xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 244 “ความทรงจำแสนร้าย ของชายอัลไซเมอร์!?”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้....จิบกาแฟขมแล้ว นั่งดูภาพยนตร์ที่เขานำมาฉายทางเคเบิลทีวี ซึ่งแม้จะค่อนข้างซ้ำบ้าง แต่หลายเรื่องก็ยังเป็นที่น่าสนใจ หรือเคยดูแล้วตอนเด็กกลับมาดูอีกตอนนี้ ก็มีความรู้สึกที่แตกต่างไป ด้วยวัยและประสบการณ์ชีวิตที่มีมากขึ้น มุมมองชีวิตก็กว้างขวางออกไปกว้าเดิม ความเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ได้ดูหรือชม จึงเปลี่ยนไปด้วย

เมื่อเร็วๆนี้ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง The Notebook นำแสดงโดย James Garner และ Gena Rowlands ดารารุ่นใหญ่เล่นเป็นพระเอกและนางเอกตอนสูงอายุ ส่วน Ryan Gosling กับ Rachel McAdams แสดงเป็นพระเอกและนางเอกในวัยหนุ่มสาว

ผมชอบราเชล แมคอาดัม นางเอกคนนี้สวยจริงๆ แถมยังเล่นหนังก็เก่งอีกต่างหาก

เนื้อเรื่องของหนังเปิดฉากให้เห็นชายอายุวัยคุณปู่คนหนึ่ง ไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมหญิงสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งป่วยด้วยโรคความจำเสื่อมเป็นประจำ เมื่อไปถึงหลังจากทักทายกับเธอแล้ว เขาก็อ่านข้อความจากโน้ตบุ้คเล่มสีซีดให้ผู้ป่วยฟังทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเธอ

จากการอ่านบันทึกของชายสูงอายุ ทำให้คนดูทราบว่า

เนื้อหาจากบันทึกเล่มนั้น ได้เล่าเรื่องของหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้รู้จักและตกหลุมรักกันอย่างแน่นแฟ้น ฝ่ายชายได้รับหมายเกณฑ์ไปเป็นทหาร ออกรบในสมรภูมิมหาสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเหตุให้ทั้งสองต้องพลัดพรากจากกันไปนานถึง ๗ ปี แต่ก่อนจากกันไปนั้น เขาและเธอได้ตกเป็นของกันและกันอย่างเร่าร้อนด้วยฤทธิ์รัก

ระหว่างที่ฝ่ายชายไปรบทัพจับศึก ได้เขียนจดหมายมาหาหญิงคนรักทุกวันสม่ำเสมอ แต่สาวเจ้าไม่เคยตอบแม้แต่ฉบับเดียว

ทหารหนุ่มกลับบ้านหลังจากปลดประจำการและท่องเที่ยวไปนาน เพื่อรักษาบาดแผลหัวใจ ได้พบว่าฝ่ายหญิงได้หมั้นหมายกับชายผู้มีฐานะมั่งคั่ง แต่เมื่อทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง เยื่อใยของความห่วงหาอาทรที่มีต่อกัน ได้ทำให้ความรักซึ่งเดิมก็คุกรุ่นอยู่แล้ว กลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ฝ่ายชายยืนยันหนักแน่นว่ายังรักเธอเสมอ ฝ่ายหญิงตัดพ้อว่า ก็เมื่อรักแล้ว เหตุไฉนใยไม่เขียนจดหมายถึงคนรัก ยามเมื่อต้องห่างไกลกัน?

ฝ่ายชายเล่าว่า ตอนไปสงครามนั้นปีแรกเขียนจดหมายถึง ๓๖๕ ฉบับ โดยเขียนทุกวันแต่ไม่ตอบได้รับตอบเป็นเวลา ๑ ปี เต็ม เลยไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่คิดว่าฝ่ายสาวได้เปลี่ยนใจไปเป็นอื่น แต่แล้วความจริงก็ถูกเปิดออกมาว่า มารดาของฝ่ายหญิงซึ่งอยากได้ลูกเขยเศรษฐี เป็นผู้เก็บจดหมายทั้งหมดเอาไว้ ความรักของทั้งสองจึงหวนกลับคืนมาอีกครั้ง

