ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยดูภาพยนตร์ไทยเรื่อง ฟอร์มาลีนแมน:รักเธอเท่าฟ้า ที่นำแสดงโดย เอกชัย ศรีวิชัยนักร้องลูกทุ่งชาวปักษ์ใต้ชื่อดังไหมครับ? เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมเพิ่งมีโอกาสได้ชมวีซีดีภาพยนตร์เรื่องนี้
เนื้อหาของภาพยนตร์ เป็นเรื่องของวงดนตรีชาวปักษ์ใต้คณะลูกทุ่งฉัตรทอง มงคลทอง (เอกชัย ศรีวิชัย) ที่กำลังเดินสายออกแสดงทั่วประเทศเพื่อหาเงินมาชำระหนี้สิน แต่อยู่มาวันหนึ่ง ฉัตรทอง หัวหน้าคณะกลับเกิดอุบัติเหตุถูกรถชนตกสะพานจนเสียชีวิต
อย่างไรก็ตามด้วยแม้ร่างกายจะดับสูญไปแล้ว แต่ด้วยความกังวลและเป็นห่วงในอนาคตของบรรดาลูกคณะ ฉัตรทองหัวหน้าคณะวงลูกทุ่งจึงยังไม่ยอมออกจากร่าง จิตใจของฉัตรทองยังคงนึกว่าตนเองมีชีวิตอยู่ต่อไปแม้ร่างกายของเขาจะเน่าเปื่อยลงทุกวันๆ
กระทั่งมาถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายของ ฉัตรทอง เน่าและส่งกลิ่นเหม็นเสียจนเหล่าลูกน้องเริ่มสงสัย ลูกน้องคนสนิทที่รักและหวังดีต่อฉัตรทองเป็นอย่างมากนาม เสนาะ หรือ ไอ้เหนาะ (โหน่ง ชะชะช่า) จึงทุกวิธีทางเพื่อที่จะช่วยเหลือลูกพี่ จนถึงกับต้องใช้ฟอร์มาลีนมาฉีดให้กับฉัตรทอง โดยหลอกว่าสิ่งที่ฉีดให้เป็นยาบำรุงกำลัง ......
กระนั้น ฟอร์มาลีนก็ยืดอายุฉัตรทองไปได้อีกไม่นานนัก เพราะดังเช่นที่ทราบฟอร์มาลีนสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เป็นยาวิเศษที่สามารถเสก ‘คนตาย’ ให้กลับฟื้นคืนมาเป็น ‘คนเป็น’ ได้เสียเมื่อไหร่ ฟอร์มาลีนเป็นเพียงแค่ยาฉีดศพไม่ให้เน่าเปื่อยเท่านั้น

ดูชีวิตอันแสนรันทดของฉัตรทอง ในภาพยนตร์เรื่องฟอร์มาลีนแมนแล้ว ผมก็อดมองย้อนกลับนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของบุคคลที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรักษาการของประเทศไทยในตอนนี้ไม่ได้
กล่าวคือ พูดกันอย่างไม่เกรงใจแล้ว แม้ว่าปัจจุบัน ‘ชีวิตจริง’ ของคุณทักษิณจะยังมีลมหายใจเข้า-ออกอยู่เช่นคนปกติ แต่ ‘ชีวิตทางการเมือง’ ของคุณทักษิณนั้นถือว่าได้จบสิ้นลงแล้ว
จบสิ้นลงอย่างที่คุณทักษิณเองก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน เช่นเดียวกับฉัตรทอง ในภาพยนตร์ฟอร์มาลีนแมนที่ถูกรถชนตกสะพานตาย
ผมเชื่อว่า ในปัจจุบันผู้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทย โดยเฉพาะชนชั้นกลางหัวเมืองทั่วประเทศนั้น ส่วนใหญ่แล้วต่างก็ไม่มีความเชื่อถือกับนายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตรอีกต่อไป การเคลื่อนไหวเพื่อขับไล่ผู้นำที่มีคำติดปากว่า “ทักษิณ ออกไป” หรือ “ยิกทักษิณ” ที่ดังกระหึ่มไปทั่วทุกหัวระแหงของประเทศนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า ศรัทธา และความเชื่อถือ ที่ประชาชนไทยมีต่อคุณทักษิณนั้นได้หมดลงแล้ว
อย่างที่ผมเคยกล่าวมาแล้วหลายครั้งถึงเรื่องราวของ ‘ความสำคัญในความเชื่อถือของประชาชนต่อผู้ปกครองของขงจื๊อ’ ที่มีเรื่องเล่ากันว่า
..............................
