วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม 2549 คุณทักษิณ เดินทางไปที่ภาคตะวันออก และขึ้นปราศรัยบนเวทีบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี พร้อมกับกล่าวประโยคประโยคหนึ่งที่คาใจผม และคนไทยทั้งประเทศว่า
"ผมเป็นนายกฯที่ทำมาหากินสุจริต เอะอะอะไรก็บอกว่าไม่เสียภาษี ผมเสียภาษีเยอะกว่าพวกมันรวมกันทั้งประเทศอีก"
หากจะจับใจความ และแยกแยะคำพูดที่กล่าวออกมาจากปากของคุณทักษิณ โดยวิธีการแจกแจงออกมาเป็นวรรคเป็นวรรคแล้ว ผมพบว่าเนื้อหาของประโยคดังกล่าวสามารถแบ่งออกมาได้ทั้งหมดเป็น 3 ประเด็นคือ
ประเด็นที่หนึ่ง ผมเป็นนายกฯที่ทำมาหากินสุจริต
ไม่มีใครปฏิเสธว่าเมื่อ 5 ปีก่อน ก่อนที่คุณทักษิณจะเข้ามามีอำนาจทางการเมือง ในนามหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณผู้มีสมบัติพัสถานที่หาได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของตนเอง และภรรยา ไม่ว่าจะเป็นบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัทเพจเจอร์ บริษัทดาวเทียม บริษัทเคเบิลทีวี ที่ดิน ฯลฯ

หรือแม้กระทั่งเงินร้อนหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่คุณทักษิณรู้ล่วงหน้าอยู่คนเดียว และแลกซื้อเอาไว้ก่อนที่รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธจะประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ก็ไม่มีใครเขาปฏิเสธว่า นั่นเป็นสมบัติของคุณทักษิณ
ทว่า เมื่อคุณทักษิณเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ การที่ธุรกิจต่างๆ ที่เคยเป็นของคุณทักษิณ และในเวลาต่อมาถูกถ่ายโอนให้บุตรชาย-บุตรสาว เครือญาติ รวมไปถึงบริษัทผีที่เกาะบริติช เวอร์จิน กลับแอบอิงอำนาจของคุณทักษิณเข้ามาหาประโยชน์จาก
กรณี เงินกู้พม่า 4,000 ล้านบาท ที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (Exim Bank) ปล่อยออกไปเพื่อให้พม่ามาทำสัญญาขอใช้บริการดาวเทียมไทยคมกับบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ฯ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการปล่อยกู้ครั้งนี้นั้นมีแนวโน้มจะเกิดหนี้สูญสูงมาก และสุดท้ายกระทรวงการคลังของไทยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้จะต้องนำภาษีของประชาชนมาจ่ายให้ชินแซทฯ นั้นเป็นการหาทำมาหากินที่สุจริตหรือไม่?
กรณี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีมติส่งเสริมการลงทุนของชินแซทฯ ในการให้บริการดาวเทียม IP STAR โดยยกเว้นภาษีการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลราว 16,000 ล้านบาท และยังให้สิทธิคุ้มครองให้บริการแต่เพียงผู้เดียวนานสูงสุดถึง 8 ปี เป็นการทำมาหากินที่สุจริตหรือไม่?
กรณี บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือของชินคอร์ป ดำเนินการของปรับลดค่าตอบแทนที่จ่ายให้รัฐรวมแล้วกว่า 20,000 ล้านบาท โดยที่สำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ปกป้องผลประโยชน์ของชาติกลับไม่ดำเนินการใดๆ เลยนั้น เป็นวิธีการทำมาหากินของคนสุจริตหรือไม่?
หรือที่เห็นได้ชัดและแจ่มแจ้งแดงแจ๋ที่สุดอย่าง กรณีการแก้กฎหมายการถือครองหุ้น รวมถึงเอาการสิทธิของชาติไทยอย่าง วงโคจรดาวเทียม เส้นทางการบิน หรือ สถานีโทรทัศน์ไปขายให้สิงคโปร์ เพื่อแลกกับเงิน 73,300 ล้านบาทนั้น ท่านตอบตัวเอง และประชาชนอย่างเสียงดังฟังชัดหน่อยเถิดว่าเป็นวิธีการทำมาหากินของคนที่ควรจะเรียกว่าเป็น คนบกพร่องโดยสุจริต หรือ คนทุจริตกันแน่!