ทั้งสองโผเข้าหาอ้อมกอดของกันและกัน คราวนี้ไฟรักแรงร้อนที่พลุ่งพล่านและเก็บ
อัดแน่นอยู่ภายในทั้งใจและของทั้งคู่มานานหลายปี ทะลักทลายออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง ฝ่ายหญิงทิ้งคู่หมั้นแล้วกลับมาแต่งงานกับคนรัก และมีลูกและหลานตามกันมาเป็นพรวน ซึ่งเป็นผลพวงของฤทธิ์รักและแรงพิศวาสล้ำของคนทั้งสองนั่นเอง

เมื่อฝ่ายชายชราอ่านโน๊ตบุ๊คเล่มนั้นไปเรื่อยๆ เป็นเวลาหลายสัปดาห์ อยู่ๆวันหนึ่งหญิงสูงอายุผู้เป็นโรคความจำเสื่อม ก็โพล่งออกมาว่า

“นี่เป็นเรื่องของฉันเอง!”

เธอก็ยังจำได้อีกว่า ชายชราผู้ที่เฝ้าวนเวียนมาอ่านบันทึกเล่มนั้น ก็คือสามีของเธอ ชายผู้ที่มีความรักต่อเธออย่างแน่นเหนียว และจงรักภักดีเป็นที่สุดนั่นเอง เรื่องนี้น่าจะจบลงอย่างมีความสุขที่ทุกสิ่งได้หวนคืนมาอีกครั้ง

แต่อนิจจา...วันรุ่งขึ้น เธอกลับจำเขาไม่ได้เสียอีกแล้ว!!

ดูแล้วก็ให้คิดว่า กระบวนการทางความทรงจำของมนุษย์ ที่อยู่ในสมองคนเรานั้น มันช่างสลับซับซ้อนเสียจริงๆ เกินสติปัญญาของคนอย่างผม ที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาทางนี้จะเข้าใจ คงได้แต่คิดเอาเหมือนชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น และยังเคยตั้งปุจฉาเอากับตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เช่น

ทำไมเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มีทั้งที่เราจำได้แต่และจำไม่ได้ หรือบางเรื่องที่ควรจำแต่กลับจำไม่ได้เอาเลย เหมือนอย่างเพลงคณะฮอทเปปเปอร์ ที่เขาว่า

“บางสิ่งที่อยากจำเรากลับลืม บางสิ่งที่อยากลืมเรากลับจำ
คนเรานี้คิดให้ดีก็น่าขำ อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ
อดีตที่ผ่านไปไม่กลับมา ช่างเจ็บปวดอุราเรากลับจำ...”


อะไรทำนองนี้!

ผมชอบหนังเรื่อง The Notebook เอามากๆ เพราะการเดินเรื่องด้วยการตัดจากฉากเหตุการณ์ปัจจุบัน ย้อนไปหาเรื่องราวในอดีตอย่างกลมกลืนและฉับไว คือพระเอกยามชราอ่านบันทึกไปตอนหนึ่ง พอเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต หนังก็ถ่ายย้อนกลับไปมาหาความรักของคนคู่นี้ ยามเมื่อทั้งสองยังแรกรุ่นและมีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง บทพิศวาสที่ดื่มด่ำ ซาบซึ้งตรึงใจอย่างยิ่ง หาหนังเรื่องอื่นเทียบไม่ได้ง่ายๆ

ผมเองเมื่อดูหนังเรื่องนี้แล้ว ให้นับถือหัวใจพระเอกนัก ที่มีความรักเดียวใจเดียวเป็นอย่างยิ่ง ชนิดที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า

สมมติว่า ตัวคนเขียนต้องตกอยู่ในที่นั่งเดียวกันกับพระเอกในเรื่อง ตัวเองจะมานั่งอ่านบันทึกให้แฟนที่เป็นโรคอัลไซม์เมอร์ฟังทุกวัน จนความทรงจำของเธอกลับเหมือนเดิม ได้หรือไม่? หรือ

หากตัวผมเองต้องกลายเป็นคนป่วย ด้วยโรคเดียวกับนางเอกในเรื่อง จะมีนางเอกนอกเรื่องคนไหน ที่จะมีเมตตาและกรุณามานั่งอ่าน Notebook ให้ฟังทุกวันจนความจำกลับดีขึ้นมาใหม่ จนระลึกเรื่องราวต่างๆที่เป็นความหลังได้? ยังสงสัยอยู่ครามครัน

ถึงกระนั้นก็ตามสำหรับตัวเองแล้ว หัวเด็ดตีนขาดขอยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยวว่า ไม่เลือกและไม่เอาทั้งสองประการตามสมมติอย่างแน่นอน!

