เช้าวันนี้ ....จิบกาแฟขมแล้ว กินข้าวต้มมัดที่ลูกน้องเอามาฝาก ภริยาของเขาทำเอง เพราะตอนนี้อยู่ในระหว่างเข้าพรรษาแล้ว สินค้าชนิดนี้ออกมาขายมากกว่าปกติ เนื่องจากเป็นของที่นิยมถวายพระสงฆ์กัน แต่ชาวบ้านทางภาคกลางนั้น ‘วันโกน’จะเป็นวันที่เขาทำข้าวต้มมัดออกมาขาย เพื่อใส่บาตรพระสงฆ์ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็น ‘วันพระ’ คนที่อยู่ทางกรุงเทพสมัยนี้คงจะไม่ได้เห็นกันแล้ว นอกจากผู้ที่อยู่ริมน้ำแถบฝั่งธนบุรี ที่ยังพอหลงเหลือให้เห็นกันบ้าง
เมื่อเร็วๆนี้ผมได้ดูหนังทางเคเบิลเรื่อง Shane เป็นหนังคาวบอยที่เด็กรุ่นผมชอบกันมาก เพราะพระเอกชักปืนไวใจกล้า แต่พอโตขึ้นมาได้ดูหนังเรื่องนี้ซ้ำอีกหลายครั้ง ทำให้เข้าใจว่า ทำไมเขาถึงจัดหนังเรื่องนี้เอาไว้เป็นหนังคลาสสิก ติดอันดับหนึ่งในร้อยของภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของสหรัฐ
เชน เป็นชื่อของคาวบอยซึ่งมีปูมหลังเป็นมือปืน ทิ้งชีวิตเก่าและเดินทางไปอยู่ในเมืองเล็กๆ เงียบสงบอาศัยอยู่ในไร่ของผู้ตั้งถิ่นฐานทางตะวันตกชื่อ ‘โจ สตาร์เลตต์ ’ ซึ่งอยู่กับภริยาและลูกชาย แต่มรสุมของความขัดแย้งเกิดขึ้น เพราะผู้มีอิทธิพลเจ้าของปศุสัตว์และที่ดินรายใหญ่ชื่อ ‘รูฟัส ไรเกอร์ ’ พยายามแผ่อิทธิพลเข้ารุกรานชาวบ้าน และทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะบีบคั้นเอาที่ดินจากผู้ลงทุนลงแรงพลิกผืนแผ่นดินเพาะปลูก ทำการกสิกรรม จนได้ครอบครองที่ดินโดยสุจริต รูฟัสคนนี้เอาไม่ได้ด้วยกลก็ใช้เล่ห์เพทุบายต่างๆ ถึงขั้นการใช้กำลังและจ้างมือปืนมาขับไล่เจ้าของที่ดินเดิม ทั้งการสังหารชาวไร่ผู้บริสุทธิ์ซึ่งขัดขืน อย่างนั้นเลย
การรังแกขาวบ้านเพื่อประโยชน์ของตนเองอย่างนี้ มีให้เห็นไม่เว้นแม้บ้านเรา ครั้นเมื่อชาวบ้านจะพึ่งพาเจ้าหน้าที่ของรัฐ คนพวกนี้แทนที่จะช่วยเหลือประชาชน กลับเป็นเครื่องมือของนายทุนไปเสียอีก เพราะอำนาจเงินปิดบังความถูกต้อง แม้แต่โฉนดที่ดินเอกสารเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ต่างๆ เจ้าหน้าที่ก็เอื้อนายทุน คนมีเงินแต่ไม่มีคุณธรรมจึงสามารถถือครองที่ดินของรัฐ และที่ดินที่ชาวบ้านครอบครองมาก่อนโดยไม่ยากเย็น
หากชาวบ้านคนไหนบังอาจขัดขืน ก็เป่าทิ้งเสียดื้อๆ!
