เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว ไม่ต้องรับประทานขนมหวานเหมือนอย่างเคย แต่จะให้ท่านผู้อ่านได้เสพข้อเขียนที่เป็นรสค่อนข้างขมทันที เพราะผมได้สัญญากับท่านผู้อ่านเอาไว้แล้วในกาแฟขม...ขนมหวานตอนที่ ๒๒๓ “นายกฯทักษิณถูกถีบ...ใครถีบ !?” จะพูดถึงท่านดร.สุวรรณ วลัยเสถียร โดยผมกล่าวเอาไว้ว่า
“....ขนาดทีมงานแข็งปั๋งทั้งทนาย และที่ปรึกษาเป็นฝูงยัง “รูรั่ว” จนได้
นี่เอง ทำให้ผมมองเห็น ‘จุดบอด’ ในเส้นทางการยักโย้ของนายกแล้ว แต่ยังไม่อยากบอกในที่นี้ จะเอาไว้ใช้ประโยชน์ในการวิพากษ์วิจารณ์วันข้างหน้า และระยะเวลาอันใกล้ เห็นทีจะต้องขออนุญาต ‘แตะ’ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร โฆษกเฉพาะกิจตระกูลชิน ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ท่านอาจารย์ ในแง่มุมที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อนเลยบ้าง
...แล้วคอยดูกัน !...”
ขออนุญาตกราบเรียนท่านผู้อ่านว่า ผมนั้นมีความเคารพท่าน ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ซึ่งตัวเองเพิ่งเขียนเอาไว้ใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๑๔“ปีใหม่...ทักษิณต้องเปลี่ยน...ปากใหม่ ! ” ว่า
>
“...คนวัยทำงานบ้านเราจำนวนมาก ตกเป็นลูกหนี้ของบริษัทประเภท loan sharking company คือ มีการให้เปิดบริษัทขึ้นมาให้กู้เงิน แล้วปล่อยเรียกดอกเบี้ยอย่างมหาโหด อย่างที่ประเทศที่เจริญแล้ว จะไม่มีวันปล่อยให้บริษัทเอกชนใด เข้ามาทำทารุณกรรมกับคนในชาติของตนอย่างนี้ และผู้ที่ดำเนินกิจการในบ้านเรา กลายเป็นบริษัทที่มีทุนมาจากต่างประเทศด้วย การดำเนินธุรกิจหฤโหดนี้เจริญรุ่งเรืองมาก....เพราะ
มันกวาดต้อนเงินจาก ‘ดอกเบี้ยเปื้อนน้ำตา’ ของคนไทยไปเป็นจำนวนมหาศาล..โดยรัฐบาลไม่ใส่ใจป้องกัน !
ได้ยิน ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ผู้ที่ผมไม่รู้จัก แต่นับถือความรู้ความสามารถ เพราะท่านพยายามเผยแพร่เรื่องการออม การลงทุน เป็นประโยชน์อย่างมาก อาจารย์สุวรรณฯพูดเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคมนี้เอง (และพูดย้ำอีกหลายครั้ง) ทางรายการของท่านทางคลื่น ๙๖.๕ อ.ส.ม.ท. อาจารย์สุวรรณบอกว่าตกใจมากที่เห็นคนหนุ่มสาวยืนอยู่หน้าเครื่อง ATM ของบริษัทเงินกู้ดอกโหดเป็นแถวยาว แต่หน้าตู้ ATM ของธนาคารพาณิชย์ กลับไม่มีคน !
ท่านอาจารย์กล่าวว่า น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ที่คนที่อยู่ในวัยทำงานกลายเป็นผู้มีหนี้สิน ต้องก้มหน้าทำงานทำเงินใช้ กว่าจะหลุดพ้นวงจรความเป็นลุกหนี้ไปได้ ก็ต้องใช้เวลานาน ทำให้ชีวิตหมดความสุข พวกที่หาเงินใช้เขาไม่ได้ ต้องกลายเป็นบุคคลที่ต้องระทมทุกข์ไปตลอดชีวิต และผมเชื่อว่า ท่านอาจารย์สุวรรณฯคงทราบว่า
คนในประเทศนี้ในวัยทำงาน เป็นลูกค้าของบริษัทดอกโหดนี้มีจำนวนกว่าครึ่งล้านคน คือ หกแสนกว่ารายตามที่บริษัทเจ้าหนี้แถลง รัฐบาลก็ยังดันปล่อยให้ดำเนินการอยู่ได้ ทั้งๆเรื่องบริษัทรีดเลือดกับปูนั้น แก้ไขไม่ยากเลยจริงๆ ไม่ต้องมาถามผม แค่ไปถามนายตำรวจฝ่ายสอบสวนคดีเศรษฐกิจมือดีๆ เขาก็รู้แล้วว่า จะจัดการกับบริษัทพวกนี้อย่างไร!?...”
