ส่วนตัวผมไม่ได้เป็นทหารอาชีพ ไม่มีญาติพี่น้อง หรือ เพื่อนฝูงใกล้ชิดที่เป็นทหารอาชีพ ชั่วชีวิตที่ผ่านมามีโอกาสได้ยืนอยู่ใกล้เคียงกับการเป็นทหารที่สุดก็คือ การเป็นนักศึกษาวิชาทหาร หรือ ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ร.ด. (รักษาดินแดน)
ช่วงเวลาสามปีแห่งการเป็นนักศึกษาวิชาทหาร ผ่านการอบรมจากครูฝึก ผมซึมซับเอาความรู้สึกของการเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้อย่างเต็มเปี่ยม และนับตั้งแต่ได้รับการประดับยศ กลายสภาพเป็นกำลังสำรองรอในยามที่ชาติประสบเภทภัย หรือสงครามผมก็ยังให้คำมั่นกับตัวเองว่า ถ้าหากชาติต้องการ ผมก็พร้อมที่จะถอดสภาพพลเรือนเพื่อสวมชุดทหารอันทรงเกียรติออกไปรับใช้ชาติ ตามคำปฏิญาณที่ว่า
"ข้าพเจ้าจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วยชีวิต ......"
วันที่ 29 มิถุนายน ที่ผ่านมา เมื่อได้ฟังทักษิณพล่ามที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลต่อหน้า 'ข้าราชการ' ทั้งหลายโดยกล่าวพาดพิงไปถึง 'ผู้มีบารมี' ผมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากว่า ทักษิณกำลังกล่าวถึงใคร? ทักษิณมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ในการกล่าวเช่นนั้น?
ต่อมาเพื่อมีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านออกมาชี้ และวิเคราะห์ว่า 'ผู้มีบารมี' ที่ทักษิณกล่าวพาดพิงถึงนั้น คือ ท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผมก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะทักษิณไม่เพียงกล่าวถึง 'ผู้มีบารมี' อย่างไม่ให้การเคารพ แต่ยังว่าร้าย 'ผู้มีบารมี' ต่อหน้าข้าราชการและประชาชนทั้งหลายด้วยว่า 'ผู้มีบารมี' ผู้นี้นั้นพยายามปฏิบัติการบางอย่างลับหลัง โดยเป็นการกระทำที่ต้องการจะเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ พร้อมกับกล่าวด้วยว่า 'ผู้มีบารมี' ผู้นี้นั้นกำลังจะล้มล้างระบอบประชาธิปไตย โดยสามารถอ้างอิงได้จากคำพูดที่ว่า
"ผมจะไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ไม่ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเด็ดขาด ผมจะขอโพรเทกต์(ปกป้อง) ประชาธิปไตยของชาติ เพราะผมถือว่าโลกยุคใหม่เขาให้คุณค่าคำว่า ประชาธิปไตยสูงมาก เราเป็นประชาธิปไตยมาขนาดนี้แล้ว ใครก็แล้วแต่จะนำพาประเทศถอยหลังเข้าคลอง โดยทิ้งประชาธิปไตยผมไม่ยอม ขอย้ำอีกครั้งว่า ผมจะปกป้องประชาธิปไตยด้วยชีวิต เพราะฉะนั้นความพยายามใดๆ ที่ทำให้ประชาธิปไตยสูญเสียไปจากประเทศไทย โดยที่ขณะผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมไม่ยอมเด็ดขาด เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องวิตกเลยว่าจะมีโพลิติคอล เชนจ์ หรือ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองช่วงนี้ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผมพูดเช่นนี้ ผมไม่เคยคิดยึดติดกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ผมมุ่งมั่นที่จะให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ลัทธิอื่น ระบบอื่นไม่มี เกิดไม่ได้ ตราบใดที่ผมอยู่ ....."
ถ้าหาก 'ผู้มีบารมี' ที่ทักษิณกล่าวถึงหมายความถึงพลเอกเปรม จริง และก็มีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นด้วย เพราะว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ลิ่วล้อทักษิณหลายคนอย่าง เช่น สมัคร สุนทรเวช ที่เคยออกมาด่าพลเอกเปรมตรงๆ ผ่านรายการโทรทัศน์เมื่อหลายเดือนก่อนจนต้องหายหน้าไปชั่วคราว เมื่อไม่กี่วันมานี้ก็ออกมากล่าวอย่างชัดเจนว่า ถ้าผู้ใดอยากทราบว่า 'ผู้มีบารมี' ที่ว่านั้นเป็นใครก็ให้ไปเปิดรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาตรา 14 และ 15 ดู ซึ่งเมื่อทางสื่อมวลชนไปพลิกรัฐธรรมนูญอ่านดูก็ได้คำตอบดังนี้คือ
......................................
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราชราช 2540 มาตรา 14 และมาตรา 15 อยู่ใน หมวด 2 พระมหากษัตริย์ ความว่า
มาตรา ๑๔ องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่ง หรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิก หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด
มาตรา ๑๕ ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่าข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
......................................
