xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 233 “ทะลึ่ง! มาลูบก้นนางฟ้าของฉัน...เดี๋ยวโดนนะ!!”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

แอร์โฮสเตสสาวสวย ของการบินไทย
เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมมแล้ว นั่งเม้าท์กับเพื่อนที่มารับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ถึงข่าวดังที่เกิดขึ้นสักสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เพราะเท่าที่ผมสังเกตดูเห็นว่า กระแสการสนทนาของทั้งคนกรุงเทพและต่างจังหวัด ที่พานพบด้วยตนเองระยะนี้ ต่างคุยกันถึงเรื่องการวิจัยของ คุณชุดาปณี ชิบายาม่า นักศึกษาปริญญาโท โครงการสตรีศึกษา สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งทางหนังสือผู้จัดการและหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับ บอกกันว่าเป็นผลการวิจัยสุดฮอทร้อนฉ่า เพราะในรายงานนั้นพบว่า

แอร์โฮสเตสการบินไทยถูกคุกคามทางเพศหนัก ทั้งเบาะๆ แค่ขอเบอร์ ลวนลามทางสายตา ไปจนถึงจับก้น ใช้นิ้วกลางจับหรือลูบไล้มือขณะเสิร์ฟอาหาร และหนักข้อถึงขั้นโชว์ของดี ใช้มือเสียบหว่างขา จึงมีการเรียกร้องผู้บริหารเข้ามาแก้ไขด่วน

เรื่องนี้ฟังแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ถึงไม่มีการวิจัยก็คงพอทราบกันแต่อาจไม่กว้างขวางนัก หากมีใครมาถามผมว่า เรื่องนี้สำคัญไหม ก็ต้องขอบอกกันตรงไปตรงมาว่า

“สำคัญมาก!”

นอกจากนั้นผมยังจะบอกว่า เราต้องหาทางระงับปราบปรามการกระทำเช่นนี้ให้หมดไปจากสังคมไทยให้ได้ แม้จะไม่หมดแต่ต้องให้หลาบจำกัน

ใช่แต่คนหนุ่มหรือพวกที่มีอายุแต่จิตใจไม่ปกติ หนังสือพิมพ์เขายังลงอีกว่า พวกนักการเมืองผู้ทรงเกือกทั้งหลาย มีสันดานไม่ดีก็มาก ที่ชอบพูดจาแทะโลมหรือไม่ก็ใช้สายตาโลมเลียราวกับจะถอดเสื้อผ้าเขาออกมาอย่างนั้น

ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร คนพวกนี้มักจะเห็นผู้ให้บริการบนเครื่องบิน ที่เราเรียกทับศัพท์ภาษาปะกิตว่า แอร์โฮสเตสบ้าง สจ๊วตเดรสบ้าง เป็นผู้ที่เขาจะใช้เป็นเครื่องบริหารปากหรือสายตา ส่วนที่จะมีพฤติการณ์ลามกจกเปรตอย่างอื่น ผมไม่อยากจะพูดในคอลัมน์นี้

คุณชุดาปณีเปิดเผยในรายงาน จากการสำรวจข้อมูลโดยสัมภาษณ์เชิงลึกพนักงานแอร์โฮสเตสของบริษัทการบินไทยเมื่อปี ๒๕๔๘ จำนวน ๕๐ คน (ตัวเลขน้อยไปหน่อย) ถึงการถูกคุกคามทางเพศจากการทำงาน สามารถแบ่งได้เป็น ๓ พฤติกรรม คือ

๑. คุกคามทางวาจา เช่น การพูดจาส่อในเรื่องเพศ ใช้คำพูดหยาบคาย โดยหากเป็นแอร์โฮสเตสที่มีอายุ จะถูกกลูกค้าใช้ถ้อยคำหยาบคาย เช่น “อีแอร์แก่” หรือหากเป็นแอร์โฮสเตสสาว จะถูกแทะโลม เช่น ชวนไปกินข้าว ขอหมายเลขโทรศัพท์