ประเด็นที่สอง เอะอะอะไรก็บอกว่า (ผม) ไม่เสียภาษี
หลังจากการขึ้นปราศรัยที่จังหวัดชลบุรีในวันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม แล้วในวันถัดมา คุณทักษิณยังได้ไปออกรายการถึงลูกถึงคน ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ทีวี พร้อมกับกล่าวย้ำถึงเรื่องนี้อีกว่า
"พูดถึงไม่เสียภาษี ตรงไหน ตรงหุ้น แต่บริษัทเสียภาษีโดยตลอดสะสมมา 50,000 กว่าล้าน จ่ายค่าตอบแทนสัมปทานให้รัฐแสนกว่าล้าน ครอบครัวผมเสียภาษีสองส่วน ส่วนหนึ่งคือภาษีเงินปันผล ได้เท่าไหร่เสีย 10 เปอร์เซ็นต์ แล้วเอาไปฝากแบงค์เสียภาษีดอกเบี้ยอีก รวมๆ แล้ว 2,000 กว่าล้าน เสียมาตลอด ......"
ได้ฟังอย่างนี้แล้ว ผมก็ต้องถามตัวเองว่า จริงๆ แล้ว "ไอ้ที่เขาว่าคุณทักษิณฉลาดนี่จริงหรือ?"
เพราะ เพียงคำถามง่ายๆ ว่ากรณีการขายหุ้น 73,300 ล้าน ทำไมเครือญาติคุณทักษิณ คนในครอบครัวชินวัตรไม่เสียภาษีให้รัฐ ให้ประชาชนสักบาท ทั้งๆ ที่เป็นที่ทราบกันว่ากรณีนี้ ลูกโอ๊ค-ลูกเอมของคุณทักษิณไม่ได้ขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์แบบธรรมดา แต่มีความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน คุณทักษิณกลับโยงไปถึงเรื่องราวในอดีตกาลที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันอะไรกันกับคำถามที่เขาถามเลยแม้กระผีก
ซึ่งกรณีนี้ก็นำมาสู่ ประเด็นที่สาม ซึ่งก็คือ
ผมเสียภาษีเยอะกว่าพวกมันรวมกันทั้งประเทศอีก!!!
พูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว คุณทักษิณ หรือไม่ว่าจะเจ้าสัวหน้าไหนๆ ต่างมิอาจแอบอ้างตัวได้เลยว่า ตนเองมีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงกับประเทศ เพราะตัวเองเป็นคนเสียภาษีมากกว่าใคร และยิ่งแอบอ้างไม่ได้เลยว่า การเสียภาษีอากรอย่างมากของตนเองทำให้ตนเองควรจะมีปากมีเสียง มีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของประเทศไทยมากกว่าใคร (ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วยังมี บุคคลและนิติบุคคลอื่นอีกมากที่เสียภาษีมากกว่า คุณทักษิณ ตระกูลชินวัตร และบริษัท ชินคอร์ป)
ทำไมคุณทักษิณ จึงไม่มีสิทธิ์แอบอ้างเช่นนั้น?
คำตอบก็คือ การเสียภาษี เป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐานของพลเมืองทุกคนตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว และ สาเหตุของการที่ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องเสียภาษีมากกว่าคนอื่นก็เพราะ ตัวเขาหาประโยชน์ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของผืนแผ่นดินเกิดได้มากกว่าคนอื่นๆ นอกจากนี้การหาประโยชน์และใช้ประโยชน์ดังกล่าวยังถือเป็นการลิดรอนสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์นั้นๆ ของคนอื่นๆ ในชาติอีกด้วย อย่างเช่น การที่คุณทักษิณได้สัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ สัมปทานดาวเทียม สัมปทานสถานีโทรทัศน์ ฯลฯ
และก็เชื่อแน่ได้เลยว่าหากคนไทยเจ้าของสัมปทานธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้เป็นชินคอร์ปที่มีเจ้าของนามสกุลชินวัตร และเครือญาติ เขาก็ต้องจ่ายภาษีเหมือนกับที่คุณทักษิณจ่าย หรืออาจจะมากกว่าที่คุณทักษิณจ่ายอีกหลายเท่าเสียด้วยซ้ำ
สุดท้ายผมอยากจะถามหน่อยเถอะว่า เวลาเกิดออกมา คุณทักษิณ คาบเอาที่ดิน เอาคลื่นความถี่โทรศัพท์ วงโคจรดาวเทียม คลื่นสัญญาณโทรทัศน์ และทรัพยากรต่างๆ ออกมาจากท้องพ่อท้องแม่ด้วยหรือไม่?
ถ้าคำตอบเป็นไม่! คุณทักษิณ และครอบครัวก็ต้องสำเหนียก และจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ในเมื่อตัวเองเกิดมา ลืมตาดูโลกอย่างตัวเปล่าเล่าเปลือย ทรัพย์สิน เงินทอง และสมบัติพัสถานของตนเองที่มีอยู่ทุกวันนี้ ทุกอย่างต่างเป็นของที่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยทั้งมวลให้ยืมใช้ ดังนั้นตนเองจึงไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยปากทวงบุญคุณอะไรทั้งสิ้นกับประเทศชาติและประชาชน!!!
