วันนี้....จิบกาแฟขมแล้ว อ่านข่าวหนังสือพบการมาเยือนอ่าวพัทยาของเรือบรรทุกเครื่องบิน Abraham Lincoln ซึ่งเป็นฐานทัพขนาดยักษ์ลอยน้ำ ประกอบด้วยอาวุธสำคัญประจำเรือ คือเครื่องบินที่มีอานุภาพน่าเกรงขามยิ่ง คือเครื่องบิน Nimitz ราคาลำละสองแสนล้านบาท มากกว่าเงินขายหุ้นของนายกตกคอห่านถึงสองเท่าทีเดียว เครื่องบินชนิดนี้มีประจำการถึง ๑๐ ลำ บนเรือที่เปี่ยมด้วยพลานุภาพนี้
ทำให้นึกถึงเรื่องที่เคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า เรือรบ Tennessy แห่ง
สหปาลีรัฐอเมริกา เมื่อเรือรบลำนี้เข้ามาอวดธงเยือนสยามประเทศเสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ และวงดนตรีของรัฐนาวีอเมริกันได้ขึ้นมาแสดงที่ตำหนักแพ ท่าราชวรดิษฐ์ ได้บรรเลงเพลง ชื่อ “ Marching Through Georgia ” ( เพลงนี้คนมักเข้าใจผิดว่าชื่อเพลง “ Marching To Georgia ” ) ทำให้ชาวสยามตื่นเต้นกันมาก เพราะเกิดจากท้องพ่อแท้องแม่ไม่เคยได้ยินเพลงฝรั่งเร็ว ๆ มัน ๆ อย่างนี้มาก่อน คนบ้านเราจึงลากเอาเนื้อไทยมาใส่ทำนองเพลงนี้โดยร้องว่า “คุณหลวง คุณหลวงอยู่กระทรวงยุทธนา ใส่เสื้อราชประแตน ทำไมไม่แขวนนาฬิกา....”
เสียงเพลงจากวงดนตรีประจำรัฐนาวีอเมริกันเรือ Tennessy ลำนี้ มีอิทธิพลมากจนทำให้คนไทยเกิดความสนใจในเครื่องดนตรีฝรั่ง ประกอบกับตอนนั้นเป็นยุคที่พระพุทธเจ้าหลวง ทรงปฏิรูปการปกครองของประเทศหลายด้านทั้งการทหาร การต่างประเทศ การศึกษา การคมนาคมฯลฯ กิจการดนตรีแตรวงแบบฝรั่ง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พระองค์ท่านทรงสนับสนุน ให้คนไทยเราได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนกัน
เพลงมาร์ชของราชนาวีอเมริกัน เรียกได้ว่าทั้ง “เข้าหู” และ “โดนใจ” คนไทยเต็ม ๆ ก็ว่าได้ เพราะเพลงมาร์ชนั้นฟังง่าย หรืออีกนัยหนึ่งคือเพลงที่มีไว้สำหรับให้ใช้
“เท้าเดิน” ไมได้มีไว้สำหรับใช้ “หัวสมองคิด” คือไม่ใช่เพลงสูงจนต้องปีนกระไดขึ้นไปฟังเหมือนโอเปร่า หรือเพลงคลาสสิค ใครๆไม่ว่าเป็นผู้ใหญ่ลูกเด็กเล็กแดง ก็ฟังได้ทั้งนั้น ฝรั่งเขาจึงมีคำพูดว่า
“March music is for the feet , not for the head.”
