xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 229 “เที่ยนที่ส่องสว่างของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือเทียนแห่งความแตกแยกกันแน่ !?”

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว นั่งดูโทรทัศน์เขาได้นำเอาข่าวคุณทักษิณประกาศไม่ขอรับตำแหน่งนายกต่อในสมัยหน้ามาฉายซ้ำ มีภาพผู้คนของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโห่ร้องดีอกดีใจ ส่วนฝ่ายคณะรัฐมนตรีที่ร่วมพิธีกล่าวทิ้งตำแหน่งนายกของคุณทักษิณ ต่างพากันปรบมือเมื่อเจ้านายตัวเองแถลงไม่รับตำแหน่งในรัฐบาลหน้า

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกรัฐมนตรีไทยรักไทย ถึงต้องตีมืออย่างนั้น หรือเป็นเพราะยินดีที่คุณทักษิณจะได้พ้นตำแหน่งไปเสียที หลายคนปลื้มใจถึงกับมีน้ำตาซับเล็กซับน้อย ให้ผู้สื่อข่าวได้เก็บภาพไปให้ชาวบ้านดู แต่บางคนคงปลื้มปิติมาก ถึงกับผวาเข้าไปกอดซบใต้เข็มขัดคุณทักษิณทีเดียวเชียว

เห็นแล้วให้ปลง!

คุณทักษิณกลายเป็นนายกตกกระป๋อง ก็เพราะกลุ่มคนที่ตัวเองปรามาสไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาว่า เป็นแค่แก๊งข้างถนน ไม่น่าเชื่อเลยว่าที่ผู้นำที่มีขุมพลังเบ็ดเสร็จของตนเอง อีกทั้งยังมีทรัพย์สินมหาศาล เรียกว่าต้นทุนเพื่อการสู้รบทางการเมืองแข็งแกร่งเหมือนกำแพงเมืองจีน ยังต้องถูกตีจนแตกพ่ายกระจุยกระจายไปด้วยการต่อสู้ของผู้คนที่เห็นว่า...

คุณทักษิณไม่สุจริตในการบริหารประเทศ!!

การต่อสู้ของพวกข้างถนนในสายตาของผู้นำนั้น เหนียวแน่น ทรหด บวกกับกลยุทธการให้ข้อมูลถึงความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลทักษิณไปสู่สังคมอย่างต่อเนื่อง จุดพลังการต่อต้านของผู้คนให้ลุกลามไปทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว ผู้คนไม่ว่าแพทย์ พยาบาล ครูบาอาจารย์นิสิตนักศึกษาเข้าร่วมการต่อต้านอย่างกว้างขวาง จนสามารถหยิบยื่นความปราชัยอย่างยับเยิน ให้ผู้นำที่ทรงอำนาจอย่างคุณทักษิณได้ภายในไม่กี่สัปดาห์

ผู้ที่จะมาเป็นร่างทรง หากคิดจะนำวิธีการประชานิยมแบบเดียวกันทักษิณมาใช้อีก ต้องใคร่ครวญให้จงหนักทีเดียว

มิฉะนั้นต้องเดทสะมอเร่เอาง่ายๆ!!!

การนั่งดูโทรทัศน์ซึ่งเป็นกิจอย่างหนึ่ง สำหรับคนสูงอายุที่ยังมีภารกิจในการเขียนหนังสือให้ท่านได้อ่านทุกสัปดาห์ เพราะอาจนำบางตอนของภาพยนตร์โทรทัศน์มาใช้ในงานเขียนของตัวเองได้ อย่างเมื่อปลายเดือนมีนาคมหยกๆนี้เอง เคเบิลทีวีเขาเอาหนังเก่าเรื่อง All the President's Men มาวนฉาย ซึ่งผมดูหลายครั้งแล้ว

หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง เป็นเรื่องราวของการทำข่าวแบบสืบสวน นักข่าวสองคนหนังสือพิมพ์
‘วอชิงตันโพสต์’ สองคนคือ บ๊อบ วู้ดเวิร์ด และคาร์ล เบิร์นสไตน์ นำแสดงโดยดาราดังคนโปรดของผมสองคนคือ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด กับดัสติน ฮอร์ฟแมน

