xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 239 “เธอขี่รถเก๋งร้องเพลงฝรั่ง ฉันจนทนนั่งแลหนังขายยา” (หนังเรื่อง ‘รัฐบาล snake oil salesman’ น่ะ!)

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว เริ่มจัดหนังสือที่รื้อออกมาให้เข้าทีเข้าทาง โดยเปิดวิทยุฟังไปด้วย การที่อยู่ต่างจังหวัดนี้ ทำให้ผมไม่สามารถรับฟังคลื่นที่มีรายการดีๆ หรือที่ผู้คนเขานิยมกันในกรุงเทพได้ คนที่อยู่ต่างจังหวัดจึงเสียเปรียบคนกรุงเทพ ในเรื่องข้อมูลข่าวสารเป็นอันมาก

วิทยุท้องถิ่นส่วนใหญ่หนักไปทางรายการเพลงและบันเทิง การวิเคราะห์ข่าวต่างๆที่มีอยู่บ้าง แม้จะกระทำโดยผู้ที่มีความรู้ในท้องถิ่น หรือบรรดานักวิชาการจากมหาวิทยาลัยและสถานการศึกษาที่มีอยู่ในจังหวัด อาสามาร่วมรายการช่วยวิเคราะห์วิจารณ์ให้ก็ตาม แต่การที่ไม่อยู่ใกล้ชิดกับกรุงเทพ ซึ่งเป็นศูนย์อำนาจและฐานข้อมูลข่าวสารที่แท้จริง ทำให้บทความต่างๆ หรือการสนทนาในด้านการเมือง ด้อยในเรื่องความทันสมัยกว่าทางเมืองหลวงมากๆ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร แต่บรรดาครูบาอาจารย์และนักวิชาการต่างจังหวัด โปรดอย่าได้ท้อใจที่ผมวิจารณ์อย่างนี้ เพราะท่านยังสามารถที่จะให้ความรู้กับประชาชน ในสาขาวิชาที่ตัวเองมีความถนัดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอาจารย์ด้านสาขาวิชาการเกษตรและการแพทย์ ที่มีหลายรายการน่าชมเชยเป็นอันมาก ขนาดผมไม่ได้ร่ำเรียนมาทางนี้ พลอยได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์ไปด้วย

รายการกระจายเสียงของสถานีวิทยุต่างจังหวัด พอเทียบกันกับสถานีวิทยุกรุงเทพ (บางคลื่น) เห็นจะได้แก่รายการเพลงลูกทุ่ง ช่างดกดื่นดารดาษพอฟัดพอเหวี่ยงกันทั้งในกรุงและบ้านนอก ต่างก็เปิดเพลงลูกทุ่งกันตั้งแต่หัวไก่โห่ ลากยาวไปเช้า บ่าย ค่ำ ดึก ถึงตอนอุษาสางอีกวันหนึ่งเลยทีเดียว

ขณะที่ผมกำลังจัดหนังสือหนังหาอยู่ในตอนเช้า ก็ได้ยินเสียงเพลงลูกทุ่งจากวิทยุ เขาร้องว่า

เธอขี่รถเก๋งร้องเพลงฝรั่ง ช่า ช่า ช่าช่า
ฉันจนทนนั่งแลหนังขายยา
เจ้าจึงเปลี่ยนทาง หักเห ไปทุ่มไปเทซีเนรามา
ลืมคนบ้านนาลืมหนังตะลุง
คงนึกว่าตัว เธอเด่น เลยเห็นฉันเป็น คนโง่
ไปควงจิ๊กโก๋แล้วลืมลูกทุ่ง...


เพลงนี้เก่าพอสมควรและเคยฮิตมาก ชื่อเพลง ‘ไก่นาตาฟาง’ ครูฉลอง ภู่สว่าง ท่านแต่งเพลงนี้ให้ จิรพันธ์ วีระพงษ์ นักร้องมาจากอำเภอบางซ้าย จังหวัดอยุธยาเป็นผู้ร้อง เพลงนี้บรรเลงเป็นจังหวะสามช่า พวกรำวงชอบเล่นกันนัก แต่จังหวะช่า ช่า ช่า ก็ไม่ได้ทำให้ผมลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขาเต้นตามจังหวะไปด้วย หากคว้าปากการีบโน๊ตหัวข้อเอาไว้ และลงมือเขียนต้นฉบับให้ท่านได้อ่านกัน ที่จะเขียนไม่ใช่เรื่องเพลง แต่กลับไปเกี่ยวกับยาและหนังขายยา

