xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 247 ‘เหี้ยแตกรัง’ สัญญาณอุบาทว์ทางการเมือง!

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว นั่งดูโทรทัศน์เขาออกข่าวเรื่องการจับหมาใน ที่หลุดออกมาจากไนท์ซาฟารี สถานที่ซึ่งผมมีโอกาสไปแค่ครั้งเดียว บอกตรงๆ ว่ารู้สึกไม่ค่อยจะประทับใจนัก เพราะไม่ได้มีสัตว์มากมายอย่างที่คิด สภาพของสวนสัตว์ก็ดูหงอยเหงาเซื่องซึม สัตว์ที่บอกว่านำมาจากซาฟารีที่มองเห็นได้ แต่ดูเหมือนไม่ค่อยเคลื่อนไหว ไม่มีชีวิตชีวา สัตว์ยืนเกาะกันเป็นหมู่บ้าง เดี่ยวบ้าง คล้ายกับว่าซังกะตายหรือคิดถึงบ้านเกิดของมันที่อัฟริกาก็ไม่ทราบ เห็นแล้วก็น่าเวทนา ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้คนเขาดูกัน แต่ดูไปแล้วผมว่า ไปเที่ยวเขาใหญ่สมัยก่อน ที่ทาง อสท.เจ้าของสถานที่สมัยนั้น เขาจัดให้มีรายการส่องสัตว์ยังน่าดูเสียกว่าด้วยซ้ำไป

วันที่เข้าไปดู บรรยากาศภายในไนท์ซาฟารีก็ค่อนข้างเงียบเหงา อาจเป็นเพราะไม่ใช่วันหยุดก็เป็นได้ ตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่ที่พาผมไปเขาบอกว่า

ตอนเปิดและให้คนเข้าดูฟรีนั้น คนค่อนข้างจะแน่นมาก แต่พอเก็บสตางค์แล้ว กลับมีคนเข้าเบาบาง ไม่สามารถเรียกคนได้มากอย่างที่คิดกัน อาจเป็นเพราะราคาเข้าชมค่อนข้างจะสูงสำหรับคนเชียงใหม่ แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวก็พอทำเนา เพราะเมื่อมาเที่ยว ‘พิงคนคร นามกรสมนามเชียงใหม่’ แล้ว ก็ต้องขอไปดูสักครั้งหนึ่งในชีวิตก็ยังดี จะได้เก็บเอาไปคุยโม้กับพรรคพวกได้

ผมว่าคนที่ไปเที่ยวเชียงใหม่แล้วมีเวลาน้อย ควรจะไปแวะดูหมีแพนดา คุณช่วง ช่วง กับ คุณหลินฮุ่ย ที่สวนสัตว์เชียงใหม่เดิม อยู่ตรงเชิงดอยสุเทพติดกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมีทั้งสองน่ารักมาก เป็นขวัญใจของเด็กๆรวมทั้งผู้ใหญ่อย่างผมด้วย

ไปดูหมีแพนดาน่าจะดีกว่าไปดูไนท์ซาฟารีเสียอีก เพราะตอนนี้สวนสัตว์เชียงใหม่เขาปรับปรุงดีขึ้นมาก ลูกเด็กเล็กแดงไปกันเต็มในวันหยุด แม้แต่วันธรรมดาก็มีนักท่องเที่ยวเข้าชมเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

คุณช่วง ช่วง กับ คุณหลินฮุ่ย เป็นทูตสันถวไมตรีจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จะอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่เป็นเวลา ๑๐ ปี ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๔๗ ถึง ๒๕๕๗ เท่านั้น ทั้งสองนี้น่ารักมากผมดูหลายครั้งแล้ว แต่ใครชวนไปอีกก็ตามไปดูทุกครั้ง ใครที่ยังไม่เคยเห็นควรจะไปดูเดี๋ยวคุณหมีทั้งสองกลับไปเมืองจีนแล้วเลยอดดูกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อลงทุนและสร้างไนท์ซาฟารีขึ้นมาในเมืองเชียงใหม่แล้ว ก็จำเป็นต้องลากถูกลู่ถูกังกันไป เพราะลงทุนมากตั้งหนึ่งพันล้านแล้ว ดีหรือไม่ดีหรือจะขาดทุนสักเท่าใดนั้น ไม่น่าจะเป็นปัญหา ยังไงรัฐบาลก็เป็นเจ้าของ ต่อให้ขาดทุนก็ยังจัดหางบประมาณมาเกื้อหนุนกันไป อีกทั้งยังเป็นบ้านของทักษิณเองด้วย ขืนปล่อยให้เจ๊งคามือ เดี๋ยวคนเขาจะต่อว่าเอาได้