ทั้งหมดนี้ คงพอจะแสดงให้เห็นถึงความนิยมชมชอบของผม ที่มีต่อดร.สุวรรณฯ
ก่อนที่ท่านจะออกมาแถลงเรื่องของบริษัทนายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นโฆษกของตระกูลคุณทักษิณและภริยา แต่มาถึงวันนี้ผมต้องออก ‘แตะ’ ดร.สุวรรณฯด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการทำหน้าที่ของท่านว่า
ได้ปฏิบัติหน้าที่สมกับความเป็นทนายความ หรือที่ปรึกษากฎหมาย ‘มืออาชีพ’ หรือไม่อย่างไรกันบ้าง ? ตามลำดับดังนี้
หากจะพิจารณาในแง่นี้ ต้องพิจารณาถึงคำว่ามืออาชีพก่อน ตรงนี้ผมก็ย้อนให้ท่านกลับไปดูความหมายของคำว่า ‘มืออาชีพ’ ที่ผมได้เขียนอธิบายความไว้
“...ผมรู้ดีว่าพวกเขาเป็น “มืออาชีพ” และเขียนบอกท่านไปว่า ในฐานะที่ผมก็เป็นศิษย์เก่าของ F.B.I. คนหนึ่ง ทราบดีว่าคำว่า “มืออาชีพ” ที่สถาบันดังกล่าวเขาได้ให้ความหมายไว้นั้น หมายความว่าอย่างไร
อยากให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดู หากเห็นชอบกับผม ท่านอาจนำไปใช้อ้างอิงในภารกิจการงานของท่านได้ ผมเขียนอย่างนี้ครับ
“...........อดีตผู้อำนวยการสถาบันสอบสวนกลางสหรัฐ หรือ F.B.I ท่านหนึ่งคือ นายวิเลียม เวบสเตอร์ (William Webster) ได้กล่าวไว้ว่า ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อ F.B.I. เกิดจาก 2 ปัจจัยด้วยกันคือ
1.ความเคารพนับถือ ที่ประชาชนมีต่อ F.B.I..
2.ความเป็นมืออาชีพ ของ F.B.I.
ผู้อำนวยการเวบสเตอร์ กล่าวว่า เรื่องความเคารพนับถือนั้นเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก แต่ความเป็นมืออาชีพนั้น F.B.I.มีชัดเจน
คำว่า “มืออาชีพ” ในทัศนะของ F.B.I. มีดังนี้
1.มืออาชีพ ต้องมีความรับผิดชอบเต็มเปี่ยมต่อการงานในหน้าที่ของตน
2.มืออาชีพ ต้องมีความเข้าใจในหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี ทั้งนี้ต้องเกิดจากความรู้ความสามารถของตน ทั้งความรู้พื้นฐาน ความรู้เฉพาะขององค์กร และประสบการณ์ที่ได้สั่งสมในองค์กร รวมทั้งวิสัยทัศน์อันกว้างไกล
3.มืออาชีพ ต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของตนให้กับผู้ใต้บังตับบัญชา และคนในองค์กรได้เป็นอย่างดี เพื่อให้มีผู้สืบทอดและจรรโลงองค์กรให้ก้าวหน้าต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง
4.มืออาชีพ ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตทั้งต่อตนและต่อองค์กร
คุณสมบัติข้อ 1 ,2 และ 3 นั้นมีความจำเป็นอย่างนิ่ง ส่วนคุณสมบัติข้อที่ 4 นั้นเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เด็ดขาด การที่นายธนาคารผู้มีความรู้ความสามารถทางการเงินการธนาคาร เรียนจบจากสถาบันชั้นยอดของโลก เก่งกาจจนเป็นที่เลื่องลือหลายคน กลับไม่มีธนาคารให้บริหาร ต้องเดินตีกอล์ฟในสนามทุกเช้าอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ก็เพราะขาดแคลนคุณสมบัติในข้อนี้......”