เรื่องราวเกิดขึ้นในกลางดึกคืนหนึ่ง เมื่อมีกลุ่มคนงัดแงะเข้าไปในอาคารชื่อวอเตอร์เกต ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติของพรรคเดโมแครตซึ่งเมื่อเริ่มคดีใหม่ๆนั้น เหมือนจะเป็นหัวขโมยที่เข้า
ไป “ตัดช่อง-ย่องเบา” ธรรมดาๆ แต่จากจุดเล็กๆที่นักข่าวทั้งสองตั้งข้อสงสัย เมื่อการสืบสวนดำเนินเรื่อยแบบเจาะลึกเข้าไปอย่างไม่ลดละ ปรากฏว่า

มันไม่ใช่คดีง่ายๆ แบบพวกตีนแมวเข้าไปลักขโมยของในอาคารธรรมดาเสียแล้ว แต่กลับกลายเป็นเรื่องการจารกรรมและดันไปพัวพันเกี่ยวกับความลับของรัฐบาลสหรัฐ ที่มีประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน เป็นผู้นำในขณะนั้นผู้สื่อข่าวทั้งสองมีผู้แจ้งข่าวสารที่อยู่ในวงในที่ดี ซึ่งการสื่อสารระหว่างเขาทั้งสองกับแหล่งข่าวผู้ใช้รหัสว่า “ดีพโธรท” ซึ่งเพิ่งเปิดเผยเร็วๆนี้ว่า คือนายมาร์ค เฟลท์เป็นอดีตรองผู้อำนวยการสอบสวนกลางสหรัฐ ในที่สุดการสืบสวนก็ยุติลง ความกระจ่างออกมาว่า

ทีมงานที่เข้าไปในวอเตอร์เกต โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิบัติการติดตั้งอุปกรณ์ดักฟัง เพื่อทราบความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ยิ่งไปกว่านั้นการสืบสวนก็ชี้ลงไปด้วยว่าประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน น่าจะมีส่วนรับรู้ในการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมายครั้งนี้ แม้ตัวท่านผู้นำและบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ออกมาปฏิเสธอย่างแข็งขัน แต่ไปไม่รอดเมื่อศาลสหรัฐมีคำสั่งให้ประธานาธิบดีมอบเทปบันทึกคำสนทนาลับใน
Oval Office หรือสำนักงานรูปไข่ของทำเนียบขาวให้คณะผู้สอบสวน

ผลการสอบสวนแดงออกมาว่า ทั้งประธานาธิบดีนิกสัน ปรึกษาระดับสูง ไล่ไปจนถึงเจ้าหน้าที่พรรครีพับลิกันอื่นๆราว ๔๐ คน ต่างรู้เรื่องนี้ดี เหตุการณ์ครั้งนี้นำไปสู่การขับไล่ผู้นำสหรัฐ เริ่มด้วยการเคลื่อนไหวของสมาชิกรัฐสภา หลังจากนั้นอีกเพียงสามวัน คณะกรรมาธิการยุติธรรมของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ผ่านกฎหมาย ให้มีการดำเนินกระบวนการสอบสวน เพื่อถอดถอนประธานาธิบดีออกจากตำแหน่งที่เรารู้จักกันดีว่า Impeachment

ผลก็คือชายผู้มีอำนาจมากที่สุดในโลกอย่างประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เห็นว่าทางรอดของตนในสภาไม่มีอีกแล้วจึงชิงลาออก รองประธานาธิบดี เจอรัลด์ ฟอร์ด ขึ้นรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ ๓๘ ของสหรัฐ