หลายคนบอกผมว่า บันทึกหรือ Notebook เป็นเรื่องสำคัญ จึงควรหัดให้เด็กของเรามีสมุดบันทึกส่วนตัว ซึ่งผมเห็นด้วยทุกประการ หากท่านเคยมีบันทึกที่เรียกกันว่าfriendship book ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากสำหรับเด็กวัยรุ่นเมื่อสี่ห้าสิบปีก่อน เมื่อเราจะจากกันกับเพื่อนตอนเป็นนักเรียนมัธยม เพราะจะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย หรือบางคนต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ไปศึกษาต่อเมืองนอกเมืองนา ก็มักจะไปซื้อหาสมุดแบบนี้มา รูปร่างมันคล้ายอัลบั้มติดรูปแบบเก่า ซึ่งสามารถใช้เขียนข้อความและยังติดรูปถ่ายได้ด้วย

หลังจากที่นำไปให้เพื่อนเขียนข้อความและติดรูปแล้ว สมุดนี้ก็จะกลายเป็นสมบัติมีค่าต่อไปในอนาคต ยามเมื่อแก่เฒ่าลงและไม่มีงานประจำทำแล้ว การเปิดสมุดเหล่านี้ดูก็ได้พบความสุขอีกครั้ง เรื่องราวบางตอนของชีวิต ที่ดูเหมือนลบเลือนหายไปจากความทรงจำแล้ว ก็จะได้หวนคืนกลับมา แม้แต่ถ้อยคำบางสำนวนที่นิยมใช้กันในยุคตอนนั้น เช่น

“ถึงดาวจะเคลื่อน ถึงเดือนจะคล้อย แต่มิตรน้อยๆก็ไม่คล้อยตามเดือน”

พอมาอ่านซ้ำอีกครั้ง ก็อดอมยิ้มไม่ได้!

เรื่องของการบันทึกนั้นหากฝึกให้เป็นนิสัยแล้ว เด็กจะเขียนหนังสือเก่ง ภาษาก็จะดี บันทึกของเด็กบางฉบับ เช่น Diary of Ann Frank เด็กสาวชาวยิว พลเมืองเนเธอร์แลนด์ อายุเพียง ๑๓ ปี ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลบพวกนาซีเข้าไปอยู่ในห้องใต้หลังคากับครอบครัว แม่หนูน้อยไม่ได้พบแสงสว่าง และบรรยากาศภายนอกอาคารนานหลายปี เธอได้เขียนบันทึกบรรยายความรู้สึกที่ต้องอยู่ในที่จำกัด ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้เห็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่ต้องตกอยู่ในสภาพบังคับ แต่หัวใจดวงน้อยๆของเธอ ยังเป็นเสรีชนที่โหยหาความเป็นอิสระ สามารถโบยบินออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยผ่านการร้อยเรียงด้วยตัวอักษรลงในบันทึกของตัวเอง

แอนน์ แฟรงค์ ถูกทหารเยอรมันจับตัวได้ก่อนสงครามจะยุติลงไม่กี่เดือน และเสียชีวิตก่อนสงครามยุติเพียงไม่กี่วัน แต่บันทึกของเธอมีส่วนกระตุ้นโลก ให้ลุกขึ้นต่อต้านกับการปกครองที่กดขี่ทารุณโหดร้ายและไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะระบอบนาซี หรือระบอบใดๆที่มีลักษณะเดียวกัน