(โปรดดู กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๖)
เมื่อท่านผู้อ่านทราบวิธีการคิดเกี่ยวกับเรื่องมืออาชีพแล้ว ผมก็ขอพาท่านย้อนกลับไปดูเรื่องของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ในฐานะทนายความและโฆษก ‘ตระกูลชินวัตร’และ ‘ตระกูลดามาพงศ์’ กันอีกครั้ง
เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ปีนี้ ดร.สุวรรณฯได้ปรากฏกายขึ้นในที่สาธารณะ เปิดการแถลงเรื่องการซื้อขายหุ้นของตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ โดยบอกว่าตนเป็นโฆษกเฉพาะกิจของทั้งสองตระกูล
สาระสำคัญที่ชี้แจงดีลฉาวขายหุ้นชินคอร์ป ยืนยันว่าไม่มีการเลี่ยงภาษี บุตรคุณทักษิณซื้อขายกันเองในกลุ่มไม่เป็นอินไซด์เดอร์ และขายในราคาพาร์ ไม่มีใครได้กำไรที่จะต้องเอาไปชำระภาษี ส่วนการไปตั้งบริษัท “แอมเพิลริช” ในบริติชเวอร์จิ้นไอร์แลนด์ ก็เพราะความจำเป็นที่จะต้องไปจัดตั้งเอาไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการเข้าตลาด NASDAQ ของสหรัฐ ครั้นสถานการณ์ผันแปร ตลาดดังกล่าวไม่ดีดังคาด ก็เป็นเรื่องที่ค้างคาไว้ เพราะไม่สามารถดำเนินการได้ตามความมุ่งหมายเดิม
เมื่อคนทั้งสองตระกูล ได้พร้อมใจกันเทขายหุ้น ในบริษัทที่พวกตนถือครองอยู่ ให้บริษัทเทมาเส็ก ซึ่งเป็นวิสาหกิจของสิงคโปร์ ก็เป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่มีความจำเป็นต้องชำระภาษี อีกทั้งการขายหุ้นระหว่างบุตรคุณทักษิณด้วยกันเอง ก็ไม่ได้เป็นการขายแบบล่วงรู้ข้อมูลภายใน เพราะเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทด้วยกันทั้งคู่
ดร.สุวรรณฯได้สรุปชัดเจนว่า การซื้อขายหุ้นชินคอร์ปครั้งนี้ บอกว่า ถูกต้องสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
ผมฟังท่านโฆษกเฉพาะกิจสองตระกูลแถลง เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแทงตลอด เพราะตัวเองร่ำเรียนมาทางการสอบสวนคดีเศรษฐกิจ มีความสันทัดจัดเจนในการสอบสวนคดีประเภทนี้ ทั้งในฐานะที่ผมเป็นพนักงานสอบสวน และอาจารย์สอนการสอบสวนอาญาทั่วไป และการสอบสวนคดีคดีเศรษฐกิจทั้งตำรวจ และสถาบันอื่น รวมทั้งเขียนบทความและตำราเกี่ยวกับงานด้านนี้
ต้องเรียนอย่างตรงไปตรงมาว่า ในวันที่ท่าน ดร.สุวรรณฯทำหน้าที่แถลงข่าว ผมทำใจให้เชื่อทั้งหมดไม่ได้ เพราะยังไม่ได้เห็นหลักฐานอะไรเลย นอกจากคำชี้แจงของท่าน จึงเพียงแต่รับฟังไว้เท่านั้น และก็ปรากฏในภายหลังว่า
การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ไม่ได้ถูกต้องเสียทั้งหมดตามที่ ดร.สุวรรณฯชี้แจง หากยังมีข้อบกพร่องที่ทำให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ดำเนินคดีเปรียบเทียบปรับบุตรชายคนหัวปีของนายกรัฐมนตรีไปเป็นเงินจำนวนหนึ่ง
บอกตรงๆว่า ตัวผู้เขียนเองไม่เห็นว่าการซื้อขายหุ้น ของครอบครัวนายกทักษิณ มีความสำคัญเท่ากับเรื่องที่ผมจะกล่าวต่อไป
สิ่งที่ผมต้องการนำเสนอในวันนี้ คือขอให้ท่านผู้อ่านลองดูความเป็นมืออาชีพ ของดร.สุวรรณฯ โดยใช้หลักการพิจารณา FBI ที่ผมบอกว่าเคยศึกษาในสถาบันแห่งนี้ จะเห็นได้ว่า
ดร.สุวรรณฯ มีความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่ ในฐานะทนายความที่ปรึกษาทางภาษีอากรให้ทั้งสองตระกูล และออกมาชี้แจงได้กะทัดรัด ทำให้เกิดความเข้าใจกับสื่อมวลชนและประชาชนได้ส่วนหนึ่ง
ท่านมีความรู้ความเข้าใจในหน้าที่การงาน ในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย หรือทนายความภาษีอากรเป็นอย่างดี และภูมิหลังของท่านก็จบกฎหมายไทย เป็นเนติบัณฑิตไทย และได้ปริญญานิติศาสตร์มหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัย Harvard นิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต จากมหาวิทยาลัย George Washington ดำรงตำแหน่งสำคัญ ที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถในทางกฎหมายอย่างยิ่งคือ ที่ปรึกษากฎหมายของธนาคารโลก ประจำกรุง Washington,D.C.