โจ สตาร์เรตต์ เป็นชาวไร่หัวแข็งเป็นนักสู้ เขาถูกล่อให้เข้าเมืองเพื่อทำความตกลงกับรูฟัส ไรเกอร์ ผู้ทรงอิทธิพล ลูกผู้ชายอย่างโจ สตาร์เรตต์ ก็ไม่หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าเพราะหนีคนไม่เป็น
พระเอกเชนของเราทราบดีว่า เจ้าพ่อรูฟัสได้นำมือปืนชื่อ 'แจ๊ค วิลสัน' เข้าเมืองมาและยิงชาวไร่ทิ้งไปแล้วหนึ่งคน จึงขัดขวางไม่ยอมให้โจเข้าเมือง ทั้งคู่ชกต่อยกันและโจเป็นฝ่ายสลบไปก่อน เชนจึงออกจากบ้านไร่ของพวกสตาร์เลตต์ เข้าไปในเมืองตามลำพัง
เมื่อเผชิญหน้ากันกับกลุ่มของรูฟัส การดวลปืนก็เกิดขึ้น เชนกระหน่ำยิงแจ๊ค วิลสัน ตายและหันกลับไปยิงรูฟัสที่พยายามจะยิงช่วยวิลสันตายไปอีกคน เก็บกวาดลูกน้องที่เหลือของรูฟัส แล้วออกจากเมืองไป โดยไม่ได้หันกลับมามองเด็กน้อย 'โจอี้' ลูกของโจ สตาร์เรตต์ ที่รักเขามาก ร้องตะโกนเรียกเขาด้วยประโยคที่เด็กไทยในตอนนั้นจำกันได้ดีว่า
“เชน...คัมแบ๊ก...เชน!”
วัยรุ่นที่เป็นแฟนหนังคาวบอยยุคผม หลงใหลได้ปลื้มกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก เพราะเชนพระเอกปืนไวซึ่งแสดงโดย อแลน แลดด์ (Alan Ladd) นอกจากชักปืนไวยังกะสายฟ้าแลบแล้วยังเท่ระเบิด ฉากพระเอกเชนยิงมือปืนแจ๊ค วิลสัน ที่แสดงโดยดาราหน้าผี แจ๊ค พาแลนซ์ (Jack Palance) กระเด็นหงายเก๋งลงไปนั้น ภาพยังประทับใจผมเอามากๆ แต่พอโตขึ้นมามีความคิดมากขึ้น ก็เห็นว่า
หนังเรื่องเชนนี้ได้แสดงสิ่งสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับคุณสมบัติอันเป็นความดีงามความเป็นมนุษย์ นั่นคือ ความซื่อสัตย์ กล้าหาญ ความจงรักภักดี เกียรติยศ และมิตรภาพ ของบุคคลธรรมดาสามัญ ที่พึงจะมีต่อเพื่อนร่วมโลกและสังคมของตน
หากคนที่เป็นผู้นำประเทศแล้ว การที่เขาขาดคุณสมบัติอันเป็นความดีงามที่สำคัญของมนุษย์ ที่หนังเรื่องเชนนี้ได้แสดงให้เห็น นั่นคือการขาดคุณธรรมอันเป็นพื้นฐานของคนดี ที่จะเหตุสำคัญทำให้คนเป็นผู้นำ ต้องถูกถีบกระเด็นตกเวทีการเมืองกันมา นักต่อนักแล้ว!!
บางคนถูกถีบตกลงไป แต่ลิ่วล้อที่มีประโยชน์ร่วมกันก็พร่ำเรียกเพรียกหา แหกปากร้องขอให้ “คัมแบ๊กๆๆ” กันอยู่นั่นแหละ แต่คนที่ไร้คุณธรรมนั้น ถึงจะมีการเรียกร้องให้กลับมาแบบหนังคาวบอยที่ผมเล่าให้ฟัง ย่อมจะต้องขัดขวางจากฝ่ายที่รู้เช่นเห็นชาติ ไส้มีกี่ขดและเน่าแค่ไหน เขาก็ขุดเอาออกมาตีแผ่กันเลย แถมยังสำทับอัก ว่า
“มึงกลับมา กูก็จะไล่มึงอีก!!!”
พูดถึงเรื่องปืนแล้ว เมื่อเร็วๆนี้เองบ้านเมืองของเรามีข่าวใหญ่ เพราะ อดีตส.ส.สตรีพรรครัฐบาลถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด ด้วยการยิงด้วยอาวุธปืน เอ็ม ๑๖ แบบลั่นกระสุนพรืดเดียว ลูกตะกั่วถูกที่ใบหน้านับสิบนัด จนใบหน้าหายไปเป็นแถบ หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าต้องเป็นพวกมือปืนอาชีพ สุดท้ายถูกจับได้ยกแก๊ง โดยตำรวจใช้เวลาสืบสวนเพียงแค่สองสามวันเท่านั้น ตรงนี้อยากจะบอกว่า
เรื่องการยิงคนนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเย็น แต่เมื่อยิงเสร็จแล้ว เรื่องที่ยากและใหญ่กว่าคือการหลบให้พ้นจากการจับกุมของตำรวจไทย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
การสอบสวนก็ปล่อยให้เป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาไป แต่ผมอยากจะเรียนท่านผู้อ่านว่า อาชีพมือปืนนั้น ยังคงมีอยู่ดาษดื่นในบ้านเรา นั้น
จำนวน “มือปืนไทยแลนด์” ที่รับจ้างยิงคน อาจมีมากเป็นแถวหน้าของโลก ก็ว่าได้!