๒. คุกคามโดยแสดงท่าทาง เช่น ทำตาหวาน (ผมว่าทำตาหวานไม่น่าจะเป็นอะไร แต่ไอ้ที่จ้องด้วยสายตากำหนัดนี่ซิ...น่าตบ!) จ้องมองหน้าอก รูปร่างหน้าตา มีผู้โดยสารชายนำกระดาษมาวาดรูปอวัยวะเพศชาย แล้วชี้ให้พนักงานดู หรือการวาดรูปหญิงชายกำลังมีเพศสัมพันธ์กัน (ไอ้นี่ต้องเป็นโรคจิต!) รวมไปถึงการที่ผู้โดยสารชายใช้วิธีรูดซิปกางเกงและโชว์อวัยวะเพศ (ไอ้นี่ต้องใช้หนังสะติ๊กยิง ให้เป็นหมันไปเลย) ซึ่งมักทำกับแอร์โฮสเตสสาวๆ เพราะจะไม่กล้าโวยวาย เพียงแต่ร้องไห้กับหัวหน้างาน กัปตันแล้วก็เงียบ ลักษณะเหมือนพวกโรคจิต

๓. คุกคามทางร่างกาย เช่น จับมือ ลวนลาม จับบั้นท้าย ใช้นิ้วกลางจับหรือลูบไล้มือแอร์โฮสเตสขณะเสิร์ฟอาหาร เป็นต้น

บางคนโดนลูกค้าชายเอามือเสียบหว่างขา (ไอ้นี่น่าจะถูกเหล็กแหลมเสียบก้นตัวเองเข้าบ้าง) และที่โดนแทบทุกคน คือ การถูกสะกิดก้น เพื่อเรียกใช้บริการทั้งที่ใช้วิธีกดปุ่มเรียกหรือยกมือเรียกก็ได้ ซึ่งหลายคนเคยถูกคุกคามทั้ง ๓ รูปแบบโดยลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ซึ่งสถานการณ์คุกคามทางเพศนับวันรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากทำแล้วได้ใจ ไม่ถูกดำเนินการอะไรก็ทำต่อไปเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเพราะทัศนคติมองผู้หญิงไทยว่าจะทำอะไรก็ได้ และบริษัทการบินไทยไม่มีมาตรการเด็ดขาดในการคุ้มครองช่วยเหลือพนักงานเลย

เรื่องนี้ผมเห็นว่า สังคมไทยเราต้องให้กำลังใจกับพนักงานบริการบนเครื่องบิน ผู้ที่ออกมาเปิดเผยกับผู้วิจัย เพราะแอร์โฮสเตสให้บริการตามหน้าที่ แต่ผู้โดยสารก็มีสิทธิได้รับบริกาที่ดี แต่หากมีการกระทำอันไม่เหมาะสม อย่างที่ปรากฏตามรายงานเป็นสิ่งที่สังคมรับไม่ได้ ไม่ว่าผู้กระทำจะเป็นใครก็ตาม

ผมยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อประมาณกว่า ๓๐ ปีแล้ว ตอนนั้นบริษัทเดินอากาศไทย (บ.ด.ท.) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของการบินไทย ยังทำการบินภายในประเทศอยู่
วันที่เกิดเหตุเครื่องบินเที่ยวกลับกรุงเทพ ผู้โดยสารญี่ปุ่นเกิดคึก จับหน้าอกแอร์โฮสเตสคนสวยผู้ให้บริการคนหนึ่งอุกอาจ แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

ปรากฏว่าคุณยุ่นคนนี้ดันไปจับหน้าอกผิดคน เพราะไปจับเอาของหวงของสาวเมืองชลคนสวยก็จริงแต่ใจถึงและเป็นนักสู้แบบลูกน้ำเค็ม เธอเดินช้าๆไปบอกกัปตันถึงพฤติกรรมของเจ้าลามกตัวนี้ บอกว่า

“กัปตันคะ ไอ้คนนั้นมันบีบหน้าอกหนู พอถึงสนามบิน หนูจะเอาเรื่องมัน!”

