xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 241 “ทักษิณคนขาดบารมี...อัยการสูงสุดออกศึกครั้งนี้ อย่าถอยนะ!”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้....จิบกาแฟขมแล้ว ผมดูโทรทัศน์ที่เขานำข่าวนายกรัฐมนตรีประชุมหัวหน้าส่วนราชการที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๙

ในที่ประชุมครั้งนี้ นายกฯทักษิณได้พูดจาเป็นปริศนาหลายประการ ง ที่สำคัญที่สุดได้กล่าวในที่ประชุม ว่า

...อย่างหนึ่งคือเมื่อใดองค์กรตามปกติ ถูกองค์กรที่นอกระบบครอบงำ หรือมีอิทธิพลมากกว่าองค์กรปกติ นั้นก็จะวุ่นวาย หรือถ้าจะแปลเป็นไทยชัด ๆ ก็คือว่า วันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ในรัฐธรรมนูญ คือบุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป มีการไม่เคารพกติกา หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า ไม่ ออบเซิร์ฟ รูล ออฟ ลอว์ ของหลายฝ่าย หลายองค์กร ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองตามหน้าที่ที่ต้องทำ บางคนไม่พอใจกติกา แต่จะขอให้แก้กติกานอกระบบประชาธิปไตย นอกระบบรัฐธรรมนูญ เป็นไปไม่ได้..


นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ปากไม่เป็นมงคลของนายกฯทักษิณ ได้กล่าวถ้อยคำทำร้ายความรู้สึกของผู้คนจำนวนมาก จึงขอบอกกับเจ้าของปากเป็นภัยผ่านทางคอลัมน์นี้ ว่า

หากตัวคนพูด ได้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับกฎหมายตราสามดวง ซึ่งเป็นแว่นส่องสังคมไทย จะเห็นได้ว่าแนวคิดของสังคมไทยนั้น พระมหากษัตริย์นั้นทรงสั่งสมพระบารมีมามากกว่าบุคคลสามัญ

บารมีนั้น ตามความหมายทางพระพุทธศาสนามีอยู่ ๑๐ ประการ ที่เราเรียกว่า
ทศบารมีประกอบด้วย ๑. ทานบารมี ๒. ศีลบารมี ๓. เนกขัมมะบารมี ๔. ปัญญาบารมี ๕. วิริยะบารมี ๖. ขันติบารมี ๗. สัจจะบารมี ๘. อธิษฐานบารมี ๙. เมตตาบารมี ๑๐. อุเบกขาบารมี

ในวาระอันเป็นมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ ครบ ๖๐ ปี ได้มีบทความที่น่าอ่านหลายชิ้นด้วยกัน ที่กล่าวสรรเสริญพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื้อหาก็ได้ยืนยันว่า

หากพิจารณาในองค์ประกอบเรื่องบารมีแล้ว เห็นว่าพระองค์ได้ถึงพร้อมด้วยพระบารมีทั้ง ๑๐ ประการ จนเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่มหาชนโดยทั่วไป

ถ้านายกฯทักษิณรู้จักแหกตาดูบทความต่างๆ ที่เขาเขียนกันในบ้านเมืองก็คงจะพอรู้อยู่บ้างว่า บารมีนั้นเป็นของที่มนุษย์สั่งสมกันได้ ทั้งในอดีตชาติจนถึงปัจจุบัน และบารมีตามแนวทางของพระพุทธศาสนานั้น ลึกซึ้งมากกว่าคำว่า charismatic leaders ที่บรรดานักวิชาการไทยพยายามแปลว่า “ผู้นำบารมี” ให้มีความหมายเดียวกัน

การที่นายกฯทักษิณใช้คำว่านั้น บุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ไม่น่าจะเป็นคำพูดที่ถูกต้อง เพราะผู้ที่มีบารมีนั้นเป็นผู้มีศีลธรรมชัดเจน จึงต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติตนตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เป็นแบบอย่างกับผู้คนในบ้านเมืองได้ และไม่มีปัญหาทางกฎหมายเช่นเดียวกับนายกฯทักษิณที่มีอยู่สม่ำเสมอ ทั้งในฐานะที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือตกเป็นจำเลยเพราะการถูกฟ้องร้องต่อศาล และมีคิวที่จะต้องเดินทางไปแก้ต่างอีกในไม่ช้านี้ ซึ่งประชาชนก็จะได้เห็นนายกฯเดินขึ้นศาลทั้งศาลอาญาและศาลรัฐธรรมนูญเป็นว่าเล่น