คนไทยรับเอาเพลงมาร์ชของฝรั่งมาใส่เนื้อไทยก็มาก แม้แต่เพลงประจำมาร์ชของมหาวิทยาลัยเก่าแก่อย่าง “เดินจุฬาฯ” ที่ชาวสีชมพูร้องให้ได้ยินจนชาวบ้านร้องได้ที่ขึ้นต้นว่าเดินจุฬาฯ
เดิน เดิน เถิดเรา นิสิตมหาจุฬาลงกรณ์
เดิน เดิน พร้อมหน้า เพื่อนำชัยมาจุฬาลงกรณ์
ชโย ชโยจุฬาฯ สถานศึกษาสง่าพระนาม
ใครจะหยามเหยียดจุฬาฯ เราอย่ายอม เราอย่ายอม
ชิงเถิดชิงเอาชัย ชิงด้วยน้ำใจเป็นนักกีฬา
เชียร์เถิดเราเชียร์ให้ บำรุงน้ำใจพวกเราจุฬาฯ
พลีเถิดพลีกายพร้อม เลือดเนื้อเรายอมยกให้จุฬาฯ
จงมุ่งหน้าพาเอาชัย ให้จุฬาฯ ให้จุฬาฯ
เพลงนี้ม.ล.จิตรสาร ชุมสาย ประพันธ์คำร้อง โดยทำนองเป็นเพลงพื้นบ้านอเมริกัน ไม่ปรากฏหลักฐานว่าท่านประพันธ์เพลงนี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.ใด แต่นอกจากชาวสีชมพูจะร้องกันให้เราได้ยินกันตอนวันฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์แล้ว ทำนองยังถูกใจชาวบ้านด้วย หลายคนร้องได้ โดยเฉพาะคนที่แต่งงานกับสาวจุฬาอย่างผู้เขียน
ร้องได้ก่อนเพลงโรงเรียนนายร้อยตำรวจของตัวเองด้วยซ้ำ...ว่าเข้านั่น!
เพลงสำคัญของชาวสีชมพูนี้ ตัดทอนออกจากสร้อยของเพลงสำคัญของอเมริกาชื่อ The Battle Hymn Of The Republic ผู้ประพันธ์ คำร้องคือ Julia Ward Howe ซึ่งประพันธ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.๑๘๖๑ เป็นเพลงปลุกใจของชาวอเมริกันฝ่ายใต้ ในสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ หรือที่เรารู้กันว่า สงครามเพื่อการเลิกทาสของประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่ออเมริกาปลดแอกจากอังกฤษได้ทำสงครามสู้รบกันหลายปี และสามารถประกาศตนเป็นเอกราชได้มี จอร์จ วอชิงตัน เป็นประธานาธิบดีคนแรก
ครั้นมาถึงประธานาธิบดีคนที่ ๓ คือ โธมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson ๑๗๐๑-๑๘๐๙) ท่านเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ มีแนวความคิดอ่านที่ลึกซึ้ง ขนาดวอลแตร์ (Voltaire) นักปรัชญาคนสำคัญของโลกชาวฝรั่งเศสซึ่งเคยพบท่าน ได้ให้เกียรติและยกย่องท่านประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันไว้อย่างมาก ด้วยที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกันในแนวคิดของความเป็นเสรีชน
ประธานาธิบดีโธมัส เจฟเฟอร์สัน เป็นผู้ร่าง Declaration of Independence หรือคำประกาศอิสรภาพของประเทศเกิดใหม่อย่างสหรัฐ โดยได้
ชูแนวความคิดที่สำคัญยิ่งของความเป็นมนุษย์ ที่ต้องมีความเป็นอิสรเสรีเท่าเทียมกันโดยพื้นฐานกัน ประโยคสำคัญและเป็นประวัติศาสตร์ของอิสระชน คือ
“...all men are created equal…” หรือคนเราเกิดมาเท่าเทียมกัน ( “We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal…”)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชนิพนธ์เป็นคำโคลงสอนเตือนใจผู้คน ว่า
ฝูงชนกำเนิดคล้าย คลึงกัน
ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด
เว้นแต่ชั่วดีกระด้าง ห่อนแก้ฤาไหว
แม้ท่านประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ จะประกาศเจตนารมณ์ของชาติไปอย่างนั้นก็จริง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า สหรัฐอเมริกาซึ่งแต่เดิมนั้นเราเรียกว่า “สหปาลีรัฐอมริกา” (คำว่า ‘ปาลี’แปลว่า ‘ปกครอง’ ต่อมาคำปาลีหายไป เหลือแค่สหรัฐอเมริกา) นั้น
เมื่อเริ่มสร้างชาติทางภาคใต้ของสหรัฐยังมีการค้าทาสสืบต่อเนื่องมาเป็นเวลานับร้อยปีแล้ว ด้วยการนำแรงงานทาสมาช่วยกันพลิกผืนแผ่นดินทางภาคใต้ของสหรัฐ ให้กลายเป็นแหล่งเพาะปลูกที่ใหญ่โต โดยเฉพาะฝ้าย แรงงานทาสเหล่านี้มาจากอาฟริกา
แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า all men are created equal ได้อย่างไรกัน !