ริชาร์ด นิกสัน ได้รับความอัปยศอดสู ชื่อเสียงที่สะสมมาโดยตลอดต้องมีอันมลายหายไป แต่ยังโชคดีที่ไม่ต้องเดินหน้าตั้งเข้าไปอยู่ในคุก เพราะอีกหนึ่งเดือนต่อมาประธานาธิบดี เจอรัลด์ ฟอร์ด ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดี ให้อภัยโทษนิกสันในความผิดทางอาญาทั้งหมด แต่กระนั้นอเมริกันชนก็มองอดีตประธานาธิบดีสหรัฐผู้นี้ เป็นคนร้ายในสายตาของพวกตน ตราบจนเขาจนเสียชีวิตเมื่อปีเมื่อสิบสามปีที่แล้วด้วยวัย ๘๑ ปี

ประธานาธิบดีคนที่ ๓๗ ริชาร์ด นิกสัน ต้องกลายเป็นผู้นำของชาติที่ยิ่งใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา
คนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ชิงลาออกขณะยังอยู่ในตำแหน่ง และการกระทำอันไม่ซื่อสัตย์ของนิกสัน ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงถึงรัฐบาลกลางของสหรัฐ

ที่ร้ายกาจไปกว่านั้น คือการกระทำที่ละเมิดกฎหมายของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่มีเกียรติสูงยิ่ง และเป็นที่ไว้วางใจกับประชาชน แต่กลับพฤติกรรมไม่สะอาด โสโครก น่ารังเกียจ กระทบกระเทือนจิตใจอเมริกันชนอย่าง
รุนแรง!

ชาวอเมริกันต่างถกกันในเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง ประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด ที่สืบทอดตำแหน่งต่อมาก็ไม่ได้รับความนิยม แถมเมื่อเปลี่ยนจากรีพับลิกันเป็นเดโมแครต ประธานาธิบดี จิมมี่ คาร์เตอร์ กลับทำให้อเมริกันชนผิดหวังซ้ำเข้าไปอีก เพราะแม้จะเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ก็เหมาะกับการเป็นสมภารเจ้าวัดมากกว่าเป็นผู้นำที่กุมบังเหียนชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา

จนกระทั่งการมาถึงของประธานาธิบดีพระเอกหนังคาวบอยอย่าง โรแนล เรแกน ขี่ม้าขาวเข้ามา แบบเป็นหนังกลางแปลงก็ต้องพากษ์ตอนขึ้นไตเติลว่า “สิงห์หนึ่งอกสามศอก บอกลักษณะเชิงชายชาตรี สิงห์นี้ถ้าเป็นพรานก็ชำนาญไพร ถ้าเป็นไก่ก็เชียวชาญและช่ำชองในเชิงชน...” นั่นแหละ อเมริกันชนหน้าตาค่อยมีเลือดฝาดกันขึ้นมาบ้าง ส่วนใหญ่รู้สึกภาคภูมิใจ ที่เขามีผู้นำอย่างประธานาธิบดีที่แก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่มากด้วยความสามารถคนนี้

โรแนล เรแกน ได้แก้ไขสถานการณ์นำประเทศสหรัฐอเมริกาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอยู่ ๘ ปีเต็ม และเมื่อพ้นตำแหน่ง จอร์จ บุช ผู้พ่อก็ได้อานิสงส์ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีต่อ แต่พ่ายแพ้ในการชิงตำแหน่งสมัยที่สองของตัวเอง ให้กับ บิล คลินตัน จากพรรคเดโมแครต ผู้ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีก็บริหารบ้านเมืองดีโดยตลอด มาเสียอีตอนที่เอาแตรของตัวเองไปให้แม่เลวินสกี้เป่าเล่นง่ายๆ หวิดโดน Impeach ไปอีกคน

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ผมเอ่ยถึงทั้งหมด ไม่มีใครถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอรัปชั่น หรือโดนประณามว่าใช้ตำแหน่งหน้าที่ผู้นำประเทศทำมาหากิน เหมือนกับที่นายกทักษิณถูกกล่าวหาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลายเป็นคนร้ายไปในสายตาของผู้คน ซึ่งตอบโต้โดยแสดงให้เห็นโต้งๆด้วยการ NO Vote อย่างล้นหลาม