มีผู้เข้าใจว่า นายกฯทักษิณกล่าวพาดพิง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ผมว่าเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ท่านเป็น “ผู้มีบารมี” ไม่ใช่แค่ “ดูเหมือนมีบารมี” ตามคำกล่าวของนายกฯปากไม่ปกติอย่างทักษิณ

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มีบารมีเหนือกว่าทักษิณอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะ “สัจจะบารมี” ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของผู้ผู้นำ ที่ผู้คนเขาเคารพยกย่อง

ท่านประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นผู้ที่รับราชการสนองพระเดชพระคุณในฐานะนายทหารของชาติ นำทัพเข้าต่อสู้กับอริราชศัตรูจนเป็นที่ประจักษ์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันมีเกียรติยิ่งรามาธิบดี

ครั้นเมื่อพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีก็พาชาติฝ่าวิกฤติหลายครั้งหลายครา จนทำให้ชาติบ้านเมืองมั่งคั่งสมบูรณ์ขึ้น ต่อมาท่านก็สละตำแหน่งอย่างมีเกียรติยิ่ง และเป็นที่ยกย่องของสุจริตชนทั่วไป

การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่าน เป็นไปด้วยใจสมัครเพราะท่านเห็นว่าได้ทำงานในตำแหน่งสำคัญของชาติมานานพอสมควรแล้ว

ไม่ต้องมีประชาชนออกมาชุมนุมขับไล่ ให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เหมือนอย่างที่เราได้เห็นเขาไล่นายกฯคนปัจจุบันกันอย่างถี่ยิบ แทบจะทุกสัปดาห์ก็ว่าได้ จนต้องขอเว้นวรรคการทำหน้าที่ไปพักหนึ่งแล้ว!

ดังนั้นคำว่า บุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ จะเป็นใครนั้น อยู่ที่นายกฯทักษิณจะตอบกับประชาชนเอาเอง แต่วาจาได้สร้างความไม่พอใจ และเป็นผลร้ายกับตัวคนพูดไปเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนั้นนายกฯทักษิณ ก็เปิดประเด็นขึ้นมาอีก โดยได้กล่าวในวันเดียวกันตามข่าวที่หนังสือพิมพ์เขารายงานดังนี้

หลังจากที่กล่าวจบ นายกรัฐมนตรีได้ให้โอกาสถาม แต่ไม่มีข้าราชการคนไหนถามก็เลยหันไปแซวว่า “อัยการสูงสุดมีอะไรจะพูดหรือเปล่า” และว่า “วันก่อนที่ผมเรียกอัยการสูงสุดมาพบ พร้อมทั้ง ผบ.ตร. อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรอง เพราะเป็นห่วงเรื่องความมั่นคงของชาติ ผมไม่ได้ห่วงว่าพรรคจะโดนยุบหรือไม่ยุบ คนก็บอกว่าผมให้ธงอัยการสูง ธงอยู่ท่าไหนก็ไม่รู้ยกคู่เลย อย่างที่ผมบอกเราต้องเคารพการทำหน้าที่ซึ่งกันและกัน ถ้าระบบมีเช็คแอนด์บาลานซ์มันก็จะลงตัวของมันเอง ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด นี่คือระบอบประชาธิปไตย เชิญท่านอัยการพูดไม่ต้องวิตก ผมถือว่าท่านทำหน้าที่ไม่ต้องห่วง”


ตรงนี้ผมดูข่าวโทรทัศน์ เห็นและได้ยินนายกฯทักษิณพูดเต็มๆ ซึ่งใครจะมองอย่างไร ก็แล้วแต่ทัศนะของบุคคลนั้นๆ แต่ส่วนตัวผมเห็นว่า

การพูดแบบนี้ นอกจากมีความพยายามแสดงตัวว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ต่อข้อกล่าวหาที่กำลังจะมีการดำเนินการในศาลรัฐธรรมนูญ ว่าพรรคของท่านได้กระทำผิดต่อบทบัญญัติกฎหมายสูงสุดของชาติ นายกฯทักษิณทำเป็นออกอาการไม่ยี่หระ ต่อการที่ถูกฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคแล้ว ลักษณะการพูดเดียวกันเหมือน จะ ‘ข่ม’ อัยการสูงสุดเอาซึ่งๆ หน้าอยู่ในที เป็นเหตุให้ผู้คนในที่ประชุมหัวเราะคล้ายจะเย้ยหยัน คุณพชร ยุติธรรมดำรง ให้ได้อาย

เรื่องอย่างนี้ ผู้ดีเขาไม่ทำกัน !

