xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 246 “คุกตะรางไม่ได้มีไว้ขังหมา!” (ฤาทักษิณจะทับรอย กกต.)

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว มีเชอร์รี่ทาร์ทแวะซื้อจากร้าน Puff & Pie รับประทานเป็นขนมหวาน เพราะแวะซื้อเอาไว้ตั้งแต่ออกจากสนามบินดอนเมืองตอนมาถึงกรุงเทพ โดยตั้งใจว่าวันเสาร์ที่ผ่านมา จะพาลูกหลานไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่เสด็จพระราชดำเนินกลับเสียก่อน กระนั้นก็ยังดีใจอย่างยิ่งที่ทรงปลอดภัย และพระสุขภาพแข็งแรงขึ้นโดยตามลำดับอย่างรวดเร็ว

ได้เห็นภาพทางโทรทัศน์ ตอนเสด็จพระราชดำเนินออกจากโรงพยาบาล พสกนิกรพากันไปเผ้าแหนกันอย่างเนืองแน่น และราษฎรที่ไม่ได้ไปเฝ้าที่โรงพยาบาล ก็พากันออกมาเฝ้าตามรายทางที่เสด็จพระราชดำเนินผ่าน

ให้ปลาบปลื้มใจนัก!

แม้ไม่มีโอกาสไปถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพ แต่ตอนขึ้นเครื่องการบินไทยมาดอนเมือง บนเที่ยวบินเขามีแจกบัตรถวายพระพร จึงได้เขียนถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงพระเจริญ และทรงพระเกษมสำราญ เพื่อประทับเป็นหลักชัยของประเทศและคนในชาติของเราต่อไปนานเท่านาน

ทางการบินไทยเขาจะรวบรวมบัตรถวายพระพรจากผู้โดยสาร นำถวายผ่านสำนักพระราชวังต่อไป จึงต้องขอขอบคุณ ‘การบินไทย’ ที่มีความริเริ่มดีๆอย่างนี้ ในวาระสำคัญที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสมอมา เลยต้องขอบอกกล่าวท่านผู้อ่านเพิ่มเติม ว่า

หนังสือ ‘กินรี’ ที่เขามีให้ผู้โดยสารอ่านบนเครื่องบิน หน้าปกประจำเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ซึ่งเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พร้อมเรื่องราวและพระบรมฉายาลักษณ์ทั้งสองพระองค์ในเล่ม งดงามมาก จนอดใจไว้ไม่ไหว ต้องหยิบลงจากเครื่อง เอามาเก็บไว้เป็นสมบัติของตัวเองทั้งสองเล่มเรียบร้อยแล้ว ต้องขอชมผู้ที่จัดทำไว้ ณ ที่นี้

เมื่อวานนี้ (๗ ส.ค.๒๕๔๙) เป็นวันระพี คือเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเริกฤทธิ์ พระนามเดิม พระองค์เจ้าระพีพัฒนศักดิ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จในกรมฯทรงได้รับการถวายพระสมัญญานามว่า ทรงเป็น “พระบิดาและปฐมาจารย์แห่งนักกฎหมายไทย” เพราะทรงทำนุบำรุงการศึกษาในทางวิชากฎหมาย จนก้าวหน้าทัดเทียมอารยะประเทศ และเจริญถาวรเป็นปึกแผ่นแน่นหนามาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เป็นผลพวงจากการที่เสด็จในกรมฯ ทรงไว้ซึ่งพระปรีชาสามารถทางกฎหมายอย่างเอกอุ และทรงมีพระทัยมุ่งมั่น ที่จะวางรากฐานกฎหมายของประเทศ ทรงมีพระดำริที่แยบคายเพียบพร้อมด้วยพระอุตสาหะวิริยะ วงการกฎหมายบ้านเมืองเรา จึงก้าวหน้ามาถึงจุดปัจจุบันได้

ด้วยพระเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่นี้เอง ทางราชการจึงได้จัดงานรำลึกถึงคุณูปการของพระองค์ที่มีต่อประเทศชาติ และนักกฎหมายทั้งปวงเป็นประจำทุกปี

สำหรับปีนี้ผมเห็นว่าเป็นปีที่พิเศษ หากดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่านสถิตอยู่ ณ วิมานสถานใดก็ตาม ถ้าเรามีตาทิพย์ ก็อาจแลเห็นเสด็จในกรมฯแย้มพระสรวลอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นนั้น เพราะคงพอพระทัยที่ตุลาการในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นอนุชนคนรุ่นหลังและเป็นผลผลิตทางกฎหมาย ที่พระองค์ทรงปูรากฐานการศึกษาเอาไว้ให้ ได้สำแดงความศักดิ์สิทธิ์แห่งกฎหมาย จนเป็นที่ประจักษ์กับมหาชนแล้วอย่างชัดเจน ในกรณีการตัดสินลงโทษ กกต.

