิพากษาศาลฎีกา ให้เป็นหนึ่งในสิบของผู้สมัคร ให้เข้าชิงตำแหน่ง กกต. แต่ไม่ได้รับการเลือกจากเสียงส่วนใหญ่ ของบรรดาเพื่อนสมาชิกวุฒิสภา ที่นายแก้วสรรฯเคยอยู่ร่วมในวุฒิสภาดังกล่าวด้วย

มีรายงานข่าวว่า เมื่อพลาดจากตำแหน่ง กกต.นายแก้วสรรฯได้เสนอตัวเอง ที่จะขอรับตำแหน่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งอีก แต่จะให้สมัครชิงตำแหน่งไม่ไป เพราะแกแน่ใจในคุณสมบัติอันประเสริฐของตัวเอง

ต้องให้เชิญกันให้ไปรับตำแหน่ง ว่ากันตรงๆอย่างนั้นเถอะ!

อ.สุขุม นวลสกุล ให้ความเห็นว่า หากตัวอาจารย์เป็นสมาชิกวุฒิสภา ท่านก็จะไม่เลือกนายแก้วสรรฯ ให้เป็น กกต.เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ยังกล่าวต่อไปอีกด้วยว่า หากท่านเป็น กกต.ที่ได้รับการเลือกตั้งไปแล้ว ก็จะไม่เลือกนายแก้วสรรฯให้เป็นเลขาธิการ กกต.แทนคนเดิมที่ลาออกไป เพราะอาจารย์สุขุมมองว่า

นายแก้วสรรฯนั้น ดูเหมือนจะเลือกข้างไปเรียบร้อยแล้ว และคนที่จะมาทำหน้าที่เป็นกกต.นั้น จะต้องได้คนที่เป็นกลางมาทำหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม ผู้คนต้องไว้ใจ ไม่มีข้อครหาจากประชาชน ซึ่งผมถูกใจและเห็นด้วยกับกับท่านอาจารย์สุขุมฯร้อยเปอร์เซ็นต์ และให้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ จะเอาเป็นพันเปอร์เซ็นต์ก็ยังได้ เพราะเป็นผมก็จะไม่มีวันเลือกนายแก้วสรรฯเหมือนกัน!

ที่พูดมานี้ผมไม่ได้มองว่านายแก้วสรรฯ เป็นคนไม่ดีเพราะเลือกข้าง แต่พฤติกรรมของเขานั้น ได้สร้างความคลางแคลงใจในความเป็นกลางให้กับสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ชื่นชอบพรรคไทยรักไทย รวมทั้งสมาชิกพรรคนั้นด้วย

ฉะนั้น การจะรับเอานายแก้วสรรฯมาไว้ในตำแหน่งเลขาธิการ หรือแม้แต่ให้ทำหน้าที่อนุกรรมการในชุดต่างๆของ กกต. ความไม่ปกติสุขก็จะเกิดขึ้น ในองค์กรที่ควรจะเป็นกลางอย่างเคร่งครัดอย่างกกต.แห่งนี้ทันที อย่างน้อยก็จากกลุ่มบุคคลที่เขาไม่เชื่อถือ ในเรื่องความเป็นกลางของนายแก้วสรรฯ คนเหล่านี้ก็คงจะต้องคัดค้านอย่างเต็มกำลัง

เผลอๆก็มีริ้วขบวนต่างๆ เดินทางไปขยำโขยกโขกนายแก้วสรรฯ ถึงหน้าอาคารศรีจุลละทรัพย์ อย่างที่เราเห็นที่เขาทำกับ กกต.ชุดเก่ากันมาแล้ว จึงไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก

เรียกว่า กกต.ชุดใหม่ ยังไม่ได้เริ่มทำงาน ก็หาความสงบสุขกันไม่ได้แล้ว!

