xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 230 “ไฟป่า-ไฟสำนึก”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้....จิบกาแฟขมแล้ว ไม่ต้องรับประทานขนมหวานเพราะจะไปหาข้าวรับประทานเอาข้างหน้า ระหว่างทางไปบ้านนายตำรวจรุ่นพี่ที่จังหวัดลำพูน ที่แรกตั้งใจจะไปทานอาหารพื้นบ้านที่ร้านแถวขุนตาลใกล้ทุ่งเกวียนแต่อยู่คนละด้านกัน แต่อยู่คนละด้านกัน

ก่อนถึงอำเภอแม่ทา ผมเห็นร้านติดชื่อ“ร้านดาวคะนอง” รู้สึกสงสัย จึงให้คนขับรถย้อนกลับไปดู ปรากฏว่าเป็นร้านเดียวกันกับดาวคะนองในตัวอำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ มีอาหารเมืองที่เอร็ดอร่อยรวมทั้งปลาต่างๆจากลำน้ำโขง เช่น ปลาคัง ปลาแข้ และอาหารเมืองสารพัด รสชาติของเขาอร่อยมาก ร้านในเมืองเขามีครกขนาดใหญ่ เอาไม้ตาลมาตัดสูงสักเมตรเห็นจะได้ แล้วขุดเนื้อไม้ลึกลงเป็นครกใช้ตำ ดูแล้วก็แปลกตาดี ส้มตำเขามีหลายสิบแบบจารนัยกันไม่ไหว ทั้งตำลาว ตำปู ตำไทย แล้วมียำไข่มดแดงที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเมนูเด็ดของเขา พออิ่มเรียบร้อยก็หาซื้ออาหารเผื่อเอาไว้เป็นเสบียงกรัง สำหรับมื้อต่อไปอีกด้วย เพราะบ้านอยู่ไกลจากเขตเมืองพอสมควรทีเดียว

ลูกน้องที่ขับรถซึ่งเคยเป็นตำรวจป่าไม้ มีความชำนาญพื้นที่ทางเหนือมาก เล่าให้ฟังว่า ตอนวันเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกิดไฟป่าขึ้นบริเวณผืนป่าป่าดอยสุเทพ-ปุย เป็นบริเวณกว้างหลายสิบไร่ การขึ้นดับไฟก็ยากเพราะตรงบริเวณไฟไหม้ เป็นพื้นที่สาดชัน จะเดินเท้าลงไปจัดการกับไฟก็ลำบาก ได้ข่าวว่าต้องใช้
เฮลิคอร์ปเตอร์สองลำขนน้ำไปโปรย แต่แม้จะดับไฟได้ในที่สุด แต่ความเสียหายก็เกิดขึ้นมาก

เหตุที่มาบ้านรุ่นพี่ที่รักและเคารพมากวันนี้ ก็เพราะว่าท่านโทรแจ้งว่า ไฟป่าลุกขึ้นตามแนวป่าหลังบ้าน แล้วไฟกระโดดข้าเข้าไปในรั้วบ้าน ไหม้ต้นไม้ไปเป็นแถบ เดชะบุญไม่ติดตัวบ้าน ทำให้ไม่ได้รับความเสียหาย ผมเป็นห่วงลูกพี่เลยต้องขึ้นมาเยี่ยมเยียน

ท่านผู้อ่านอย่าแปลกใจว่าทำไมไฟกระโดดข้ามรั้วได้ ลองดูเวลามีลมพัดแรงใบไม้ก็สะพัดปลิวไปทั่ว ใบไม้ติดไฟที่ต้องแรงลมก็เหมือนกัน เมื่อพัดปลิวไปตกทางทิศใด ก็ก่อให้เกิดเพลิงได้ทั้งนั้น ดังนั้นเวลามีไฟป่า จึงได้เห็นไฟลุกไหม้เป็นจุดๆ บางทีห่างจากที่เกิดเหตุครั้งแรกเป็นกิโลก็มี

ต้องขอขอบคุณชาวบ้าน และ เจ้าหน้าที่ อบต.ที่เขามาช่วยกันดับไฟอย่างแข็งขัน ใครก็ตามที่มีบ้านอยู่ทางเหนือ และใกล้ชิดเขตป่าต้องทำใจเอาไว้ เพราะหน้าแล้งปีนี้ไฟป่าได้เกิดขึ้นและทำลายความเสียหายบ้านเรือนมากผิดปกติ ทางเชียงรายรีสอร์ทสวยๆก็เสียหายวอดเตียนไปเกือบครึ่งซึ่งน่าเสียดายมาก

