xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 249 “รักต่างวัย แต่หัวใจชิดกัน” (เรื่องหวานๆจาก "Something's gotta give")

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว ขอเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า เพื่อนรุ่นน้องของผมคนหนึ่งซึ่งก็เห็นว่าเขายังหน้าตาอ่อนอยู่ บอกว่ากำลังจะเกษียณเดือนตุลาคมนี้แล้ว ให้รู้สึกตกใจ เพราะคนพูดรุ่นหลังน้องผมอีก แต่ปรากฏว่าต้องไปเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านแล้ว

ให้นึกใจหายว่า เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงหนอ อีกไม่นานคนรุ่นผมก็คงต้องลาโลกนี้ไปกันแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า เพื่อนนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นเดียวกับพ่อของผมผมยังมีชีวิตอยู่อีกตั้งหลายท่าน ที่ยังมีกิจกรรมและยังแสดงความคิดเห็นทางการเมืองสม่ำเสมอ เช่น พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นต้น

ทำให้รู้สึกว่า คงต้องอยู่ต่อไปอีกนานพอสมควร
นักเรียนนายร้อยรุ่นพ่อผมนั้น ออกรับราชการเป็นนายทหารนายตำรวจเร็วกว่าปกติ คือเรียนไม่ครบหลักสูตร เพราะบ้านเมืองอยู่ระหว่างในสงครามมหาเอเชียบูรพา ทางราชการต้องเร่งรัดเอานักเรียนรุ่นพ่อผมให้ออกเป็นนายร้อยตรี ออกสนามรบเต็มตัว
พ่อผมเรียนเหล่าตำรวจพร้อมเพื่อนนายทหาร เพียง ๑ ปี กับ ๖ เดือน ต้องออกมาเป็นรองสารวัตรโรงพักพระราชวัง อายุเพียง ๑๘ ปี กับ ๒ เดือน

เป็นนายร้อยเวร ยังเซ็นสัญญาประกันไม่ได้ เพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ!
เวลาผู้ต้องหาขอประกันตัว พ่อต้องเอาไปให้นายตำรวจรุ่นพี่ เซ็นรับสัญญาประกันแทน พูดไปก็เป็นเรื่องแปลก แต่ตอนสงครามนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

ตอนเขียน ‘กาแฟขม...ขนมหวาน’ ใหม่ๆ แทบจะไม่มีกลิ่นการเมืองเข้ามาปะปนในคอลัมน์นี้ แต่เมื่อนักการเมืองทำเรื่องไม่ถูกต้อง ผมเริ่มขัดเคือง จนมาตบะแตกเอา ‘ยุคทักษิณ’ จนต้องขนานนามรัฐบาลไทยรักไทยของแกว่า เป็น “รัฐบาลทำมาหาแดก” เพราะรับไม่ได้เลยจริงๆ และพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนด้วยข้อเขียนของตัวเองว่า พวกเขาขาดความโปร่งใสในการบริหารบ้านเมือง ด้วยการฉกฉวยโอกาสค้าขายและทำมาหากินเพื่อประโยชน์ของตน ควบคู่ไปกับการบริหารบ้านเมือง โดยอาศัยตำแหน่งแห่งที่เป็นฐาน และเป็นปัจจัยสำคัญเกื้อหนุนค้ำจุนอย่างสำคัญ ทำให้คนอื่นไม่สามารถแข่งขันกับแกและพรรคพวกได้

ที่พูดอย่างนี้ ใครจะลากผมไปโต้เถียงในเวทีไหนก็ไม่ขัดข้อง และยืนยันหนักแน่นว่า
จะไม่เอาความเท็จมาอ้าง หรือใส่ความโดยปราศจากหลักฐาน แต่เถียงผมให้ทันก็แล้วกัน เพราะอยากจะพิสูจน์ให้ผู้คนในบ้านเมือง ได้รับรู้ไปทั่วกัน

นี่พูดจริงๆ ไม่ได้พูดเล่นๆ!