รัฐที่สมบูรณ์แบบในอุดมการณ์ของขงจื๊อ จะต้องเป็นรัฐที่ "ประชาชนมีอาหารเพียงพอ มีกำลังทหารพอสมควร และประชาชนจะต้องมีความเชื่อถือผู้ปกครอง"
เมื่อมีผู้ถามว่า "ในองค์ประกอบ 3 ข้อนั้น ข้อไหนมีความสำคัญยิ่งใหญ่กว่ากัน"
ขงจื๊อตอบว่า "รัฐบาลยังคงอยู่ได้โดยปราศจากกำลังทหาร"
ผู้สงสัยยังถามต่ออีกว่า "และถ้าท่านถูกบังคับให้สละหนึ่งในสองที่เหลือนั้น ข้อไหนรัฐบาลจะอยู่ต่อไปโดยปราศจากมันได้"
ขงจื๊อตอบว่า "ข้าพเจ้าเลือกที่จะขจัดเรื่องอาหารเพียงพอออกไปได้ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เป็นต้นมา มีคนตายโดยอดอาหารอยู่ทุกๆ ชั่วคน แต่ชาติจะคงอยู่ไม่ได้โดยปราศจากความเชื่อถือของประชาชน"
..............................
ยิ่งได้เห็นและเป็นส่วนหนึ่งของการชุมนุมไล่ทักษิณตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ., 11 ก.พ., 26-27 ก.พ. เรื่อยมาจนกระทั่งถึงการเดินขบวนของมวลประชาชนมากกว่า 2 แสนคนที่เดินเท้าไปบนถนนราชดำเนิน จากสนามหลวงผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมุ่งหน้าไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยสงบ สันติเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2549 ที่ผ่านมาแล้ว ผมยิ่งมั่นใจว่า อายุขัยทางการเมืองของคุณทักษิณนั้นจบสิ้นลงแล้วจริงๆ
อ้าว! แล้วที่เราเห็นคุณทักษิณ ยังดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง คือ นายกรัฐมนตรีรักษาการ และการเดินทางหาเสียงทั่วประเทศเพื่อการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายนนี้เพื่อกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งล่ะมีหมายความว่าอย่างไร?