ระหว่างทางเข้าบ้านที่อยู่อำเภอแม่ทา ผมสังเกตเห็นพื้นที่ป่าเริ่มแห้งเพราะเป็นฤดูร้อนเต็มตัวแล้ว ความจริงผืนป่าแถวนี้เดิมเคยถูกแผ้วถางไปเป็นจำนวนมาก ต่อมากรมป่าไม้ได้ปล่อยให้พื้นที่ฟื้นตัว ภายในระยะเวลา ๕ ปี ความมีชีวิตชีวาได้กลับพลิกฟื้นคืนขึ้นมาเพราะผืนป่าได้ซ่อมแซมตัวเองหลังจากไม่มีผู้ไปรบกวน

การดูแลรักษาธรรมชาติหรือผืนป่านั้น หากท่านผู้อ่านได้ติดตาม ข้อเขียนของผมมาโดยตลอด
คงเห็นได้ชัดว่า ผมห่วงใยเสมอมาและที่สำคัญสิ่งที่จะทำลายผืนป่าได้รวดเร็วอย่างยิ่งคือ “ไฟป่า” ซึ่งกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เกิดจากการกระทำของมนุษย์

ทางภาคเหนือนั้นเกิดไฟป่ามากกว่าทางภาคประชาธิปัตย์ เพราะทางใต้นั้นเป็นป่าดิบชื้น ไม้ติดไฟยาก แต่ทางเหนือมีไม้ผลัดใบเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงฤดูกาลที่ใบไม้ร่วงหล่นลงพื้นก็แห้งกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ซึ่งตรงกับฤดูร้อนที่อากาศแห้งแล้งมาก แม้ไฟป่าจะลุกไหม้เองได้ตามธรรมชาติ เช่นฟ้าผ่าต้นไม้และต้นไม้ลุกไหม้ แต่สาเหตุประการสำคัญที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ทั้งจงใจและการกระทำโดยประมาท เช่นการทิ้งบุหรี่และการก่อกองไฟแต่ดับไม่สนิท

ท่านผู้อ่านอาจเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญใครๆก็รู้ แต่ผมบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจากประสบการณ์การเดินป่าได้ทราบว่า ในระหว่างฤดูการท่องเที่ยวผู้ที่มาหาความสุขจากการเดินป่าหากไม่ได้รับความรู้ในการท่องเที่ยวในป่า มักเผลอเรอในเรื่องการใช้ฟืนไฟเสมอ แต่ที่สำคัญมากๆ และเป็นปัญหาของทางภาคเหนือ คือ

การจงใจจุดไฟเผาป่า เช่นการเผาป่าเพื่อประโยชน์ในการเก็บหาของป่า หรือการเผาป่าเพื่อการล่าสัตว์!

ผมเคยเล่าให้ฟังว่า ชาวปะปากะญอหรือกะเหรียงนั้น เขาคิดว่าป่าเป็นเรสตัวรองค์ หากเขาอยากได้อาหารเนื้อก็เข้าป่าล่าสัตว์เอา ถ้าล่าไม่ได้ก็ไม่มีกิน แต่พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถ้ามีข้าว วิธีกินของเขาผมเคยเล่าให้ฟังว่าเขากิน “แกงน้ำพริก” คือเอาพริกมาเผาใส่เกลือตำให้เข้ากัน เติมน้ำเล็กน้อยระหว่างการตำ แล้วทำเป็นก้อนเอาไว้ พอจะกินก็ต้มน้ำให้เดือดแล้วเอาก้อนพริกลงละลายน้ำร้อนยกขึ้นมาแล้วกินกับข้าวสวยเท่านี้จริงๆ แต่เขาก็กินกันด้วยความเอร็ดอร่อยจนผมแปลกใจ

พอเห็นพวกกะเหรี่ยงกิน จึงได้ตระหนักถึงคำคนโบราณว่า จน...จนต้องกินพริกกับเกลือ นั้นเป็นอย่างไร แต่ส่วนที่ดีก็คือชนเผ่านี้ไม่นิยมที่จะทำลายผืนป่าและธรรมชาติ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ส่วนชาวเขาเผ่าอื่นที่ทำไร่เลื่อนลอยโดยเฉพาะไร่ฝิ่นนั้น ทำลายป่าไม้เป็นอันมาก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐของเรา ทรงมีสายพระเนตรที่กว้างไกล ทรงยับยั้งการปลูกฝิ่นได้ด้วยพระปรีชาสามารถ ด้วยการทรงอนุเคราะห์ชาวเขาให้ปลูกพืชทดแทน ทำให้ยังรักษาผืนป่าเอาไว้ได้