ระหว่างการบริหารประเทศของคุณทักษิณ ชินวัตร เรื่องราวทุจริตหลายอย่างได้แพร่ออกมาสู่สังคมไทยมากขึ้น ประชาชนคนในชาติโดยเฉพาะผู้ที่มีความรู้ความสามารถในวงการต่างๆเริ่มมองดูตัวผู้นำคนนี้ ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

มีการเรียกร้องให้ชี้แจงความไม่โปร่งใส รัฐบาลก็ไม่สนใจที่จะตอบ หรือไม่ชี้แจงกันให้ให้กระจ่าง หรือมีการตอบเลี่ยงไปมา จนก่อให้เกิดความไม่พอใจกับประชาชนทีละน้อยสะสมทับทวีมากขึ้น ยิ่งการสอบสวนคดีทุจริตทำไม่ได้เลย เพราะการไม่มีคณะกรรมการป้องการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ป.ป.ช. การเลือกตั้งกันยังไม่ได้ แถมยังมีข่าวว่า จะมีการแทรกแซงจากการเมืองต่อการเกิด ป.ป.ช.คณะใหม่

ครั้นจะหันไปหาศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยังถูกปิดประตูใส่หน้าเอาเสียอีก !

สื่อสารมวลชนยิ่งแล้วใหญ่ ไม่สามารถแตะต้องรัฐบาลได้ แถมยังถูกข่มขู่คุกคาม ถึงขั้นปิดล้อมที่ทำการหนังสือพิมพ์ จนกระทั่งคนในวงการสื่อ ต้องออกมาชุมนุมประท้วงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์วงการสื่อสารมวลชนไทย

ดังนั้นการที่จะให้นักหนังสือพิมพ์ของบ้านเรา แคะไค้การทุจริตหรือการใช้อำนาจหน้าที่อันไม่ชอบธรรมของรัฐบาล อย่างที่นักข่าววอชิงตัน โพสท์ ทำนั้น ไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้ในยุคคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ดูอย่างเรื่องราวการทุจริตของรัฐบาลอย่างกรณี CTX ซึ่งคนบ้านเราไม่รู้เรื่องราวมาก่อน แต่เดชะบุญที่ถูกเปิดเผยโดยสื่อมวลชนของต่างชาติแท้ๆ!

คุณทักษิณยังได้ตั้งหน่วยงานอย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมา โดยตัวเองเป็นประธานในคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ พูดง่ายๆก็คือทำหน้าที่คล้ายกับเป็นประธานของพนักงานสอบสวนของกรม DSI เหมือนกับเยอรมันยุคฮิตเลอร์ตั้งหน่วยตำรวจลับ Geheime Staats Polizei ซ้อนสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นมา กรมนี้มีอำนาจที่ได้รับจากกฎหมายเฉพาะ ไม่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญหลายมาตรา โดยเฉพาะเกี่ยวกับการตรวจค้นจับกุม อันเป็นหลักหรือหัวใจของการสอบสวน ซึ่งตัวผมเองได้แสดงความเห็นผ่านคอลัมน์นี้ คัดค้านอย่างเต็มรูปแบบ แต่ไม่น่าเชื่อว่าสมาชิกวุฒิสภาที่เต็มไปด้วยนักกฎหมาย กลับไม่เข้าใจถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ยอมให้มีการละเมิดรัฐธรรมนูญกันง่ายๆ ราวกับว่าเป็นเรื่องไม่ใหญ่ไม่โต และได้ให้ความเห็นชอบกฎหมายฉบับนี้โดยมีผู้คัดค้านเพียง ๑ เสียงเท่านั้น

เหลือเชื่อจริงๆ!

กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ที่ผมเรียกว่ากรมทักษิณ ได้แผลงฤทธิ์ตอนที่ดำเนินคดีเอากับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่เป็นข้าราชการการเมือง แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้ว่า กทม.คนนี้ทุจริตจริงและต้องเข้ากระบวนการสอบสวนของ ป.ป.ช.หรือไม่เท่านั้น ความสำคัญอยู่ที่อำนาจของกรมทักษิณนั้น มีอยู่จริง และสามารถสนองตอบความต้องการของนักการเมืองผู้มีอำนาจ ได้ในทันทีที่ต้องการ

นอกจากนั้นแล้ว รัฐบาลทักษิณยังสามารถใช้กลไกของ ป.ป.ง.ตรวจสอบเรื่องการเงินของฝ่ายตรงข้ามได้ไม่ยาก เช่นกรณีของนายสุทธิชัย หยุ่น จากเดอะเนชั่น ก็ขึ้นศาลกันมาแล้ว แถมยังมีกรมสรรพากรเอาไว้ไล่ต้อนคู่ปรับอีกด้วย หรือแม้แต่อัยการแผ่นดิน ก็โดนทักษิณประชุมปรามว่าอย่าได้คิดว่าตัวเองมีความเป็นอิสสระ เพราะยังต้องพึ่งพางบประมาณจากรัฐบาล พอถูกทักษิณขู่ไก่เอาแค่นี้ อัยการถึงกับถอยกรูดๆออกอาการสั่นไหว ไม่กล้าหือเอากับนายกตกกระป๋องคนนี้เลย

ท่ามกลางความมืดมนนี้ ได้ปรากฏแสงสว่างปลายอุโมง ด้วยการต่อสู้ของผู้หญิงตัวเล็กอย่าง
คุณรสนา โกษิตตระกูล กับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคของเธอ ได้ยื่นฟ้องกรณี ก.ฟ.ผ. และศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาขึงพืดนายกทักษิณกับพวกเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เปรียบเสมือนใบเสร็จของการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของคุณทักษิณกับพวก และจุดผกผันอันสำคัญยิ่งนี้เอง ทำให้ผู้คนแห่แหนเข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมากขึ้นอย่างล้นหลาม และการเคลื่อนไหวที่มีพลังอย่างต่อเนื่อง

ทำให้ทักษิณหงายเก๋งจากตำแหน่งนายก ไหลลงท่อน้ำครำไปในเวลาต่อมาไม่นานนัก !

หากใครฟังตำรวจแถลงกรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับทักษิณฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตำรวจเขาบอกว่าเรื่องนี้ศาลพิพากษาชัดเจนแล้วไม่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม คดีมีมูลที่จะส่งให้ ป.ป.ช.ได้

ผมเป็นตำรวจซึ่งคุ้นเคยกับการสอบสวนคดีทุจริต และอ่านเกมของพวกเดียวกันออก จึงขอให้ท่านผู้อ่านฟังผมไว้ให้ดีๆ

เรื่องนี้แหละครับ ที่คุณทักษิณจะต้องเดินทางไปปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการ ป.ป.ช.อีกครั้ง อย่างหลบเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่รอดคดีซุกหุ้นเมื่อห้าปีที่แล้ว และแนวโน้มที่นายกคนนี้จะต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะจำเลยนั้น มีสูงมากทีเดียว

ไม่เชื่อผมก็คอยดูกัน!

ผมว่าการหล่นจากอำนาจของทักษิณ เป็นโอกาสดีที่พี่น้องประชาชน ที่จะต้องตรวจสอบระบอบทักษิณ ด้วยการเคลื่อนไหวรุกเข้าใส่รัฐบาลรักษาการ และรุกต่อเนื่องถึงรัฐบาลไทยรักไทยที่อาจมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้า เรียกร้องให้มีการสอบสวนการทุจริต รวมทั้งเรื่องที่มีเงื่อนงำไม่โปร่งใสในโครงการของรัฐทั้งหลาย การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาลทักษิณ อย่างเรื่องเครื่องบินประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ที่ผมเรียกว่า Air Fake 1ที่มีราคาแพงระยับ จนอดีตนายทหารอากาศระดับเสนาธิการทัพฟ้า ออกมาบอกกับประชาชนว่า