สำหรับนายแก้วสรรฯเอง หากเห็นแก่กกต.ชุดใหม่เขา ก็อย่าได้ดิ้นรนไปสมัครเป็นเลขาธิการเลย แต่ไม่เชื่อก็ตามใจ เพราะเรื่องความอยากได้ใคร่มีตำแหน่งนั้น ห้ามกันไม่ได้ คนเรามีกิเลสด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่องการเมือง ที่ใครก็ตามพลัดหลงเข้าไปครั้งหนึ่งอย่างนายแก้วสรรฯแล้ว จะถอนตัวออกจากวงการนี้ยาก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกนั่นแหละ จะให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ที่สถาบันเดิม ที่เคยสอนก่อนมาเป็น ส.ว. เจ้าตัวอาจไม่เอาแล้ว เพราะสอนหนังสือมันไม่สนุกเหมือนเป็นนักการเมือง นอกจากจะไม่มีทางอื่นไป แต่ผมว่าจะไปอยู่มหาวิทยาลัยเก่าที่เคยสอนก็คงดีไม่น้อย เพราะจะได้ไปเป็นกำลังให้ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีคนปัจจุบัน เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทักษิณ เอากันให้สนุกสนานบานเบิกไปเลย!

ส่วน กกต.ชุดใหม่ที่เพิ่งได้รับการคัดเลือกเข้าไปนั้น ถ้าท่านอยากทดสอบเสียงคัดค้าน ของผู้คนก็อย่าได้ลังเล ขอให้เลือกคนอย่างนายแก้วสรรฯ เข้าไปทำหน้าที่เลขาธิการฯ ก็ไม่เห็นจะผิดกติกาอันใดเลย

แต่อย่ามาโอดครวญทีหลัง ก็แล้วกัน!

“มองรอบด้าน” ซึ่งมี อ.สุขุม นวลสกุล มาเป็นผู้ร่วมรายการนี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายการใหญ่ "เช้าวันนี้ที่เมืองไทย" ออกอากาศตอนเช้าๆ ตั้งแต่ประมาณหกโมงเศษ ทาง ททบ.๕ พอถึงหกโมงครึ่งเขาเรียกว่าช่วง “มองรอบด้าน” เดิมมีพิธีกรรุ่นเก่าที่หายากเหมือนไปควานหากะลาตาเดียว ๒ คน คือ นายสมัคร สุนทรเวช กับ นายดุสิต ศิริวรรณ รับหน้าที่บรรเลงอยู่กว่าปี และหนุนรัฐบาลทักษิณอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แต่จำต้องถอนยวงออกไปกะทันหัน เหตุเพราะไปวิพากษ์วิจารณ์ท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเข้า ขณะนี้ดูเหมือนทั้งสองหน่อ จะมีช่องสัญญาณที่ออกอากาศได้ ทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์

ผมก็ว่าดี...เพราะไหนๆขณะนี้บ้านเมืองของเรา ก็แตกแยกกันอยู่แล้ว จะได้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน แบบ “มึงด่ากู...กูก็ด่ามึง” แต่รายการ “มองรอบด้าน” นี้ มาผิดที่ผิดทางหน่อย เพราะไปจัดในสถานีวิทยุโทรทัศน์ของกองทัพบก ซึ่งทางกองทัพเองก็มักจะยืนยันเสมอว่า มีความเป็นกลางทางการเมืองอย่างเคร่งครัด

ที่ผมว่าอย่างนั้น เพราะการที่กองทัพบอกว่าวางตัวเป็นกลาง แล้วเอาผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่คุณศิริบูรณ์ ณัฐพันธ์ พิธีกรเรียกแกว่า “นายวสันต์ เบ๊นซ์ทองหล่อ” แต่ตำรวจอย่างพวกผม รู้จักแกในนามนาย “วสันต์ เบนซ์แวน มาร่วมในรายการนี้