การทำไร่เลื่อนลอยยังผลให้เกิดความเสียหายอย่างมาก เช่นหุบเขาระหว่างอำเภอแม่ริมกับอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว ทางราชการต้องย้ายชาวเขาประมาณ ๘๐ ครัวเรือนในตอนนั้น มารวมไว้ในที่เดียวกัน เพราะไม้ในหุบเขากว้างใหญ่บริเวณนั้นถูกตัดเตียนราบไปเลย และไม้ที่ถูกตัดก็ไม่ได้ถูกนำไปเป็นประโยชน์ เพราะพวกชาวเขาเผาทิ้งเพื่อไม่ให้เกะกะกีดขวางพื้นที่การทำไร่ แต่เดี๋ยวนี้หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีโครงการช่วยเหลือแล้ว การตัดไม้ทำลายป่าของชาวเขาก็แทบหมดไป

เหลือแต่พวกชาวเรานี่แหละ ที่ยังเป็นผู้ทำลายป่าอย่างไม่หยุดยั้ง ผมเห็นเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ไม่เคยลดน้อยลง และที่สำคัญมากก็คือการเผาป่า เพื่อประโยชน์ในการเก็บหาของป่า


เหตุการณ์ไฟไหม้ป่าดอยสุเทพ-ปุย ในวันเลือกตั้งนั้น ก็เป็นผลพวงจากการเผาป่าเพื่อหาเห็ดถอบ (ทางภาคกลางเรียกเห็ดเผาะ หรือ เห็ดเปาะ) เพราะเมื่อเผาป่าแล้วเมื่อฝนมา ขี้เถ้าจะทำให้เห็ดขึ้นได้เร็วและเก็บง่าย เห็ดถอบนี้ตอนออกใหม่ๆกิโลละหนึ่งร้อยกว่าบาท ป่าเต็งรังอย่างทางเหนือนั้นเห็ดชนิดนี้ขึ้นได้ดีมาก ชาวบ้านที่ยากจนต้องการเงินที่แค่หลักพันหลักหมื่นบาทก็จุดไฟเผาป่า โดยคิดว่าจะควบคุมได้ แต่บางครั้งก็มักควบคุมไม่ได้ไฟไหม้แผ่เป็นวงกว้างไป และความเสียหายที่จะเกิดขึ้นมันก็มากมายเกินคาดเอาทีเดียว

จำได้ว่าเมื่อราวยี่สิบกว่าปีก่อนนั้นไฟไหม้โบสถ์วัดแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดลำพูน เขาก็บอกกันว่าเป็นเพราะวัดตั้งอยู่ใกล้แนวป่าเต็งรัง ชาวบ้านก็จุดไฟเผาป่าเพื่อหาเห็ดถอบ โบสถ์เลยกลายเป็นเหยื่อของพระเพลิงไปในที่สุด

สิ่งที่ผมอยากนำมาหารือให้ท่านผู้อ่านฟังในวันนี้ ว่าทำอย่างไรจึงจะจุดไฟสำนึก ให้ชาวบ้านตระหนักในเรื่องของป่า ทั้งๆที่เขาเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเขตป่า แต่กลับไม่ใส่ใจว่าการกระทำของตนนั้น ทำลายอนาคตของลูกหลานที่จะใช้ประโยชน์จากป่าในวันข้างหน้า เพราะเห็ดถอบนั้นถ้ายังมีผืนป่า ถึงฤดูก็สามารถเก็บมาใช้บริโภคในครัวเรือนของเขาได้อย่างสบาย และมีเหลือพอขายได้บ้าง แต่นี่เขาไม่ทำอย่างนั้น คืออยากเอาทีเดียวให้รวยเลย ทำเหมือนนิทานเรื่องห่านไข่เป็นทองคำ ไข่วันละฟองไม่ทันใจ พวกก็จับห่านเชือด ผ่าท้องเอาไข่ในพุงห่านเสียเลย เป็นอย่างนั้นไปจริงๆ

ด้วยเหตุนี้เองเมืองไทยของเรา จึงมีชื่อเสียงไม่สู้ดีนัก ในการใช้ทรัพยากรอย่างไม่ค่อยรู้คุณค่า จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในประชาคมโลก ซึ่งผมจะกล่าวถึงในวันข้างหน้าต่อไป!