"ผมเป็นนายกฯที่ทำมาหากินสุจริต เอะอะอะไรก็บอกว่าไม่เสียภาษี ผมเสียภาษีเยอะกว่าพวกมันรวมกันทั้งประเทศอีก"
หากจะจับใจความ และแยกแยะคำพูดที่กล่าวออกมาจากปากของคุณทักษิณ โดยวิธีการแจกแจงออกมาเป็นวรรคเป็นวรรคแล้ว ผมพบว่าเนื้อหาของประโยคดังกล่าวสามารถแบ่งออกมาได้ทั้งหมดเป็น 3 ประเด็นคือ
ประเด็นที่หนึ่ง ผมเป็นนายกฯที่ทำมาหากินสุจริต
ไม่มีใครปฏิเสธว่าเมื่อ 5 ปีก่อน ก่อนที่คุณทักษิณจะเข้ามามีอำนาจทางการเมือง ในนามหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และนายกรัฐมนตรี คุณทักษิณผู้มีสมบัติพัสถานที่หาได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของตนเอง และภรรยา ไม่ว่าจะเป็นบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัทเพจเจอร์ บริษัทดาวเทียม บริษัทเคเบิลทีวี ที่ดิน ฯลฯ
หรือแม้กระทั่งเงินร้อนหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่คุณทักษิณรู้ล่วงหน้าอยู่คนเดียว และแลกซื้อเอาไว้ก่อนที่รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธจะประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ก็ไม่มีใครเขาปฏิเสธว่า นั่นเป็นสมบัติของคุณทักษิณ
ทว่า เมื่อคุณทักษิณเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ การที่ธุรกิจต่างๆ ที่เคยเป็นของคุณทักษิณ และในเวลาต่อมาถูกถ่ายโอนให้บุตรชาย-บุตรสาว เครือญาติ รวมไปถึงบริษัทผีที่เกาะบริติช เวอร์จิน กลับแอบอิงอำนาจของคุณทักษิณเข้ามาหาประโยชน์จาก
กรณี เงินกู้พม่า 4,000 ล้านบาท ที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (Exim Bank) ปล่อยออกไปเพื่อให้พม่ามาทำสัญญาขอใช้บริการดาวเทียมไทยคมกับบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ฯ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการปล่อยกู้ครั้งนี้นั้นมีแนวโน้มจะเกิดหนี้สูญสูงมาก และสุดท้ายกระทรวงการคลังของไทยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้จะต้องนำภาษีของประชาชนมาจ่ายให้ชินแซทฯ นั้นเป็นการหาทำมาหากินที่สุจริตหรือไม่?
กรณี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีมติส่งเสริมการลงทุนของชินแซทฯ ในการให้บริการดาวเทียม IP STAR โดยยกเว้นภาษีการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลราว 16,000 ล้านบาท และยังให้สิทธิคุ้มครองให้บริการแต่เพียงผู้เดียวนานสูงสุดถึง 8 ปี เป็นการทำมาหากินที่สุจริตหรือไม่?
กรณี บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือของชินคอร์ป ดำเนินการของปรับลดค่าตอบแทนที่จ่ายให้รัฐรวมแล้วกว่า 20,000 ล้านบาท โดยที่สำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ปกป้องผลประโยชน์ของชาติกลับไม่ดำเนินการใดๆ เลยนั้น เป็นวิธีการทำมาหากินของคนสุจริตหรือไม่?
หรือที่เห็นได้ชัดและแจ่มแจ้งแดงแจ๋ที่สุดอย่าง กรณีการแก้กฎหมายการถือครองหุ้น รวมถึงเอาการสิทธิของชาติไทยอย่าง วงโคจรดาวเทียม เส้นทางการบิน หรือ สถานีโทรทัศน์ไปขายให้สิงคโปร์ เพื่อแลกกับเงิน 73,300 ล้านบาทนั้น ท่านตอบตัวเอง และประชาชนอย่างเสียงดังฟังชัดหน่อยเถิดว่าเป็นวิธีการทำมาหากินของคนที่ควรจะเรียกว่าเป็น คนบกพร่องโดยสุจริต หรือ คนทุจริตกันแน่!