ส่วนทางเหนือนั้นการค้าทาสเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เรียกว่าผลประโยชน์สองฝ่ายขัดกัน แม้เริ่มต้นมาด้วยกันก็ตาม แต่ประเทศเดียวกันนี้กลับมีสองระบบ คือทั้งระบบเสรีชนและระบบทาส ดังนั้นความเคลื่อนไหของผู้คนทางเหนือที่มีการศึกษาดีกว่า ได้เรียกร้องให้มีการเลิกทาส ย่อมไม่เป็นที่ถูกใจของคนทางใต้ โดยเฉพาะเจ้าที่ดินทั้งหลาย
ในที่สุดความขัดแย้งที่ดำเนินมายาวนานนับศตวรรษก็สุกงอม และมาตกหนักเอายุคเอายุคประธานาธิบดีคนที่ ๑๖ อับบราฮัม ลิงคอล์น (Abraham Lincoln ค.ศ.๑๘๐๙-๑๘๖๕) ชื่อนี้แหละที่สหรัฐให้เกียรติ นำมาตั้งเป็นชื่อเรือบรรทุกเครื่องบินที่มาเยือนเมืองไทย
ในยุคของท่านได้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อการเลิกทาส มีการสู้รบกันขนานใหญ่ ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๔ ผู้คนล้มตายลงไปมาก
ประธานาธิบดีผู้ไม่เคยย่อท้อผู้นี้ เกิดมาในครอบครัวที่แสนจน ได้รับการศึกษาในโรงเรียนรวมเวลาไม่ถึง ๑ ปี ด้วยซ้ำ แต่ศึกษาด้วยตัวเองและได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ ลงแข่งขันทางการเมืองก็หลายหน พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งมาถึง ๘ ครั้ง แต่ฟันฝ่ามาจนถึงตำแหน่งสูงสุดและได้รับคำยกย่องว่า เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐฯ
อับบราฮัม ลิงคอล์น เป็นผู้ที่ได้รับฉายาว่า “Honest Abe” หมายความว่า “เอ๊บผู้ซื่อสัตย์” (Abe เป็นชื่อย่อของ Abraham)
เมื่อเริ่มสงครามระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ แม้พวกทางเหนือร่ำรวยมั่งคั่งเพราะมีความเจริญก้าวหน้ากว่า และมีกำลังพลมากกว่า ๔ เท่าตัว แต่ถึงกระนั้นเมื่อเจอการรบแบบสุดใจขาดดิ้นของพวกฝ่ายใต้ สงครามก็ยืดยาวออกไป แถมตอนต้นของสงครามฝ่ายเหนือยังตกเป็นรองเอาด้วยซ้ำ
ที่น่าแปลกคือ แม่ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่าย คือท่านนายพล โรเบิร์ต อี ลี (Robert E Lee) ของฝ่ายใต้ กับนายพลยูลิซิส เอส แกรนท์ (Ulysses S Grant) ล้วนแต่เป็นศิษย์โรงเรียนนายร้อย West Point เหมือนกัน
นายพล โรเบิร์ต อี ลี นั้นเป็นนักเรียนเวสต์พ้อยท์คนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ไม่เคยถูกหักคะแนนความประพฤติ เรียนก็เก่ง รบก็เก่ง เป็นสุภาพบุรุษทหารหาญผู้มีเกียรติสูง คนอเมริกันให้ความเคารพยกย่องมาก นายทหารบ้านเราน่าจะเอาเป็นตัวอย่างไว้บ้างก็คงจะดี
เมื่อเริ่มสงครามใหม่ๆ นั้น นายพลลีไล่ต้อนเอากองทหารของนายพลฝ่ายเหนือพ่ายแพ้ไปตามๆกัน จนมาสับประยุทธ์กับนายพลแกร้นท์ จึงค่อยสูสีกันหน่อย
ท่านลิงคอล์นเฝ้าติดตามการสู้รบอย่างใกล้ชิด พอมีคนมาฟ้องว่านายพลแกร้นท์ท่านชอบดื่มเหล้า ท่านประธานาธิบดีไม่เรียกมาตักเตือนหรือว่ากล่าว แต่กลับถามไอ้คนที่คาบข่าวมาฟ้องว่า “ท่านแม่ทัพชอบกินเหล้าอะไร?” พอทราบเท่านั้น ผู้นำที่เป็นสุภาพบุรุษแต่ใจนักเลงอย่างท่าน รีบส่งเหล้ายี่ห้อที่นายพลแกร้นท์ชอบดื่มไปให้ทันที
ควักเงินจ่ายเอง ไม่ขี้เหนียววิ่งไปขอเงินกองสลากมาซื้อด้วย !