รถเบนซ์แวนตระกูลเยอรเผือก ที่เข้ามาเมืองไทยรุ่นแรกๆนี่แหละครับ ที่ทำให้นายตำรวจพ่อตาคนโต ถูกตั้งกรรมการสอบสวนเอาความผิด ในวันที่ท่านเกษียณอายุเรื่องที่สอบสวนก็ยังไม่เสร็จ หลวงยังไม่จ่ายบำนาญให้ด้วยซ้ำ ไม่อยากจะรื้อฟื้นเพราะคนต้นเรื่องก็ตายไปแล้ว แต่กรณีเบนซ์แวนนี้ทำให้เกิดรอยด่างขึ้นในกรมตำรวจ สมัยที่ยังรับผิดชอบงานทะเบียนของประเทศ และพ่อตาคนโตทำหน้าที่นายทะเบียนยานพาหนะทั่วราชอาณาจักร จนมีเรื่องราวอื้อฉาวเกิดขึ้น

ใครอยากทราบรายละเอียด ขอให้ไปสอบถาม พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ หนึ่งในคณะกรรมการสอบสงวนเรื่องนี้เอาเองก็แล้วกัน!

นายวสันต์ เบนซ์แวน คนนี้ มาออกรายการก็เปิดฉากตั้งหน้าตั้งตา เชียร์ทักษิณเหลือกำลังลาก เพราะแกเป็นคนที่ยกป้ายเชียร์ทักษิณมานาน ตั้งแต่ครั้งนายกยังมีเรื่องค้างคาอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญเมื่อตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ พอสบโอกาสออกทีวีได้ก็เดินหน้าถากถาง ด่าใส่พวกแอนตี้ทักษิณ รวมทั้งพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะเจ้าตัวแกเองก็ไม่ได้ปิดบังว่าพวกพรรคทักษิณพันธ์แท้

ที่ต้องพูดถึงนายเบนซ์แวน ก็เพราะเมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้เอง (๑๒ ก.ย.๒๕๔๙) นายคนนี้ก็ได้ประกาศผางออกมากลางรายการว่า “ผมว่า พวกพันธมิตรเลวหมดทุกคน!” จน อ.สุขุม เฉลยทรัพย์ นักทำโพลอาชีพผู้ร่วมรายการ ต้องรีบพูดแก้ว่า “ไม่ได้เลวหมดทุกคน ก็มีดีบ้างเลวบ้าง”

ใครไม่เชื่อ ก็ลองเอาเทปมาดูกันก็ได้

อีตาเบนซ์แวนคนนี้แกไม่ได้มองเลยว่า ทำไมผู้คนจึงลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลทักษิณอย่างต่อเนื่อง และขยายตัวกว้างขวางมากขึ้นทุกที แพร่ไปในหมู่ชาวไทยในต่างประเทศ ทักษิณไปไหนก็มีคนตามไปไล่ นี่จะไปที่ทำการใหญ่ของสหประชาชาติ คนไทยในสหรัฐก็ตั้งทัพต้อนรับ ที่เมืองไทย ครูบาอาจารย์ต้องออกมากระทำสัตย์ปฏิญาณ ว่าจะขับไล่ทั้งตัวและระบอบทักษิณ

เหตุการณ์อย่างนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในบ้านเมืองของเรา!

นี่ยังไม่นับการชุมนุมทางการเมือง ที่จะต้องติดตามมาในระยะเวลาอันใกล้ หากทักษิณตัดสินใจคงอยู่ในตำแหน่ง หรือตั้งใจที่จะไม่เว้นวรรคทางการเมือง ถ้าหากขืนอยู่ในตำแหน่งต่อ ก็ไม่มีปัญหาแต่ อยู่ได้ก็อยู่ไป พวกไล่ได้เขาก็จะไล่ให้ไปให้ได้ รับรองว่าไม่มีวันหยุดไล่...

ต้องถึงตาย หรือเลือดตกยางออก นั่นแหละ อาจยุติกันได้!!

เหมือนๆที่เกิดขึ้นเกือบทุกครั้ง ในประวัติศาสตร์ของชาติ เมื่อมีการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้คัดค้านรัฐบาลที่มาชุมนุม เพราะเห็นว่ารัฐบาลไม่สุจริตในการบริหารประเทศ กับผู้ถืออำนาจรัฐ

ใครไม่เชื่อ ลองเปิดประวัติศาสตร์ดูเอาเอง!!!