การเป็นนายตำรวจนั้น เรื่องบันทึกมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นพนักงานสอบสวน มีกฎหมายและระเบียบบอกไว้ชัดเจนให้ต้องจัดทำ ‘บันทึกการสอบสวน หรือ บันทึกพนักงานสอบสวน’ เป็นประจำในระหว่างที่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และคดียังไม่ปิดลง ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้รักษากฎหมายทั่วโลกจะใช้หลักการเดียวกัน ซึ่งมีรูปแบบของการบันทึกและรายงานที่คล้ายคลึงกัน

ทางฝ่ายทหารนั้น บันทึกต่างๆมีความสำคัญเช่นกัน ในโรงเรียนเสนาธิการทุกเหล่าทัพ จะมีวิชาที่เรียกว่า “การพูดและการเขียนทางทหาร” คือ วิขาที่เกี่ยวกับงานสารบรรณ ภาษาที่ใช้กันในฝ่ายอำนวยการหรือฝ่ายเสนาธิการ รวมถึงคำแนะนำในการจัดทำบันทึก รูปแบบการจัดทำข้อพิจารณาสำหรับผู้บังคับบัญชา บันทึกประกอบต่างๆของบรรดาฝ่ายเสนาธิการทั้ง ๕ ด้วย มาตรฐานในการใช้ภาษาสำหรับบันทึกของฝ่ายทหาร จึงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ดังนั้น เราจึงควรให้ลูกหลานแต่ละคน มีสมุดบันทึกประจำตัว และควรมีคำแนะนำการเขียนให้กับเขาด้วยว่า เรื่องใดควรบันทึก หรือไม่อย่างไร?

ตัวผมเองตอนเด็กๆไม่ได้มีบันทึกส่วนตัว จนเป็นนายตำรวจแล้ว ได้เห็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ท่านหนึ่งที่ตนเองเคารพมาก ท่านได้จัดทำสมุดบันทึกประจำวันเป็นรายปี ตั้งแต่ครั้งท่านยังเป็นนักเรียนอัสสัมชัญ และทำมาโดยตลอดจนเกษียณอายุราชการ

บันทึกของอดีตผู้ว่าฯเชียงใหม่ท่านนี้ เก็บเรียงไว้เป็นลำดับตามปี พ.ศ. อย่างเรียบร้อยน่าทึ่งมาก และท่านเป็นแรงบันดาลใจ ให้ผมต้องทำอย่างเดียวกันจนถึงทุกวันนี้ แต่ด้วยความเป็นคนใจร้อน บันทึกของผมจึงค่อนข้างเลอะ บางครั้งก็เขียนด้วยโค้ดไม่ให้คนอื่นได้ หรือเข้าใจได้ยากเพราะไม่อยากให้ใครรู้แต่ตัวเองก็กลัวลืม บางทีก็เว้นไม่ได้บันทึกเสียหลายวัน บางเดือนมีบันทึกอยู่แค่ห้าวัน อะไรทำนองนี้ แต่ก็ยังเก็บไว้หลายสิบเล่ม พออาศัยเปิดดูได้และเป็นเครื่องเรียกความทรงจำได้พอสมควร

ได้เคยเรียนท่านผู้อ่านเอาไว้แล้วว่า ผมสนใจเรื่องโรคอัลไซเมอร์ที่เราเรียกว่า “โรคความจำเสื่อม”เพราะราวยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ผู้ใหญ่ของผมเป็นโรคนี้ และตัวเองอยู่กับกับผู้ป่วยในบ้านเดียวกัน จึงได้เห็นความเสื่อมถอยของสมองชองท่าน ตั้งแต่อาการเริ่มต้นและทรุดลงอย่างรวดเร็วมาก เพียงไม่ถึงปีท่านแทบจะตอบปัญหาหรือจำอะไรไม่ได้เลย ตามมาด้วยการเป็นอัมพาตต้องนอนเฉยๆพูดก็ไม่ได้ และต้องให้อาหารกันทางสายยาง โดยต้องมีพี่เลี้ยงดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาอีกสิบปีต่อมาเลยทีเดียว

บัดนี้ ตัวเองก็เข้ามาอยู่ในจำนวนของพวกที่เป็น ส.ว.หรือสูงวัยด้วยแล้ว ความยำเกรงต่อโรคเวรกรรมนี้จึงมีมาก จึงพยายามศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับการบริหารสมองให้แจ่มใสอยู่เสมอ และได้พบความจริง ว่า