ทำให้ระเบียบของชาติ เริ่มขยับและปรับตัวเอง ให้เข้าที่เข้าทางทันที !

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีกระแสพระราชดำรัสสำคัญยิ่ง ต่อบรรดาคณะ
ตุลาการที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน ความว่า

“.....เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่วิกฤตที่สุด ที่สุดในโลก ฉะนั้น ท่านก็มีหน้าที่ที่จะปฏิบัติ ปรึกษากับผู้ที่มีความรู้ เพื่อที่จะ เขาเรียกว่ากู้ชาตินั่นแหละ....”

(พระราชทานตุลาการศาลปกครองและผู้พิพากษาประจำศาล วังไกลกังวล ๒๕ เมษายน ๒๕๔๙)

ผมเห็นว่าหลังจากที่ได้รับพระกระแส ฝ่ายตุลาการนำโดยท่านประธานศาลฎีกาและคณะ ได้พยายามที่จะสนองพระราชกระแส ที่เปรียบเสมือนพระบรมราชโองการฉับพลันทันที โดยมีการหารือร่วมกันระหว่างประธานศาลต่างๆอย่างรีบเร่ง

ระหว่างที่เหตุการณ์กำลังดำเนินไป เพื่อการแก้ไขปัญหาของชาติตามพระราชกระแส ของประมุขศาลนั้น ไม่น่าเชื่อว่า จะมีการต่อต้านจากกลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาลทักษิณ ได้แสดงออกอย่างน่ารังเกียจ ด้วยการอาละวาดตำหนิและด่าทอศาล โดยมีรายการออกทางวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ มีหน้าที่จะต้องสร้างความเข้าใจอันดีให้กับประชาชน กลับอนุญาตให้กลุ่มบุคคล ใช้เป็นช่องทางกล่าวร้ายต่อศาลอย่างคะนองปาก ทั้งๆที่สถาบันตุลาการ ได้รับสนองพระราชกระแสใส่เกล้าฯ เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ของบ้านเมืองเรา

การที่กลุ่มการเมือง จะสนับสนุนพรรคหรือพวกของตนไม่ใช่เรื่องผิด หรือจะมีสถานีวิทยุไว้โต้ตอบกันแบบ “มึงด่ากู กูก็ด่ามึง!” ก็ยังสมน้ำสมเนื้อกัน เพราะต่างคนต่างด่า แต่การที่เชียร์พรรคการเมือง หรือหัวหน้าพรรคการเมืองที่ตนชอบแล้ว ดันกำเริบไปแขวะเอาศาลยุติธรรมท่านเข้าด้วย เป็นเรื่องที่ไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะทำให้ประชาชนเข้าใจไปได้ว่า พรรคการเมืองหรือหัวหน้าพรรคการเมืองนั้น สำแดงความเป็น ‘ปฏิปักษ์’ ต่อสถาบันตุลาการ โดยผ่านตัวแทนของตนอย่างชัดเจนนั่นเอง

คนพวกนี้ปู่ย่าตายายคงไม่ได้สั่งสอนพ่อแม่ตัวเองว่า “คุกตะรางน่ะ เขาไม่มีเอาไว้ขังหมานะ!” ที่โบราณเขาสอนลูกหลานให้กลัวคุกกลัวตะราง แต่คนที่บังอาจเหล่านี้กลับไปใช้ถ้อยคำจาบจ้วงอย่างนั้น กับศาลท่านได้อย่างไรกัน!?

ยิ่งไปกว่านั้น ความอุกอาจของกลุ่มพรรคการเมืองรัฐบาล ก็คือสมาชิกพรรคไทยรักไทยผู้ทำหน้าที่คล้ายกระบอกเสียงพรรคทางวิทยุ ที่เข้าสายไปแทบทุกรายการที่เขาเปิดให้ จนคุณวันเพ็ญ ศรีดี ผู้ดำเนินรายการทางวิทยุ FM๙๗ ให้ฉายาว่าเป็นทำหน้าที่ “โฆษกพรรคไทยรักไทยทางคลื่นวิทยุ” บังอาจเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับประธานศาลฎีกา ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีไม่สรรหากรรมการ กกต.ไปให้วุฒิสภาเลือก

ทำกันถึงขนาดนั้นเลย!