การเขียนของผมที่หักเหออกไปจากแนวทางเดิม จากการเล่าเรื่องราวที่เป็นความรู้ สนุกสนาน มาแบ่งปันให้ท่านผู้อ่านทุกอาทิตย์ ต้องกลับกลายมาเป็นเขียนแบบ ‘คุ้มดีคุ้มร้าย’ผมต้องโทษพวกนักการเมืองทั้งหลาย ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล รวมทั้งพวก ส.ว.ทั้งหลายเป็นเหตุสำคัญ เพราะพฤติกรรมของคนพวกนี้ มีหลายเรื่องที่อย่าว่าแต่ผมเลย แม้ชาวบ้านธรรมดาก็รับไม่ได้ทั้งนั้น แต่มารู้สึกตัวเองเหมือนถูกกระตุกเอาอย่างแรง จนทำให้ตระหนัก ว่า

ตนเองนั้นออกนอกแนวทาง ที่ตั้งเอาไว้ตั้งแต่เริ่มเขียน ก็ตอนเห็นข้อความที่โพสท์เข้ามาโดยคุณ Down Under ความเห็นที่ ๕ ในกาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๔๖ “คุกตะรางไม่ได้มีไว้ขังหมา!” (ฤาทักษิณจะทับรอย กกต.) ความว่า

“I have been missing your miscellaneous articles ka such as music or movies or books. Lately, you always talk about politic. I have just watched "Something's gotta give" and I was really impressed with this kind of theme. Have you ever watched it ka?”
ต้องเรียนคุณดาวน์อันเดอร์ว่า ไม่ได้อยากออกนอกแนว แต่ทำอย่างไรได้ เรื่องการเมืองมันอยู่ใกล้ตัวและลูกหลานของเรา ยิ่งเหตุการณ์บ้านเมืองไม่ปกติแบ่งขั้วแบ่งฝ่าย ตึความเอาประโยชน์เข้ากลุ่มของตน จนอยากจะเขียนวิจารณ์บ้านเมืองเป็นรายวันด้วยซ้ำไป เขียนเมื่อไหร่คงมีคนกระอักออกมาเป็นโลหิต อีกหลายคนทีเดียว

วันนี้ขอหมุนกลับมาแนวทางเดิม เป็นการตอบแทนเอาใจแฟนอย่างคุณดาวน์อันเดอร์ และเพื่อยืนยันว่าตัวเองนั้น ชอบเขียนแนวนี้มากกว่าการเมืองเรื่องเฮงซวยจริงๆ

ตัวคนเขียนเองเป็นคนชอบดูหนังดูละครมาตั้งแต่เด็ก เพราะบ้านผมตั้งอยู่ที่ถนน
พาหุรัดย่านบ้านหม้อ ใกล้ทั้งโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุงและศรีอยุธยา จึงมีโอกาสดูทั้งละครและภาพยนตร์จากสองโรงนี้บ่อยครั้ง
หากวันไหนอยากดูหนังหรือละครที่เฉลิมนคร ก็นั่งรถรางจากหน้าบ้านไปหน่อยเดียว หรือจะไปดูละครเฉลิมไทย คุณยายก็ให้คนพานั่งสามล้อไปดู เลยรู้จักทั้งดาราหนังและดาราละครมาตั้งแต่ชั้นประถม

ไม่ใช่แค่รู้ว่าใครเป็นใครตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่รู้จักตัวเลยทีเดียว
พอออกเป็นนายตำรวจ อยู่สถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง ซึ่งผมเกิดในโรงพักนี้ในห้องพักของพ่อซึ่งเป็นนายตำรวจประจำโรงพัก ห้องนี้อยู่ตรงข้ามโรงเรียนราชินีพอดี เหตุที่เกิดในสถานีตำรวจ เพราะแม่ที่เพิ่งกลับจากดูละครมาดึก ไปโรงพยาบาลไม่ทันผมคลอดออกมาเสียก่อน และเป็นท้องที่โรงพักพระราชวัง ซึ่งก็มีโรงหนังหลายโรง มากกว่าท้องที่อื่น อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางความบันเทิงอยู่ที่วังบูรพา ศัพท์คำว่า “โก๋หลังวัง” ก็เกิดขึ้นที่นี่