ในที่สุดหลังจากขับเคี่ยวกันหลายปี ทหารตายไปรวมกัน ๖ แสนคน การสงครามก็ยุติลง เมื่อกองทัพฝ่ายเหนือเดินทัพเจาะผ่านรัฐจอร์เจีย ตรงไปยึดเอาเมืองริชมอนด์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐเวอร์จิเนีย และเป็นนครหลวงของพวกฝ่ายใต้ด้วย ชัยชนะตกเป็นของกองทัพฝ่ายเหนืออย่างเด็ดขาด การปลดปล่อยทาสผิวดำให้เป็นอิสระก็สำเร็จลง
เพลง Marching Through Georgia ที่คนไทยในยุค ร.๕ ชอบมากนั้น เป็นเพลงกองทัพฝ่ายเหนือและมาจากประวัติศาสตร์ตอนนี้
เมื่อฝ่ายใต้ยอมแพ้แล้ว ท่านประธานาธิบดีอับบราฮัม ลิงคอล์น ก็ไปเยือนเมืองริชมอนด์ ที่ถือกันว่าเป็นเมืองหลวงของฝ่ายใต้ และเป็นสัญลักษณ์ Dixieland หรือดินแดนทางใต้ ชาวเมืองที่เป็นคนผิวขาวต่างปิดประตูเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้าน เพราะกลัวถูกเยาะเย้ยไยไพว่าเป็นพวกไอ้ขี้แพ้ แต่ท่านประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ กลับให้วงดนตรีที่มาต้อนรับเล่นเพลง Dixie เป็นการให้เกียรติคนใต้ ไม่ได้ถือว่าเป็นผู้แพ้สงครามแต่อย่างใด แต่ถือเป็นเพื่อนร่วมชาติร่วมแผ่นดิน ได้ใจคนใต้ไปเต็มๆ
ไม่เหมือนผู้นำบางประเทศที่หวาดกลัว ไจไม่กล้าโผล่หัวกบาลไปเยี่ยมชาวบ้านภาคใต้ เพราะผู้คนชิงชังในตัวเขา ซึ่งได้ร่วมมือร่วมใจกันเป็นหนึ่ง...ไล่ถีบจนตกเก้าอี้ไปจนได้ !
แม้ระหว่างการสงครามกลางเมืองกำลังดำเนินอยู่ ท่านประธานาธิบดีก็ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติต่อพวกฝ่ายใต้ดีเกินเหตุ โดยไม่ได้คิดว่าเป็นเชลยศึกหรือคู่สงคราม แต่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่กลับตอบด้วยถ้อยคำที่คนอเมริกันยังจดจำกันมาจนถึงทุกวันนี้ ว่า
“Destroy your enemy by making him your friend.”
หรือ “จงทำลายศัตรูของท่านด้วยการทำให้เขาเป็นมิตร”
เรื่องอย่างนี้ผู้นำที่ใจไม่ถึง เห็นกับประโยชน์กับตัวเองและพวกพ้อง...มันคิดไม่ออกหรอกครับ !
อเมริกันจึงรวมชาติที่ยิ่งใหญ่นี้ได้สำเร็จ ทาสถูกปลดปล่อย คนในชาติสามัคคีปรองดองสมานฉันท์ด้วยดี ต่างร่วมมือร่วมใจกัน มุ่งหน้าสร้างความเจริญให้ชาติบ้านเมืองของตน
ในที่สุดสหรัฐอเมริกากลายเป็นดั่งเนื้อเพลง The Star-Spangled Banner หรือเพลงชาติสหรัฐตรงท่อนท้ายที่ว่า The land of the free and home of the brave. และก็ก้าวสู่ความเป็นมหาอำนาจ !