ไม่กี่วันก่อนได้ขับรถพาพวกสาวๆ ชาวกรุง ไปเที่ยวกันที่การไฟฟ้าแม่เมาะ ได้เห็นความเจริญก้าวหน้าของโครงการ ก็ให้รู้สึกดีใจ เพราะเคยเข้ามาตอนที่มีข่าวว่าชาวบ้านซึ่งเดิมได้รับมลพิษจากการทำเหมือง เพื่อการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งถ่านหินของประเทศ

บัดนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่เดิมก็ได้รับการเยียวยาจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จนชีวิตกลับคืนสู่ปกติจนดีกว่าเดิมแล้ว แหล่งน้ำที่เกรงว่าจะได้รับการปนเปื้อนจากสารพิษ ก็ได้รับการบำบัดจนสะอาดและมีคุณภาพดีมาก จนชาวบ้านสามารถใช้แหล่งน้ำเป็นที่เลี้ยงปลาเพื่อขาย เป็นอาชีพเสริมได้ รวมทั้งทาง กฟผ.ก็ได้สนับสนุนโครงการต่างๆของท้องถิ่น จนชีวิตคนที่นั่นมีความสะดวกสบายอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ นอกจากนั้นโครงการนี้สามารถผลิตไฟฟ้า เพื่อเพิ่มพลังการผลิตไฟฟ้ารวมของชาติ ได้ตามความมุ่งหมายเดิมทุกประการ

ต้องขอชมเชยท่านผู้บริหารทั้งหลายของการไฟฟ้า ที่มีความสามารถพลิกสถานการณ์จากร้ายให้กลายเป็นดีได้ ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีเท่านั้น

โดยส่วนตัวนั้น ผมเชื่อมั่นในศักยภาพการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย เพราะองค์กรของชาติแห่งนี้ เต็มไปด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพ ซึ่งไม่มีความจำเป็นใดเลยทีจะเอาไปแปรรูป เพียงเพื่อสร้างความร่ำรวยให้กับนักการเมืองและสมัครพรรคพวก เหมือนอย่างที่ได้ปรากฏให้เห็นกันหยกๆ ทั้งๆที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตนั้น มีกำไรมาโดยตลอด จนผ่านจุดคุ้มทุนไปเรียบร้อย สามารถส่งเงินเข้าคลังกว่า ๔๐ ปีมานี้ ก็หลายหมื่นล้านบาทแล้ว

การทีเราจะขายไปเพื่อหาเงินทุนมาขยายกิจการนั้น เพราะ กฟผ. นั้นใครเขาก็อยากให้กู้ทั้งนั้น ฟังไม่ขึ้นเลย เพราะกิจการพลังงานนั้นเป็นเรื่องความเป็นความตายของชาติ ต้องให้อยู่ในมือของรัฐโดยเด็ดขาด และการแปรรูปการไฟฟ้านั้น ศาลปกครองท่านก็ตัดสินออกมาว่ามีเงื่อนงำ มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างเห็นได้ชัดเจน และตำรวจส่งเรื่องไปยังที่ ปปช. แล้ว

ต้องมีคนเข้าคุกกันบ้าง!

ณะขับรถกลับจากแม่เมาะ เพื่อจะเข้าไปในอำเภอเมืองลำพูน เพื่อหาซื้อของกินมื้อเย็นก่อนกลับเข้าบ้าน สาวๆที่นั่งมาในรถเห็นควายฝูงหนึ่งประมาณ ๓๐ ตัว เห็นจะได้ถามผมว่า

“คุณลุงขา ทำไมควายพวกนั้นตัวเล็กจังคะ?”

ผมอธิบายว่า ควายฝูงนั้นเป็นควายชาวบ้าน มันคงจะผสมพันธุ์กันในหมู่พวกเดียวกัน ไม่มีการผสมข้ามพันธุ์ ตัวมันจึงเล็ก และอธิบายต่อว่า

หากสัตว์ประเภทเดียวกัน ถ้ามีการผสมข้ามสายพันธุ์ สัตว์นั้นก็จะได้รับการพัฒนาให้แข็งแรงขึ้น ยกตัวอย่างเช่นวัวพื้นเมือง ไปผสมกับพ่อพันธ์ที่มาจากต่างประเทศ เช่นพันธุ์บราซิลเลี่ยน ลูกออกมาตัวก็จะใหญ่โตขึ้น ควายก็เหมือนกัน

สาวๆ ถามต่อ

“แล้วทำไมเราไม่ให้สัตว์แพทย์ มาช่วยผสมพันธ์ให้ตัวมันโตขึ้นล่ะคะ?”