คำตอบของคำถามนี้ก็คือ ชีวิตทางการเมืองของคุณทักษิณนั้นได้จบลงไปแล้วในวันที่ครอบครัวและเครือญาติของคุณทักษิณ ประกาศขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ให้กับเทมาเส็กจากสิงคโปร์
แน่นอนมิอาจกล่าวได้ว่า การขายหุ้นชินคอร์ปนั้นเป็นความผิดประการเดียวของคุณทักษิณ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การขายหุ้นชินคอร์ป (โดยไม่เสียภาษี) นั้นเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คนไทยทั่วประเทศจำนวนมากอดรนทนไม่ไหว จนส่งให้ความอดทนอดกลั้นต่อผู้นำนามทักษิณ ชินวัตรนั้นหมดลง
ผมเชื่อว่า แม้แต่คนพรรคไทยรักไทย และคนใกล้ชิดคุณทักษิณเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า ปัจจุบันชีวิตทางการเมืองของลูกพี่ของพวกเขานั้นได้เดินมาสุดทางแล้ว สิ่งที่คุณทักษิณ-พจมาน คนใกล้ชิด และสมาชิกพรรคไทยรักไทยกำลังทำ และดิ้นรนอยู่ในทุกวันนี้นั้นหากเปรียบไปก็เป็นเพียงแค่ การฉีดฟอร์มาลีนให้ศพนั้นไม่เน่าเปื่อยลงไปกว่านี้เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็น การชี้แจงอย่างข้างๆ คูๆ ในประเด็นความผิดในการขายหุ้น-ซุกหุ้น การดิ้นรนด้วยการยุบสภา การเล่นเกมเลือกตั้ง 2 เมษาฯ การระดมม็อบจากทั่วประเทศมาให้กำลังใจไม่ว่าจะด้วยวิธีจัดชุมนุมปราศรัยใหญ่ 3 มีนาคม หรือส่งไปรษณียบัตรมาให้กำลังใจ ฯลฯ
พูดกันอย่างไม่อ้อมค้อม ประโยชน์ของการดิ้นรนเหล่านี้เป็นได้อย่างมากก็เพียงแค่ฟอร์มาลีนเท่านั้น
อย่างที่กล่าวไปแล้ว ฟอร์มาลีนอย่างมากก็เป็นได้เพียงแค่ยาฉีดศพ ที่รักษาร่างไม่ให้เน่าเปื่อยลงไปกว่าเดิมเท่านั้น มิอาจหวังว่ามันจะเป็นยาชุบชีวิตที่นำไปสู่ ‘ขาขึ้น’ ได้อย่างแน่นอน
“ถ้าทักษิณยังดื้อดึงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ หรือ กระทั่งหลังเลือกตั้ง 2 เมษาฯ นะ ศพจะยิ่งไม่สวย” มีผู้คร่ำหวอดทางการเมืองผู้หนึ่งกล่าววิเคราะห์ไว้อย่างน่าคิด
ณ เวลานี้ไม่ว่าใครก็คงช่วยกอบกู้ชีวิต (ทางการเมือง) ของคนที่ชื่อทักษิณให้กลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว เหลืออยู่แต่เพียงว่า เจ้าตัวจะรู้สึกตัว และยอมละวิญญาณออกจากร่างเมื่อใดเท่านั้น
เนื้อหาของภาพยนตร์ เป็นเรื่องของวงดนตรีชาวปักษ์ใต้คณะลูกทุ่งฉัตรทอง มงคลทอง (เอกชัย ศรีวิชัย) ที่กำลังเดินสายออกแสดงทั่วประเทศเพื่อหาเงินมาชำระหนี้สิน แต่อยู่มาวันหนึ่ง ฉัตรทอง หัวหน้าคณะกลับเกิดอุบัติเหตุถูกรถชนตกสะพานจนเสียชีวิต
อย่างไรก็ตามด้วยแม้ร่างกายจะดับสูญไปแล้ว แต่ด้วยความกังวลและเป็นห่วงในอนาคตของบรรดาลูกคณะ ฉัตรทองหัวหน้าคณะวงลูกทุ่งจึงยังไม่ยอมออกจากร่าง จิตใจของฉัตรทองยังคงนึกว่าตนเองมีชีวิตอยู่ต่อไปแม้ร่างกายของเขาจะเน่าเปื่อยลงทุกวันๆ
กระทั่งมาถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายของ ฉัตรทอง เน่าและส่งกลิ่นเหม็นเสียจนเหล่าลูกน้องเริ่มสงสัย ลูกน้องคนสนิทที่รักและหวังดีต่อฉัตรทองเป็นอย่างมากนาม เสนาะ หรือ ไอ้เหนาะ (โหน่ง ชะชะช่า) จึงทุกวิธีทางเพื่อที่จะช่วยเหลือลูกพี่ จนถึงกับต้องใช้ฟอร์มาลีนมาฉีดให้กับฉัตรทอง โดยหลอกว่าสิ่งที่ฉีดให้เป็นยาบำรุงกำลัง ......