ตอนยังเป็นเด็กอยู่ วันหนึ่งพ่อพาไปต่างจังหวัด ทำให้ผมได้มีโอกาสเห็นหนังขายยาครั้งแรก จำได้ว่ารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะอยู่กรุงเทพไม่เคยเห็น ตัวเองได้นั่งอยู่หลังคนพากย์หนังแต่สายตาแทบจะไม่ได้ดูหนัง หากจ้องดูการทำงานของนักพากย์ ซึ่งเป็นการ ‘พากย์สด’ ซึ่งการให้เสียงภาพยนตร์แบบนี้ได้หายไปแล้ว พร้อมกับการหมดไปของหนังขายยา เพราะหนังปัจจุบันแม้จะนำไปฉายในลักษณะของ ‘หนังกลางแปลง’ หรือ ‘หนังล้อมผ้า’ (ต่างกันตรงที่หนังประเภทหลังเขาเก็บสตางค์ค่าดู) ก็เป็นภาพยนตร์ที่มีการบันทึกเสียงบนแผ่นฟีล์มเรียบร้อยแล้ว หรือที่เรียกว่า “ภาพยนตร์เสียงในฟีล์ม” จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้นักพากย์ เป็นผู้ให้ให้เสียงกันสดๆกันอีกต่อไป

บ้านที่ผมเติบโตขึ้นมา อยู่ใกล้โรงหนังเฉลิมกรุง อาจเรียกว่า ‘เด็กเฉลิมกรุง’ ก็คงพอได้ เรียนจบออกมาเป็นนายตำรวจโรงพักพระราชวัง ที่โรงหนังนี้อยู่ในเขตรับผิดชอบอีก จึงรู้จักนักพากย์รุ่นเก่าๆหลายคน ตัวเองก็เคยลองหัดพากย์หนัง แต่การที่ได้สนทนากับผู้มีอาชีพนี้ ทำให้ตัวองได้รับความรู้เกี่ยวกับชีวิตนักพากย์ ที่ส่วนใหญ่ต้องเริ่มจากหนังขายยาก่อนทั้งนั้น จนวิทยายุทธแก่กล้าแล้ว ถึงเลื่อนชั้นไปพากย์ในโรงใหญ่

การที่นำยาไปขายในต่างจังหวัดนั้น เป็นเรื่องจำเป็นของบริษัทขายยาที่จะนำสินค้าของตน ไปเสนอขายตรงให้กับคนในท้องถิ่นห่างไกล แต่ครั้นจะไปขายยาเฉยๆคงไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนเข้ามาซื้อ จึงต้องมีความบันเทิงเริงใจไปให้กับชาวบ้านด้วย เพื่อจูงใจในการที่จะให้พวกเขาซื้อยา นั่นคือการฉายภาพยนตร์ ที่เราเรียกกันว่า “หนังขายยา” ถ้าไม่ขายยาก็เรียกว่า “หนังกลางแปลง” เพราะตั้งจอหนังฉายกันกลางแจ้งเลย ทั้งสองชื่อเลยมีการเรียกปนกันไปปนกันมากเสียเป็นส่วนมาก

ในสมัยที่บ้านเรายังไม่มีโทรทัศน์ หนังขายยาเป็นสิ่งบันเทิงเริงใจสำคัญของชาวบ้านประเภทหนึ่งเลยเดียว เมื่อหนังขายยาเข้าไปถึงหมู่บ้าน ความมีชีวิตชีวาเกิดขึ้นกับชุมชนเล็กๆนั้นทันที แต่บริษัทที่มีรถขายยาตระเวนขายยาไปทั่วประเทศนั้น ต้องมีทุนหนา หรือเป็นบริษัทขนาดใหญ่เพราะต้องลงทุนพอสมควร

หนังขายยาที่จะเข้าไปในหมู่บ้าน ส่วนมากจะใช้รถจี๊ปพวงมาลัยซ้าย นำเครื่องทำไฟติดหลังรถไปด้วย เพื่อปั่นและจ่ายกระแสไฟ สำหรับใช้ในการฉายหนัง เพราะท้องถิ่นที่ไปนั้นห่างไกลจากอำเภอเมือง มักจะไม่มีไฟฟ้าใช้กัน

หนังในยุคนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสิบหกมิลลิเมตร แผ่นฟิล์มขนาดเล็กแต่หนา หนังสิบหกมิลฯครองตลาดอยู่นาน จนมาถึงยุคหนังสามสิบห้ามิลลิเมตร ได้มีการนำหนังขยายขนาดใหญ่ขึ้นนี้ มาฉายในหมู่หนังขายยาด้วย จนหนังสิบหกมิลฯถูกหนังที่ใหญ่กว่าและดีกว่า กลืนหายไปจากวงการภาพยนตร์อย่างถาวร

ในการฉายหนังกลางแปลงนั้น พอฉายไปสักพักหนังกำลังจะเข้าไคลหรือถึงตอนสนุก คนฉายก็หยุดให้คนที่มีหน้าที่ขายยา ลงมือขายยากันเสียที ทำให้อารมณ์ผู้ชมไม่ค่อยต่อเนื่อง แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อความบันเทิงกับธุรกิจนั้นเป็นของคู่กันเสมอ

ยาที่นำไปขายในหมู่บ้านพร้อมกับรถหนัง ก็มักจะขายได้ดี เมื่อเข้าไปถึงหมู่บ้านใด ชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียงกัน ต่างก็มาสมทบดูหนังและซื้อยาด้วย สมัยก่อนต้องทำอย่างนี้ เพราะเป็นการนำสินค้าไปขายตรงให้กับชาวบ้าน แต่เมื่อโทรทัศน์เข้ามาในชีวิตผู้คน การโฆษณาทางจอแก้วมีประสิทธิภาพมากกว่าการขายตรง หนังขายยาก็ค่อยๆหมดไป ที่หลงเหลือก็น้อยเต็มทีและจัดเป็นครั้งคราวเท่านั้น

ท่านผู้อ่านสังเกตไหมครับว่า บริษัทขายยาที่นำหนังไปฉายในต่างจังหวัด ยาที่นำไปขายให้ชาวบ้าน ล้วนแต่ได้รับอนุญาตจากทางการให้จำหน่ายได้ทั้งสิ้น ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เรียกว่า องค์การอาหารและยาหรือ อย.ต้องอนุญาตเสียก่อน แต่ยังมีอีกพวกหนึ่งที่เราเรียกว่า

พวก“ขายยาเร่”
การขายยาด้วยการเร่ขายประเภทนี้ แทนที่จะฉายหนังพวกเขาใช้แสดงการเล่นมายากลแทน เพื่อเรียกร้องความสนใจประกอบการขายยา อันเป็นสินค้าของพวกเขา ซึ่งก็เป็นกลง่ายๆพอแหกตาชาวบ้านได้ เวลาไปแสดงก็จะมีฉาบขนาดใหญ่ บางที่ก็มีกลองใบเล็กๆ เป็นเครื่องส่งเสียงเรียกผู้คนให้ล้อมวงกันเข้ามาดู พอกลกำลังจวนเจียนจะเปิดทีเด็ด ก็หยุดการแสดงเสียอีก และลงมือโฆษณาขายยาที่ตนนำมาจำหน่ายทันที เช่นเดียวกับพวกหนังขายยาเหมือนกัน

ยาที่พวกขายยาเร่นำมาจำหน่าย เกือบทั้งหมดไม่ใช่ยาที่ทางการรับรองว่า เป็นยาที่จำหน่ายให้กับประชาชนได้ ซึ่งต่างจากยาบริษัทใหญ่ๆ เรียกว่ายังไม่ได้รับอนุญาตให้ขายได้ว่าอย่างนั้นเถอะ

ถึงกระนั้นยาจำพวกนี้ชาวบ้านก็ซื้อหากัน เพราะผู้นำมาขายมักจะเชื่อคำอวดถึงสรรพคุณอันวิเศษสุดเหมือนยาเทวดา บางทีสุดจะพิลึกพิลั่นด้วย เช่น “น้ำมันจิ้งเหลน” ที่มีสรรพคุณนานับปการ ตั้งแต่ใช้ทาแก้ปวดเมื่อย แตะขมับแก้ปวดหัว ใช้นวดอวัยวะเพศที่มีขนาดเล็ก ให้เติบโตจากงูดิน กลายเป็นมังกรยักษ์ หรือถ้าหากเป็นยาถ่ายพยาธิ พวกเขาก็จะมีตัวยึกยือตัวยาวเฟื้อยหลายฟุต ถูกดองนอนขดอยู่ขวดโหล ให้คนดูคลื่นไส้เล่น เป็นการข่มขวัญพวกที่คิดว่าตัวเองมีพยาธิในท้อง การโฆษณาก็บอกว่าตอนเย็นกินปุ๊บ ตกดึกไอ้ตัวน่าเกลียดพวกนี้คลานปั๊บ ออกจากรูทวารทันที หรือหากเป็นยาแก้พวกการปัสสาวะหรือ ‘เบา’ ไม่ออก กษัย ไตพิการ หรืออะไรพวกนี้ ก็ร้องโฆษณาดุเดือด ว่า