เรื่องนี้ไปจบลงที่โรงพักบางเขน ผู้ต้องหายอมรับผิดขอให้ถอนคดี เธอเรียกค่าเสียหายหนึ่งแสนบาทซึ่งก็ไม่น้อย เพราะตอนนั้นทองบาทละสี่ร้อยกว่าบาทเท่านั้น ญี่ปุ่นคนนั้นยอมแต่ขอต่อรองโดยบอกว่า ตัวเขาจับเพียงข้างเดียว ขอลดครึ่งจากแสนเหลือห้าหมื่นบาท แอร์สาวหัวร่อก้ากเพราะขำที่มันต่อรองราวกับซื้อของกับแม่ค้าตะพานหัน เธอบอกว่าไม่เป็นไร ห้าหมื่นก็ห้าหมื่น เรื่องจึงเลิกรากันได้

เรื่องนี้ผมทราบรายละเอียด เพราะรู้จักกับแอร์โฮสเตสคนนี้เป็นอย่างดี

หน้าอกผู้หญิงนี่เป็นเรื่องแปลก ผู้กระทำผิดล่วงเกินทางเพศเมืองเราเรื่องจับหน้าอกผู้หญิงหรือที่เรียกว่า “บีบแตร” นั้นมีมากจริงๆ ผมอ่านรายงานของ “สวนดุสิตโพล” ของสถาบันราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของนักเรียนหญิงระดับมัธยมศึกษา และ นักศึกษาหญิงระดับอุดมศึกษา ในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล จำนวน ๑,๓๙๖ คน ระหว่างวันที่ ๒๖ – ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ สรุปประเด็นสำคัญ ๆ ดังนี้

นักเรียน / นักศึกษาหญิง ที่เคยถูกล่วงเกินทางเพศ ถูกกระทำอย่างไร ?
อันดับที่ ๑ จับมือ / ถูกเนื้อต้องตัว ๔๓๒ เท่ากับ ๔๖.๔๐ %
อันดับที่ ๒ โอบ / กอด ๒๐๐ คน ๒๑.๔๘ %
อันดับที่ ๓ เสียตัว ๑๓๓ คน ๑๔.๒๙ %
อันดับที่ ๔ จับหน้าอก / จับอวัยวะเพศ ๑๐๑ คน ๑๐.๘๕ %
อื่น ๆ เช่น พูดจาลามกทางเพศ ฯลฯ ๖๕ คน ๖.๙๘ %

เรื่องการจับหน้าอกนั้นหากดูตามสถิติแล้ว จำนวนคุณผู้หญิงถูกกระทำโดยจงใจไม่น้อยเลย หรือเป็นเพราะฝ่ายชายอาจคิดว่า หน้าอกเป็นส่วนที่สวยงามที่สุดของร่างกายสตรี และยื่นล้ำออกมาจากร่างกายมากกว่าอวัยวะส่วนอื่น เมื่อผู้ชายแตะหรือไปถูกต้องเข้า ก็อาจปฏิเสธหรือแก้ตัวได้ง่ายๆว่า เป็นเรื่องของความไม่ตั้งใจ เผอเรอหรือจะแก้ตัวเฉไฉเป็นอุบัติเหตุไปก็ไม่ยากนัก แต่ถึงกับบีบแตร ปู๊นๆๆ อย่างนั้นคงไม่ไหว เพราะนอกจากตำรวจจะเอาเรื่องแล้ว ยังอาจจะถูกแฟนเลือดร้อนของแอร์โฮสเตสคนนั้น

กระทืบเอาง่ายๆอีกด้วย!

ปัจจุบันนี้ กระแสการต่อต้านการคุกคามทางเพศมีมาก มีการให้ความรู้กับสตรีในอาชีพต่างๆ ที่เสี่ยงต่อการถูกคุกคามมากยิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นการดีอย่างยิ่ง ความจริงแล้วบ้านเราแม้จะไม่มีการพูดเรื่องนี้อย่างชัดเจนนัก แต่ผู้รักษากฎหมายก็จัดการให้ทุกครั้งเมื่อมีกรณีคุกคามดังว่าเกิดขึ้น แต่คดีก็มักจะตกลงกันได้อย่างเรื่องแอร์โอสเตสที่ผมเล่าให้ฟัง เลยไม่ปรากฏออกมาต่อสาธารณะ

อย่างไรก็ดีเรายังมีกฎหมายเฉพาะ ที่คุ้มครองผู้ใช้แรงงานในกรณีการถูกลนลามหรือข่มเหงทางเพศ ดังปรากฏตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ ระบุว่า