กระนั้น ฟอร์มาลีนก็ยืดอายุฉัตรทองไปได้อีกไม่นานนัก เพราะดังเช่นที่ทราบฟอร์มาลีนสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เป็นยาวิเศษที่สามารถเสก ‘คนตาย’ ให้กลับฟื้นคืนมาเป็น ‘คนเป็น’ ได้เสียเมื่อไหร่ ฟอร์มาลีนเป็นเพียงแค่ยาฉีดศพไม่ให้เน่าเปื่อยเท่านั้น
ดูชีวิตอันแสนรันทดของฉัตรทอง ในภาพยนตร์เรื่องฟอร์มาลีนแมนแล้ว ผมก็อดมองย้อนกลับนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของบุคคลที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรักษาการของประเทศไทยในตอนนี้ไม่ได้
กล่าวคือ พูดกันอย่างไม่เกรงใจแล้ว แม้ว่าปัจจุบัน ‘ชีวิตจริง’ ของคุณทักษิณจะยังมีลมหายใจเข้า-ออกอยู่เช่นคนปกติ แต่ ‘ชีวิตทางการเมือง’ ของคุณทักษิณนั้นถือว่าได้จบสิ้นลงแล้ว
จบสิ้นลงอย่างที่คุณทักษิณเองก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน เช่นเดียวกับฉัตรทอง ในภาพยนตร์ฟอร์มาลีนแมนที่ถูกรถชนตกสะพานตาย
ผมเชื่อว่า ในปัจจุบันผู้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทย โดยเฉพาะชนชั้นกลางหัวเมืองทั่วประเทศนั้น ส่วนใหญ่แล้วต่างก็ไม่มีความเชื่อถือกับนายกรัฐมนตรีที่ชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตรอีกต่อไป การเคลื่อนไหวเพื่อขับไล่ผู้นำที่มีคำติดปากว่า “ทักษิณ ออกไป” หรือ “ยิกทักษิณ” ที่ดังกระหึ่มไปทั่วทุกหัวระแหงของประเทศนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า ศรัทธา และความเชื่อถือ ที่ประชาชนไทยมีต่อคุณทักษิณนั้นได้หมดลงแล้ว
อย่างที่ผมเคยกล่าวมาแล้วหลายครั้งถึงเรื่องราวของ ‘ความสำคัญในความเชื่อถือของประชาชนต่อผู้ปกครองของขงจื๊อ’ ที่มีเรื่องเล่ากันว่า
..............................
รัฐที่สมบูรณ์แบบในอุดมการณ์ของขงจื๊อ จะต้องเป็นรัฐที่ "ประชาชนมีอาหารเพียงพอ มีกำลังทหารพอสมควร และประชาชนจะต้องมีความเชื่อถือผู้ปกครอง"
เมื่อมีผู้ถามว่า "ในองค์ประกอบ 3 ข้อนั้น ข้อไหนมีความสำคัญยิ่งใหญ่กว่ากัน"
ขงจื๊อตอบว่า "รัฐบาลยังคงอยู่ได้โดยปราศจากกำลังทหาร"
ผู้สงสัยยังถามต่ออีกว่า "และถ้าท่านถูกบังคับให้สละหนึ่งในสองที่เหลือนั้น ข้อไหนรัฐบาลจะอยู่ต่อไปโดยปราศจากมันได้"
ขงจื๊อตอบว่า "ข้าพเจ้าเลือกที่จะขจัดเรื่องอาหารเพียงพอออกไปได้ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เป็นต้นมา มีคนตายโดยอดอาหารอยู่ทุกๆ ชั่วคน แต่ชาติจะคงอยู่ไม่ได้โดยปราศจากความเชื่อถือของประชาชน"
..............................