จากข้อความจากรัฐธรรมนูญมาตรา 14 และ 15 ชี้ให้เห็นได้ชัดว่า นายสมัครกำลังตีความว่า 'ผู้มีบารมี' ที่ทักษิณกล่าวถึงนั้นก็คือ องคมนตรี ซึ่งตามความหมายแล้ว องคมนตรี นั้นก็คือ ผู้มีตำแหน่งที่ปรึกษาในพระองค์พระมหากษัตริย์ เป็นบุคคลที่มีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ และพระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง
มากกว่านั้น เมื่อได้ยินข่าวว่าทาง กระทรวงยุติธรรมขอยกเลิกการปาฐกถาของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในงานสัมมนาในหัวข้อ “ในหลวงกับกิจการยุติธรรมไทย” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยให้เหตุผลว่ากลัวว่าการปาฐกถาดังกล่าวจะไปสร้างความขัดแย้งกับคำกล่าวของทักษิณที่พาดพิงถึง 'ผู้มีบารมี'!!! ผมก็ยิ่งรู้สึกสับสนไปกันใหญ่
ทำไม ...... บ้านเมืองในเวลานี้ผู้ที่มีบารมี โดยมีตำแหน่งเป็นถึงประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อันเป็นหนึ่งในตำแหน่งที่อยู่ใกล้ชิดองค์พระมหากษัตริย์ หนึ่งในสามสถาบันของชาติที่สุดจึงถูกกีดกันไม่ให้แสดงความคิดเห็น?
ทำไม ...... บ้านเมืองในเวลานี้ การกล่าวเรื่องที่เป็น 'ธรรม' จึงไม่สามารถกระทำได้ ?
ทำไม ...... บ้านเมืองในเวลานี้ ผู้ที่พูดความจริงจะต้องปิดปาก?
ทำไม ...... ข้าราชการทั้งหลายทั้งปวง ที่ชื่อก็บอกว่าว่าเป็น ข้ารับใช้ในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการทหาร-ตำรวจ ผู้ซึ่งท่องประโยคที่ว่า "ข้าพเจ้าจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ไว้ด้วยชีวิต ......" มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจึงสามารถทานทนต่อคำพูดของทักษิณได้?
ถ้าท่าน 'ข้าราชการ' ทั้งหลายยังสามารถทนทานต่อคำกล่าวดูหมิ่น 'ผู้มีบารมี' ของทักษิณและลิ่วล้อต่อไปได้ ก็จงนิ่งเฉยต่อไปเถิดครับ เพราะ อีกไม่ช้าไม่นานเหล่าประชาชนชาวไทยทั้งหลายก็จะก้าวเท้าออกมาปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วยชีวิตแทนพวกท่านแล้ว
ช่วงเวลาสามปีแห่งการเป็นนักศึกษาวิชาทหาร ผ่านการอบรมจากครูฝึก ผมซึมซับเอาความรู้สึกของการเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้อย่างเต็มเปี่ยม และนับตั้งแต่ได้รับการประดับยศ กลายสภาพเป็นกำลังสำรองรอในยามที่ชาติประสบเภทภัย หรือสงครามผมก็ยังให้คำมั่นกับตัวเองว่า ถ้าหากชาติต้องการ ผมก็พร้อมที่จะถอดสภาพพลเรือนเพื่อสวมชุดทหารอันทรงเกียรติออกไปรับใช้ชาติ ตามคำปฏิญาณที่ว่า
"ข้าพเจ้าจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วยชีวิต ......"
วันที่ 29 มิถุนายน ที่ผ่านมา เมื่อได้ฟังทักษิณพล่ามที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาลต่อหน้า 'ข้าราชการ' ทั้งหลายโดยกล่าวพาดพิงไปถึง 'ผู้มีบารมี' ผมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากว่า ทักษิณกำลังกล่าวถึงใคร? ทักษิณมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ในการกล่าวเช่นนั้น?
ต่อมาเพื่อมีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านออกมาชี้ และวิเคราะห์ว่า 'ผู้มีบารมี' ที่ทักษิณกล่าวพาดพิงถึงนั้น คือ ท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผมก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะทักษิณไม่เพียงกล่าวถึง 'ผู้มีบารมี' อย่างไม่ให้การเคารพ แต่ยังว่าร้าย 'ผู้มีบารมี' ต่อหน้าข้าราชการและประชาชนทั้งหลายด้วยว่า 'ผู้มีบารมี' ผู้นี้นั้นพยายามปฏิบัติการบางอย่างลับหลัง โดยเป็นการกระทำที่ต้องการจะเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ พร้อมกับกล่าวด้วยว่า 'ผู้มีบารมี' ผู้นี้นั้นกำลังจะล้มล้างระบอบประชาธิปไตย โดยสามารถอ้างอิงได้จากคำพูดที่ว่า
"ผมจะไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ไม่ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเด็ดขาด ผมจะขอโพรเทกต์(ปกป้อง) ประชาธิปไตยของชาติ เพราะผมถือว่าโลกยุคใหม่เขาให้คุณค่าคำว่า ประชาธิปไตยสูงมาก เราเป็นประชาธิปไตยมาขนาดนี้แล้ว ใครก็แล้วแต่จะนำพาประเทศถอยหลังเข้าคลอง โดยทิ้งประชาธิปไตยผมไม่ยอม ขอย้ำอีกครั้งว่า ผมจะปกป้องประชาธิปไตยด้วยชีวิต เพราะฉะนั้นความพยายามใดๆ ที่ทำให้ประชาธิปไตยสูญเสียไปจากประเทศไทย โดยที่ขณะผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมไม่ยอมเด็ดขาด เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องวิตกเลยว่าจะมีโพลิติคอล เชนจ์ หรือ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองช่วงนี้ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ผมพูดเช่นนี้ ผมไม่เคยคิดยึดติดกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ผมมุ่งมั่นที่จะให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ลัทธิอื่น ระบบอื่นไม่มี เกิดไม่ได้ ตราบใดที่ผมอยู่ ....."