ตรงนี้เป็นประโยคที่ผมเอง ก็เคยถามผู้รู้ท่านอื่นมาแล้ว คำอธิบายมีอยู่ว่า จำนวนสัตว์แพทย์ของทางการนั้นมีอยู่น้อย ถ้าเราเอาน้ำเชื้อสายพันธุ์ดีมาผสมให้กับวัวควายชาวบ้าน ถึงเวลาสัตว์จะตกลูก จำเป็นต้องมีสัตว์แพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะหากการดูแลไม่ดี ลูกวัวหรือควายเกิดมาอาจตาย หรือแม่วัวหรือแม่ควายมดลูกแตก ช้ำหรือเสียหายหนัก เราก็เสียแม่วัวแม่ควายไปเลยเพราะไม่สามารถมีลูกอีกได้ เนื่องจากมดลูกไม่สมบูรณ์แข็งแรงแล้ว หรือถ้าเกิดตั้งท้องอีก ตอนตกลูกอาจได้อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่าย

ดังนั้น การผสมข้ามสายพันธุ์ จะต้องทำในฟาร์ม หรือสหกรณ์ผู้เลี้ยงวัวหรือควาย ที่มีสัตว์แพทย์ประจำ เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้วัวควายชาวบ้านไม่มีการพัฒนา ส่วนใหญ่แล้วตัวก็จะเล็ก การผสมข้ามสายพันธุ์จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

อย่าว่าแต่สัตว์เลยครับ แม้แต่คนไทยที่แต่งงานกับฝรั่ง บรรดาลูกครึ่งที่ออกมา ส่วนใหญ่ก็มีร่างกายกำยำ สูงใหญ่กว่ามาตรฐานคนไทยกันแทบทั้งนั้น!

อย่างไรก็ดี สัตว์ประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน อาจผสมพันธุ์กันได้ แต่ลูกออกมาเป็นหมันหมด เช่นเป็ดไทยผสมกับเป็ดเทศ ลูกออกมาเป็นเป็ดโป๊ยฉ่ายหรือปั๊วฉ่าย ที่เคยครองแชมเปี้ยนเป็ดพะโล้ของเราอยู่ยาวนาน จนเสียแชมป์ให้กับพวกเป็ดเชอรี่ซึ่งเนื้อแยะ ที่มาทีหลังแต่ดังกว่า

เป็ดโป๊ยฉ่าย (Mule Duck) เป็นเป็ดที่เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างเป็ดเทศตัวผู้กับเป็ดพันธุ์ไข่ หรือพันธุ์เนื้อทั่วๆ ไป ลูกผสมที่เกิดมาจะเป็นหมัน ไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ เนื่องจากว่าเป็ดเทศและเป็ดพันธุ์ไข่หรือเป็ดพันธุ์เนื้อทั่วๆ ไป เป็นคนละสกุล (genus) จึงมีจำนวนโครโมโซมไม่เท่ากัน ลูกผสมที่ได้จึงเป็นหมันไม่สามารถขยายพันธุ์ได้ ทุกตัวก็เป็นหมันหมด เช่นเดียวกับม้ากับลา ผสมกันออกมาเป็นล่อ ซึ่งลูกล่อที่ออกมาทุกตัวทุกตัวออกมา ก็เป็นหมันหมดเช่นกัน

การที่เราเอาสัตว์ประเภทเดียวกัน จากแหล่งที่สายพันธุ์ต่างกันมาผสมกัน เช่นเป็ดเทศกับเป็ดไทยออกมาเป็นเป็ดโป๊ยฉ่าย ก็มีความประสงค์ที่จะเอามาเพื่อคุณภาพในการบริโภค

ส่วนม้าผสมกับลาออกมาเป็นล่อ สัตว์ชนิดนี้สามารถบรรทุกของหนักได้เหมือนลา แต่อาจไม่เท่าลา และวิ่งเร็วกว่าลา แต่ก็ไม่เท่าม้า