ห้ามนายจ้าง หัวหน้างาน ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ตรวจงานกระทำการล่วงเกินทางเพศต่อลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงหรือเด็ก เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้บุคคลดังกล่าวใช้อำนาจในทางไม่ชอบโดยการกล่าวถ้อยคำหยาบคาย วิพากษ์วิจารณ์ทางเพศ ลวนลาม ซึ่งพฤติการณ์บางอย่างไม่รุนแรงถึงขั้นอนาจาร แต่ไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติต่อลูกจ้างหญิงและเด็กการคุกคามทางเพศเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย


น่าแปลกที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ มีอำนาจครอบคลุมเฉพาะผู้ที่ทำงานในภาคเอกชนเท่านั้น ทำไมไม่ครอบคลุมในส่วนราชการก็ไม่ทราบ หรือทางราชการไม่จำเป็นเพราะไม่มีการกระทำเช่นว่า อย่างนั้นหรือ ?

ดังนั้น นักสิทธิมนุษยชนจึงยังอ้างได้ว่า กฎหมายของคำว่า “การคุกคามทางเพศ” ที่บัญญัติไว้ มีความคลุมเครือและทำให้การดำเนินคดีประเภทนี้ เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ผมลองตรวจดูสถิติตัวเลขการร้องทุกข์คดีลักษณะนี้ ปรากฏว่าตลอดปี พ.ศ.๒๕๔๗ ไม่มีการยื่นฟ้องคดีการคุกคามทางเพศ ไม่ทราบว่าปีที่ผ่านมานี้ มีรายงานบ้างหรือไม่อย่างไร หรือผู้ชายในภาคเอกชนประพฤติเรียบร้อยเป็นพลเมืองดีกันทุกคน ?

พอคุณชุดาปณี ชิบายาม่า แถลงรายงานเรื่องการลวนลามแอร์โฮสเตสออกไปเท่านั้น วันรุ่งขึ้นยังมีการเปิดเผยในหน้าหนังสือพิมพ์ข่าวสด ประจำวันศุกร์ที่ ๒๘ เม.ย.๒๕๔๙ ยังพาดหัวซ้ำเข้าไปอีกว่า

‘แอร์’ แฉหื่น-นักการเมือง

โดยบรรยายรายละเอียดในข่าวว่า คุณชุดาปณี ชิบายาม่า ผู้ทำการศึกษาได้ระบุว่า

“ผู้โดยสารที่ละเมิดทางเพศ เป็นนักการเมืองที่คนทั่วไปรู้ แต่ไม่สามารถเอ่ยชื่อตรงนี้ได้เพราะจะเป็นปัญหากับพนักงาน และไม่ได้บอกว่าเป็นนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน..."

ที่น่าแปลกใจคือ เจ้าของรายงานระบุต่อไปว่า

“...แต่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านักการเมืองคนนี้เป็นเกย์ จึงไม่ทราบว่าทำไมมาคุกคามทางเพศลูกเรือผู้หญิง...”

อ้าว!เป็นอย่างนั้นไปอีก...คันปากนะ...เดี๋ยวก็บอกชื่อซะหรอก !!

รายงานของคุณชุดาภานั้น จากประสบการณ์ความเป็นตำรวจ ผมเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยเลยว่า นักการเมืองนั้นเป็นตัวร้าย ที่ก่อเรื่องลวนลามพนักงานบริการบนเครื่องบิน ตามที่หนังสือพิมพ์เขาลงจริง ซึ่งเรื่องนักการมือประเภทนี้ผมเห็นว่า มีจำนวนพอสมควรทีเดียว พอได้ชฎาครอบหัวกบาล มีตำแหน่งแห่งที่เท่านั้น บางคนสันดานไม่ดีเพราะปู่ย่าตายายไม่เคยสั่งสอนพ่อแม่พวกเขามาก่อน ตัวเจ้านักการเมืองเองเลยพลอยไม่ได้รับการสอนสั่ง จากผู้บุพการีของตนด้วย...น่าสงสารมาก!