โฆษกเฉพาะกิจของสองตระกูล มีประสบการณ์ในการทำงานในหน้าที่ทนายความ ในสำนักงานกฎหมายต่างประเทศ เช่น Kirkwood , Hale & Dorr เมือง Boston สหรัฐอเมริกา และจากการอ่านหนังสือที่ท่านเขียน ทั้งการฟัง ดร.สุวรรณฯพูดทั้งทางวิทยุหลายครั้ง ผมยอมรับว่า ท่านเป็นผู้วิสัยทัศน์อันกว้างไกลจริงๆ
นอกจากนั้นแล้ว ท่านยังทำงานให้สังคม ด้วยการเผื่อแผ่ความรู้ทางกฎหมาย ด้วยการสอนกฎหมายทรัพย์ครอบครัวมรดก ให้กับชุมชนชาวคอทอลิคในประเทศ และยังเขียนหนังสือเผยแพร่ความรู้ในการเก็บหอมรอมริบ หลักการการดำรงชีวิตด้วยการใช้จ่ายที่พอเพียง การลงทุนเพื่อก่อให้เกิดความมั่นคงในชีวิต จนหนังสือของท่านขายดิบขายดี เป็นประโยชน์กับผู้คนเป็นจำนวนมาก
ที่ผมชอบมากคือ รายการเผยแพร่ความรู้กับ และตอบปัญหาให้กับประชาชนทางวิทยุ ของท่าน ซึ่งเป็นการสงเคราะห์ให้กับผู้มีปัญหา หรือความทุกข์ต่างๆทางการเงินอีกด้วย
ท่านมีความซื่อสัตย์สุจริตทั้งต่อตนเอง ลูกความ และต่อองค์กรอย่างแน่แท้ ท่านจึงได้รับการยกย่องเกียรติคุณ จากบุคคลต่างๆมากมาย แม้แต่ตัวผมเองยังเคยเขียนเอาไว้ในคอลัมน์นี้ดังที่กล่าวมาแล้ว
การทำงานของท่านในหน้าที่ทนายที่ปรึกษาภาษีอากร ให้กับครอบครัวนายกรัฐมนตรีสมบูรณ์แบบ ไม่ได้กระทำการใดๆ ที่เป็นการฝ่าฝืนต่อวิชาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมายภาษีอากรอย่างใดเลย จริยธรรมของท่านในฐานะนักกฎหมายอาชีพนั้น
น่ายกย่องชมเชยยิ่งนัก !