ถ้าหาก 'ผู้มีบารมี' ที่ทักษิณกล่าวถึงหมายความถึงพลเอกเปรม จริง และก็มีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นด้วย เพราะว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ลิ่วล้อทักษิณหลายคนอย่าง เช่น สมัคร สุนทรเวช ที่เคยออกมาด่าพลเอกเปรมตรงๆ ผ่านรายการโทรทัศน์เมื่อหลายเดือนก่อนจนต้องหายหน้าไปชั่วคราว เมื่อไม่กี่วันมานี้ก็ออกมากล่าวอย่างชัดเจนว่า ถ้าผู้ใดอยากทราบว่า 'ผู้มีบารมี' ที่ว่านั้นเป็นใครก็ให้ไปเปิดรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาตรา 14 และ 15 ดู ซึ่งเมื่อทางสื่อมวลชนไปพลิกรัฐธรรมนูญอ่านดูก็ได้คำตอบดังนี้คือ
......................................
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราชราช 2540 มาตรา 14 และมาตรา 15 อยู่ใน หมวด 2 พระมหากษัตริย์ ความว่า
มาตรา ๑๔ องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่ง หรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิก หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด
มาตรา ๑๕ ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่าข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
......................................
จากข้อความจากรัฐธรรมนูญมาตรา 14 และ 15 ชี้ให้เห็นได้ชัดว่า นายสมัครกำลังตีความว่า 'ผู้มีบารมี' ที่ทักษิณกล่าวถึงนั้นก็คือ องคมนตรี ซึ่งตามความหมายแล้ว องคมนตรี นั้นก็คือ ผู้มีตำแหน่งที่ปรึกษาในพระองค์พระมหากษัตริย์ เป็นบุคคลที่มีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ และพระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง
มากกว่านั้น เมื่อได้ยินข่าวว่าทาง กระทรวงยุติธรรมขอยกเลิกการปาฐกถาของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในงานสัมมนาในหัวข้อ “ในหลวงกับกิจการยุติธรรมไทย” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยให้เหตุผลว่ากลัวว่าการปาฐกถาดังกล่าวจะไปสร้างความขัดแย้งกับคำกล่าวของทักษิณที่พาดพิงถึง 'ผู้มีบารมี'!!! ผมก็ยิ่งรู้สึกสับสนไปกันใหญ่
ทำไม ...... บ้านเมืองในเวลานี้ผู้ที่มีบารมี โดยมีตำแหน่งเป็นถึงประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อันเป็นหนึ่งในตำแหน่งที่อยู่ใกล้ชิดองค์พระมหากษัตริย์ หนึ่งในสามสถาบันของชาติที่สุดจึงถูกกีดกันไม่ให้แสดงความคิดเห็น?
ทำไม ...... บ้านเมืองในเวลานี้ การกล่าวเรื่องที่เป็น 'ธรรม' จึงไม่สามารถกระทำได้ ?
ทำไม ...... บ้านเมืองในเวลานี้ ผู้ที่พูดความจริงจะต้องปิดปาก?
ทำไม ...... ข้าราชการทั้งหลายทั้งปวง ที่ชื่อก็บอกว่าว่าเป็น ข้ารับใช้ในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการทหาร-ตำรวจ ผู้ซึ่งท่องประโยคที่ว่า "ข้าพเจ้าจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ไว้ด้วยชีวิต ......" มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจึงสามารถทานทนต่อคำพูดของทักษิณได้?
ถ้าท่าน 'ข้าราชการ' ทั้งหลายยังสามารถทนทานต่อคำกล่าวดูหมิ่น 'ผู้มีบารมี' ของทักษิณและลิ่วล้อต่อไปได้ ก็จงนิ่งเฉยต่อไปเถิดครับ เพราะ อีกไม่ช้าไม่นานเหล่าประชาชนชาวไทยทั้งหลายก็จะก้าวเท้าออกมาปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วยชีวิตแทนพวกท่านแล้ว