การที่คนกลายเป็นมือปืนได้ เหตุจูงใจที่สำคัญก็คือ เรื่องของผลประโยชน์ตอบแทน พูดง่ายๆก็คือการรับยิงคนนั้น ได้เงินดีนั่นเอง ทำให้หลายคนคิดสั้นผันเข้าสู่ชีวิตที่อันตราย แต่เมื่อฆ่าเขาได้ ก็ต้องถูกตำรวจหรือญาติพี่น้องของผู้ตาย ติดตามล้างแค้น หรือไม่ก็ถูกผู้จ้างวานฆ่าปิดปากเอา
ไม่นานมานี้ผมได้ยินนักศึกษาปริญญาโทสตรีคนหนึ่ง เธอทำวิทยานิพนธ์เรื่องมือปืน โดยหาข้อมูลจากผู้ถูกตัดสินให้ลงโทษจำคุก ให้สัมภาษณ์ทางวิทยุว่า จากการศึกษาพบว่าสาเหตุคนกลายมาเป็นมือปืน ที่สำคัญก็คือเรื่องเงินเป็นหลักนั่นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่รู้กันมานมนานแล้ว แต่คนที่หันเข้ามาวงจรนี้ เมื่อกระทำความผิดแล้วยังไม่ถูกจับก็ย่ามใจ
จนเมื่อต้องติดคุกนั่นแหละ จึงจะสำนึกได้!
อย่างไรก็ตาม เรื่องของมือปืนเมืองไทยไม่หมดลงง่ายๆ เพราะคนยังยากจนอยู่และผู้นิยมแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงนั้นก็ไม่ได้หมดไป บางหมู่บ้านนิยมการเป็นมือปืนกันเกือบทั้งหมู่บ้านซึ่งมีการผ่องถ่ายประสบการณ์ให้แก่กัน ตั้งแต่รุ่นพ่อ อา น้า มาถึงชั้นลูกและหลาน แต่มันก็มีไอ้คนที่เกิดมาแล้ว พ่อแม่ก็ไม่เคยประกอบกรรมชั่ว แต่ตัวเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ฆ่าได้เอาทั้งไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคือง หรือยังไม่ทันจะถูกจ้างวานเลยก็มี
ขอเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังสักเรื่อง
เจ้าของร้านอาหารชื่อดังภาคเหนือตอนล่าง จะกำจัดคู่แข่งทางการค้า ความที่เป็นคนขี้เหนียว เขาไปจ้างเด็กอายุไม่ถึงสิบห้าที่คนบอกว่าใจถึง มารับงานฆ่าคน ระหว่างนั่งรถกันมาผู้จ้างซึ่งไม่แน่ใจว่า เด็กขนาดนี้จะทำงานได้หรือไม่ จึงถามเยาวชนที่รับจะฆ่าคนว่า ใจถึงกล้ายิงคนจริงหรือ เด็กที่กำลังจะกลายเป็นมือปืนบอกว่า
“เอาปืนมา ผมจะยิงให้ดู”
คนจ้างส่งปืนสั้นให้ เด็กที่บอกให้จอดรถ ขณะนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกจากตรอกเพื่อขึ้นรถที่ถนนใหญ่ไปทำงานตามปกติ เด็กคนนี้เปิดประตูรถลงไปเอาปืนยิงเปรี้ยงๆไป ๒ นัด ชายผู้เคราะห์ร้ายถึงแก่ความตาย ไอ้คนยิงเดินกลับมาขึ้นรถหน้าเฉยตาเฉย
ตำรวจจับมือปืนเยาวชนรายนี้ได้อีกสองหรือสามปีต่อมา ซึ่งเจ้าตัวถูกจับได้ในคดีอื่น แต่รับสารภาพในคดีที่ถูกจับ แล้วรับต่อมาถึงคดีแรก คือยิงคนโชว์ผู้จ้าง นายตำรวจคนสอบสวนถึงกับยกมือลูบอกตัวเอง พูดออกมาว่า
“ทำไมมึงถึงอำมหิต อย่างนี้ก็ไม่รู้!”