การสรรเสริญคุณงามความดีทักษิณของนายวสันต์ ที่หลับหูหลับตามองกันแต่ด้านดี เพราะเป็นผู้ที่เคยเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันมานั้น ทำให้ผมมีความคิดว่า ตัวนายเบนซ์แวนแก มองไม่รอบด้านตามชื่อรายการ และไม่ได้ตั้งตัวเอาไว้ในฐานะผู้ร่วมดำเนินรายการที่ดี ที่ควรจะมีความเป็นกลางอยู่บ้างพอควร ไม่ได้เอียงกระเท่เร่น่าเกลียดอย่างนี้

ถ้าขืนปล่อยให้แกจัดรายการเพียงคนเดียว ผมก็จะขอให้เปลี่ยนชื่อ “รายการมองรอบด้าน” เป็น “รายการมองรอบดาก” ตามคำโบราณที่เขาว่ากัน

ทำไมน่ะหรือ?

ตรงนี้อธิบายได้ว่า...หากนายเบนซ์แวนแกเป็นคนทำพลุขาย เวลาประกอบพลุ แกจะมองไม่รอบด้าน มัวจ้องมองแต่ “ดาก” คือวัตถุที่เราใช้เป็นส่วนที่ปิดท้าย หรือจุกไม้ที่ใช้อุดปลายกระบอกพลุ ที่เขาเรียกว่า “ดากพลุ” โดยไม่ได้ใส่ใจ มองดูสัดส่วนการผสมดินระเบิด ที่จะยัดลงไปในกระบอกพลุเลย ซึ่งอาจเรียกว่าไม่ฉลาดหรือประมาท ก็ว่าได้

อย่างนี้ก็เสี่ยง เพราะพลุอาจจะระเบิดขึ้น ทำเอาถึงเจ็บหรือตายเอาง่ายๆ....หรือ

ถ้าคุณยายใช้ให้ตำหมากให้กิน แกก็ไม่ได้มองดูเลยว่า ส่วนผสมของหมากที่จะเป็น “คำ” นั้น ควรจะทาปูนบนใบพลูหนาบางอย่างไร และจะต้องใส่หมากลงไปในตะบันกี่เสี้ยว แกมัวแต่มองดู “ดากตะบัน” คือส่วนที่จุกไม้สำหรับอุดท้ายตะบันหมาก พอตำออกมาปูนคงกัดปากยาย โดนด่าแย่

เหมือนกับอีตาเบนซ์แวน ที่แกไม่ได้แหกหูแหกตา ฟังและดูให้รอบด้าน เอาแต่มองแค่รอบๆขอบดาก หรือ “มองรอบดาก” จึงเข้าตามคำโบราณนี้ อย่างชัดเจน!

ทักษิณเขาบริหารบ้านเมืองนั้น มีข้อผิดพลาดประการใด ทำไมผู้คนถึงบอกว่าไม่โปร่งใส หรือทำไมคอลัมนิสต์อย่างผม จึงเรียกรัฐบาลของทักษิณว่าเป็น

“รัฐบาลทำมาหาแดก!?”

ใครที่สงสัยลองคลิกเข้าดูข้อเขียน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๒๓ “นายกฯทักษิณถูกถีบ...ใครถีบ !?” แล้วคิดด้วยเหตุด้วยผล และไตร่ตรองโดยแยบคาย มีโยนิโสมนสิการ ก็อาจจะเห็นความจริงในคำพูดของผม ซึ่งก็มีบทความในสื่ออื่นๆอีกมาก ที่ให้ความเห็นไปในทางเดียวกัน และสดๆร้อนๆสื่อต่างประเทศ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลของโลกคือนิตยสาร ไทม์ส ฉบับ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๙ ที่ผู้วิจารณ์บอกว่า ทักษิณไม่เข้าใจว่าตัวเป็นหัวใจของปัญหา และการเมืองไทยกลายเป็นตลกชั้นสูง แต่ถ้าเป็นคนปากไวอย่างผม คงจะเลือกใช้คำว่า “ตลกโสโครก” หรือ “ตลกขยะแขยง” เพราะยังเหมาะสมกว่ากันมาก

เรื่องอย่างนี้นายเบนซ์แวน แกไม่ยอมรับรู้ ไม่ใส่ใจที่จะหาความจริง!