รัฐบาลทักษิณไม่จัดงบประมาณเรื่องเครื่องบินพระราชพาหนะหลายปีติดกัน แต่กลับอนุมัติให้การซื้อAir Fake 1ที่เปรียบเหมือนเครื่องประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้ผมฟังด้วยความหดหู่ ปวดร้าว และเขียนวิจารณ์รัฐบาลทักษิณอย่างสาดเสียเทเสีย จนรัฐบาลไม่กล้าให้สื่อมวลชนเข้าชมความหรูหราภายในของเจ้าเครื่องเจ้าปัญหาลำนี้ จึงต้องจี้ให้รัฐบาลใหม่เอาความจริงออกมาตีแผ่ให้ได้ ต้องมีการพิสูจน์กันให้ชัดเจน ปล่อยเอาไว้ไม่ได้แล้ว

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ต้องไม่ลืมที่จะต้องรื้อกองสลาก ดูการใช้จ่ายเงินหวยประชาชนไปในการหาเสียงให้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยด้วย และหลักฐานที่ปรากฏชัดว่าอดีต ส.ส.ไทยรักไทยขอเงินกองสลากไปให้วัด แต่นำไปให้ท่านสมภารไม่ครบตามจำนวน เมื่อความแตกออกมา กลับไม่มีหลักฐานว่าทางผู้อำนวยการเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ ส.ส.ผู้นี้แต่อย่างใด ต้องเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ ป.ป.ช.ชุดใหม่ดำเนินการตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย


ก่อนจบบทความวันนี้ อยากให้ท่านผู้อ่านสังเกตถ้อยคำนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เอื้อนเอ่ยมธุรสวาจา กล่าวสรรเสริญคุณทักษิณในวันอำลาหน้าที่นายกรัฐมนตรีว่า

“ท่านเปรียบเสมือนเทียนที่เผาตนเอง เพื่อส่องสว่างให้กับสังคม”

ฟังแล้วใครจะว่าคมคายหรือดีก็ไม่ว่ากัน มันเป็นแค่สำนวนที่ลอกฝรั่งเขามา ผมไม่รู้สึกหลงใหลได้ปลื้มอะไรด้วย เพียงแต่คลื่นไส้เล็กๆเท่านั้น !

ยิ่งกว่านั้น นายกตกกระป๋องเกิดอินกับการยกยอของอดีตคณบดีสำนักกฎหมาย (ผู้เคยสร้างความฮือฮาด้วยการไว้ผมทรงเดียวกับประธานาธิบดี คิม จอง อิล แห่งเกาหลีเหนือ) และดันนำถ้อยคำปอปั้นนั้นมาใส่ปากตัวเอง ในการกล่าวปราศรัยกับขบวนคาราวานคนจนและผู้คนที่มาให้กำลังใจ ที่พรรคของตัวเองอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา

หากทักษิณบ้าจี้จนเคลิบเคลิ้มไปกับการเปรียบเทียบตน เหมือนเทียนที่เผาตัวเอง ตามขี้ปากขี้ฟันของนาย
บวรศักดิ์ฯ ผมก็ไม่รีรอที่ต้องขอแย้งว่า

เปลวความร้อนจากแสงเทียนของทักษิณนั้น เกิดจากการจุดไฟให้ลุกไหม้จากปลายทั้งสองด้านของเทียน จนได้เผาหลอมละลายความสามัคคีของผู้คนในชาติอย่างรวดเร็ว อย่างไม่เคยมีมาก่อนในแผ่นดินนี้ จนเกิดความไม่สงบขึ้นมาในมาตุภูมิของเรา แต่คนไทยนั้นยังโชคดีเหลือหลาย....

...ฟ้าทรงบันดาลให้เกิดมหาวาตะ พัดกระโชกพาเอาเพลิงเทียนต้นเหตุแห่งความแตกแยกฉิบหายนั้น ให้มอดดับลง และเมื่อความร้อนจากเปลวเทียนได้มลายไปสิ้นแล้ว ฟ้าก็ทรงโปรยพระพิรุณมาให้พื้นพสุธาอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของชาวไทย ได้กลับมาเย็นฉ่ำกันอีกครั้ง!!

เมื่อลมฝนบนฟ้ามาแล้ว ร่มโพธิ์แก้วจะพาพฤกษาสดใส!!!

สุขสันต์วันสงกรานต์ครับ


........................................

กำลังโหลดความคิดเห็น