ท่านผู้อ่านคงจำได้ ว่า

นักการเมืองเก๋ารุ่นกะลาอายุแยะและเป็นผู้บริหารพรรคใหญ่ มีกรณีถูกกล่าวหาว่า คุกคามทางเพศผู้สื่อข่าวหญิงรายหนึ่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง โดยมีการชวนนักข่าวสาวไปทำข่าวแบบ ‘เซ็กส์คลูซีฟ’ ( ไม่ใช่ exclusive ) บนโรงแรมที่เป็นฐานประจำสำหรับปฏิบัติการเชือดนารี ของพรรคเก่ากะลากะโหลกนี้

ต่อมามีการฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท เอากับหนังสือพิมพ์ที่เป็นต้นสังกัดของผู้สื่อข่าวหญิงผู้นี้สังกัดอยู่ หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวลงประกาศว่า

เหตุการณ์ตามที่กล่าวหาเป็นเพียง “เรื่องเข้าใจผิด” กันเท่านั้น

ครับ...ดูเหมือนบ้านเมืองเรานี่เต็มไปด้วยเรื่องเข้าใจไม่ถูก เข้าใจผิดอยู่มาก บางเรื่องฟ้องร้องกันจนถึงขั้นศาลชั้นต้นสั่งติดคุกติดตะราง แต่คดียังไม่สิ้นสุดยังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ หรือฎีกา ซึ่งผู้เสียหายยังถอนคดีได้ พอมีคนโตเข้าไปหย่าศึก หรือที่ชอบใช้คำว่า “เคลียร์” เท่านั้น ก็ถอนฟ้องกันแล้ว

ดังนั้นกฎหมายหมิ่นประมาทก็ดี การข่มขืนกระทำชำเรา หรืออนาจาร ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ล้วนแล้วแต่เคลียร์กันได้ทั้งนั้น

ไม่แปลกใจเลย ที่นักการเมืองพันธ์เต้าหู้ จึงลอยนวลไปได้ตามระเบียบ!


พูดถึงเรื่องนักการเมืองไทยล่วงละเมิดทางเพศนั้น ทำให้ผมนึกถึงคดีที่ถือกันว่าเป็นเรื่อง Sexual Harassment หรือการคุกคามทางเพศที่อื้อฉาวที่สุดของสหรัฐ คือ กรณีประธานาธิบดีบุช เสนอการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐ คือนาย แคลเรซ์ โธมัส (Clarence Thomas) ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ศาสตราจารย์ แอนิต้า ฮิล (Anita Hill) ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางกฎหมายผู้ร่วมงานของโธมัสใน มหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา (University of Oklahoma) อยู่นานหลายปี ได้ออกมากล่าวหาผู้พิพากษาโธมัส ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ก่อนที่ผู้พิพากษาโธมัสจะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐ (มีเพียง ๙ ท่านเท่านั้น)

ข้อกล่าวหามีว่า

ผู้พิพากษาโธมัสนั้น มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมฐานะตำแหน่งตุลาการศาลสูงสหรัฐ พูดง่ายๆคือแสดงการคุกคามทางเพศกับเธอนั่นเอง ซึ่งได้สร้างความอึดอัดและมีผลกระทบต่อการทำงานของศาสตราจารย์ แอนิต้า ฮิล ผู้นี้ การกระทำมีตั้งแต่การใช้คำพูดแบบสองแง่สองง่าม หรือบางครั้งก็พูดโดยเปิดเผยถึงกิจกรรมทางเพศ หลายครั้งที่ผู้พิพากษาโธมัสชักชวนให้เธอใช้เวลานอกงานกับเขา ซึ่งเป็นการกระทำอันไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับคนที่จะดำรงตำแหน่งในศาลสูงอันมีเกียรติยิ่ง

บังเอิญ ศาสตราจารย์ อนิต้า ฮิล ร้องเรียนช้าไปหลายปี กระนั้นนายแคลเรนซ์ โธมัส เกือบเสียมนุษย์ไปเลย ต้องต่อสู้กับข้อกล่าวหานี้อย่างหนักหน่วง ก่อนที่จะได้รับคะแนนโหวตจากวุฒิสภาสหรัฐด้วยคะแนนเสียง ๕๒ – ๔๘ ได้รับเลือกให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูงไป

คดีนี้อื้อฉาวแค่ไหน? ท่านผู้อ่านก็ลองดูหน้าปกนิตยสาร Time เอาก็แล้วกัน


ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า เรื่องการคุกคามทางเพศนั้นเป็นเรื่องใหญ่ คนที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สูง แต่วุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ อาจเป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง และกลายเป็นข่าวดังขนาดขึ้นหนังสือระดับโลกอย่างไทม์ ผมจึงคิดว่าแนวทางการแก้ไขในเรื่องนี้ จะต้องมีการเพิ่มโทษเข้าไปในกฎหมายอาญา โดยวางโทษให้หนักขึ้น แก่ผู้กระทำผิดด้วยการคุกคามทางเพศแก่ผู้ให้บริการหรือผู้โดยสาร บนอากาศยานหรือเครื่องบินโดยสาร รถขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าเป็นรถระหว่างเมืองหรือรถในเมืองใหญ่

เราต้องถือว่า บุคคลเหล่านี้กำลังให้บริการกับผู้อื่นตามหน้าที่ของตน แล้วมาทะลึ่งทำลามกจกเปรตอย่างนี้ได้อย่างไรกัน

ต้องเอาโทษหนัก จะได้จำใส่กะโหลกว่า...อย่ามารังแกผู้หญิง!

ความจริงแล้วในผู้ให้บริการบนรถเมืองใหญ่ หรือที่เราเรียกให้เรียบร้อยหน่อยก็คือ “พนักงานเก็บค่าโดยสารผู้หญิง” (การเรียกว่า “กระปี๋” ผมว่ามันฟังไม่ดีเลย) นั้นไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ เพราะกระเป๋าผู้หญิงที่เก็บค่าโดยสารนั้น เธอมีกระบอกตั๋วซึ่งทำด้วยทองเหลืองน้ำหนักกำลังพอเหมาะอยู่ในมือ หากขืนดันมาจับหน้าอกหน้าใจหรือจับบั้นท้าย ก็เอากระบอกตั๋วฟาดหน้าแงเปรี้ยงเข้าให้

เท่านั้นก็จบกัน!

ดังนั้น ผมคิดว่าหากแอร์โฮสเตสของสายการบินของคนไทยสายใดก็ตาม ไม่ว่าจะโลว์หรือไฮคอส จะบินระหว่างประเทศหรือภายในก็ตามที หากถูกพวกนักการเมืองสายพันธ์เดียวกับเต้าหู้ยี้ ที่แก่แล้วยังตัณหากลับ หรือแม้ยังไม่แก่แต่ หื่นจัด มาลวนลามแอร์โฮสเตส ต้องยุให้นางฟ้าของเราเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และในฐานะประชาชน พวกเรามีหน้าที่ต้องช่วยกันปกป้องสิทธิของผู้ทำงานบนเครื่องบิน เพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยส่วนรวม อีกทั้งยังเป็นการสร้างกรอบวินัยและความประพฤติให้สมาชิกรัฐสภา ด้วยการให้กำลังใจเวลาแอร์โฮสเตสผู้เสียหาย ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับคนพวกนี้ด้วย

ถ้าเราเห็นการลวนลามกันจะๆ บนเครื่องบินของสายการบินประเทศเรา ท่านผู้อ่านที่เป็นสุภาพสตรี หากบังเอิญโดยสารเที่ยวบินดังกล่าวด้วย ท่านอาจช่วยยับยั้งพฤติกรรมของนักการเมืองอัปรีย์เหล่านั้น ด้วยการร้องตะโกนดังๆให้มันได้อายว่า

“ทะลึ่ง! มาลูบก้นนางฟ้าของฉัน...เดี๋ยวโดนนะ!!”

สำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นชายอย่างผม อาจพูดให้เข้มแข็งหน่อยก็ได้ว่า

“ทะลึ่ง! มาลูบก้นนางฟ้าของฉัน เดี๋ยวโดน...ตีกบาล...นะโว้ย!!”

ถ้ามันยังไม่เชื่อก็หาอะไรใกล้มือทุบกบาลเปรี้ยงเข้าไป....เอาให้มันเป็นข่าว จะได้เข็ดขี้อ่อนขี้แก่ไปเลย..เป็นไงเป็นกัน!!!