เมื่อคุยถึงเรื่องการเก็บหาของป่าแล้ว อยากเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังถึงเรื่องของป่าที่คนทางเหนือเก็บเอามามากคือ ไข่มดแดง คนทางนี้เขาจะใช้ไม้ปลายแหลมผูกตะกร้อที่เย็บติดกับถุงปุ๋ย แล้วเอาปลายไม้แทงเข้าไปในรังมดแดง ไข่ก็จะร่วงลงมาในตะกร้อลงไปกองในถุงปุ๋ยพร้อมกับตัวมด เขาเอาทั้งไข่และมดที่ติดมาใส่แป้งมัน แล้วตัวมดถูกแป้งเข้าตา จนมองไม่เห็นก็จะคลานหนีออกไป เหลือแต่ไข่ตกอยู่ในแป้งมัน แล้วนำมาแยกเอาไข่มดออกทีหลัง

ส่วนใหญ่คนทางเหนือก็จะเอาไปยำหรือเอาไปทำแกง โดยเฉพาะแกงกับผักหวานป่า (ไม่เหมือนกับผักหวานบ้าน) อร่อยมาก แต่คนทางอิสานเขาทำแบบเดียวกันแต่เอาไข่และมดแดงที่ติดมาใส่น้ำในถัง ไข่จะตกลงในน้ำแล้วเขี่ยมดออก ก็นำมาประกอบอาหาร แต่ผมก็เคยเห็นคนอิสานเขาเอามดมาทั้งรั้ง แล้วใส่ทั้งมดทั้งไข่ลงในเนื้อดิบที่ใส่เตรียมไว้ มดจะกัดกินเนื้อและถ่ายมูลของมันออกมา พอถึงเวลาจะรับประทานเขาก็จะขยำเนื้อพร้อมทั้งตัวมดและไข่ไปพร้อมกัน คลุกเคล้ากับเครื่องปรุงอย่างอื่นที่ขาดไม่ได้คือพริกจนเข้ากันดีแล้วก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อย มดแดงนั้นมีรสเปรี้ยว ใช้แทนมะนาวได้ดี แต่คนทางเหนือเขาไม่นิยมกินตัวมด เขาว่ามันเปรี้ยวและเรียกมดแดงว่า “มดส้ม” หรือ “มดเปรี้ยว” อย่างแหนมที่เรารับประทานกัน เขาเรียกว่า “ชิ้นส้ม” หมายความว่าชิ้นเนื้อหรือหมูที่มีรสเปรี้ยวนั่นเอง

ชาวบ้านที่มักง่ายบางคน ชอบเอาไฟไปลนรังมดแดง เพื่อให้ตัวมดหนีและเอาไข่ ซึ่งไข่มดพวกนี้จะดำเพราะเขม่าไฟ ไม่ขาวนวลใสเหมือนกับวิธีที่ใช้ตะกร้อ ที่โหดไปกว่านั้นคือการเผาป่าเพื่อยิงสัตว์ เป็นการกระทำของพวกพรานทั้งอาชีพและสมัครเล่น เผาป่าเพื่อบีบให้สัตว์ที่ตนต้องการล่าออกมาในพื้นที่สังหาร แล้วก็ทำลายสัตว์ แต่การกระทำของคนพวกนี้ได้ฆ่าชีวิตสัตว์ที่เคลื่อนไหวได้ช้าไปด้วย เช่นตัวอ้น และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ รวมทั้งตัวอ่อนและไข่ของสัตว์ต่างๆอีกด้วย

คนพวกนี้นอกจากทำผิดกฎหมายแล้วยังเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจที่สุด น่าจะมีการเพิ่มโทษให้มีการลงทัณฑ์สถานหนักเพื่อให้หลาบจำกันบ้าง!