“ท่านที่เบาเหลือง เบาขาว เบาขุ่น เบาข้น เบาเป็นตะกอนนอนก้น หรือเบาเป็นโลหิตสดๆ โปรดใช้ยาตรา ‘ห้าคิงคอง’ กินง่าย ถ่ายคล่อง ไม่ปวด ไม่มวน....”
ยาห้าคิงคองนี่ สรรพคุณเขายอดเยี่ยม ขนาดนั้นเลย!
น่าแปลกที่ยาบำรุงกำลังทางเพศ ประเภทปลุกมังกรฟื้นจากการหลับใหล หรือให้มีความทรหดอดทนในการสู้ศึกกามกรีฑา ยาพวกนี้ขายดีทั้งนั้น แต่เรื่องของคุณภาพดูเหมือนจะไม่มีอะไรมายืนยันเลยว่า มีสรรพคุณดีจริงหรือไม่? หลายชนิดเมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว กลับมีปัญหาเรื่องผลข้างเคียง โผล่ออกมาให้เห็นเกือบทุกชนิด

การออกไปจำหน่ายยาเร่ โดยไม่ขายอยู่ในร้านขายยานี้ ใช่แต่มีเฉพาะคนไทยเราเท่านั้น แต่ที่โด่งดังมาก ดูเหมือนจะเป็นประเทศเกิดใหม่อย่างสหรัฐอเมริกา หรือเราเอาแบบอย่างมาจากฝรั่งก็เป็นได้ ต้องลองสืบค้นกันดู แต่เท่าที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของชาติเรา ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องพ่อค้ายาเร่เข้ามาเกี่ยวข้องแต่ประการใด

สำหรับในสหรัฐนั้น เมื่อ ปี ค.ศ.๑๘๘๐ โจเซฟ ไมเออร์ (Joseph Myers) ชายชาวเมือง Pugnacity, Nebraska, USA ผู้มีหัวการค้า เขาช่วยพวกอินเดียแดงเก็บสมุนไพร ได้รับการบอกกล่าวว่า สมุนไพรพวกนี้มีสรรพคุณในการถูกผึ้งต่อย งูหางกระดิ่งฉกเอา หรือแม้กระทั่งหมาบ้ากัด แท้ที่จริงแล้วยาสมุนไพรของอินเดียแดงพวกนี้ มีสรรพคุณแก้อาการเจ็บป่วยไม่สบายพื้นๆ แบบปวดหัวตัวร้อนเท่านั้น

โจเซฟ ไมเออร์ ได้คิดสูตรนำตัวยาสมุนไพรเหล่านั้น มาผสมกับสิ่งสำคัญยิ่งของคนผิวขาวคือวิสกี้ สูตรยานี้โดนใจพวกคนขาวทั้งหลาย เขาเดินทางไปทั่วตะวันตก นำยาที่มีสรรคุณวิเศษนี้ ไปเผยแพร่ตามท้องถิ่นต่างๆ จนรู้จักกันในนาม ‘snake oil salesman’แต่ยานี้มันไม่ได้มีสรรคุณดีเลิศครอบจักรวาล อย่างที่คนขายเขาอวดอ้างกัน

ต่อมาคำว่า ‘snake oil salesman’ เลยมีคำอธิบายเป็นภาษาอเมริกันอย่างไม่เป็นทางการว่า “someone who tries to sell you something of no value.” หรือ พวกที่พยายามเสนอขายสิ่งของ ที่ไม่มีคุณค่าให้ พูดง่ายๆก็คือพวก “หลอกลวง” นั่นเอง

ในสมัยคนอเมริกันยุคบุกเบิกนั้น การขายยาเร่เป็นที่นิยมกันมากโดยเฉพาะพวกที่อยู่ห่างไกลหรืออยู่ริมชายแดน แต่ยาส่วนใหญ่แล้วหาได้มีคุณภาพ ตามที่เซลแมนโฆษณาชวนเชื่ออวดอ้างสรรพคุณเอาไว้