บันทึกหรือโน๊ตส่วนตัว ที่เราได้เขียนหรือจดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเอาไว้ใน Notebook นั้น ช่วยได้มากทีเดียว ยิ่งมาเขียนหนังสือด้วย ผมเลยเอาสมุดบันทึกออกมาเรียงเป็นรายปี แล้วเปิดอ่านทีละหน้า และได้เก็บสิ่งที่บันทึกเอาไว้ มาผสมผสานกับข้อมูลใหม่จากการค้นคว้า หรือศึกษาหามา ทำให้มีเรื่องเขียนออกมาให้ท่านได้อ่านกันในวันอังคารของทุกสัปดาห์ จนใกล้จะครบ ๕ ปีแล้ว

ตอนดูหนังเรื่อง The Notebook นั้นมีความรู้สึกว่า พระเอกเป็นผู้ชายที่ จิตใจมั่นคง รักผู้หญิงคนเดียวมาตลอด ไม่เคยมองคนอื่นเลย ถึงผู้เป็นภริยาจะป่วยด้วยโรคความจำเสื่อมก็ไม่เคยทอดทิ้ง ได้พยายามทุกวิถีทาง เพื่อทำให้ความทรงจำของเธอกลับคืนดีมาอีกครั้ง เพื่อจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันในบั้นปลายอย่างมีความสุข

แม้ความทรงจำของผู้ภริยานั้น จะไม่กลับคืนมาตลอด หรือหวนคืนมาช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่นั้นพระเอกก็มีความสุขเหลือเกินแล้ว และถึงความจำจะกลับลบเลือนไปอีก ก็ไม่เคย
ละความพยายามที่จะกระทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ของคนที่เป็นสุดรักสุดหัวใจ หวนกลับมาจำอดีตที่ผ่านมาได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าความทรงจำของเธอนั้น จะเป็นเหมือนกระแสไฟฟ้าของเมืองไทย คือเดี๋ยวดับ เดี๋ยวติด ดับๆติดๆ จนเครื่องไฟฟ้าในบ้านจะพังไปหมดแล้วก็ตามที

ต่อให้ไฟฟ้าแห่งความทรงจำของหญิงผู้เป็นภริยา จะดับยาวไปเป็นเดือนหรือหลายเดือนหรือเป็นปี พระเอกของเราก็ไม่ละความพยายามที่จะปลุกความทรงจำด้วยวิธีการเขียน Notebook แล้วนำมานั่งอ่านให้เธอฟังทุกวัน

ผู้ชายอะไร ขุดมาจากไหนกันนะเนี่ยะ ช่างดีเหลือเกินพ่อคุณเอ๋ย เห็นแล้วนับถือ ถ้ามีตัวตนจริงๆ อยากจะตามไปพบและยกมือไหว้สักที!

ด้วยความซาบซึ้งที่ตัวเองได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้แสงสว่างวาบขึ้นมาในความคิดเลยผูกเรื่องสั้นแบบ The Notebook กับเขาบ้าง

พอเขียนเสร็จก็เอามาต่อท้ายกาแฟขม...ขนมหวานฉบับนี้ เพื่อเป็นของกำนัลกับท่านผู้อ่านที่เคารพ และอยากให้แฟนๆคอลัมน์ ลองเทียบกับภาพยนตร์ที่ผมเล่าให้ฟังว่า

เรื่องไหนจะอยู่ในความทรงจำของท่าน ได้ดีมากกว่ากัน?

เรื่องสั้น
ชื่อเรื่อง “ความทรงจำที่แสนร้าย ของชายอัลไซเมอร์”
โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


ากท่านผู้อ่านมองรอดรั้วระแนงของสถานพยาบาลในวันนั้น จะเห็นหญิงสาวในชุดรัดรูป ร่างได้ส่วนสัดสมบูรณ์แบบ ที่ผู้ชายถ้าเดินสวนกันเห็นเข้า เป็นต้องหันขวับกลับมามองซ้ำอีกครั้ง