หลังจากสำรวจความเสียหายรอบๆบ้านเสร็จ รุ่นพี่ผมชวนขับรถไปทางขุนตาลไปเยี่ยมบ้านท่านอาจารย์ พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช โดยขับออกจากอำเภอแม่ทาไปทางห้างฉัตร จังหวัดลำปาง เราเลี้ยวตรงทางเข้าของอำเภอห้างฉัตร แล้วย้อนขึ้นไปทางขุนตาล ผมสังเกตสองข้างทางไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่การมีถนนผ่านเข้าไปทางแนวป่าเป็นประโยชน์ในการช่วยดับไฟป่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะสามารถส่งหน่วยดับเพลิงเข้าไปได้อย่างรวดเร็วสามารถสกัดความเสียหายของเพลิงได้ก่อนที่จะลุกลาม

อาจมีคนแย้งได้ว่า ถนนจะเป็นช่องทางให้พวกทำไม้เข้าไปขนไม้ได้สะดวก แต่ผมคิดว่าหากเขตป่าอยู่ใกล้เมือง เราจะป้องกันในกรณีลักลอบตัดไม้ทำลายป่าได้ง่ายกว่า เพราะประชาชนจะเป็นหูเป็นตาเจ้าหน้าที่ราชการมากขึ้น และการที่เรามีการปกครองท้องถิ่นแบบ อบต. ทำให้รู้ความต้องการของชาวบ้านได้ดีขึ้น และประชาชนจะรู้จักสิทธิและการปกป้องสิทธิของตนมากตามไปด้วย

เมื่อการหวงสิทธิของประชาชนมีมาก การลักลอบตัดไม้ทำลายป่าก็จะทำได้ยาก เช่นเดียวกับการทุจริต เมื่อมี อบต.ใหม่ๆ ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าการทุจริตในองค์กรนี้จะมีอย่างดาษดื่น ฆ่าฟันกันก็มาก แต่ผมขอให้ท่านรอไปอีกสักระยะ เมื่อชาวบ้านเพิ่มพูนความรู้ในการบริหารงานท้องถิ่นของตน คนทุจริตจะน้อยลง เพราะผลพวงจากการจับจ้องเอาผิดของประชาชนจะมีมากขึ้น เหมือนการดำเนินการที่ผ่านมาของรัฐบาล ที่ระยะแรกการตรวจสอบทำได้ยาก เพราะผู้นำมีอำนาจมากทั้งทางกฎหมายรัฐธรรมนูญเดิม และยังดันเข็นกฎหมายออกมาทั้งเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจ ป้องกันตนเองและตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม อย่าง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษที่ผมกล่าวถึงหลายครั้ง แต่เมื่อประชาชนลุกฮือขึ้นมา ฝ่ายผู้ถืออำนาจต้องล่าถอย จนหัวหน้าคณะผู้บริหารต้องจำใจไม่ขอรับตำแหน่งต่อ

เรียกว่า...ถูกถีบหงายหลังตกเก้าอี้ ก็พอจะได้กระมัง!


ฉะนั้น บทความผมระยะหลังนี้ จึงเขียนเร่งเร้าให้มีการตรวจสอบคดีทุจริตให้มากขึ้น เพราะตอนนี้ฝ่ายรัฐบาลพรรคไทยรักไทยกำลังตาแหกด้วยความกลัว หลังจากที่นายกทักษิณถูกแรงกดดันของผู้คนทิ่มตกกระป๋องไปเรียบร้อยแล้ว คนที่เกลียดการทุจริตอย่าหยุดยั้งแค่นี้ ต้องรุกเข้าใส่รัฐบาลรักษาการณ์ และ Puppet Governmentหรือ รัฐบาลหุ่น ที่กำลังจะมาใหม่ ซึ่งจะเป็นแค่เหล้าเก่าขวดเก่า

และมีคนเก่า ชักใยอยู่ข้างหลังเท่านั้น!

จึงต้องช่วยกันเร่งเร้าให้มีการตรวจสอบทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจหรือองค์กร ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของชาติและประชาชน เพราะผู้ที่ก่อการทุจริตได้เบียดบังเอาสิ่งที่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินและชนในชาติ ไปเจือจานระหว่างพรรคพวกญาติพี่น้อง จนร่ำรวยกันมากขึ้นคนละหลายเท่าตัว ต้องถูกดำเนินการไปโดยกฎหมายอย่างเด็ดขาด จะละเลยหรือปล่อยให้พวกเขา สูบเลือดประชาชนกันต่อไปอีกไม่ได้แล้ว

เมื่อประชาชนได้รับการเติมเชื้อเพลิงแห่งปัญญาด้วยการเติมความรู้ จนบังเกิดไฟสำนึก จิดใจของเขาก็จะแย้มขยาย งอกงามเติบโตขึ้น รู้จักหวงสิทธิ ทำให้นักการมืองหรือผู้บริหารท้องถิ่น เอาเปรียบประชาชนได้น้อยลง เราต้องไม่กลัวที่เห็นต่างจากรัฐบาล ต้องไม่ไว้วางใจรัฐบาลของนายกตกกระป่อง ผู้ชอบใช้คำพูดว่า "ขอให้เชื่อผม" หรือ "เชื่อผมเถอะ รับรองว่ารัฐบาลคิดถูกทำถูก" บางทีก็ว่า "รับรองว่ารัฐบาลนี้ ทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ" หรือบางครั้งก็โกหกประชาชนว่า "ขอให้อดทน อีกไม่นานการก่อการร้ายต้องสงบลง เพราะฝีมือรัฐบาลนี้แน่นอน"

ว่าเข้านั่น!