ดูสหรัฐอเมริกาแล้ว ให้สงสารชาติบ้านเมืองของชาวประเทศสาระขันขันจับใจนัก เพราะพวกเขานอกจากจะขาดผู้นำประเทศที่ซื่อสัตย์อย่าง “Honest Abe” ยังมีเวรกรรมที่กลับดันไปได้ “ผู้นำกระสือ” เข้ามาทั้งล้วงทั้งควัก กอบโกยเอาไส้สมบัติของชาติกันอย่างไม่หยุดยั้ง หาประโยชน์เพิ่มความมั่งคั่งให้กับตัวเอง และเครือญาติกันอย่างมูมมาม กระทำโดยเปิดเผยไม่เกรงกลัวผู้ใดแม้กระทั่งฟ้าดิน เหตุเพราะมั่นใจในอำนาจของตน
ดังนั้น ระหว่างที่กระสือตนนี้มีโอกาสอยู่ในตำแหน่งที่ผู้คนเขาไว้วางใจ สร้างความร่ำรวยให้ตนเองและญาติโกโหติกา อีกคนละหลายเท่าตัว
เมื่อมีผู้ที่รู้ทันเข้าคัดค้าน ก่อหวอดขับไล่ให้ไปเสียจากตำแหน่ง ตัวผู้นำกลับยุแยงผู้คนในบ้านเมือง ให้แตกแยกกันเป็นฝักฝ่ายความสามัคคีชองชนในชาติก็ย่อยยับสิ้นดี กิจการของชาติเดินคืบหน้าต่อไปด้วยความลำบากยากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น ปากผู้นำนอกจากก็ก่อโอษฐภัยภัยให้กับตนเอง แล้วยังนำภยันตรายมาสู่คนในบ้านเมืองอีกด้วย และความสามหาวก่อให้เกิดความระยำระยับ กระฉ่อนกระดอนไกลไปถึงในวงการนานาชาติ สร้างความขัดเคืองให้กับชาติเพื่อนบ้านใกล้เคียงมิได้ขาด จนทูตขรตรีเศียรของบรรดามิตรประเทศออกมาส่ายหัว เพราะขาดมารยาททางการทูตอย่างแรง และหลายครั้งถูกเขาด่ากลับเข้าให้อย่างดุเดือด แต่เจ้าตัวยังไม่รู้สึกรู้สา
ยังเสือกลอยหน้าลอยตา...ทำหูทวนลมเสียอีก!
บางครั้งปากอัปรีย์ก็ออกมาเรียกร้องความสามัคคี อ้อนหาความปรองดองจากผู้คนบ้าง หรือตีหน้าเศร้าวิงวอนขอความสมานฉันท์กันบ้าง บางครั้งก็มีลูกหยอดว่า จะลดความขัดแย้งด้วยการจัดตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ ทั้งๆที่ปัญหาของชาติทั้งหลายทั้งปวง ถูกดันมาสู่จุดที่วิกฤติที่สุด
สะเทือนไปทั่วแผ่นดิน สะท้อนไปถึงแผ่นฟ้า เกิดขึ้นเพราะคนๆเดียวแท้ๆ !
ไม่มีใครมาร่วมกระทำความผิดด้วยเลย แต่ลมปากที่พูดว่าจะลดความขัดแย้ง พ่นออกไปยังไม่ทันหายเหม็น ก็เผลอด่าคนที่ตนเองเพิ่งเรียกร้อง ขอให้เขามาสมานฉันท์ด้วยกันกับตัวอยู่เข้าซะนี่
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะหวังให้ไปสมานฉันท์ปรองดองแม้แต่กับหมา...ก็คงทำไม่ได้ !เพราะการไกล่เกลี่ยหาความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาตินั้น
ผู้ที่ทำให้ประชาชนในประเทศแตกแยก เป็นต้นเหตุทำให้บ้านเมืองเกิดวิกฤติ จะทำไม่ได้เด็ดขาด ต้องให้คนอื่นเขาทำ
และหากยังเห็นแก่ชาติบ้านเมือง...
...จงถอนตัวและถอยไป...ไปเสียให้ไกลด้วย!!
ปากที่สลายความสามัคคีของชนในชาติเยี่ยงนี้ หากขืนยังกระสันดิ้นรน กลับเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลปกครองประเทศสาระขันขันกันใหม่ โดยมีเป้าหมายให้ตัวเจ้าปัญหามาเป็นผู้นำอีกครั้งนั้น จะต้องพบพานการต่อต้านของผู้คนขนาดหนักอีก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความสงบจะไม่บังเกิดขึ้นในแผ่นดิน และจะขอทำนายอนาคตของ ‘รัฐบาลผีเปรต-สามัคคีเภท’ นี้ล่วงหน้าเอาก่อนไว้เลยว่า เป็น...
“รัฐบาลเพื่อความแตกแยก และความพินาศฉิบหายแห่งชาติ !!!”
.................................