สัตว์อย่างล่อนี่มีประโยชน์มาก เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น ประเทศกรีซซึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามค่อนข้างมาก ก็ได้รับการบริจาคล่อจากรัฐบาลอเมริกันจำนวนมาก ทำให้ชาวกรีซสามารถใช้ล่ออเมริกัน เป็นสัตว์ที่ช่วยพลิกฟื้นการทำไร่นาทำไร่ทำนา เป็นสัตว์ต่างและสัตว์พาหนะ ทำให้ชีวิตค่อยดีขึ้น

อาจกล่าวได้ว่า ล่ออเมริกันเป็นสัตว์ที่มีคุณค่าอย่างสูง และช่วยทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของกรีซเงยหัวขึ้นมาได้ หลังจากหายนะที่ได้รับจากสงครามอันไม่พึงปรารถนา จนมีการทำภาพยนตร์สารคดี สรรเสริญความสามารถและความดีของพวกมันเลยทีเดียว

เมืองไทยนั้น เราก็มีการผสมพันธุ์สัตว์ประเภทนี้ เอาไว้ใช้ในราชการสงคราม หรือเป็นสัตว์ต่างและสัตว์พาหนะสำหรับทหาร ใครสนใจลองไปขอดูที่ ‘กองพันสัตว์ต่าง’ ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ก็ได้

มีข้อสังเกตอยู่ประการหนึ่ง คือสัตว์ต่างชนิดกัน หรือคนละชนิดกัน ไม่สามารถสมกันออกมาได้ เช่นลิงไม่อาจผสมพันธ์กับจระเข้ได้ หรือหมาไม่สามารถผสมกับช้าง มีลูกออกมาเรียกว่า “ม้าง” หรือ “ฉา” หรือคนไม่สามารถไปมีเพศสัมพันธ์กับยุงจนออกลูกมา เรียกว่า “คุง” หรือ “ยน” ได้ เพราะธรรมชาติจำกัดเอาไว้ ซึ่งเรียกว่าเป็น Natural Limitation นั่นเอง มิฉะนั้นโลกของเรา คงจะเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดจำนวนมาก

นานๆทีจึงมีสัตว์ประหลาดอุบัติให้เห็น ที่หนังสือพิมพ์เขาเอามาลงไวๆนี้ ที่ตัวเป็นเป็ดตีนเป็นไก่ ผมยังงงอยู่เลยว่า ไก่ตัวผู้มันทะลึ่งไปทับเป็ดตัวเมีย หรือว่าเป็ดตัวผู้มันหน้ามืดไปทับไก่ตัวเมียเข้ากันแน่!

ดูแล้วผมสงสัยเหลือเกินว่า เจ้าสัตว์ตัวนี้จะว่ายน้ำได้หรือไม่? เพราะแค่เห็นมันผมก็คิดว่า เวลาลงน้ำพอจะว่าย หัวมันต้องทิ่มน้ำแน่ๆ เพราะตีนไม่มีพังผืดแบบเป็ด มันจะพุ้ยน้ำไม่ได้เนื่องจากมีตีนแบบไก่ น่าจะขาดการทรงตัวที่ดี!!

ที่ปรึกษาตัวกลั่นของผู้นำประเทศอะไรจำไม่ได้ ที่เอาความคิดตนครอบกบาลนายกตัวเองได้อย่างแน่นเหนียว อ่านหนังสืออะไรมา ก็เอาย่อให้นายตัวเองนำออกมาอวดอ้างกับลิ่วล้อร่วมแก๊งว่า ตัวผู้นำก็อ่านหนังสืออย่างนี้ เป็นการแสดงภูมิว่าตนเป็นผู้มีปัญญามาก และทำเป็นอ่านชวนให้คนอื่นอ่านด้วย จนนักการเมืองที่หลุดจากการเป็นรัฐมนตรีร่วมก๊วน นำออกมานินทาให้คนขำกันเล่น

ใครจะรู้บ้างหรือเปล่าว่า เจ้าที่ปรึกษา ‘หัวอั้งม้อ’ คนนี้ มีนิ้วเท้าติดกันเป็นพืด ผู้คนเขาเลยเรียกมันว่า

“อาจารย์เป็ด!!! ”