นอกจากได้ดูหนังมากแล้ว ยังมีพรรคพวกที่อยู่ในวงการอีกไม่น้อย ที่คนรู้จักมากหน่อยเห็นจะเป็น ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล หรือ “ท่านมุ้ย” คนนี้แหละครับ ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เคยเอากระดาษมาวาดเป็นภาพ ตัดตามขอบรูป และเอาไฟฉายส่องเข้าผนังเป็นเงา แล้วช่วยกันพากย์ตามไป หนังก็เรื่องเป็นราว...สนุกดีออก!

ทุกวันนี้ก็เถอะ ยังชอบความบันเทิงในเรื่องการดูภาพยนตร์ ละคร ศิลปการแสดงต่างๆ คอนเสิร์ตและยังแวะเวียนไปดูเมื่อมีโอกาส โดยเฉพาะโอเปร่าไม่เคยขาดถ้าไม่จำเป็นจริงๆ และเขียนชักชวนให้ท่านผู้อ่าน ไปสนับสนุนการแสดงของคณะบางกอกโอเปร่าเสมอ เพราะใจชอบเรื่องของดนตรี ศิลปการแสดงมาตั้งแต่เด็ก และการดูหนังละครและการแสดงต่างๆนี้เอง ทำให้ได้รับความรู้ ซึ่งมีส่วนทำให้การมองโลกของตัวเองกว้างขวางออกไป

เรื่อง Something’s Gotta Give ที่คุณดาวน์ อันเดอร์บอกมานั้น ผมมีโอกาสได้ดู และบทอย่างนี้ แจ็ค นิโคลสัน (Jack Nicholson) ถนัดนัก คุณแจ๊คเล่นบทหนุ่มใหญ่แล้วมีความรัก ดูอย่างเรื่อง As Good As It Gets ที่นิโคลสันเล่นเป็นนักเขียนจอมโอหัง แต่ต้องมาศิโรราบกับสาวเสิร์ฟลูกติดอย่าง เฮเลน ฮันท์ (Helen Hunt) แถมเด็กยังป่วยด้วยซ้ำไป แต่บทในเรื่องทั้งสองแตกต่างกันออกไป เพราะตอนจบของ As Good As It Gets นั้นจบด้วยความสุขสมหวังของชายสูงอายุ ซึ่งเป็นนักเขียน สวมบทโดยพระเอกคนเดียวกันทั้งสองเรื่อง แต่ Something’s Gotta Give นั้น ดูออกจะเล่นง่ายกว่ามาก และบทที่ใช้วาจาเชือดเฉือนยังเป็นรองด้วย

ใน Something’s Gotta Give นั้น แจ๊ค นิโคลสัน เล่นเป็น แฮรี่
แซนบอน (Harry Sanborn)
ชายสูงอายุวัยเกิน ๖๓ ปี ยึดหลักเกณฑ์ไม่เดทกับสาวอายุต่ำกว่า ๓๐ (น่าจะเอาอย่างบ้างจัง!) แต่ไม่เคยตกล่องปล่องชิ้นกับสาวคนไหน ใช้ชีวิตอย่างเพลย์บอยเรื่อยไป จนไปเป็นแฟนกับสาววัยยี่สิบเศษๆ อย่าง มาริน (Marin) แสดงโดย อมาดา พีท (Amanda Peet) สาวสวยวัยเบญจเพสที่น่ารักมาก เธอหลงรักเพลย์บอยที่ บุคลิกดีอย่างแฮรี่ แซนบอน แม้อายุเขาจะมากไปสักนิด