ดร.สุวรรณฯจะคงเป็นที่ชื่นชมอย่างยิ่งของผมตลอดไป หากผมไม่บังเอิญไปทราบว่า ท่านมีตำแหน่งทางการเมืองอยู่ด้วย คือตำแหน่ง ‘ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของนายกรัฐมนตรี’ ซึ่งท่านได้ค่าตอบแทนจากรัฐ เฉกเช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีใครขอร้องคุณทักษิณฯ ให้มาดำรงตำแหน่งสำคัญของบ้านเมืองนี้อีกเช่นกัน หากแต่เจ้าตัวขันอาสาประชาชนมาทำงานในตำแหน่งดังกล่าว
เมื่อนายกทักษิณเข้ามาสู่ตำแหน่งวาระแรก ตามห้วงระยะเวลาที่กำหนดคือ ๔ ปีตามกฎหมาย และได้เป็นต่อไปสมัยที่สอง ประเทศไทยก็ไม่ได้แล้งน้ำใจ ให้นายกทำงานให้ฟรีๆ เพราะได้กำหนดเงินเดือน และค่าตอบแทนต่างๆให้ หากเทียบกับประชาชนและข้าราชการทั่วไปก็ไม่ได้น้อยเลยแม้แต่นิด
นอกจากนั้น ทางราชการก็ยังมีเงินพิเศษให้นายกไว้ใช้สอยในรูปแบบอื่น หากไม่สามารถใช้เงินตามระเบียบได้ นั่นก็คือ ‘เงินราชการลับ’ สำหรับนายกรัฐมนตรี มีสูงเป็นจำนวนนับร้อยล้านบาท แถมยังมีเงินจากกองสลากฯ ที่นายกอาจสั่งการให้ผู้อำนวยการกองสลากฯ ที่เป็นเพื่อนกันคอยสั่งจ่ายเงินกำไร จากผลการจำหน่ายสลากกินแบ่งให้ชาวบ้านเสี่ยงโชคกัน ตามอำนาจของผู้อำนวยการ เมื่อนายกเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่าย แต่ไม่สามารถเบิกใช้งบประมาณตามปกติหรือเงินราชการลับได้
เวลานายกนำเงินแจกให้กับประชาชนเช่น การให้ทุนนักเรียน นักศึกษา คนที่ได้หน้าก็คือตัวคุณทักษิณเอง ส่วนเงินที่เอาไปจ่ายแจกผู้คน ก็เป็นรายได้กองสลากที่ได้มาจากชาวบ้านนั่นเอง จึงไม่แปลกหากเห็น ผอ.กองสลากเดินติดตามนายกต้อยๆ ไปตามที่ต่างๆทำหน้าที่กระเป๋าสตางค์เคลื่อนที่ให้นายก...
ผู้ที่คนรู้กันดีว่าเป็นมหาเศรษฐี แต่ร่ำลือกันในเหนียวแน่นและควักแสนยากเย็นคนนี้ ที่ออกมายืนยันหยกๆอย่างน่าขบขันคือ หมอดูประจำตัวนั่นเอง !
ดังนั้นตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณแทบจะไม่ต้องมีรายจ่ายอันใดเลย จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปแบมือขอเงินภริยามาใช้จ่าย เหมือนกับที่ตัวเองอ้อล้อผ่านสื่อสารมวลชน ให้ผู้คนเขาหมั่นไส้เล่น
นอกจากนั้น ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเครื่องบินเฉพาะคุณทักษิณและคณะรัฐมนตรี ในขณะที่นาย โทนี แบลร์ นายกรัฐมนตรีประเทศมหาอำนาจอย่างอังกฤษ ต้องการจะได้สักลำ ก็ยังถูกรัฐมนตรีคลังร่วมรัฐบาลของตัวเองแท้ อีกทั้งชาวเมืองสิงโตคำรามและสื่อสารมวลชนรุมด่าเช็ด จนเข็ดไปเลยไม่อยากได้อีกแล้ว
ประเทศเราแม้จะไม่ถึงกับยากจนข้นแค้น แต่ไม่ได้ร่ำรวยอย่างเขา สภาผู้แทนราษฎรที่มีพรรคไทยรักไทยมีเสียงข้างมาก ยังใจดีอนุมัติซื้อเครื่องบินให้นายกหนึ่งลำ มีการพยายามใช้คำเรียกขานยานลำนี้ว่า Air Force 1 นัยว่าจะได้เสริมบารมีให้เบ่งบานเหนือผู้คนในแผ่นดิน แต่ผมไม่เห็นด้วยเลยตั้งชื่อให้ใหม่ว่า Air Fake 1 ราคาเครื่องบินลำนี้ก็ไม่เท่าไหร่ แค่สองพันกว่าล้านบาทเท่านั้น ยังไม่รวมทั้งงบซ่อมบำรุงอีกปีละประมาณ ๘๐ ล้านบาท
ฉะนั้น นายกรัฐมนตรีอย่างคุณทักษิณ จึงไม่มีสิทธิที่จะมาทวงบุญคุณกับพลเมืองของประเทศไทย เพราะชาวบ้านจ้างไม่ได้จ้างมาทำงานฟรีๆ หากแต่มีค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อย่างอื่น ค่อนข้างดีด้วย
นายกเองแม้จะเป็นเศรษฐีมหาศาล แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธในการรับเงินค่าตอบแทน และสิทธิประโยชน์อย่างที่ว่านั้นเลย หากแต่หาหนทางเพิ่มประโยชน์อย่างอื่นๆ เพื่อให้การทำหน้าที่ของตนดูโก้หรูและสะดวกสบายมากขึ้น จนเกินหน้าเกินตาผู้นำชาติอื่นๆในอาเซียน ยุโรป และชาติอื่นเกือบทั้งโลก ดังเช่นการจัดซื้อเครื่องบินที่ Air Fake 1 ที่ลือกันว่านายกทักษิณกับคณะนั่งแล้วชมว่า นุ่มนวลสบายฝีคัณฑสูตรดีจริงๆ แต่บรรดาพวกรัฐมนตรีเขาไมยักรู้ว่า
ทำให้ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองจำนวนมาก เกิดอาการอักเสบ จนริดสีดวงงอกในหัวใจ !