..............................

ท้ายบท

ผมจำเป็นต้องเขียนท้ายบทเพิ่มเติม เพราะส่งต้นฉบับที่ท่านได้อ่านไปแล้ว ให้กับทางผู้ควบคุมคอลัมน์ เมื่อวันพุธที่ ๓ พ.ค.๒๕๔๙ พอตกบ่ายผู้จัดการออนไลน์ พาดหัวว่า

“รอลงอาญาจำคุกอดีต ขรก.หื่นบีบหน้าอกนางฟ้าบินไทย” และโปรยข่าวว่า

ศาลตัดสินคุก ๑๕ เดือน ปรับ ๑.๕ หมื่น ประธานบริษัทสาหร่าย อดีตข้าราชการซี 8 กรมทางหลวง จับหน้าอกแอร์สาวเจ้าจำปี แต่จำเลยเคยรับเครื่องราชฯ ประกอบกับไม่เคยกระทำผิดมาก่อน เหลือโทษรอลงอาญา ๒ ปี ขณะที่แอร์สาวเผยอยากเห็นจำเลยรับโทษ เพราะหวั่นเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ

ขอแสดงความนับถือผู้เสียหายอย่างยิ่ง และยกย่องความกล้าหาญที่นำความเข้าแจ้งดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด เป็นแรงใจให้กับผู้หญิงทั้งหลายให้ลุกขึ้น และต่อสู้กับความไม่ถูกต้องอันเป็นการข่มเหงต่อร่างกาย และดูถูกศักดิ์ศรีของสตรีเพศ !


ผมว่าจำเลยรายนี้โชคดี ที่เคยรับราชการจนได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็นเหตุให้ศาลปราณี เลยรอการลงโทษเอาไว้ แต่ท่านผู้อ่านอาจมีคำถามว่า แล้วศาลลงโทษพวกที่คุกคามทางเพศบนเครื่องบิน มีบ้างไหม?

จึงขอนำคดีที่เกิดขึ้นมาก่อนในอดีต มาให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาเปรียบเทียบดูว่า การกระทำอย่างนี้ เคยมีคนติดคุกโดยศาลท่านไม่รอลงอาญามาแล้ว ดังนี้


เมื่อวันที่ ๑๒ พ.ค.๒๕๔๕ ศาลได้มีคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายฟินซ์ แอสรอล แมกนัสรัน นักธุรกิจชาวฝรั่งเศส วัย ๖๐ ปี เป็นจำเลยฐานกระทำอนาจาร โดยคดีนี้อัยการได้ยื่นฟ้องเมื่อกลางเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา จำเลยให้การปฏิเสธ

โจทก์บรรยายในคำฟ้องว่า ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ธ.ค. ๔๔ จำเลยได้ผลักหน้าอกและจับนม นางสาว A (นามสมมติ) อายุ ๔๗ ปี หัวหน้าแอร์โฮสเตสการบินไทยชั้นหนึ่ง และนางสาว B (นามสมมติ) อายุ ๔๖ ปี หัวหน้าแอร์โฮสเตสชั้นประหยัด ซึ่งอยู่ในภาวะที่ไม่อาจขัดขืนได้ เนื่องจากต้องป้องกันไม่ให้ถูกจำเลยใช้กำลังประทุษร้าย จำเลยกระทำต่อหน้าธารกำนัล ผู้โดยสารบนเครื่องบินจำนวนมาก รวมทั้งต่อหน้าพนักงานต้อนรับอีกหลายคน เหตุเกิดบนเครื่องบินแอร์บัส การบินไทย เที่ยวบินทีจี ๙๓๑ จากประเทศฝรั่งเศสมุ่งหน้าประเทศไทย ถือว่าเป็นอากาศยานไทยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๔ ผู้กระทำผิด ต้องรับโทษตามกฎหมายไทย จำเลยแถลงศาลว่า ยังไม่มีทนายความ และขอให้ศาลตั้งทนายว่าความให้ด้วย ศาลจึงจัดให้ตามคำร้องขอ