เธอเดินเข้าไปหาชายสูงอายุ ที่นั่งอยู่บนม้ายาวใต้ต้นไม้ใหญ่อันร่มรื่น
ชายคนนั้นซึ่งรูปร่างยังดูผึ่งผาย หน้าตาบอกเค้าความหล่อเหลาในอดีตได้เป็นอย่างดี สายตาทอดยาวไปเบื้องหน้า ดูเหมือนไม่รับรู้การมาถึงของสตรีสาวสวย ซึ่งเมื่อเดินมาถึงตัวแล้ว ได้ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนกระพุ่มมือกราบลงตรงหน้าอกของคนที่นั่งอยู่ก่อน เอ่ยทักเชิงถามว่า

“คุณอาขา วันนี้สบายดีไหมคะ?” ถามอย่างไม่ประสงค์คำตอบกลับ แต่พูดต่อไปเรื่อยๆว่า

“เมื่อวานนี้อ่านโน้ตบุคของหนูให้คุณอาฟังแล้วว่า ตั้งแต่พระเอกเรียนหนังสือจบออกมาเป็นนายตำรวจแล้วไปรับราชการ จนได้แต่งงานจนหย่ากับภริยาแล้ว ไปรับราชการต่างจังหวัด ก่อนเกษียณจากราชการเล็กน้อยเจอกับสาวสวยย...ยยยยย...”

ลากยาวตรงคำว่า ‘สวย’ อย่างจงใจชัดเจน พร้อมกับยิ้มอย่างสดชื่น ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า

“นายตำรวจคนนั้นได้จีบสาวคนสวยที่สุดในจังหวัด จนไปเที่ยวด้วยกันและในที่สุดได้รักกัน แม้อายุของเราทังสองจะแตกต่างกันหลายสิบปี แต่เขาทำให้เธอมีความสุขอย่างเหลือล้น จนใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันมาสามปีแล้ว อนิจจามาถึงวันนี้เขากลับป่วยเพราะความจำเสื่อม จำไม่ได้แม้แต่สาวสวยที่เขาเคยบอกว่ารัก รัก รักเท่าฟ้า.....”
แล้วเธอก็เปลี่ยนจากคำพูดเป็นเสียงเพลง ว่า

“ยังจำได้ไหมถึงใครคนหนึ่ง ซึ่งคุณเพ้อว่าเป็นยอดบูชาของคุณ”


ท่อนหลังที่เธอร้องคือเพลง ‘จำได้ไหม’ ของคุณธาตรี (วิชัย โกกิลกนิษฐ) ขับร้องโดยคุณรวงทอง ทอง ทองลั่นธม ตั้งแต่ปี ๒๔๙๙ เพลงนี้โดนใจผู้ชายนัก!

พอเสียงเพลงจบลง ดวงตาของชายสูงอายุก็ขยายกว้างขึ้น รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากชัดเจน ก่อนจะพึมพำออกมาว่า

“จำได้แล้ว จำได้แล้วๆๆ” แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ค่อยๆดังขึ้น

“ผมเคยเป็นนายตำรวจ ก่อนเกษียณอยู่ที่จังหวัด...ผมชื่อ...” (เอ่ยชื่อตัวเองและชื่อจังหวัดไม่ชัดนัก คนเขียนเลยใส่ไม่ถูก)

หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้น เอียงหน้าเข้าหา พร้อมกระซิบถาม

“คุณอาบอกจังหวัด และชื่อตัวเองอีกครั้งซิคะ...บอกอีกซิคะ”

ผู้ถูกถามย้ำคำตอบอีกครั้ง (เสียงเบาเหมือนเดิม คนเขียนก็ไม่ได้ยินเลยใส่ชื่อไม่ถูกอีก)
แต่คราวนี้ฝ่ายถาม พูดแทบเป็นเสียงตะโกนอย่างดีใจสุดขีด

“คุณอาจำได้แล้ว ไชโย....คุณอาจำได้แล้ว!” น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นระคนยินดี ก่อนที่จะหยุดกึกลง เพราะคำถามราบเรียบจากชายสูงอายุ ที่ฟังแล้วเหมือนมีทั้งความสงสัยและความห่างเหิน ปรากฏในน้ำเสียงอย่างชัดเจน ว่า

“แล้วคุณเป็นใคร? ผมไม่เคยรู้จัก”