ยาบางอย่างสามารถทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตัวเองมีอาการดีขึ้น เช่นยาระงับปวดที่เข้าฝิ่นกับสุรา หรือยาเฉพาะสตรีบางชนิดเฟื่องฟูมาก ผู้หญิงชาวอเมริกันยุคนั้นนิยมรับประทานกัน เมื่อนำมาตรวจดูภายหลังก็ปรากฏว่า มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมถึง ๔๐ เปอร์เซ็นต์ทีเดียว เท่ากับรินเหล้าเพียวๆลงในแก้วสองส่วนแล้วเติมน้ำสามส่วน เขย่าให้เข้ากันแล้วลองยกซดดู ก็จะรู้สึกเลือดลมสูบฉีด กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที โดยไม่ต้องใส่ตัวยาด้วยซ้ำไป

ยาสตรีตัวนี้ขายดีมากจริงๆ แม้จะไม่มีสรรพคุณวิเศษทำให้ผู้หญิงอ้วนแบบคนท้องได้เหมือน ‘ยาสตรี-โทต๊อง’ ที่ดาราหญิงบ้านเรากินแล้วได้ผลดีมากๆ เพราะบริโภคเข้าไปนอกจากท้องจะโตขึ้นแล้ว ยังมีมีทารกไหลออกจากตัวได้ด้วย ถึงกระนั้นยาผสมเหล้าของฝรั่งนี้ ก็ทำให้สตรีอเมริกันกลายเป็นพวกชอบนิยมการ ‘กรึ้บ’ หรือการดื่มเป็นจำนวนมากทีเดียว
คงไม่ต่างอะไรกับยาดองบ้านเรา ที่พวกเลี่ยงบาลีบอกว่า
“พอฉันเป็นโอสถได้!”

ยาสมุนไพรบ้านเรามีมานมนาน ที่เขียนเป็นตำรับตำราเอาไว้ก็มาก แต่ขอให้เชื่อทางราชการไว้ดีกว่าว่า สมุนไพรชนิดไหนปลอดภัย อย่าเที่ยวไปซื้อยาสมุนไพรที่คนบอกว่ามีฤทธิ์วิเศษกินส่งเดช เพราะจะเป็นอันตรายแก่ตัวเองเสียมากกว่า

ผมเองแทบไม่ได้กินยาปฏิชีวนะหรือยาฝรั่งใดๆเลย แต่ก็รับประทานอาหารที่เป็นสมุนไพรมากอย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า ตัวเองกินกระเทียมนับสิบกลีบต่อวัน นอกจากนั้นก็ยังมีมะเขือเทศสด ซึ่งมีสรรพคุณป้องกันโรคต่อมลูกหมาก ที่มักรบกวนชายสูงอายุ กินวันละสองผลทุกวันมานานหลายปี ตรวจกี่ทีๆก็ไม่มีเจอไอ้โรคเวรโรคกรรมนี้เลย

ที่มีประโยชน์และผมรับประทานอาทิตย์ละ ๕ วัน เห็นจะเป็นต้มยำแบบไทยแท้ ที่ใส่ทั้งข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ผักชี พริก มะนาว ซึ่งเป็นสมุนไพรทั้งนั้น ทานครั้งละชามใหญ่ๆแต่ข้าวสวยแค่ ๒-๓ ช้อน รุ่งขึ้นตื่นมาตัวก็เบาแล้ว ใครอยากลดน้ำหนักให้รับประทานแบบนี้

ถ้ารู้สึกอึดอัดคัดท้อง เพราะทานอาหารมากเกินไปเช่น ไปงานเลี้ยงกินอาหารและดื่มมากเกินไป ตื่นขึ้นมาก็กินยาระบาย “ระดมพล” ซึ่งแม่ให้กินมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กเข้าไป เป็นการล้างพิษ หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ดีท๊อกซ” (detox) เรียบร้อย โล่งสบาย ท่านผู้อ่านจะใช้วิธีการของผม ก็ไม่ผิดกติกาอันใดเลย ไม่ต้องกังวลในการล้างพิษด้วยการสวนทวารด้วยกาแฟ ยิ่งคนสูงอายุเดี๋ยวแหย่ผิดแหย่ถูก ยุ่งยากเปล่าๆไม่เข้าการ ใช้ยาระดมพลสมุนไพรของไทยแท้ๆสะดวกกว่ากันมากนัก