ประเด็นที่สอง เอะอะอะไรก็บอกว่า (ผม) ไม่เสียภาษี
หลังจากการขึ้นปราศรัยที่จังหวัดชลบุรีในวันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม แล้วในวันถัดมา คุณทักษิณยังได้ไปออกรายการถึงลูกถึงคน ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ทีวี พร้อมกับกล่าวย้ำถึงเรื่องนี้อีกว่า
"พูดถึงไม่เสียภาษี ตรงไหน ตรงหุ้น แต่บริษัทเสียภาษีโดยตลอดสะสมมา 50,000 กว่าล้าน จ่ายค่าตอบแทนสัมปทานให้รัฐแสนกว่าล้าน ครอบครัวผมเสียภาษีสองส่วน ส่วนหนึ่งคือภาษีเงินปันผล ได้เท่าไหร่เสีย 10 เปอร์เซ็นต์ แล้วเอาไปฝากแบงค์เสียภาษีดอกเบี้ยอีก รวมๆ แล้ว 2,000 กว่าล้าน เสียมาตลอด ......"
ได้ฟังอย่างนี้แล้ว ผมก็ต้องถามตัวเองว่า จริงๆ แล้ว "ไอ้ที่เขาว่าคุณทักษิณฉลาดนี่จริงหรือ?"
เพราะ เพียงคำถามง่ายๆ ว่ากรณีการขายหุ้น 73,300 ล้าน ทำไมเครือญาติคุณทักษิณ คนในครอบครัวชินวัตรไม่เสียภาษีให้รัฐ ให้ประชาชนสักบาท ทั้งๆ ที่เป็นที่ทราบกันว่ากรณีนี้ ลูกโอ๊ค-ลูกเอมของคุณทักษิณไม่ได้ขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์แบบธรรมดา แต่มีความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน คุณทักษิณกลับโยงไปถึงเรื่องราวในอดีตกาลที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันอะไรกันกับคำถามที่เขาถามเลยแม้กระผีก
ซึ่งกรณีนี้ก็นำมาสู่ ประเด็นที่สาม ซึ่งก็คือ
ผมเสียภาษีเยอะกว่าพวกมันรวมกันทั้งประเทศอีก!!!
พูดกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว คุณทักษิณ หรือไม่ว่าจะเจ้าสัวหน้าไหนๆ ต่างมิอาจแอบอ้างตัวได้เลยว่า ตนเองมีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงกับประเทศ เพราะตัวเองเป็นคนเสียภาษีมากกว่าใคร และยิ่งแอบอ้างไม่ได้เลยว่า การเสียภาษีอากรอย่างมากของตนเองทำให้ตนเองควรจะมีปากมีเสียง มีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของประเทศไทยมากกว่าใคร (ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วยังมี บุคคลและนิติบุคคลอื่นอีกมากที่เสียภาษีมากกว่า คุณทักษิณ ตระกูลชินวัตร และบริษัท ชินคอร์ป)
ทำไมคุณทักษิณ จึงไม่มีสิทธิ์แอบอ้างเช่นนั้น?
คำตอบก็คือ การเสียภาษี เป็นหน้าที่ขั้นพื้นฐานของพลเมืองทุกคนตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว และ สาเหตุของการที่ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องเสียภาษีมากกว่าคนอื่นก็เพราะ ตัวเขาหาประโยชน์ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของผืนแผ่นดินเกิดได้มากกว่าคนอื่นๆ นอกจากนี้การหาประโยชน์และใช้ประโยชน์ดังกล่าวยังถือเป็นการลิดรอนสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์นั้นๆ ของคนอื่นๆ ในชาติอีกด้วย อย่างเช่น การที่คุณทักษิณได้สัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ สัมปทานดาวเทียม สัมปทานสถานีโทรทัศน์ ฯลฯ
และก็เชื่อแน่ได้เลยว่าหากคนไทยเจ้าของสัมปทานธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้เป็นชินคอร์ปที่มีเจ้าของนามสกุลชินวัตร และเครือญาติ เขาก็ต้องจ่ายภาษีเหมือนกับที่คุณทักษิณจ่าย หรืออาจจะมากกว่าที่คุณทักษิณจ่ายอีกหลายเท่าเสียด้วยซ้ำ
สุดท้ายผมอยากจะถามหน่อยเถอะว่า เวลาเกิดออกมา คุณทักษิณ คาบเอาที่ดิน เอาคลื่นความถี่โทรศัพท์ วงโคจรดาวเทียม คลื่นสัญญาณโทรทัศน์ และทรัพยากรต่างๆ ออกมาจากท้องพ่อท้องแม่ด้วยหรือไม่?
ถ้าคำตอบเป็นไม่! คุณทักษิณ และครอบครัวก็ต้องสำเหนียก และจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ในเมื่อตัวเองเกิดมา ลืมตาดูโลกอย่างตัวเปล่าเล่าเปลือย ทรัพย์สิน เงินทอง และสมบัติพัสถานของตนเองที่มีอยู่ทุกวันนี้ ทุกอย่างต่างเป็นของที่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยทั้งมวลให้ยืมใช้ ดังนั้นตนเองจึงไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยปากทวงบุญคุณอะไรทั้งสิ้นกับประเทศชาติและประชาชน!!!