ขึ้นต้นคอลัมน์ฉบับนี้ ด้วยเรื่องไนท์ซาฟารีแล้ว ท่านผู้อ่านคงได้ทราบข่าวว่า หมาใน (สะกดด้วย ‘ไม้ม้วน’ จึงจะถูกต้อง อย่าใช้ ‘ไม้มลาย’ตามหนังสือพิมพ์ทุกฉบับใช้) ของสวนสัตว์แห่งนี้ที่เรียกว่า “หมาป่าคานาเดียนสีเทา” หรือ Canadian Grey Wolf เพศเมีย หลุดออกจากสวนสัตว์เป็นเวลานานนับเดือน แล้วมีข่าวออกมาว่าจับตัวได้แล้ว บรรดานักอนุรักษ์ต่างๆ ก็ออกมาตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นการจัดฉากนั้น
ปรากฏว่าหลังจากจับตัวได้ ผมเห็นทางโทรทัศน์หมาที่น่าสงสารนั้น มีท่าทีหวาดระแวง แววตาตื่นกลัว ผอมโซ และตามตัวมีบาดแผล และอวัยวะเพศ ‘เยิน’ มาเลย (ข่าววิทยุเขาว่าอย่างนั้นจริงๆ) ข่าววิทยุรายงานว่าคงเกิดจากการร่วมเพศกับสุนัขบ้าน แต่ผมว่าถ้าถึงขนาด ‘เยิน’ มาอย่างที่ข่าวเขาว่ากัน มันน่าจะถูกหมาบ้านช่วยกันลงแขก หรือไม่ก็ต้องถูกฝูงหมาหมู่รุมข่มขืนเสียมากกว่า

ลูกน้องของผมคนหนึ่งออกความเห็นแหลมคมว่า พวกหมาหมู่กับหมาบ้านมันคงคิดแบบคน พอมีหมาคานาเดียนพลัดเข้ามา ก็เหมือนกับว่ามี ‘แหม่ม’ หลงเข้ามาในหมู่บ้านอย่างนั้นเลยทีเดียว เลยต้องบอกคนพูดไปแรงๆ ว่า

“เอ็งนี่เก่งนะ คิดแทนหมาได้ แต่คิดแทนเมียไม่ได้!”

อย่างไรก็ตาม หากหมาตัวนี้เกิดตั้งท้องขึ้นมา น่าจะเก็บลูกของมันเอาไว้ เผื่อจะได้สายพันธุ์ที่ดีขึ้นมาอีกก็ได้ ผมเองก็อยากดูเหมือนกันว่า หน้าตามัน และนิสัยใจคอจะเป็นอย่างไร?

นิสัยหมาที่ออกมา มันจะขี้โกงเหมือนพวกนักการเมืองจน ‘เสียหมา’ หรือไม่?

คุณปลอดประสพครับ กรุณาอย่าเพิ่งให้ใครไปทำแท้งมันเสียก่อนล่ะ...ขอร้องครับ!

คอลัมน์ ‘กาแฟขม...ขนมหวาน’ นี้หากท่านติดตามมาตั้งแต่ต้น หรือหากเคยอ่าน “กาแฟขม...ขนมหวาน เล่ม ๑” จะเห็นได้ว่าผมเคยพูดเรื่องสัตว์ทั้ง หมู หมา กา ไก่ หนู เสือ ลิง ค่าง บ่าง ชะนี เยอะแยะรวมทั้งเคยเล่าเรื่อง ‘เป็ด’ กับ ‘ตูดเป็ด’ ที่ผู้อ่านชอบกัน แต่มีสัตว์ที่ผู้คนพูดถึงกันแทบทุกวัน คือ “เหี้ย” ซึ่งผมเคยเขียนเป็นนิทาน เล่าว่ามันเกี่ยวข้องกับนักการเมือง

ท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยอ่านว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร ขอได้โปรดคลิกไปดูที่กาแฟขม..ขนมหวาน ตอนที่ ๑๑๘ ตอน “เหี้ยส่องกระจก” ซึ่งแฟนๆชอบกันมาก ส่วนท่านที่ยังไม่เคยอ่าน

รับรองว่า อ่านแล้วต้องอมยิ้มแน่ๆ !