เหมือนลูกยักษ์ ลูกมารมาเกิดจริงๆ!!
ในฐานะที่ตัวเองเคยฝึกอบรมมา ในเรื่องการต่อต้านการก่อการร้ายทั้งในและต่างประเทศ ต้องขออธิบายคำซึ่งมีความหมายที่ใกล้เคียง แต่แตกต่างกันมากคือคำว่า “นักแม่นปืน” และ “พลซุ่มยิง”
นักแม่นปืน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sharp Shooter พวกนี้ยิงเป้าเก่ง มีหลายชั้น ไล่มาตามลำดับความเก่ง ตั้งแต่ Marksmanship, Sharpshooter, Expert และ Master
พลซุ่มยิง ที่เรียกว่า Sniper พวกนี้เป็นมีหน้าที่ลอบยิง มีความสามารถยิงได้ทั้งเป้าหมายที่เป็นข้าศึก ไม่เลือกว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่ หรือเด็ก แม้แต่ทารก ยิงได้ทั้งนั้นเพื่อให้บรรลุภารกิจที่บรรจุมอบ
Sniper นั้นเป็นผู้มีความเป็นพิเศษ เพราะในหมู่นักแม่นปืนจำนวน ๑,๐๐๐ คน บางครั้งยังหา Sniper ไม่ได้สักคน!
ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง Enemy At The Gates ซึ่งเป็นเรื่องชีวิตของทหารตัวเล็กๆที่กลายเป็นวีรบุรุษชาวรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่ วาสสิลี เซทเซฟ (Vassily Zaitzev) ตำแหน่งพลซุ่มยิง (Jude Law นำแสดง) ที่สร้างความเกรงกลัว และความเสียหายให้กับฝ่ายเยอรมันอย่างเอกอุ ในการป้องกันเมืองสตาลินกราด ที่เยอรมันเป็นฝ่ายรุกเข้าตีอย่างรุนแรง แต่รัสเซียต้านทานด้วยการตั้งรับอย่างเด็ดเดี่ยว ในยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒
วาสสิลี เซทเซฟ จากนายพรานป่าธรรมดาแต่เป็นพลซุ่มยิงโดยกำเนิด กลายเป็นวีรบุรุษรัสเซียที่เขย่าขวัญทหารเยอรมัน จนทางกองทัพนาซีต้องส่งนายทหารระดับพระกาฬ ซึ่ง ่เชี่ยวชาญและเป็นครูฝึกทางการซุ่มยิง คือนายพันตรี โคนิค (Koenig) มาปราบ แต่พ่ายแพ้อย่างราบคาบและโดนวาสสิลี เซทเซฟ เด็ดหัวเอาชีวิตเสียอีก
พวกมือปืน ที่เรียกว่า Hit Man พวกนี้ไม่จำเป็นต้องยิงปืนแม่น เพียงแต่มีความกล้าฆ่าคน และจะฆ่าก็โดยรับจ้าง เมืองไทยมีแยะ ตอนนี้กองปราบออกหมายจับมีจำนวนถึง ๕๐ คน ไม่กี่วันนี้ก็จับมือปืนที่ต้องการตัวเป็นลำดับที่ ๒๘ ได้อีก จึงอยากให้ตำรวจทุกหน่วยร่วมมือกันปราบปราม โดยประชาชนควรช่วยกันให้เบาะแส ทั้งเพราะ
มือปืนไทยแลนด์นั้น ปล่อยเอาไว้รกแผ่นดินไม่ได้ เราต้องกวาดให้เกลี้ยง !