การที่สถานีโทรทัศน์หน่วยราชการ อย่าง ททบ.๕ ของกองทัพบก ปล่อยให้มีการเชียร์พรรครัฐบาล และด่าพรรคฝ่ายค้านกับกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับตน อย่างเปิดเผยยาวนานมาเป็นปีๆอย่างนั้น จนปรากฏเหตุการณ์จาบจ้วงท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อดีตผู้นำกองทัพบก และเคยเป็นผู้บังคับบัญชา ของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ด้วยซ้ำไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ทางผู้บริหารททบ.๕ ทำเหมือนไม่รู้จักจดจักจำเอาใส่ใจไว้เป็นบทเรียน กลับยังดำรงความมุ่งหมายเดิมอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ร้อนรู้หนาว โดยคงรายการเอาไว้เชียร์รัฐบาลไทยรักไทยต่อไปอย่างแน่นเหนียว เพียงแต่เปลี่ยนเฉพาะผู้ร่วมดำเนินรายการเท่านั้น

แต่ก็ไม่วายเอาคนชะเลียร์เข้ามา เป็นตัวตายตัวแทน เข้าอีหรอบเดิมอีก!

จึงกลายเป็นการสนับสนุนให้มีการโต้ตอบ ระหว่างกลุ่มที่มีความเห็นขัดแย้งกัน ทำให้ปรากฏการณ์แบบ “มึงด่ากูได้ กูก็ด่ามึงได้” เกิดขึ้นมาในสถานีโทรทัศน์ของทางราชการ เป็นการสนับสนุนพรรคการเมืองไทยรักไทยฝ่ายรัฐบาล...ชัดเจนแจ่มแจ้ง

ฉะนั้น ถ้าต่อจากนี้ ผมจะเขียนคอลัมน์วิพากษ์วิจารณ์ เรื่องของ ททบ.๕ อย่างที่เคยเขียนใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๓๕ รายการ“ที่นี่ประเทศไทย” vs รายการ“ที่นี่ประเทศไทย (เฉพาะของพวกกู!)” ให้แสบสันต์สนุกสนานอีก อย่ามาต่อว่าก็แล้วกัน!!

สำหรับตัวนายเบนซ์แวน นั้น การทำหน้าที่องครักษ์ปกปักนายกคนตกกระป๋อง ผมไม่ถือเป็นสาระเพราะแกเป็นคนของพรรคทักษิณ เป็นแค่พ่อค้าที่มองหาแต่ประโยชน์ และผลกำไรทางการค้าเป็นตัวตั้ง จึงตะบี้ตะบันเชียร์คนมีอำนาจเพราะเป็นจะผลดีกับตัว และก็ไม่ใช่เรื่องผิดด้วย

ที่ว่าไม่ผิดนั้น เพราะถ้าหากรายการมองไม่รอบด้าน หรือมองวนๆเวียนๆอยู่แค่รอบๆขอบๆดาก จะไปออกอากาศที่ช่อง ๓ ผมก็คงวิพากษ์วิจารณ์เขาไม่ได้ถนัดปาก เพราะช่องนั้นคนของพรรคไทยรักไทยอย่างคุณประชา มาลีนนท์ และครอบครัวเขาถือหุ้นใหญ่

แต่นี่ดันทะลึ่งไปลอยหน้าลอยตาออกในช่องของทหารบก ที่คนโตในกองทัพยืนยันมั่นเหมาะนักหนาว่า “เป็นกลางทางการเมือง” อย่างข้าราชการที่ดีทั้งหลาย สมควรที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ โดยเฉพาะช่วงมีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง ส.ส. แต่สถานีแห่งนี้กลับดันทุรัง ไม่ใส่ใจที่จะปฏิบัติตามแบบแผนที่ดีของทางราชการ ปล่อยให้มีคนของพรรคการเมือง ที่เป็นรัฐบาลอย่างไทยรักไทย ที่กำลังจะเข้าชิงชัยกันในการเลือกตั้ง...