ชาวบ้านจึงสรรหาถ้อยคำคมคาย มาก่นโคตรพวกนักการเมืองหัวสูงกันอย่างสนุกสนาน จนทำให้การขึ้นบินเครื่องอัปรีย์ลำนี้ของนายกกับไพร่พล เหมือนการลักขโมยของเขากิน ต้องกระมิดกระเมี้ยนแอบๆขึ้นไม่กล้าให้เป็นข่าว ที่สุดก็หมดความสง่างาม
ผู้คนที่ไม่ชอบใจ เพราะเห็นการเอาเงินหลวงไปผลาญอย่างสิ้นคิด บ้างถึงกับสาปแช่งให้ตกทุกครั้ง ที่ไอ้เครื่องบินเวรตะไลลำนี้ ขึ้นไปอยู่เหนือกบาลประชาชน !!
ส่วน ดร.สุวรรณฯก็เช่นกัน เมื่อครั้งมาทำงานรับใช้ชาติในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการ ก็ได้รับค่าตอบแทนในอัตรากว่าแสนบาทต่อเดือน และเมื่อดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ก็ได้รับเงินค่าตอบแทนในอัตราพอสมควร คือเดือนละประมาณ
๕๐,๐๐๐ บาท ระดับเดียวกับที่ปรึกษานายกคนอื่น ซึ่งก็มาจากภาษีอากรของประชาชน เหมือนกับเงินเดือนและค่าตอบแทนของนายกรัฐมนตรี
ตรงนี้แหละครับ ที่เป็นข้อข้องใจขนาดหนักของผม เพราะอะไรหรือครับ?
ดร.สุวรรณฯในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี มีความเชียวชาญในฐานะนักกฎหมายระดับโลก ย่อมรู้แก่ใจดีว่า การที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ทำให้คุณทักษิณรู้จังหวะและเวลา ที่จะผ่านกฎหมายเกี่ยวกับการเพิ่มสัดส่วน การถือครองหุ้นของคนต่างด้าว ให้ออกมาเพื่อเป็นประโยชน์กับตน
หาก ดร.สุวรรณฯมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อประชาชน เพราะยังได้รับค่าตอบแทนจากภาษีอากรของพวกเขา ท่านควรทักท้วงนายกทักษิณว่า
“ท่านนายกทักษิณครับ... ระหว่างอยู่ในตำแหน่ง กรุณาอย่าเพิ่งซื้อขายหุ้นให้ต่างชาติตอนนี้เลย มันน่าเกลียด เพราะประชาชนเขาจะกล่าวหาเอาได้ว่า เป็นการออกกฎหมายให้ออกมาเพื่อเป็นประโยชน์กับตัวเอง อีกทั้งท่านยังเป็นหัวหน้าพรรคการเมือ ง ที่มีเสียงข้างมากอยู่ในมือ ยิ่งทำให้ประชาชนเห็นชัดว่า เราใช้การเมืองในสภาผู้แทนเอาเปรียบบริษัทอื่น ที่เขาทำอย่างเดียวกับเรานี้ไม่ได้..”
