เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว คุยกับพรรคพวกที่เขาตั้งหลักฐานอยู่ทางภาคเหนือมายาวนาน เขาได้เล่าให้ฟังว่า นอกจากเกษตรกรภาคเหนือจะต้องร่นถอยต่อผลิตผลทางการเกษตรของจีน ที่เข้ามาทุ่มตีตลาดเมืองไทยอย่างหนักหน่วง เพราะผลของการค้าแบบ
FTA ซึ่งผลไม้นั้นเราสู้เขาไม่ได้ ไม่ใช่ในเรื่องรสชาติ หากแต่เป็นความคงทนของผลไม้ ซึ่งส่วนใหญ่ของเรามักเน่าเสียง่ายยากต่อการขนส่ง ส่วนของจีนเป็นผลไม้ที่สามารถเก็บได้นานอย่างแอปเปิล สาลี่
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ดอกไม้สวยๆที่จีนเอาเข้ามาทุ่มตลาด เพราะของเขาเด่นกว่าเราที่เห็นได้ชัดคือ กุหลาบเมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมานี่แหละครับ ดอกไม้ของจีนราคาสวยงามและดอกใหญ่กว่าของเรา เพราะดินฟ้าอากาศของเขาดีกว่า คนไทยที่พอมีสตางค์อยู่บ้างเลยไม่ซื้อของไทย หันไปซื้อของจีนกัน
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา กาแฟขม...ขนมหวาน ออกตรงกับวันวาเลนไทน์พอดิบพอดี คนเขียนเป็นผู้ที่มีความรู้สึกและความหลังดีๆ เกี่ยวกับวันแห่งความรัก อีกทั้งเป็นคนชอบดอกกุหลาบด้วย ยังเคยถูกคุณหนูป้อม ‘คัทลียา’ แห่งไทยรัฐ จ๊ะจ๋าในคอลัมน์ว่า ตอนเป็นหนุ่มๆเคยส่งดอกไม้ให้สาวคนหนึ่งทีละ ๒,๐๐๐ ดอก (สองพันดอกถ้วน) เล่นเอาผมตกอกตกใจ เพราะตัวเองเป็นแค่คนรับกุหลาบจำนวนนั้นจากเจ้าของร้าน เอาไปส่งให้คนสวยเท่านั้นเอง กลายเป็นเรื่องโดนเจ๊าะแจ๊ะจนได้
ผมเคยเล่าเรื่องการจ่ายค่าปรับเป็นดอกกุหลาบ ให้ท่านผู้อ่านฟังใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๔๖ เรื่องย่อก็มีอยู่ว่า
เซอร์ฟรานซีส นอลีส์ (Sir Francis Knollys) เป็นนายทหารและแม่ทัพใหญ่ของอังกฤษ ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ ท่านเป็นผู้มีฝีมือกล้าแข็ง เป็นแม่ทัพที่แกล้วกล้าเกรียงไกร รบทัพจับศึกเก่งฉกาจ ขนาดทหารฝรั่งเศสที่รบกันกลัวและเรียกท่านว่า “ยมบาล” เลยทีเดียว
เรื่องที่เกิดขึ้นและผมนำมาเล่าไว้คือ Lady Knollys หรือ ระหว่างที่ท่านเซอร์ไปทำสงคราม ท่านหญิงของท่านได้ทำสะพานข้ามถนน จากที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งคฤหาสน์ ไปยังที่ดินอีกฝั่งซึ่งก็เป็นของท่านอีก แต่สะพานนี้ลอยข้ามถนนหลวงสายเล็กๆ เป็นการกระทำโดยพลการ ไม่ขออนุญาตทางเทศบาลนครลอนดอนก่อน
เมื่อท่านเซอร์กลับจากสงครามพร้อมชัยชนะ ทางการเทศบาลยื่นข้อกล่าวหานี้กับท่านทันที แต่ท่านอัศวิน (ท่านเซอร์ได้รับแต่งตั้งเป็น knight หรืออัศวินด้วย) ซึ่งมีตำแหน่งแม่ทัพใหญ่กลับแสดงสปิริต ยินยอมให้เปรียบเทียบปรับ เพราะท่านยึดในหลักการที่ว่า
“การเป็นวีรบุรุษหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็ต้องเคารพกฎหมายเช่นเดียว กับสามัญชนคนธรรมดา”
คณะเทศมนตรีรู้สึกประทับใจ และตื้นตันในความมีน้ำใจงาม และความเป็นสุภาพบุรุษของท่านนักรบผู้นี้ จึงปรึกษากันว่าจะปรับโทษพอเป็นพิธี คือ
ทุก ๆ ปีท่านเซอร์จะต้องนำกุหลาบสีแดงสด ๑ ดอก ต้องเด็ดใหม่ ๆ จากสวน ที่บ้านของท่าน มาให้นายกเทศมนตรีเป็นค่าปรับ แต่การนำกุหลาบมามอบให้กับทางเทศบาล นั้น จะมอบกันเฉย ๆแล้วจบไม่ได้ ต้องทำให้ผู้คนในลอนดอนได้เห็นกัน และจะต้องทำกันให้เป็นที่ครึกครื้นด้วย โดยทางคณะเทศมนตรีกำหนดให้ทำ ดังนี้
ตัวท่านเซอร์จะต้องสวมเกราะ และขี่ม้าตัวที่ท่านเคยใช้ควบออกศึก และท่านจะต้องเป็นผู้ถือหมอนแพร รองดอกกุหลาบ ที่จะนำไปเป็นค่าปรับ ส่วนผู้เข้าขบวนแห่ก็ให้เป็นมิตรสหายสนิทของท่าน และบรรดานายทหารที่อยู่ ใต้บังคับบัญชา รวมทั้งผู้คนที่เข้าขบวนแห่ทุกคน ต้องติดกุหลาบแดง ๑ ดอกที่อกเสื้อ
แม้ท่านเซอร์จะล่วงลับไปนาน แต่พิธีนี้ยังคงมีสืบเนื่องยาวนานมาจนทุกวันนี้ !