ผู้ชายมาดดีแบบนี้ ต่อให้มีอายุมาก สาวๆวัยคราวลูกหลานมาติดก็แยะไป!
สาวเจ้าพาชายวัยเลยเกษียณ ไปเที่ยวบ้านชายหาดที่ Hamptons ของมารดา ชื่อเอริกา แบรี่ (Erica Barry) แสดงโดย ไดแอน คีตัน (Diane Keaton) เธอหย่าแล้ว แต่ประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนบทละครบรอดเวย์

คุณเอริกามีบุคลิกที่เข้มแข็ง เป็นตัวของตัวเอง เธออายุแค่ ๕๐ อ่อนกว่าเพลย์บอยแฟนลูกสาวหลายปี ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพรรคพวกผมรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างน้อย ๒ คน แต่งงานใหม่อีกครั้ง พวกเขายังแก่กว่าแม่ยาย เกิน ๑ รอบด้วยซ้ำไป

เมื่อพบกันใหม่ๆแฮรี่กับคุณแม่แฟนรุ่นเยาว์ เข้ากันไม่ค่อยดีนัก เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่อยากที่ลูกเขยที่แก่กว่าตัวเอง แต่เรื่องเริ่มมาอลวนตอนที่ คุณแฮร์รี่แฟนลูกสาวเกิดหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งคุณเอริกาต้องดูแลแฟนรุ่นอาวุโสของลูกสาวแทน โดยมีคุณหมอ
จูเลี่ยน เมอร์เซอร์ (Julian Mercer) รูปหล่อมาก แสดงโดยพระเอก คีนู รีฟ (Keanu Reeves) เป็นคนรักษา

หมอหนุ่มรูปหล่อ ดันมาถูกใจคุณเอริกา ซึ่งอายุมากกว่าหลายปีเสียอีก!

เรื่องนี้ทำท่าจะเป็น ‘รักต่างวัยแต่ใจตรงกัน’ ถึงสองคู่ แต่โชคชะตาพลิกผัน กลับกลายเป็นคนมีอายุแล้วมาสวีทหวานแหววกัน คนที่เป็นแม่อย่างคุณเอริกา ตกหลุมรักกับ
เพลย์บอยสูงอายุ คู่ปิ๊งของลูกสาวอย่างคุณแฮรี่ ...ตูมใหญ่...เลยทีเดียว!

เรื่องนี้ไม่ลงเอยอย่างแฮบปี้เอนดิ้ง ถูกใจคนดูอย่าง As Good As It Gets เพราะคุณแฮรี่แกก็ไม่สามารถเลิกชีวิตเพลย์บอย มาลงหลักปักถ่อกับคุณเอริกา ต่างคนก็กลับไปใช้ชีวิตกันอย่างเดิม ทิ้งไว้แต่ความรักที่ยังติดไปในหัวใจของคนทั้งคู่
คงมีความลำบากอยู่เหมือนกันนะ ที่ให้คนไม่เคยแต่งงาน หรืออยู่คนเดียวมานานๆ พออายุเข้าเลข ๕ แล้ว จะแต่งงานยาก

มีนายตำรวจที่สนิทกัน อายุตอนนี้ก็อีก ๕ ปีจะเกษียณ รูปร่างหน้าตาก็ดี ไม่ได้เป็นเกย์ นิสัยเยี่ยมลูกน้องรัก ความรู้ก็ดีได้ปริญญาโทจากเมืองนอก แถมตระกูลยังร่ำรวยเอามากๆด้วย

พอถามว่าทำไมเอ็งถึงยังไม่แต่งงาน เขากลับตอบว่า รู้สึกแปลกทุกครั้ง ที่ตื่นนอนตอนเช้ามาแล้วเห็นผู้หญิงนอนข้างๆแล้วมาเดินมาเหิน เข้าห้องน้ำ ชงกาแฟ ทำอะไรต่อมิอะไรในบ้านของเขา ซึ่งตัวเจ้าของบ้านเขาไม่เคยชิน จนรู้สึกรำคาญ
...เป็นอย่างนั้นไปเสียอีก!