ต่อมาอัยการนำพยานโจทก์ นางสาว A และพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเข้าเบิกความ ระบุว่า วันเกิดเหตุเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าพนักงานต้อนรับชั้นหนึ่ง ของเที่ยวบินทีจี ๙๓๑ ออกจากกรุงปารีสมุ่งหน้ากรุงเทพฯ เมื่อเครื่องบินบินออกจากสนามบินได้ประมาณ
๖ ชั่วโมง ได้มีนายสุทัศน์ฯ พนักงานให้บริการบนเครื่อง แจ้งขอความช่วยเหลือว่า มีผู้โดยสารชั้นประหยัดมีปัญหา ขอให้ไประงับเหตุด้วย

เมื่อไปถึงพบจำเลยกำลังเมาไวน์ที่ใช้เสิร์ฟบนเครื่อง ส่งเสียงเอะอะโวยวายและร้องขอไวน์เพิ่มอีก

ครั้นนำไวน์มาเสิร์ฟให้ ก็แสดงท่าทางไม่พอใจ พูดจาตำหนิต่างๆนานา จนผู้โดยสารอื่นทนไม่ไหว ต่อว่าปล่อยให้รบกวนผู้โดยสารอื่นได้อย่างไร จึงเข้าไปเจรจาพูดคุยกับจำเลยอีกครั้ง ปรากฏว่าจำเลยกลับตะคอกและพูดจาหยาบคายใส่ พร้อมกับถามชื่อ อ้างว่าจะฟ้องผู้บริหาร จากนั้นก็เอื้อมมือคว้าป้ายชื่อ แล้วขยำหน้าอกจนต้องปัดป้อง (ไม่ใช่จับเฉยๆ ‘ขยำ’ เลยนะ!) กระทั่งนางสาว B หัวหน้าแอร์ฯชั้นประหยัด เข้ามาช่วย ก็ถูกจำเลยจับหน้าอกอีกคน ทำเอาพนักงานหญิงคนอื่นๆ ต้องวิ่งหนีกันคนละทิศละทาง จำเลยยังได้ร้องตะโกนว่า จะฟ้องผู้บริหารให้ไล่ออก และจะร้องเรียนนายกรัฐมนตรีว่าพนักงานการบินไทยบริการไม่ดี

ปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณา จำเลยได้แถลงต่อศาลขอรับสารภาพตามคำฟ้อง ศาลจึงยุติการสืบพยานโจทก์ แล้วพิจารณาพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องให้ลงโทษจำคุก ๘ เดือน คำรับสารภาพมีประโยชน์ต่อการพิจารณา คงให้รับโทษจำคุกเหลือ ๔ เดือน แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า จำเลยถูกขังมานาน ๔ เดือนแล้วจึงครบกำหนดโทษแล้ว จึงให้ออกหมายปล่อยตัวจำเลยออกจากเรือนจำ

จำเลยรายนี้ไม่ได้จับหน้าอกแต่ “ขยำหน้าอก” เอาเลย ซึ่งดูรุนแรง “จับหน้าอก”มาก ขนาดรับสารภาพยังโดนจำคุกเข้าไป ๔ เดือน ส่วนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นขึ้นมีลักษณะคล้ายกันมาก แถมจำเลยยังปฏิเสธและสู้คดีมาโดยตลอด ยังรอดคุกเพราะ เคยรับราชการจนได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่ตามข่าวเขาว่าอัยการไม่เห็นด้วย เนื่องจากจำเลยเคยเป็นถึงข้าราชการระดับสูง ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มาแล้ว ควรยับยั้งชั่งใจมากกว่าบุคคลทั่วไป ไม่ควรที่จะได้รับโอกาสถึงขนาดให้รอการลงโทษจำคุก เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่ผู้อื่น จะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลอาญาในประเด็นรอการลงโทษ

หากมีการเพิ่มโทษตามที่ผมบอก น่าจะดีกว่า จะได้ลงโทษสัก ๓๖ เดือน จะได้อยู่ในคุก ๓ ปี จะได้หลาบจำกันซะบ้าง!


ออกจากคุกมา เห็นผู้หญิงเข้า...จะต้องเอามือไขว้หลังกันเลย !!

.......................
กำลังโหลดความคิดเห็น