ดูเหมือนท่านอัยการสูงสุด ลุกขึ้นมากล่าวตอบอย่างสะกดกลั้นความรู้สึก ซึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันรุ่งขึ้น ใช้คำว่า

นายพชรกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า

“ผมไม่ได้วิตก เพราะทำตามหน้าที่ การพิจารณาส่งเรื่องการยุบพรรคให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ก็เป็นการดำเนินการเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองให้สงบสุข คิดว่าประชาชนเข้าใจว่าเหตุผลคืออะไร”


ขอชมเชยอัยการสูงสุดว่า ท่านเก็บอารมณ์ได้ดี ไม่เป็นคนเลือดร้อนปากไว ที่พร้อมจะลุกขึ้นมาฉีกหน้าสั่งสอนนายกฯทักษิณ กลางที่ประชุมเข้าให้ แต่ถ้อยคำตอบโต้ของนายพชร ยุติธรรมดำรง อย่างไม่ครั่นคร้าม ก็เพียงพอที่จะแสดงให้บรรดาอัยการผู้ใต้บังคับบัญชา เห็นว่าท่านอัยการสูงสุด ได้รักษาเกียรติยศของอัยการแผ่นดิน เอาไว้ได้อย่างเหมาะสม!

อัยการนั้น เป็นองค์กรมีบทบาทสำคัญ ในการที่จะรักษากฎหมายของบ้านเมือง ให้ทรงความไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จนเรียกว่า “อัยการแผ่นดิน” หรือ “อัยการของพระเจ้าแผ่นดิน” นั่นเอง

นี่เป็นอีกครั้ง ที่สถาบันอัยการจะพิสูจน์ต่อสาธารณะชน ถึงบทบาทหน้าที่อันสำคัญยิ่งนี้ ด้วยการนำเอานักการเมืองขึ้นพิจารณาในศาลรัฐธรรมนูญ ในข้อหาที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่เคยถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งหน้าที่สำคัญในการบริหารบ้านเมือง ซึ่งเขาที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาเหล่านั้น เคยเปล่งสัจจะวาจาว่า

“จะรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ”

บัดนี้ อัยการแผ่นดินมีหน้าที่ รวบรวมพยานหลักฐาน ไปพิสูจน์กลางศาลรัฐธรรมนูญว่า พรรคการเมืองซึ่งนำโดยนักการเมือง ที่เคยปฏิญาณตนเอาไว้ ว่าจะรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ กลับเป็นผู้กระทำผิดด้วยการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญเสียเอง ซึ่งทั้งองค์กรอิสระอย่าง กกต. และสำนักอัยการสูงสุด ได้เห็นพ้องกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ที่จะยุบพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล จึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมืองนั้นเสีย

จึงได้แต่หวังว่าท่านอัยการสูงสุด จะทำหน้าที่ครั้งนี้อย่างเต็มกำลังต่อกลุ่มบุคคลที่ไม่ได้รักษาสัจจะ ที่พวกเขาได้เคยถวายไว้ต่อเบื้องพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของเรา

เขียนมาถึงตรงนี้ อยากให้ท่านอัยการลองเปิดดูกฎมณเฑียรบาลเดิม มาตราที่ ๔๖ ที่ว่า

“ไอยการพระราชสงคราม ยกไปศึกก็ดีศึกมาถึงเมืองก็ดี.......
ถ้าผู้ใดถอยแต่เช้าเส้าหนึ่งลงอาชาตัดหัวตัดเท้า ทเวนรอบทับลุกหลานอย่าเลี้ยงดูเมื่อหน้า”


ไม่ได้ยกกฎหมายมาเพื่อทำให้ท่านอัยการสูงสุดไขว้เขว เพียงแต่นำมาแสดงให้เห็นว่า คนไทยเวลาจะออกศึกนั้นไม่มีคำว่า “ถอย” อยู่ในหัวใจ

จึงอยากให้ท่านและคณะ สวมหัวใจสิงห์ ที่นอกจากไม่ถอยแล้ว ยังบุกหาหาหลักฐาน อัดเข้าไปแสดงให้ศาลรัฐธรรมนูญเห็น ว่า

รัฐบาลนี้บริหารบ้านเมืองด้วยความไม่โปร่งใส จึงบังอาจกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายสูงสุดของบ้านเมือง ด้วยการเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ ที่ตนกับพวกได้เคยถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะรักษาไว้ให้มั่นคง และการกระทำไปนั้น...

ก็เพียงเพื่อรักษาอำนาจของตัวไว้....เท่านั้นจริงๆ!

...............................
กำลังโหลดความคิดเห็น