อ่านเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษของท่านเซอร์ฟรานซิส นอลลีส์ คราวนี้ลองมาดูมาเรื่องของนายกทักษิณ ที่เห็นทางโทรทัศน์ระยะนี้ได้แพร่ภาพฝ่ายเชียร์ แห่มามอบดอกกุหลาบให้กำลังใจกันแทบทุกวัน แล้วคนไทยจะประทับใจนายกฯคนนี้
เหมือนที่คนอังกฤษเขาซาบซึ้ง กับวีรบุรุษของเขาบ้างหรือไม่ ?
ฝ่ายที่ไม่ปลื้มและรับไม่ได้กับนายก แม้มีสาเหตุจากเรื่องขาวคราวความทุจริต ในการบริหารบ้านเมืองของรัฐมนตรีร่วมคณะหลายเรื่อง จนถึงขั้นต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจกัน แต่ที่มาแตกดังโพละเอาไม่กี่สัปดาห์ ถึงขั้นรวมพลก่อหวอดขับไล่นายกเป็นการใหญ่ขณะนี้ ก็เห็นจะเป็นเพราะเรื่องการค้าขาย หุ้นครอบครัวคุณทักษิณเองเป็นสาเหตุสำคัญ
เรื่องการค้าขายหุ้นของครอบครัวนายก เขย่าความรู้สึกของประชาชนอย่างรุนแรงยิ่งนั้น ผมเห็นว่าแผนภูมิที่แสดงวงจรการซื้อขาย ของครอบครัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งลงกันหลายฉบับนั้นทำให้เห็นความซับซ้อนของการซื้อขาย ที่ดูไม่ปกติมีเล่ห์เหลี่ยมแฝงเร้น เข้าใจยาก
ที่ดูง่ายและถูกใจผมมากที่สุดคือ ที่ปรากฏในหน้า ๑ ของหนังสือพิมพ์โพสท์ทูเดย์ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ ๑๘ ก.พ.๒๕๔๙ ตามผังที่ท่านเห็น เขาแสดงถึงการซื้อขายแบบตรงไปตรงมากับแบบตรงข้าม
ขนาดครูบาอาจารย์อย่าง อ.ปทุมพร วัชรเสถียร บอกทางวิทยุคลื่น Fm ๙๗ เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมาบอกว่า อ่านเรื่องการขายหุ้นของครอบครัวแล้วงง ก็น่าจะจริง เพราะมันวกไปวนมาเหมือนเข้าไปในเขาวงกต
แล้วอย่างนี้ ชาวบ้านที่คุ้นเคยแต่การเดินบนท้องไร่ท้องทุ่ง คันนา และเรือกสวน จะไปรู้ประสีประสาอะไร กับแผนการจรลีลี้ลับของเส้นทางการค้าขายหุ้น ที่วกๆวนๆสุดอลหม่านอย่างนั้นได้อย่างไรกัน?