นักศึกษาหญิงผู้ทำปริญญาโททางสังคมวิทยาคนหนึ่ง (ขออภัยไม่ทราบชื่อ) ซึ่งได้ทำการวิจัยเรื่องมือปืน เล่าให้ฟังทางวิทยุว่า พวกมือปืนอาชีพซึ่งนักศึกษาผู้นี้เธอไปสัมภาษณ์ เพื่อประกอบรายงานการวิจัย เธอให้รายละเอียดว่า
พวกเขา (มือปืน) ยึดหลักประจำใจว่า จะไม่ฆ่า พระ ผู้หญิง และเด็ก ผมซึ่งอยู่ฟังอยากบอกว่าอย่าไปหลงเชื่อเด็ดขาดเชียวนะ ขนาดพระมันยังยิงเสียหลายรูปแล้ว รายเกือบสุดท้ายที่ดังหน่อยดูเหมือนจะเป็น เจ้าอาวาสวัดกู้นี่แหละ คนยิงมันทมิฬหินชาติเหมือนกัน เพราะจ่อยิงเอาเลย ดังนั้นอย่าไปหลงคารมว่ามันจะไม่ยิงพระ ฟังเอาไว้เป็นข้อมูลพอได้ ขนาดเพลงร้องของพงษ์สิทธิ์ คันภีร์ ชื่อเพลงมือปืน เขายังร้องบอกว่า
ฟางเส้นสุดท้าย ตอนตะวันบ่ายคล้อยลงมา
นายสั่งให้ลงมือฆ่า เด็กตาดำๆ
นั่นไง ขนาดในเพลงเขายังบอกว่าแม้แต่เด็กมันก็ยังจะฆ่าเลย ส่วนผู้หญิงก็อดีต ส.ส.ราชบุรี และพระก็หลายรูปอย่างเจ้าอาวาสคนดังที่บอกไปแล้ว จึงต้องบอกนักศึกษาทางด้านสังคมวิทยาทั้งหลายว่า
หากจะทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตำรวจแล้ว ลองติดต่อกองวิจัยและวางแผนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เขาทำรายงานการวิจัยเรื่องพวกนี้เอาไว้แยะทีเดียว
ในชีวิตเป็นตำรวจ แม้จะเคยอยู่ในยุทธจักรแต่ผมไม่คบหาพวกมือปืน เพราะเห็นว่ารังแต่นำความเดือดร้อนมาให้ หากรู้ข่าวว่าผู้ใต้บังคับบัญชาบางคน ออกอาการห้าวจนผิดสังเกต เช่น เคยยิงผู้ร้ายตายไปแค่หนึ่งหรือสองคน ก็มีความลำพองเสียแล้ว หรือมีแววว่าจะออกนอกลู่นอกทาง เรียกว่าชักกร่างว่าอย่างนั้นเถอะ ก็ต้องเรียกมากำราบกันเอาไว้แรงๆจนหายซ่าไป
ผมคิดว่าหากตำรวจกระทำตามหน้าที่ ฆ่าโจรผู้ร้ายตาย มันมีกระบวนการสอบสวนกันทางกฎหมาย ที่เรียกว่าการชันสูตรพลิกศพอยู่แล้ว การปล่อยให้กลไกของกฎหมายเดินไปจนถึงที่สุด จะคุ้มครองตัวตำรวจที่ต้องไปฆ่าคนอื่นเขาตาย ที่เราเรียกว่ากรณีวิสามัญฆาตกรรม เพราะไปพิสูจน์กันบนศาลเลย นี่เองผมถึงบอกว่า
รัฐบาลทักษิณนั้น ทำพลาดไปที่ไปตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีมัสยิดกรือเซะ ทั้งๆที่กระบวนการตามกฎหมายมีอยู่ พอกรณีปะทะกันจบลงสดๆร้อนๆ แทนที่นายกจะปล่อยให้การดำเนินการตามกฎหมายเป็นไปตามกระบวนการ กลับตั้งกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ให้ลงไปสอบสวนเจ๊าะแจ๊ะอยู่ไม่กี่วันบอกว่าเสร็จแล้ว แถมดันไปเชิญทูตขรตรีเศียรมาฟังการแถลงข่าวผลการสอบสวน อีตาโฆษกหน้าเด้งในตอนนั้น ที่ภายหลังมาสมัคร ส.ส.ฝั่งธนแล้วสอบตก ออกมาลอยหน้าลอยตาแถลง ว่า
จะมีการดำเนินการกับทหารที่เข้าปฏิบัติการ พูดเหมือนจะเอาความผิดทหารอย่างนั้นแหละ ผมเลยด่าเช็ดไปเลย หากใครรู้อยากว่าวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้อย่างไร ลองเปิดเข้าไปดูใน
กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๑๔๓“การชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย ถึงผลสอบสวนกรณีมัสยิดกรือเซะ ของคณะกรรมการชุด “ขุนศีแม้วตั้ง” !” ดูก็จะรู้ความจริง
ความเบาปัญญาของรัฐบาลทักษิณ ทำให้ประเทศต้องเสียรังวัดเรื่องนี้ไป แยะมาก!