หญิงสาวตอบน่าเอ็นดูปนเอียงอาย ว่า “หนูก็คือคนที่คุณอารักมากที่สุด และรักคุณอามากที่สุด จำได้ไหมเอ่ย?” เธอพูดเหมือนกำลังเล่นยี่สิบคำถาม ก่อนเอื้อนเอ่ยต่อไป

“คนที่คุณอาบอกว่าเป็นสุดที่รักและจะแต่งงานด้วย เพราะคุณอาบอกว่าตั้งแต่หย่ากับภริยามาแล้ว ไม่เคยรักใครเท่าหนูเลย รักหนูตนเดียวหมดหัวใจเลยไงคะ”

คำลงท้าย “ไงคะ” ของเธอ ช่างหวานแหววจับใจนัก แต่น่าแปลกที่ใบหน้าของชายสูงอายุ เคร่งขรึมขึ้นทันที ก่อนจะพูดเป็นการเป็นงานอย่างช้าๆ ว่า

“ขอโทษนะ...คุณคงเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไปแล้วละครับ ผมยังไม่ได้หย่ากับภริยา เลยเธอชื่อ....(เว้นชื่อไว้เพราะเจ้าตัวพูดเบาไป ได้ยินไม่ถนัดอีกแล้ว) เรามีลูกด้วยกันสองคน ลูกของผมก็แต่งงานไปหมดแล้ว”

เขาหยุดพูดไปนิด ฝ่ายหญิงทำหน้างงๆ ก่อนที่อีกฝ่ายชายจะพูดต่อไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจว่า ฝ่ายหญิงจะรับฟังหรือไม่

“ตอนออกมาจากบ้านครั้งล่าสุด ก่อนที่จะขับรถออกมาภริยาของผมสั่งว่า ไปเที่ยวต่างจังหวัดคราวนี้อย่าไปเกินเจ็ดวันนะ ที่เธอห้ามเถลไถลเกินกว่านั้นและให้ผมรีบกลับ ก็เพื่อจัดเตรียมงานครบรอบแต่งงานปีที่สามสิบแปดของเรา ซึ่งเชิญแขกเหรื่อเอาไว้เยอะแล้ว...”

หยุดกระแอมนิด ก่อนพูดต่อว่า

“...ลูกๆก็จะกลับจากเมืองนอกและพาหลานๆมาด้วย ไม่เชื่อคุณลองโทรไปให้เธอมารับผมหน่อยเถอะ หมายเลขของภริยาผม ๐๑-๘๗๐-๘๑....”

ยังไม่ทันจะบอกเบอร์โทรฯจนครบ ๙ หลัก ชายสูงอายุก็มองเห็นหญิงสาวผลุนผลันลุกขึ้นยืน เขาชะงักเล็กน้อยพร้อมเงยหน้าขึ้น ก็เห็นภาพเธอยืนจังก้าตรงหน้า ทั้งสองสบตากัน
ฝ่ายชายเห็นใบหน้างดงามที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มน่ารัก เปลี่ยนแปลงไปเป็นเคร่งเครียดขมึงทึง ดวงตาคู่สวยกลับลุกโพลงและเบิกกว้างมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในความเห็นของผู้ป่วยที่ความจำบางส่วนเพิ่งกลับคืนมาสดๆร้อนๆนั้น

มันดูช่างดุดันเหี้ยมเกรียม น่ากลัวยิ่งนัก!

มือทั้งสองของสาวเจ้ามีวัตถุ ที่ดูเหมือนเป็นร่มหรือท่อนไม้ หรืออะไรสักอย่างไม่แน่ชัด แต่สองกำตรงด้ามเจ้าสิ่งนั้นเอาไว้แน่น แล้วเงื้อมันขึ้นสุดแขน...

...ก่อนจะฟาดเจ้าสิ่งนั้นตูมลงมา เข้าตรงกลางหว่างคิ้วของชายสูงอายุผู้เคราะห์ร้าย พอดิบพอดี!!


โลกของผู้ป่วยชายอัลไซเมอร์คนนั้น...ก็ดับวูบลงไปในฉับพลัน!!!

........จบ.........

กำลังโหลดความคิดเห็น