ยิ่งได้เห็นและเป็นส่วนหนึ่งของการชุมนุมไล่ทักษิณตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ., 11 ก.พ., 26-27 ก.พ. เรื่อยมาจนกระทั่งถึงการเดินขบวนของมวลประชาชนมากกว่า 2 แสนคนที่เดินเท้าไปบนถนนราชดำเนิน จากสนามหลวงผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมุ่งหน้าไปยังทำเนียบรัฐบาลโดยสงบ สันติเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2549 ที่ผ่านมาแล้ว ผมยิ่งมั่นใจว่า อายุขัยทางการเมืองของคุณทักษิณนั้นจบสิ้นลงแล้วจริงๆ
อ้าว! แล้วที่เราเห็นคุณทักษิณ ยังดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง คือ นายกรัฐมนตรีรักษาการ และการเดินทางหาเสียงทั่วประเทศเพื่อการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายนนี้เพื่อกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งล่ะมีหมายความว่าอย่างไร?
คำตอบของคำถามนี้ก็คือ ชีวิตทางการเมืองของคุณทักษิณนั้นได้จบลงไปแล้วในวันที่ครอบครัวและเครือญาติของคุณทักษิณ ประกาศขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ให้กับเทมาเส็กจากสิงคโปร์
แน่นอนมิอาจกล่าวได้ว่า การขายหุ้นชินคอร์ปนั้นเป็นความผิดประการเดียวของคุณทักษิณ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การขายหุ้นชินคอร์ป (โดยไม่เสียภาษี) นั้นเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คนไทยทั่วประเทศจำนวนมากอดรนทนไม่ไหว จนส่งให้ความอดทนอดกลั้นต่อผู้นำนามทักษิณ ชินวัตรนั้นหมดลง
ผมเชื่อว่า แม้แต่คนพรรคไทยรักไทย และคนใกล้ชิดคุณทักษิณเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า ปัจจุบันชีวิตทางการเมืองของลูกพี่ของพวกเขานั้นได้เดินมาสุดทางแล้ว สิ่งที่คุณทักษิณ-พจมาน คนใกล้ชิด และสมาชิกพรรคไทยรักไทยกำลังทำ และดิ้นรนอยู่ในทุกวันนี้นั้นหากเปรียบไปก็เป็นเพียงแค่ การฉีดฟอร์มาลีนให้ศพนั้นไม่เน่าเปื่อยลงไปกว่านี้เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็น การชี้แจงอย่างข้างๆ คูๆ ในประเด็นความผิดในการขายหุ้น-ซุกหุ้น การดิ้นรนด้วยการยุบสภา การเล่นเกมเลือกตั้ง 2 เมษาฯ การระดมม็อบจากทั่วประเทศมาให้กำลังใจไม่ว่าจะด้วยวิธีจัดชุมนุมปราศรัยใหญ่ 3 มีนาคม หรือส่งไปรษณียบัตรมาให้กำลังใจ ฯลฯ
พูดกันอย่างไม่อ้อมค้อม ประโยชน์ของการดิ้นรนเหล่านี้เป็นได้อย่างมากก็เพียงแค่ฟอร์มาลีนเท่านั้น
อย่างที่กล่าวไปแล้ว ฟอร์มาลีนอย่างมากก็เป็นได้เพียงแค่ยาฉีดศพ ที่รักษาร่างไม่ให้เน่าเปื่อยลงไปกว่าเดิมเท่านั้น มิอาจหวังว่ามันจะเป็นยาชุบชีวิตที่นำไปสู่ ‘ขาขึ้น’ ได้อย่างแน่นอน
“ถ้าทักษิณยังดื้อดึงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ หรือ กระทั่งหลังเลือกตั้ง 2 เมษาฯ นะ ศพจะยิ่งไม่สวย” มีผู้คร่ำหวอดทางการเมืองผู้หนึ่งกล่าววิเคราะห์ไว้อย่างน่าคิด
ณ เวลานี้ไม่ว่าใครก็คงช่วยกอบกู้ชีวิต (ทางการเมือง) ของคนที่ชื่อทักษิณให้กลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว เหลืออยู่แต่เพียงว่า เจ้าตัวจะรู้สึกตัว และยอมละวิญญาณออกจากร่างเมื่อใดเท่านั้น