อาจแถมไปอีกหน่อยก็ได้ ว่า
“ท่านนายก ก็มีเงินมากอยู่แล้วนะครับ ไม่ขายหุ้นตอน นี้ท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ทรัพย์สมบัติก็ยังมีอีกมากมาย รอเอาไว้ตอนที่ท่านออกจากตำแหน่งเสียก่อน แล้วจึงค่อยขายจะงามกว่ามาก หากเทหุ้นขายไประหว่างดำรงตำแหน่ง ท่านก็จะกลายเป็นผู้ขาดจริยธรรมทางการเมือง เพราะผู้นำที่ดีในโลกเขาไม่ทำกัน
ถ้าดันขืนทำลงไป ไม่แคล้วเป็นขี้ปากชาวบ้านแน่ๆ! ”
เพียงเท่านี้ ดร.สุวรรณฯทำไม่ได้ ท่านไม่ได้พูด ไม่แนะนำให้นายกรัฐมนตรี ทำในสิ่งที่ถูกต้อง นายกทักษิณเลยทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังอย่างที่เห็นๆ คือการซื้อขายหุ้นอื้อฉาวระหว่างการดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล จนกลายเป็นหอกสำคัญ ปักคาคอหอยคุณทักษิณอยู่ทุกวันนี้
ดร.สุวรรณเองก็ทำงานในสหรัฐมานาน คงจะตอบตัวเองได้กระมังว่า หากประธานาธิบดี จอร์จ บุช ทำอย่างเดียวกับนายกทักษิณ ประชาชนอเมริกันจะว่าอย่างไร ?
ผมว่า...ดร.สุวรรณฯคงตอบได้ เพราะท่านมีความรู้เรื่องสหรัฐอเมริกาดี !
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
ดร.สุวรรณฯที่ผมเคยยกย่อง นอกจากไม่ได้กระทำการแนะนำสิ่งที่ถูกต้องกับนายกพ่อค้า ที่ชื่อว่าทักษิณ ชินวัตร ซ้ำร้ายตัวท่านเองยังไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ในการดำเนินการในการค้าขายหุ้นอื้อฉาวครั้งนี้ ในฐานะทนายความที่ปรึกษาด้านภาษีอากร ตั้งแต่กฎหมายยังไม่ออกมามีผลบังคับใช้
ยิ่งไปกว่านั้น ดร.สุวรรณฯยังมีตำแหน่ง ที่ได้รับค่าตอบแทนจากรัฐอีกตำแหน่งหนึ่งคือ
ประธานที่ปรึกษา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย!
ใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม เลยครับ.!!
ตำแหน่งนี้ ทำให้ท่านทราบความเคลื่อนไหวต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์โดยละเอียด สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้มากกว่าคนธรรมดามากมายนัก และเป็นประโยชน์ต่อท่านและนายกรัฐมนตรี ในการเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับครอบครัวนายกและภริยา ในการซื้อขายหุ้นครั้งนี้
หากผมเป็นผู้บริหารบริษัทเทมาเส็ก ยิ่งเพิ่มความมั่นใจว่า การซื้อขายหุ้นครั้งนี้จะสำเร็จอย่างสะดวกดาย และปลอดโปร่งยิ่ง เหตุเพราะทนายความผู้ดำเนินการ ให้กับครอบครัวนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในฝั่งผู้ขายหุ้น นอกจากมีความเชี่ยวชาญ ในกฎหมายการค้าระหว่างประเทศอย่างยิ่งแล้ว ยังมีตำแหน่งแห่งสำคัญในรัฐบาล คือเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และยังดำรงตำแหน่งที่สำคัญอื่นคือ เป็นประธานที่ปรึกษา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกด้วย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง
ผมจึงเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่า ในฐานะตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมือง และประธานที่ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์ นอกจากไม่ห้ามปรามคุณทักษิณฯ อย่างที่ปรึกษากฎหมายผู้นำประเทศที่ดี สมควรจะกระทำแล้ว ดร.สุวรรณฯยังก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งคือ โดดไปยืนในฝั่งตรงข้ามกับความรู้สึกของคนในชาติ ด้วยการให้คำแนะนำเรื่องการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ กับครอบครัวนายกรัฐมนตรี เป็นการดำเนินการล่วงหน้าอย่างเงียบเชียบ เป็นเวลายาวนานหลายเดือน ก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งเพียงสองวันที่กฎหมายผ่าน การซื้อขายอัปยศเกิดขึ้น
เป็นการกระทำที่ผมเห็นว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง และรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด ดร.สุวรรณฯ รับผลประโยชน์ในฐานะที่ปรึกษากฎหมายของสองตระกูล และยังรับเงินค่าตอบแทนจากภาษีอากรของประชาชนตาดำๆอีกทางหนึ่ง ในการดำเนินการเรื่องเดียวกันนี้ด้วย
การรับค่าตอบแทนทั้งสองทางอย่างนี้ เป็นอย่างที่เขาเรียกกันว่า
ผลประโยชน์ทับซ้อน ใช่หรือไม่?