พอมีพระราชกฤษฎีกากำหนดการเลือกตั้งออกมา นายกปากดีก็ยังดันออกมาพูดจาคล้ายเย้ยหยันศาลว่า ศาลฎีกาสมควรส่งรายชื่อกกต. ไปให้สมาชิกวุฒิสภาคัดเลือกตามหน้าที่ได้แล้ว

ทำไมถึงได้ปัญญาเบาพูดออกไปอย่างนั้น ก็ไม่ทราบได้!

ครั้น กกต.ทั้ง ๓ นาย ซึ่งเป็นจำเลยจะไปศาลเพื่อฟังคำพิพากษา ขบวนการเชียร์นายกยังไปรวมตัวกันบุกที่ทำการศาล ใช้วาจาหยาบคาย ยั่วยุ ข่มขู่ผู้พิพากษา อย่างไม่หวั่นเกรงอาญาแผ่นดินเลยแม้แต่น้อย

ที่น่าอนาถที่สุดคือทนายส่วนตัวของผู้นำ ยังทะลึ่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษา ที่มีลักษณะหมิ่นศาลผ่านสื่อเข้าไปอีก!

ขบวนการเชียร์ทักษิณที่ปฏิบัติการทางวิทยุคลื่นรัฐบาล เปิดสายให้ทีมงานพวกเดียวกันแห่แหนเข้ามาต่อว่าศาล ด้วยถ้อยคำหยาบคาย แถมยังใช้สถานีวิทยุของทางราชการนัดชุมนุมกันกดดันศาลที่บริเวณศาลอาญา โดยไม่ได้ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง แต่พอศาลท่านเรียกตัวคนที่ไปชุมนุมไปแสดงตัว ด้วยความผิดฐานบังอาจละเมิดอำนาจศาลเข้าเท่านั้น

เจ้า ‘มังกือดำ’ ตัวการใหญ่ ถึงกับร้องเอ๋งเอาหัวโขกกำแพง แล้วม้วนหางแดงจุกตูด ตาแหก รีบคลานกระดืบๆ หนีหายไปจากคลื่นกรมประชาสัมพันธ์เลยทีเดียว!

อยากจะให้ท่านผู้อ่านช่วยคิดว่า การกระทำทั้งหลายทั้งปวง จากผู้ที่สนับสนุนนายก ที่ละเมิดศาลตลอดจนทนายความคนใกล้ชิด ที่รับมอบอำนาจไปฟ้องร้องผู้คนหลายครั้งหลายหน ได้วิพากษ์วิจารณ์หมิ่นศาล โดยไม่หวั่นเกรงอาญาแผ่นดินนั้น

ผู้คนมีสิทธิคิดได้หรือไม่ว่า คนที่มีอำนาจในบ้านเมืองปัจจุบัน อยู่เบื้องหลังการกระทำ อันเป็นการป่วนศาล ท้าทายความศักดิ์สิทธิของกฎหมาย และข่มขู่กระบวนการยุติธรรมของชาติหรือเปล่า?

จึงทำให้คนเหล่านี้กระทำการอุกอาจ ได้ถึงปานฉะนี้!

ได้เห็นภาพของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง ๓ นาย เดินทางออกจากเรือนจำเมื่อได้รับอนุญาตให้ประกันตัว หลังจากที่เข้าไปอยู่ได้เพียงไม่กี่วัน ดูหมดสง่าราศีไปอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกเห็นใจทั้งสามท่านอยู่บ้าง ซึ่งก็เคยเห็นหน้ากันมาทั้งนั้น บางท่านก็รู้จักเป็นส่วนตัว แต่ก็เคยบอกว่าการเป็น กกต.นั้นเป็นทุกขลาภของพวกท่านโดยแท้

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคำพิพากษาให้จำคุก กกต.ออกมาจึงอยากให้ท่านผู้อ่านลองย้อนไปดูข้อความจากข้อเขียนของผม ในกาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๔๓ คดีดินสอหนีบตูด ( “ไหน...ใครว่าทักษิณทำผิด ท้าให้ฟ้องศาล!?”) ตั้งแต่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙ ก่อนมีคำพิพากษาคดี กกต. และเหตุวุ่นวายในบริเวณศาลในวันนั้นถึง ๑ สัปดาห์เต็มๆ

ผมเขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ

กรณีทุจริตของฝ่ายบริหาร คือสาเหตุสำคัญที่กลายเป็นปัญหาความขัดแย้งของบ้านเมือง เมื่อไม่มีคำชี้แจงให้กระจ่าง มีแต่การหลบเลี่ยง ไม่เผชิญหน้าแก้ไขข้อข้องใจของสื่อสารมวลชนและฝ่ายค้าน นำไปสู่การบานปลายใหญ่โต จนกระทั่งมีกระแสพระราชดำรัสว่า บ้านเมืองวิกฤตมากที่สุดในโลก ทรงหวังว่าฝ่ายตุลาการเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหา ซึ่งบรรดาท่านผู้พิพากษา ได้น้อมรับพระราชดำรัสนั้นใส่เกล้าฯ

ดังนั้น หากมีคดีที่นักการเมืองเก่ากะลา หรือใหม่กะโหลก หรือแม้แต่ตัวทักษิณเอง ถ้าบังเอิญต้องไปปรากฏตัวที่ศาลในฐานะจำเลย ประชาชนอย่างเราๆก็มั่นใจได้เต็มร้อยว่า ศาลท่านจะสนองพระราชดำรัส ด้วยการทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง รวดเร็ว สามารถแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองได้อย่างเฉียบขาด และมีประสิทธิภาพมากและยั่งยืนยิ่งกว่ากระทำด้วยวิธีการอื่นใด


แม้กระทั่งวิธีการ ปฏิวัติหรือรัฐประหารด้วยซ้ำ!


เห็นไมครับ?...ผมเขียนชนิดฟันขาดเอาไว้อย่างนี้ เพราะมั่นใจเต็มเปี่ยมในอำนาจตุลาการว่า จะสามารถแก้ปัญหาและสร้างความมั่นคงทางการเมืองได้ โดยไม่ต้องรอออกมาวิจารณ์ตามหลังเป็น ‘ตุลาการภิวัตน์ ๒’ อย่างที่อาจารย์ขี้หนาวแกทำ!

ทันทีที่มีคำพิพากษาลงโทษ กกต.ทั้ง ๓ ออกมาแล้ว ท่านผู้อ่านคงเห็นแล้วว่าคำพูดของผมนั้นไม่ได้คลาดเคลื่อน หรือผิดไปจากที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนเลย

ส่วนบรรดาจำเลยที่ละเมิดอำนาจศาล ไปปรากฏตัวรอฟังคำตัดสินเมื่อวันพุธที่ผ่านมา กลับมีท่าทีสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่ออกอาการฮึกเหิมดุดัน เหมือนวันที่ไปชุมนุมก่อกวนในบริเวณศาล ทุกคนล้วนแต่มีสีหน้าวิตกกังวลอย่างยิ่ง และก็ถูกศาลสั่งลงโทษทัณฑ์กันทั่วหน้า และคำพิพากษาก็ลำดับเหตุผลเอาไว้อย่างชัดเจน ถึงพฤติกรรมของคนเหล่านั้นทั้งหมด

จำเลยที่ถูกจำคุกมากที่สุด เพราะเป็นผู้ถือโทรโข่งปลุกระดมนั้น เป็นอดีตมหาบาเรียนเสียด้วย แต่พอมีคำพิพากษาเท่านั้น หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ที่น่าแปลกใจเพราะอาชีพของแกเป็นครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ น่าเป็นห่วงพระสงฆ์องค์เณรที่เป็นลูกศิษย์จริงๆ แต่คุณมหานอกวัดคงจะไม่ได้เป็นข้าราชการอีกต่อไป เพราะถ้าอุทธรณ์โทษไม่สำเร็จ เขาต้องไล่แกออกจากราชการตามระเบียบอย่างแน่นอน เรียกว่าต้องถูกออกเพราะความรักทักษิณแท้ๆ ถ้าพ้นจากคุกมาแล้ว น่าไปบวชล้างซวยอีกสักรอบก็จะดี

ท่านผู้อ่านคงสังเกตเห็นว่า ปฏิกิริยาชาวบ้านและสื่อมวลชนทุกสาขา ได้ออกมาสุดดีแซ่ซ้องขานรับคำพิพากษาของศาล แสดงความเห็นด้วยอย่างชัดเจน โดยพร้อมเพรียงกัน!