ขนาดตัวเจ้าของที่เป็นลูกนายกเองยังเดินหลง และกำลังจะโดนคณะกรรมการ ก.ล.ต.เปรียบเทียบปรับเอาด้วยซ้ำ (คดีมีโทษจำคุกด้วย แต่คณะกรรมการเลือกเอาการเปรียบเทียบตามบรรทัดฐานเดิม)
สำหรับผมแล้ว...เห็นว่า
การที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้นายกทักษิณรู้จังหวะและเวลา ที่จะผ่านกฎหมายให้ออกมาเพื่อเป็นประโยชน์กับตน อย่างที่คิดว่าตัวเองนั้นชาญฉลาด โดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกประชาชน ที่ตัวเองเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลพวกเขา
ระหว่างกระบวนการทางกฎหมายเคลื่อนไหวในสภานั้น คนไทยไม่มีทางทราบได้ว่า สิ่งที่ดำเนินไปอย่างเงียบกริบ คือการเจรจาการซื้อขายหุ้นอย่างลับๆ ระหว่างกลุ่มผู้ซื้อคือ บริษัทแห่งชาติของสิงคโปร์ชื่อ ‘เท-มา-เส็ก’ กับทางฝ่ายผู้ขายคือ สมาชิกในตระกูลของนายกรัฐมนตรีสยามประเทศ
นายกทักษิณจะมาปฏิเสธเรื่องนี้ยากมาก เพราะว่าการซื้อขายนั้น ได้กระทำก่อนกฎหมายจะคลอดออกมา และการเจรจาซื้อขายหุ้นได้ดำเนินการต่อเนื่อง เป็นเวลายาวนานพอสมควร ด้วยเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมหาศาล
ไม่ได้ซื้อขายกันง่ายๆเหมือน ซื้อผ้าอนามัยตามร้านชำ !
ตัวนายกเองก็มุ่งฉกฉวยเวลาที่มีค่า ให้เป็นประโยชน์กับตนและครอบครัวมากที่สุด ก่อนที่ผู้คนในชาติจะไหวทัน
พอกฎหมายเพิ่มสัดส่วนของผู้ถือหุ้นคนต่างด้าว ในบริษัทโทรคมนาคม ผ่านตูมออกมาเพียงแค่สองวัน การซื้อขายก็เกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์
แบบกดปุ่ม ‘เสนอขาย’ ๑ วินาที ปุ๊บ....กด ‘เสนอซื้อ’ ๑ วินาที ปั๊บ !
ไป-กลับ แค่ ๒ วิ. ไม่มีใครตั้งตัวทัน ว่าอย่างนั้นเถอะ...
....แค่ ๒ วินาที transaction นี้ก็สำเร็จอย่างสะดวกดาย หุ้นชินคอร์ปของสมาชิกครอบครัวหัวหน้าคณะรัฐบาล ก็ตกเป็นของบริษัท ‘เท-มา-แสบ’
ส่วนเงินจำนวนสูงเจ็ดหมื่นสามพันล้านบาท ก็ปลิวจากฝ่ายลอดช่องสิงคโปร์ หล่นปุลงเป็นของตระกูลทักษิณ...เรียบร้อยโรงเรียนชินไป !
คนไทยมองดูการกระทำแบบกระเบื้องตราช้าง ของผู้นำรัฐบาลและครอบครัวอย่างงุนงง อ้าปากหวอ ได้แต่ส่ายหัวด่อกๆแด่กๆ แล้วบอกว่า
‘แสบ’ จริงๆ แสบพอกัน ทั้งไอ้คนซื้อ และคนขาย !
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ สอนการสอบสวนคดีอาญาทางเศรษฐกิจ มีรุ่นน้องที่สนิทกันถามผู้ เขียนว่า
“การซื้อขายหุ้นของนายกฯเป็น insider trading หรือเปล่าครับ...อาจารย์?”
ผมตอบอย่างหงุดหงิด ว่า
“ไม่ใช่โว้ย อย่างนี้จะต้องเรียกมันว่า in government trading เลยละเอ็ง...งามหน้าดีจัง...ค้าขายแม่งงงงงง...ทั้งๆที่ตัวเองเป็นหัวหน้ารัฐบาลนั่นแหละ !”