เมื่อก่อนนี้ไม่ค่อยเห็นคนที่กำลังจะเกษียณอายุแต่งงาน แต่ประมาณ ๑๐ ปีมานี้ ชักจะเห็นมากขึ้น นายทหารรุ่นพี่ยศพลเอกระดับ ‘ห้าเสือ ทบ.’ รุ่นพี่ ๓ ปี ซึ่งเป็นอาจารย์ผมในโรงเรียนเสนาธิการทหารบกด้วย แต่งงานก่อนเกษียณอายุไม่กี่เดือน หรืออย่างรัฐมนตรีมหาดไทยปัจจุบัน ซึ่งเรียนเตรียมทหารหลังผมหลายรุ่น ไม่เห็นกันในโรงเรียนเลยไม่รู้จักกัน แต่งงานตอนเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ ก่อนเกษียณสัก ๑ ปี กับเจ้าสาวของท่านที่ผมรู้จัก ซึ่งเธอก็อายุพอสมควร แต่ผมก็ยังเห็นหวานชื่นกันดี น่าดีใจแทน

เคยถามเพื่อนรุ่นใกล้เคียงกัน ส่วนใหญ่เป็นพ่อม่าย หรือไม่เคยแต่งงาน แต่เคยอยู่กินกับผู้หญิง ตอนนี้เป็นอิสระ คำตอบที่ได้รับคือ

หากเลือกได้คงจะต้องแต่งงานกับสาวใหญ่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หรือสาวที่มีอายุน้อยกว่า
ร้อยก็เกือบทั้งร้อยบอกว่า อยากได้คนอายุน้อยกว่าทั้งสิ้น!

ดูไปแล้ว เรื่องความแตกต่างกันในเรื่องอายุ ไม่น่าจะเป็นปัญหา เรื่องสำคัญอยู่ที่
“รักกันหรือเปล่า?” เท่านั้นจริงๆ
หากไม่รัก ก็ป่วยการที่จะอยู่ด้วยกัน

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น น่าจะอยู่ที่คนรอบคู่แต่งงานเสียมากกว่า เรียกว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวเป็นพิษก็น่าจะได้ นับตั้งแต่ญาติ ลูกๆที่เกิดจากแม่คนก่อนๆ หรือไม่ก็พวกขี้อิจฉา มองคนในแง่ไม่ดี ชอบนินทา พอเห็นเข้ามันกระแนะกระแหนว่า แก่แล้วยังไม่เจียม ตอนนี้แต่งงานมีเมียสวย สงสัยชาติก่อนคงเป็นญาติกับชูชก!
คนพูดอย่างนี้ น่าจะ ‘ชู’ หมัด แล้ว ‘ชก’ ปากตูมเข้าให้สักที คงจะดี!!

คนปากไม่ดีที่พูดอย่างนั้น เจ้าตัวคงไม่รู้ว่า นางอมิตดาเมียชูชกนั้นอายุแค่สิบหก สวยและทำงานบ้านเก่งด้วย ปรนนิบัติผัวเฒ่าอย่างดีเลิศ แม้ชูชกจะอัปลักษณ์ด้วยรูปแห่งโทษถึง ๑๘ ประการก็ไม่ได้มีความรังเกียจรังงอน จนนางพราหมณีคนอื่นถูกผัวด่าเช้าด่าเย็น ให้เอาอย่างนางอมิตดา พวกเมียพราหมณ์คนอื่นไม่พอใจ เลยรุมด่านางตอนเธอไปซักผ้าที่บ่อน้ำประจำหมู่บ้าน จนทนไม่ไหวและไม่ยอมทำงานบ้านอีกต่อไป ขอให้ตาเฒ่าไปขอกัณหาและชาลี จากพระเวสสันดรมาเป็นคนรับใช้ ขนาดนั้นเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ท่านที่กำลังจะเกษียณอายุ และอยากแต่งงานใหม่ ขอจงทำใจหนักแน่นให้มากๆ  ทำเป็นหูทวนลมเสียบ้างได้ก็จะดี หรือไม่ขอให้ด่าคนพูดกลับไปตรงๆ จะโกรธกันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพราะอายุเราก็ไม้ใกล้ฝั่งแล้ว อีกไม่กี่ปีเราก็คงจะไปจากโลกนี้ไปแล้ว ถึงจะโกรธกับใครบ้างสักคนสองคน คงไม่หนักหนาสักเท่าไหร่หรอกน่า