ฉะนั้น ที่ผมบอกว่า ศาลท่านจะแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ได้ดีกว่าการปฏิวัติหรือรัฐประหาร จริงหรือไม่อย่างไรนั้น ท่านผู้อ่านคงจะได้เห็นกันแล้ว และต้องขอบอกเอาไว้ตรงนี้ว่า

การปฏิวัติหรือรัฐประหาร มีแต่จะผลักประเทศให้ถอยหลังไป และแทบไม่มีอะไรที่เป็นผลดีต่อประเทศชาติเลยจริงๆ!!


ารที่ผู้คนจำนวนมากทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด รวมทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนไหวนั้น ความมุ่งหมายที่จะขับไล่ กกต.นั้น ได้บรรลุภารกิจไปแล้วส่วนหนึ่งก็ตาม แต่การที่ขับไล่ทักษิณนั้น ผมเห็นว่ากระบวนการชุมนุมกันทางการเมือง เพื่อการขับไล่นายกปากไม่ดีคนนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง แต่ผลเด็ดขาดอยู่ที่การพิจารณาของศาล ดังที่ได้เคยชี้แจงกับท่านผู้อ่านไปแล้ว ว่า

นอกจากคดีที่ฝรั่งเอกชนฟ้องทักษิณแล้ว โจทก์ใหญ่ของตัวนายกคือคดี กฟผ.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติส่งไปคาไว้ที่ ปปช. ซึ่งถ้าได้คณะกรรมการ ปปช.ชุดใหม่แล้ว ทักษิณก็ต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการ ปปช.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถ้าพลาดพลั้งทำให้คนซึ่งยังเป็นนายกอยู่ในวันนี้ จะต้องไปปรากฏตัวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง หากบังเอิญเคราะห์หามยามร้าย ต้องลงเอยเช่นเดียวกันกับ กกต. ซึ่งใครเลยจะคิดว่า ในที่สุดจะต้องตกเป็นผู้ต้องขังตามหมายของศาลเข้าบ้าง

ถึงวันนั้น คำโบราณที่บอกว่า "คุกตะรางไม่ได้มีไว้ขังหมา" จะตอกย้ำความจริงให้ประจักษ์อีกครั้งหนึ่ง ว่า


คุกตะรางนอกจากไม่ได้มีไว้ขังหมาแล้ว ยังขังคนที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำผิดกฎหมายได้อีกด้วย !!


....................

ท้ายบท

ผมเอาพาดหัว นสพ.มติชนรายวัน ฉบับประจำวันพุธที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๙ มาลงให้ดู และซึ่งถ้อยคำเต็มๆ มีว่า

“กระบวนการยุติธรรมขาดความน่าเชื่อถือ อันตรายมาก เงินลงทุนจากต่างประเทศจะหาย ก็ต้องเปรียบเหมือนการ ‘แทงข้างหลัง’ !”

ไม่ว่าคนพูดอาจตะแบงว่า เป็นการพูดถึงหลักทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้หมายความถึงกระบวนการยุติธรรมในประเทศของตัวเอง แต่อยากให้ท่านผู้อ่านลองคิดว่า
คนที่พูดจาอย่างนี้ขึ้นมา หลังจากศาลเพิ่งลงโทษ กกต. ๓ คน ที่ผู้คนเขากล่าวหาว่าเอื้อทั้งตัวและพรรคการเมืองของผู้พูด และตัวคนพูดเองก็ยังมีคดีความถูกฟ้องร้องค้างคาอยู่ที่ศาล และในวันข้างหน้า ก็อาจต้องตกเป็นจำเลยต่อศาลได้อีกหลายคดี

โง่หรือฉลาดกันแน่?

อนึ่ง ผมกลับเห็นไปในทิศทางอื่น ซึ่งแตกต่างจากทักษิณ โดยขอยืนยันหนักแน่นที่ตรงนี้ว่า

ถ้าศาลพิพากษาให้ จำคุกนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ในคดีคอรัปชั่นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ....

กระบวนการยุติธรรมของชาติเรา จะต้องได้รับการยกย่องไปทั่วโลก!!

หรือใครจะเถียงผมว่า...ไม่จริง!!!?


..........................
กำลังโหลดความคิดเห็น