...ยึดเอาสถานีของกองทัพ เป็นฐานโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ อย่างหน้าเฉย ตาเฉย!

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังหลับหูหลับตาเปิดทางให้นายจักรพันธ์ ยมจินดา อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย ที่ลาออกเพราะถูกศาลตัดสิทธิในการเลือกตั้ง แต่เยื่อใยยังเกาะกุมอยู่กับพรรคเก่าเหนียวแน่น ทำเหมือนโยกเอารายการ “นายกทักษิณพบประชาชน” ที่ต้องงดไปจากสถานีวิทยุประเทศไทย เมื่อกลางเดือนสิงหาคม เพราะใกล้เลือกตั้ง มาออกรายการให้สัมภาษณ์ทาง ททบ.๕ อย่างโอ่อ่า หาเสียงเสียสามวันซ้อนๆแทน เป็นการชดเชยรายการวิทยุที่ต้องงดไป

ทำกันแบบไม่เกรงอกเกรงใจพรรคการเมืองอื่นๆ ทั้งๆที่อยู่ในระหว่างพระกฤษฎีกาเลือกตั้ง ส.ส.เลยแม้แต่น้อย พรรคทั้งหลายที่ไม่มีโอกาสหาเสียงทางจอแก้วอย่างทักษิณ จึงได้แต่พากันมองตาปริบๆ ได้แต่ครางว่า

“เสียท่ามัน...อีกแล้ว!”

ดังนั้น ผมในฐานะประชาชนคนดูฟรีทีวี ซึ่งมีสถานีของทางราชการเป็นหลักหลายสถานี ก็จะเข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากจะต้องบอกผ่านท่านผู้อ่านที่เคารพ ให้เสียงดังก้องไปกลบทวารหูนายทหารทั้งหลาย ผู้รับผิดชอบสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ ว่า

สถานีโทรทัศน์ของกองทัพบกในความเห็นของผม กำลังกลายเป็นสาขาพรรคการเมือง ที่ให้การสนับสนุนพรรค ‘ไทยรักไทย’ เต็มตัว อย่างออกหน้าออกตาจนดูน่าเกลียดน่าชัง โดยไม่ปิดบังด้วย

จึงไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของกองทัพ พูดกับประชาชนเป็นมั่นเหมาะ ว่า

“กองทัพวางตัวเป็นกลางทางการเมือง”

อยากจะบอกกันอย่างไม่เกรงใจว่า หากขืนทำอย่างนี้ต่อไปอีก ผู้คนเขาจะนินทาเอาได้ว่า ปากพูดอย่างหนึ่ง แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม จะเชื่อถือเป็นแก่นสารอะไร คงไม่ได้นัก เข้าตำรา “ปากก็พูด...ตูดก็ตด” เอาเลยทีเดียวเชียว!

ขอต่อว่ากันซึ่งๆหน้า ตรงๆอย่างนี้ จะโกรธจะเคืองก็ไม่ว่า... เป็นไง ก็เป็นกัน!!

ถ้าเห็นว่า คนเขียนจงใจกล่าวหากันอย่างผิดๆ ทำให้กองทัพบกเสียหาย ก็ลองให้ผู้อำนวยการสถานีช่อง ๕ นำเทปรายการ “มองรอบดาก” ไปเปิดให้ท่าน ผบ.ทบ. ชมพร้อมกับเจ้ากรมพระธรรมนูญ เพราะนอกจากจะได้พิจารณาข้อเขียนของผมว่า ล่วงเกินกองทัพจริงหรือเปล่า? จะได้พิจารณาพฤติกรรม ของผู้บริหารของ ททบ.๕ ไปพร้อมๆกันด้วย ว่า

การที่ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก กระทำอย่างไม่สมควร ตามที่ผมบรรยายมานั้น...ถูกต้องหรือไม่?

จะดูแล้วดูอีก หรือดูกันสักกี่เที่ยว ก็ไม่เห็นจะผิดกติกาอันใดเลย

ว่าไง...ครับท่าน!!!?

..........................

กำลังโหลดความคิดเห็น