สมุนไพรบางชนิดที่แก้โรคผมร่วงจากโรคต่างๆ เช่นชันตุ เมื่อนำมาเป็นส่วนผสมสำคัญและผลิตเป็นแชมพูสระผม ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ เช่น แชมพูยี่ห้อ “BOTANO” ที่กำลังดังเอามากๆ พรรคพวกผมรุ่นเดียวกันใช้แล้วผมร่วงหยุดชะงัก แถมมีผมเส้นใหม่ขึ้นมาด้วย เลยเอามาลองใช้ดูบ้าง ได้ผลดีอย่างที่เขาว่าเลยทีเดียว ไม่ได้ค่าโฆษณาอะไรกับเขาหรอก แต่ใช้แล้วรู้ว่าดีเยี่ยมจริงๆ ก็ต้องบอกแฟนๆที่เคารพ หากท่านมีปัญหาในเรื่องนี้ให้รู้ว่านอกจากแชมพูนี้ประสิทธิภาพดีแล้ว ราคาก็ย่อมเยา เพราะทั้งสองอย่างนั้นเป็นสมุนไพรไทยแท้ๆ

อย่างแรกคือยาระบาย “ระดมพล” ที่บอกนั้น เขาขายมานมนานแล้ว อายุเท่าๆกับผมเห็นจะได้ ส่วนอย่างหลังไม่ใช่ยาหากเป็นแชมพู “BOTANO” ที่ใช้แล้วผมไม่ร่วงและยังขึ้นอีก แม้จะเป็นของผลิตใหม่ แต่ตำรับของเขานั้นเป็นของเก่า ตัวยาสมุนไพรที่นำมาเป็นส่วนประกอบ ผมดูแล้วก็ไม่ได้พิสดารอะไร มีบันทึกในหอจดหมายเหตุแห่งชาติด้วยซ้ำ แต่เข้าใจว่าเภสัชกรของเขาต้องเก่ง จึงผสมสัดส่วนสมุนไพรตามตำรับเดิมลงตัวเหมาะเจาะ ผลิตภัณฑ์จึงออกมาดีจริงๆ เป็นประโยชน์กับชายสูงอายุที่ผมเริ่มบาง แต่ยังอยากหล่ออย่างพรรคพวกคนเขียน ใช้แล้วไว้ใจได้ว่าผมขึ้นแน่ๆ ที่เอามาบอกกันเพราะเห็นว่า อาจเป็นประโยชน์แก่ท่านที่มีปัญหาเรื่องเส้นผมร่วงหล่นตามวัย บั่นทอนความหล่อเหลา จะได้มีของดีๆไว้ใช้กัน

คนที่เจ็บป่วยหรือสุขภาพอ่อนแอ มักตกเป็นเหยื่อพวกขายยาที่อวดอ้างสรรพคุณ หรือพวก ‘snake oil salesman’ ได้ง่าย โดยเฉพาะพวกที่มีเงินมาก สามารถซื้อหายาราคาแพงมาเพื่อต่อชีวิตตนเอง แม้แต่คนยากคนจนก็ยังต้องขวนขวายหาเงินมาซื้อยาหรือสมุนไพรที่ไม่มีคุณค่า หรือมีประโยชน์น้อยกว่าความเป็นจริง แต่มีการโฆษณาชวนเชื่อสูง เมื่อกินเข้าไปก็ทำให้รู้สึกสดชื่นในตอนแรก แต่แล้วก็ทรุดกลับไปเหมือนเดิม

ที่คนป่วยรู้สึกดีขึ้น เพราะยาสมุนไพรนั้นใส่สารกระตุ้นจำพวก สเตียรอยด์ (steroid) ซึ่งปัจจุบันสารนี้ถูกการลักลอบนำผสมใส่ในยาแผนโบราณ ยาลูกกลอน และยาชุด โดยไม่ได้รับอนุญาต ขาดการควบคุมอย่างถูกวิธีตามหลักเภสัชวิทยา ซึ่งเป็นอันตรายมาก

สมุนไพรบางตัวที่อวดอ้างว่าสรรพคุณดีล้ำเลิศ เช่นใบพืชที่แสนจะธรรมดา ตะบี้ตะบันขายกันได้ตั้งหลายพัน ผมเห็นแล้วสงสารคนซื้อมาก และนึกแช่งพวก ‘snake oil salesman’ ที่หากำไรจากคนทุกข์คนยากจริงๆ

การดำเนินคดีกับพวกนี้ไม่ยากเลย เพียงแต่ทางการสนอกสนใจบ้างเท่านั้น พวกหลอกลวงประชาชนก็จะลดน้อยถอยลง

ที่สำคัญ อย่าปล่อยให้คนพวกนี้ ออกมาโฆษณาทางสื่อวิทยุได้เป็นอันขาดทีเดียว!