เรียกว่า “มึงพูดเอง แล้วเออของมึงเอง!! ” อะไรทำนองนั้น แต่ที่ออกมาอย่างที่เห็นๆกัน คือความไร้ประสิทธิภาพโผล่ออกมาฟ้องชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องความไม่สงบในพื้นที่บางภาค จนประชาชนหวั่นไหว ถึงกับพูดกันว่า ประเทศกำลังจะถูกแบ่งแยกอยู่แล้ว มันยังหน้าด้านทะลึ่งร้องเป็นนกแก้วนกขุนทอง ว่า

“สถานการณ์กำลังจะดีขึ้นจ้าๆๆ” น่าทุเรศมาก

พูดเรื่องนี้ผมโกรธทุกที เบื่อไอ้พวกขี้โม้ ขี้คุย ขี้ถุย เหลือกำลัง วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทักษิณทีไร มีความรู้สึกของขึ้นทุกครั้ง คือมันให้มีอารมณ์อยากถล่มด่าต่อไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องการบริหารบ้านเมืองอย่างไม่โปร่งใส

ท่านผู้อ่านลองสังเกตดูเอาเถอะครับ คือมีคนโพสต์มาบอกว่า

“อ่านคอลัมน์นี้แล้ว เกลียดรัฐบาลมากขึ้นทุกทีไป”

จึงอยากเรียนเพิ่มเติมว่า เพื่อนเก่าที่ฟังผมพูดปากเปล่า วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแล้ว เขาให้ความเห็นว่า

"อยากให้ทักษิณมาฟังเอ็งพูด เผลอๆ อีตาแม้วแกจะเกลียดตัวเอง ด้วยซ้ำไป!"

ดูเอาเถอะ...นี่เอาเรื่องจริงมาเล่าให้ท่านฟัง ไม่ได้พูดเล่นเอาสนุก

จึงต้องกราบเรียนกับท่านผู้อ่าน ให้ทราบความตั้งใจของคนเขียน ว่า

วันนี้ เขียนเรื่องการเผาป่าก็จบลงกันตรงนี้ แต่เรื่องการจุดไฟเผาไล่รัฐบาลที่ไม่สุจริต และบริหารบ้านเมืองอย่างไม่โปร่งใส ไร้คุณธรรม นั้น

จะต้องจุดให้ลุกโชติช่วงเป็นเพลิงกองใหญ่ ผลาญความไม่ชอบธรรมจนวอดสิ้นไป ให้จงได้!!!


.......................

ท้ายบทระหว่างที่เขียนคอลัมน์นี้ ได้อ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หน้าจุดประกาย ชื่อคอลัมน์ "บันทึกคนดับไฟป่าที่ชายแดนตะนาวศรี" ฉบับประจำวันที่ ๑๑ เม .ย. นี้เอง อ่านแล้วประทับใจมาก เป็นเรื่องราวของ คุณไพรวัลย์ ศรีสม บัณฑิตสาธารณสุข ที่รักป่าสวนผึ่งตั้งแต่ตัวเองยังเป็นนักศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยบูรพาได้ทำงานกับมูลนิธิกระต่ายป่า ทำงานร่วมกันเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ช่วยดูแลการดับไฟป่าเคยทำงานดับไฟอยู่บนป่า ๒๓ วัน พอลงมาพัก ไฟก็ปะทุขึ้นมาอีก ต้องย้อนกลับไปดับไฟอีกครั้ง

ผมขอยกย่องคนหนุ่มท่านนี้และเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ กรมอุทยาน พนักงานรักษาป่า และพนักงานดับไฟป่า ว่า ทุกท่านมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะอนุรักษ์ผืนป่าอันมีค่า เพื่อลูกหลานของเราต่อไปในอนาคต ขอให้ทุกท่านได้มีความภาคภูมิใจว่า

ได้ทำงาน...ทดแทนคุณของแผ่นดินนี้แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น