ขอให้ท่านผู้อ่านที่เคารพ ลองพิจารณาดูกันเอง!
ตรงนี้แหละครับ ที่ผมเห็นว่า ความเป็น ‘มืออาชีพ’ ในฐานะที่ปรึกษากฎหมายของ ดร.สุวรรณฯหมดสิ้นไปในสายตาของผม เพราะกระทำผิดไปจากหลักการที่เป็นองค์ประกอบ เรื่องความเป็นมืออาชีพ ที่ผมเรียนให้ท่านผู้อ่านฟังตอนต้น
การที่นำเรื่องของ ดร.สุวรรณฯ มาแจกแจงให้ท่านผู้อ่านฟังในวันนี้ ยิ่งเป็นเครื่องย้ำสิ่งที่ผมวิพากษ์วิจารณ์การค้าขายหุ้นชินคอร์ป โดยใช้ศัพท์แสงที่แต่งขึ้นมาเองในกาแฟขม...ขนมหวานตอนที่ ๒๒๓ “นายกฯทักษิณถูกถีบ...ใครถีบ !?” ว่าเป็น in government trading ที่ผมแปลว่า “การทำมาหากิน ระหว่างการเป็นรัฐบาล” หรือจะเรียกให้สะใจ แบบลำตัดเมืองสุพรรณของแม่ ขวัญจิต ศรีประจันต์ ว่ารัฐบาลนายกทักษิณเป็น
‘รัฐบาล-ทำมาหาแดก!’ นั้น
ผมไม่ได้ปั้นเรื่องขึ้นมาพูดเอาสนุก แต่มันเป็นเรื่องจริง และพิสูจน์กันได้ทุกเวลา
ในการออกมาแถลงข่าวของ ดร.สุวรรณฯเมื่อ ๑ กุมภาพันธ์นั้น มีนักข่าวถามในทำนองว่า การกระทำอย่างนี้ขาดจริยธรรมหรือไม่ ? ท่านตอบว่า
“วันนี้มาชี้แจงเรื่องการซื้อขายหุ้น ไม่ได้มาตอบคำถามเรื่องจริยธรรม”
ณ บัดนี้ผมก็อยากถามว่า ในฐานะที่ ดร.สุวรรณฯ เป็นทั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย ท่านคิดว่า
“การปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ของท่านนั้น ชอบด้วยหลักจริยธรรมหรือไม่ !?
ไม่ต้องตอบผมเป็นการส่วนตัว แต่เมื่อท่านใคร่ครวญดีแล้ว หากวันอาทิตย์ที่จะถึงท่านไปโบสถ์มหาไถ่ และมีกิจที่จะหารือกับบาทหลวงใน confessional booth
ลองนำสิ่งที่ผมปรารภในวันนี้ ไปเป็นหัวข้อในการสนทนากับบาทหลวงท่านบ้างก็ได้นะครับ !
...............................
ท้ายบท ผมเขียนต้นฉบับนี้ จบในวันเดียวกับที่เขียนต้นฉบับที่แล้ว (กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๒๕ “ทักษิณ ชินวัตร...‘ตัวซวย’ประเทศไทย !?”) และวันนี้ได้นำมาทบทวนอีกครั้งก่อนที่จะนำส่งให้ทางคอลัมนิสต์ออนไลน์
ย้อนไปดูข้อความข้างบนที่เขียนเอาไว้ว่า
“...ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ผู้ที่ผมไม่รู้จัก แต่นับถือความรู้ความสามารถ เพราะท่านพยายามเผยแพร่เรื่องการออม การลงทุน เป็นประโยชน์อย่างมาก...”
อ่านแล้ว...ถึงกับต้องระเบิดคำพูดกับตัวเอง ออกมาดังๆ ว่า
“อยากโขกกะโหลกตัวเอง จริงๆ!”
...............................