ฉะนั้น สิ่งใดที่เป็นความสุขของตัวเอง ทำแล้วก็ไม่ได้หนักหัวกบาลใคร ไม่มีคนไหนเดือดร้อน ก็ควรหยิบฉวยเอาไว้ไม่ต้องไปรอช้า
ไม่เห็นจะผิดกติกาตรงไหนเลย!
ผมจึงขอสนับสนุนและให้กำลังใจอย่างเต็มที่ ต่อทุกท่านที่กำลังจะแต่งงานใหม่ ขออำนวยอวยพรให้มีชีวิตแต่งงานใหม่ ที่ดีกันถ้วนหน้า!!

ก่อนจบคอลัมน์ในวันนี้ มีเรื่องเล่าให้ท่านผู้อ่าน และคุณ Down Under แฟนคอลัมน์ ที่กรุณาโพสต์จากออสเตรเลีย ฟังต่ออีกสักนิด ว่า

เมื่อผมดูหนังเรื่อง Something’s Gotta Give แล้ว เห็นพระเอกในเรื่องเขาไม่สามารถสลัดคราบเพลย์บอย และการใช้ชีวิตแบบชายชอบสนุก จนไม่อาจก้าวพ้นหรือสลัดการใช้ชีวิตเดิมๆให้พ้นออกไปได้ ทำให้ผมนึกไปถึงภริยาของรุ่นน้อง ซึ่งมีฐานะร่ำรวยระดับเศรษฐีนี เธอพูดถึงสามีที่ไม่ยอมเลิกนิสัยเพลย์บอย ที่กลายเป็นสันดานถาวรไปแล้ว อย่างปลงๆว่า
“นิสัยของแฟนหนูเขา เหมือน ‘หมา’ ค่ะ !”

ผมตกใจพูดเสียงดุออกไปว่า ทำไมเราไปเปรียบเทียบสามีอย่างนั้น ช่างไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย เธอก็แก้ว่า

คุณสามีตัวดีของเธอ ชอบไปสร้างความสัมพันธ์มีเรื่องรักๆใคร่ๆกับสาวๆเป็นนิจ ถึงแม้ตอนนี้อายุจะเลขห้าปลายๆแล้วก็เถอะ เพลย์บอยวัยใกล้เกษียณยังหาลดละกิจกรรมตามนิสัยที่ติดมาตั้งแต่ครั้งเป็นหนุ่มไม่ได้ นำมาซึ่งความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับแม่บ้านเสมอ
ฝ่ายภริยาให้เหตุผล ที่คมคายน่าฟัง ว่า
“ที่หนูเปรียบว่าผัวหนูอย่างนั้นก็เพราะว่า หมาที่บ้านถึงเราจะขุน จะเลี้ยง จะดูมันให้ดี สักเท่าใดก็ตาม...”

ทอดจังหวะเล็กน้อย แววตาดูกร้าวก่อนจะกล่าวขึงขัง ที่เสียงฟังเหมือนเป็นการประกาศมากกว่าการสนทนากันตามธรรมดา เพราะเธอพูดหนักแน่นเฉียบขาด ด้วยเสียงดังฟังก้องกังวานสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ ว่า

“มันก็อดกิน ‘ขี้’ ไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ...คุณพี่เจ้าขา!!”

........................

กำลังโหลดความคิดเห็น