ในปัจจุบันนี้ การซื้อขายทางอินเตอร์เนตได้มามีบทบาทมาก ตอนนี้การกลับมาของยาที่ไม่มีสรรพคุณอย่างที่อวดอ้าง ขึ้นเต็มหน้าเวปไซด์ต่างๆ มีการซื้อขายกันอย่างคึกคัก ในปี
ค.ศ. ๒๐๐๒ องค์กรเพื่อการแข่งขันและคุ้มครองผู้บริโภคชื่อ Australian Competition and Consumer Commission ของประเทศออสเตรเลีย ได้ดำเนินการกวดล้างเวปไซด์ต่างๆ ที่ขายยาและเวชภัณฑ์ตลอดจนการให้การบริการทางการแพทย์ พบว่ามีเวปที่ต้องสงสัยถึง ๑,๔๐๐ เวปไซด์เลยทีเดียว ทาง อย.ควรร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สอดส่องพฤติกรรมเหล่านี้ด้วย

เมื่อคุยถึงเรื่อง ‘snake oil salesman’ แล้ว นึกถึงรัฐบาลชาติต่างๆ ที่ใช้นโยบายประเภทประชานิยม เพราะว่ามีความคล้ายคลึงกันเอามากๆ คือ

โครงการแจกเงินแจกทอง ตั้งกองทุนให้กู้ ยกหนี้ให้ชาวบ้าน เมื่อประชาชนเพลิดเพลินบริโภคเข้าไป เสมือนกินยาผสมแอลกอฮอล์หรือสารกระตุ้นจากพ่อค้าเร่ ผู้ที่กินเข้าไปจะรู้สึกว่าตัวเองสุขภาพดีขึ้น สดชื่นกระปรี้กระเปร่าในตอนแรก และฟุบกลับไปเหมือนเดิมอีกในเวลาต่อมา เพราะสรรพคุณไม่ดีเหมือนยาแผนปัจจุบัน หรือแผนโบราณเองที่ได้รับการตรวจสอบทดลอง และได้รับคำรับรองจากทางการว่า ปลอดภัยและมีคุณภาพในการบำบัดรักษาได้จริง

คนที่หลงเป็นเหยื่อพ่อค้า ที่ขายยาไร้ประสิทธิภาพในการบำบัดรักษา หรือคุณภาพต่ำ แต่โฆษณาเกินความเป็นจริว ไม่แตกต่างอะไรชาวบ้าน ที่เป็นเหยื่อนโยบายรัฐบาลประชานิยม เพราะคนไข้นั้นจะมารู้สึกตัวอีกที อาการป่วยก็ลุกลาม ทรุดหนักลงแล้ว ส่วนชาวบ้านชั้นรากหญ้ารากฝอย มารู้ตัวอีกครั้งก็มีหนี้สินงอกเพิ่มอีกมากมาย เพราะเอาเงินที่กู้มาจากกองทุนรัฐบาล เอาไปซื้อสินค้าที่มีนักการเมืองในรัฐบาลเป็นเจ้าของ เช่นโทรศัพท์มือถือ หรือสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างอื่น เพื่อความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต อันไม่รู้จักความพอดี

พอหมดเงินก็ไปกู้จากบริษัทดอกโหด (จะไม่โหดได้ไง สินค้าบางตัวดอกเบี้ยคิดแล้วปีละเกือบ ๕๐% ต่อปี) ซึ่งก็มีนักการเมืองใหญ่ที่กำหนดนโยบายของชาติ ร่วมกับครอบครัวที่ขยันทำมาหารับประทานบนหลังคน ด้วยการรีดดอกเบี้ยสูงลิ่ว เป็นเจ้าของอีกนั่นแหละ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไม....

ราษฎรจนลง...จนลง...และจนลง!
ส่วนนักการเมืองรวยขึ้น...รวยขึ้น...และรวยขึ้น!!