หากเราใช้กระบวนการยุติธรรมอยากถูกต้อง ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ถ้าเรื่องไปถึงศาลแล้ว คณะผู้พิพากษาท่านพิจารณาว่าอย่างไรก็ให้เป็นไปตามคำสั่งหรือคำพิพากษา ข้อขัดแย้งจะลดลงได้อีกมาก
ขอแต่ให้การสอบสวน...ตรงไปตรงมาเท่านั้น
สิ่งที่ผมเป็นห่วงมาก คือในกรณีการก่อการร้ายในสามจังหวัดภาคใต้ ที่มีมือปืนใหม่ๆขึ้นมาอีกนับสิบคน ออกไปไล่ยิงชาวบ้าน ครู ลูกเด็กเล็กแดง ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย บาดเจ็บล้มตายลงจำนวนมาก มื่อไม่กี่วันก็ยิงครูที่กำลังถือชอล์คเขียนกระดานดำ สอนลูกศิษย์อยู่ดีๆถูกยิงต่อหน้านักเรียนตายคาที่ คนพวกนี้จะได้ใจและฮึกเหิมมากขึ้น เหรือเกิดอาการที่เราเรียกว่า “เมาเลือด” คือเห็นการฆ่าเป็นของสนุก กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องไปในที่สุด
จึงจำเป็นที่กำลังฝ่ายเรา จะต้องรีบเอาปืนออกจากมือคนร้ายอย่างเร่งด่วน ด้วยการใช้กลยุทธทุกด้านเข้าผสมผสานกัน โดยเฉพาะต้องเน้นหนักในการตัดกำลังผู้สนับสนุนทางด้านการเงินต่อการก่อความไม่สงบอย่างเข้มข้น เราจะกระทำอย่างยั้งมือ หรือทำๆหยุดๆไม่ได้เด็ดขาด เพราะการแก้ปัญหาเรื่องนี้...
ต้องกระทำควบคู่กันไปทั้งการปฏิบัติทางจิตวิทยา เพื่อเอาชนะมวลชนและการใช้อาวุธเข้าแก้ปัญหาการใช้อาวุธของฝ่ายตรงข้าม เป็นลำดับความสำคัญแรกที่ต้องกระทำ และต้องกระทำด้วยความเด็ดขาด!
ประกาศเจตนารมณ์อย่างนี้ ไปให้ชัดเจน เป็นไงเป็นกัน!!
ประเทศใดก็ตาม ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์แห่งสงคราม กลิ่นคาวเลือด ควันปืนเปลวเพลิงจากระเบิด ความรุนแรงและความตาย นั้น
การที่จะนำกำลังรบของชาติเข้าทำศึก ปลดเอาอาวุธออกจากมือผู้ก่อการร้าย เพื่อนำมาซึ่งความสงบสุขให้กับประชาชน ประเทศนั้นต้องการผู้นำที่มี ความซื่อสัตย์ กล้าหาญ ความจงรักภักดี เกียรติยศ และมิตรภาพ ยิ่งกว่าพระเอกเชนในหนังเคาบอย และต้องเพียบพร้อมมีจิตใจรุกรบ มุ่งมั่นที่เอาชนะศึกอย่างเต็มเปี่ยม
ส่วนผู้นำที่ขาดกลัว หลีกเลี่ยงการลงสนามรบ แต่ปากดี สั่งการเรื่อยเฉื่อยแบบนึกอะไรได้ก็ถ่มถุยคุยโม้ไปวันๆ หาสาระอะไรบ่มิได้ ล้มเหลวไม่เป็นท่า...ครั้งแล้วครั้งเล่า
ย่อมถูกตำหนิ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งมีความรุนแรงต่อเนื่อง ประชาชนล้มตายลงทุกวัน แต่ผู้นำยังทำตัวพลิ้วออกลูกติ๊ดชึ่งหลบสถานการณ์ร้าย ไม่กล้าเผชิญกับความรุนแรงเพราะ....
....‘ขี้’ ขึ้นไปอัดแน่นอยู่...เต็มหัวกบาล!
เอาแต่เพลิดเพลินอยู่ในสนามกอล์ฟ จมมัวเมาอยู่ในสนามการค้า แต่ไม่ได้มีความมุ่งหมายเพื่อประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก หากแต่ทำไปเพื่อแสวงหาประโยชน์เพื่อสร้างกำไรให้กับตนเอง ครอบครัวและพวกพ้องเรื่อยไปอย่างไม่ยั้งหยุด ในยามที่ผู้คนในชาติกำลังเดือดเนื้อร้อนใจอย่างแสนสาหัส
ประชาชนย่อมเสื่อมศรัทธา อย่างช่วยไม่ได้!!
แน่ละ การมีผู้นำเช่นนี้...
ย่อมเป็นเวรกรรมของประเทศ...โดยแท้!!!