ท่านที่ได้อ่าน “เหี้ยส่องกระจก” แล้ว ก็คงจะรู้ว่าสัตว์ประเภทนี้ ในเมืองสาระขันขันตามนิทานของผมก็มีชุกชม เรียกต่างกันว่า “ตะกวด” บ้าง “แลน” บ้าง เหมือนบ้านเรา แต่สัตว์ต้นแบบที่ติดปากคนมากที่สุดคือ “เหี้ย” นั้น พูดถึงกันได้แทบจะทุกวัน บางคนวันๆก็หลุดปากออกมาหลายตัวอยู่เหมือนกัน

ทางการเมืองนั้น สัตว์การเมืองบางชนิดเคยผสมกันมาแล้ว เช่นพรรคดักดานเก่าแก่ ซึ่งตอนนั้นมี “นกกระจอกเทศ” ตกกระและเหนียงยานยังเป็นใหญ่ ดันเอา “งูเห่าการเมือง”เป็นครอกมาผสมพันธุ์ จนสามารถจัดตั้งเป็นรัฐบาลได้ หรือหากมีการยุบพรรคเกิดขึ้น “งูเห่าการเมือง” ตัวใหม่อาจไปผสมกับ “ปลาไหลการเมือง” ตัวเก่า แต่ตอนนี้ปลาไหลมันแก่ตัวแล้ว เหนียงกลายเป็นหูงอกยื่นออกมา กลายพันธุ์เป็น “พังพอนการเมือง” ไป ซึ่งยังไม่แน่ว่าในวันข้างหน้าเมือกปลาไหลที่ติดอยู่ ก็อาจทำให้กลายพันธุ์กลับเป็น “ปลาแขยง” หรือกลายเป็น “เหี้ย” การเมืองไปอีกตัวก็เป็นได้

อะไรที่ในโลกนี้เขาไม่เคยมีกัน เมืองสาระขันขันนี้มีได้ทั้งนั้น!


นักการเมืองคอร์รัปชั่นนั้น ชาวบ้านในเมืองสาระขันขันในนิทานของผม เขาเปรียบว่าไม่ผิดอะไรกับ “เหี้ย” ที่ชาวบ้านเขาทั้งเกลียดและกลัว เพราะเวลาสัตว์พวกนี้เข้าไปในเล้าเป็ดไก่บ้านเรือนผู้คนที่ปลูกอยู่ริมน้ำ มันกินเป็ดไก่และลูกเป็ดลูกเจี๊ยบเขายกเล้าเลยทีเดียว

ดังนั้น หากนักการเมืองสายพันธุ์เหี้ย มันมีโอกาสเข้ามาบริหารบ้านเมืองสาระขันขัน ทรัพย์สมบัติในชาติเช่นงบประมาณ รัฐวิสาหกิจก็จะถูกพวกมันผลาญ หรือผัน หรือแปรรูปเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ครอบครัวและพรรคพวกเหี้ยของมัน จนบ้านเมืองต้องเสียหาย ประเทศเลยตกอยู่ในกรงเล็บเหี้ยอย่างมันไปในที่สุด

สำคัญที่สุดก็คือ หากหลังการเลือกตั้งแล้ว ถ้าประกาศิตท่านเปาบุ้นจิ้นเแห่งไคฟง‘เซี่ยนฝะ เกาเติ่ง ’ (ศาลกฎหมายสูงสุด/รัฐธรรมนูญ) ออกมาแบบฟ้าผ่า ทำให้พรรคที่กำลังดำเนินงานทางการเมืองต่างๆ ของสาระขันขันประเทศซึ่งกำลังถูกฟ้องร้องอยู่นั้น มีอันต้องถูกยุบหลังการเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว

...ผู้คนในบ้านในเมืองพึงจับจ้องมองกันให้ดีๆ เพราะถึงตอนนั้น สถานการณ์การเมืองสาระขันขันที่เกิดขึ้น จะเป็นเหมือน “เหี้ยแตกรัง” สัตว์สองแฉกจะแหวกผวา ออกมาจากรังเน่าของพวกมัน ให้ยั้วเยี้ยเต็มไปหมดเพื่อหารูหารังใหม่ลงกัน

ยุ่งเลยละ...อีทีนี้!

นั่นเป็น ‘สัญญาณอุบาทว์’ ซึ่งชาวเมืองสาระขันขัน ต้องช่วยกันจับจ้องมองให้ดีว่า ฝูงเหี้ยจะรวมกลุ่ม เกาะเป็นตังเมแน่นเหนียวต่อไป หรือจะพากันกระโดดไปผสมข้ามสายพันธุ์ สร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมือง อย่างที่พวกมันเคยทำกัน...ซ้ำแล้วซ้ำอีก!!


ทำให้ “เหี้ยอัปรีย์” พันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นมา พากันกินบ้านแดกเมืองสาระขันขัน จน ‘เยิน’ แล้วเยินอีกต่อไป...อย่างไม่มีที่สิ้นสุด!!!


.......................

กำลังโหลดความคิดเห็น