เขียนมาถึงตรงนี้ ชักอยากดูหนังกลางแปลงขึ้นมาอีกแล้ว ใครที่จัดงานศพจะเอาหนังไปฉาย กรุณาไปหาหนังฝรั่งเรื่อง “อวสานของเซลแมน” (Death of a Salesman) ไปฉายทีเถอะ ผมจะตามไปดู

เพราะหลายปีดีดักมานี้ ดูแต่ ‘หนังกลางเมือง’ เรื่อง ‘รัฐบาล snake oil salesman’ ที่ดันเอาตัวโกงมารับบทนำล้ำพระเอก เพราะจอมสร้างภาพที่เป็นตัวโกง แกเป็นคนออกทุนสร้างเองเล่นเอง โดยแสดงเป็นตัวหัวหน้ารัฐบาล ในหนังตอนท้ายๆทำสะดีดสะดิ้งเล่นบทโศก เดินทำซึมออกจากทำเนียบ ผู้คนที่เขาดูอยู่ก็นึกว่า หนังจะอวสานและจบลงเรียบร้อย เลยลุกขึ้นม้วนเสื่อเก็บข้าวของ จะเดินกลับบ้านใครบ้านมันกันอยู่แล้ว
หนอยแน่!...ที่ไหนได้ หนังดันขึ้นตัวหนังสือว่า “to be continued” หรือ “ติดตามตอนต่อไป” ซะอีกแน่ะ!!
ชาวบ้านเขาเลยต้องทนฝืน นั่งแหกตาดูกันต่อ แต่ต้องถือไข่เน่า ก้อนอิฐก้อนหินและรองเท้า เอาไว้ในมือกันด้วย


หนนี้ถ้าไม่ยอม ‘อวสาน’ กันจริงๆอีก เห็นทีต้อง ‘ขว้างจอ-ปาตัวโกง’ กันแน่ๆ!!!
                                                    ............................

ท้ายบท ผมเป็นแฟนของบางกอกโอเปร่า และได้แจ้งให้ท่านผู้อ่านทราบทุกครั้งเมื่อคณะนี้จะเปิดการแสดง ครั้งนี้ก็ขอแจ้งให้ท่านผู้อ่านที่รักการชมอุปรากรทราบว่า

คณะมหาอุปรากรในสังกัด ‘มูลนิธิมหาอุปรากรกรุงเทพ’ ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ กำหนดนำเสนอ Cosi fan Tutte โดย วูล์ฟกัง อามาเดอัส โมสาร์ท เป็นมหาอุปรากรเรื่องที่ ๔ ซึ่งบางกอก
โอเปร่าได้นำเสนอในฤดูโอเปร่าแรก แห่งภาคพื้นเอเซียอาคเนย์ เพื่อเฉลิมฉลอง ๒๕๐ ปี
ชาตะกาลโมสาร์ท ซึ่งครบกำหนดในปี ๒๕๔๙

Cosi fan Tutte ซึ่งแปลตรงๆว่า “ทุกคนทำอย่างนี้” ในเรื่องนี้หมายถึง “ผู้หญิงเท่านั้น ที่ทำอย่างนี้” จะเป็นเรื่องการกล่าวหาหรือนินทาว่าร้ายผู้หญิงหรือเปล่า?
ผมอยากให้แฟนๆติดตามไปชมกัน

การแสดงมีขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (หอประชุมใหญ่) วันพฤหัสที่ ๒๒ วันเสาร์ที่ ๒๔ และอาทิตย์ที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๔๙ เวลา ๑๙.๓๐ น. โดยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ องค์อุปถัมภ์ทรงพระกรุณารับเป็นองค์ประธานในการแสดงรอบวันเสาร์ ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๙

สอบถามรายละเอียดได้ที่มูลนิธิมหาอุปรากรกรุงเทพฯ ๒๘ สุขุมวิท ๓๖ กรุงเทพฯ ๑๐๑๑๐ โทรศัพท์หมายเลข (๐๒) ๖๖๑-๔๖๘๘, (๐๒) ๖๖๑-๔๖๘๙, ทุกวันราชการ เวลา ๑๐.๓๐ ถึง ๑๗.๓๐ น. โทรสาร (๐๒) ๒๖๑-๒๒๓๕ หรือทางอี-เมล์
rajadhonbua@yahoo.com และ ratana@bangkokopera.com

กำลังโหลดความคิดเห็น