หมายความว่าอย่างไรนั้น ก็ขออธิบายง่ายๆดังนี้
คุณทักษิณแกทำมาค้าขายหุ้นของครอบครัวตน ในขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรีหัวหน้าคณะผู้บริหาร ซึ่งผู้คนเขาเห็นว่าเป็นการไม่สมควร เพราะนอกจากจะเอาเปรียบบริษัทอื่นๆ ที่ไม่สามารถใช้วิธีการเดียวกันอย่างนี้ได้ และผิดจริยธรรมของการเป็นผู้นำรัฐบาลอย่างยิ่ง ที่ชิงความได้เปรียบชาวบ้าน ขณะอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งในคณะผู้บริหารและจำนวนสมาชิกของตนในรัฐสภา
ตรงนี้ อธิบายความเพิ่มอีกสักนิดก็ได้ ว่า
ตัวคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ย่อมทราบดีถึงขั้นตอน กระบวนการออกกฎหมายเพิ่มสัดส่วนคนต่างด้าว สามารถล่วงรู้หรือจัดการ ให้กำหนดระยะเวลาที่กฎหมายฉบับนี้ คลอดออกมาและมีผลบังคับใช้ได้ตามเวลาที่ต้องการ เพื่อให้สอดคล้องกับการขายหุ้นครั้งนี้อย่างถูกจังหวะจะโคน ซึ่งหุ้นที่จะขายแม้จะไม่ใช่ชื่อตน แต่ก็เป็นของลูกเมียญาติโกโหติกา ที่ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ซึ่งเป็นของครอบครัวของผู้นำประเทศ
กลไกที่จะให้กฎหมายเพิ่มสัดส่วนถือครองหุ้นนั้น คุณทักษิณใช้คณะรัฐมนตรีของตัวเอง ให้ดำเนินการผลักดันกฎหมายนี้ แล้วส่งสภาผู้แทนราษฎร
ในสภาก็มีแต่พรรคของตน ครองเสียงข้างมากเด็ดขาด ซึ่งจะผ่านกฎหมายนี้โดยง่าย
บริษัทและตัวเองจะได้ประโยชน์ จากการซื้อขายครั้งนี้อย่างเต็มที่ !
แต่นายกยังดันมีหน้าออกมาปฏิเสธ แล้วเฉไฉไปว่า เป็นเรื่องที่บริษัทอื่นเขาร้องมาก่อน ว่าถ้าคนไทยถือครองหุ้นสามในสี่หรือ ๗๕ เปอร์เซ็นต์แล้ว แล้วต่างชาติไม่กล้ามาลงทุน ตัวแกกับคณะรัฐบาล จึงจำเป็นต้องผลักดันกฎหมายฉบับนี้ ให้เป็นไปตามคำร้องและเจตนารมณ์ของพวกบริษัทอื่น เพื่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของชาติ ส่วนบริษัทของตระกูลนั้น ประโยชน์ที่ได้รับก็เป็นไปตามกฎหมาย แถมยังไม่เกี่ยวกับตัวนายก เพราะหุ้นก็เป็นของลูกๆทั้งนั้น แกก็โอนให้ไปหมดแล้ว ตัวเองไม่มีหุ้นอยู่เลย ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย เพราะลูกๆก็มีทีมบริหารเองซึ่งเป็นมืออาชีพ อีกทั้งชินคอร์ปเป็นบริษัทมหาชนด้วย...
ไม่น่าเชื่อว่า คนเป็นผู้นำจะทะลึ่งพูดออกมาทำนองนี้ได้...
...แกเห็นประชาชนคนไทย กิน ‘แกลบ’ ปน ‘รำ’ เป็นอาหาร วันละสามมื้อกัน...หรือไงวะ ?
ผมจะบอกให้นายก สำเหนียกเอาไว้บ้าง ว่า
ตอนนี้ครอบครัวของท่าน ทำผิดกฎหมายไปแล้ว ๑ คน คือภริยา และลูกคนหัวปีอีก ๑ คน ที่ทำผิดกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ อีก ๑ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
เป็น ๒ ใน ๕ หรือคิดเป็น ๔๐ เปอร์เซ็นต์แล้วนะ...ที่สมาชิกครอบครัวผู้นำรัฐบาลไทยกระทำความผิด ถึงแม้ว่าจะเป็นคดีที่มีโทษจำคุก แต่ก็เปิดช่องให้สามารถเปรียบเทียบได้
ขนาดทีมงานแข็งปั๋งทั้งทนาย และที่ปรึกษาเป็นฝูงยัง “รูรั่ว” จนได้
นี่เอง ทำให้ผมมองเห็น ‘จุดบอด’ ในเส้นทางการยักโย้ของนายกแล้ว แต่ยังไม่อยากบอกในที่นี้ จะเอาไว้ใช้ประโยชน์ในการวิพากษ์วิจารณ์วันข้างหน้า และระยะเวลาอันใกล้ เห็นทีจะต้องขออนุญาตแตะ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร โฆษกเฉพาะกิจตระกูลชิน ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ท่านอาจารย์ ในแง่มุมที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อนเลยบ้าง
...แล้วคอยดูกัน !
นายกทักษิณชอบพูดเรื่องการ ‘คิดนอกกรอบ’ แต่พอมีผู้คนออกมาชุมนุมแสดงความไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของหัวหน้ารัฐบาล เจ้าตัวกลับบอกว่า
ตะบันค้านกันอยู่ได้ ทำไมจึงไม่ทำตัวอยู่ในกรอบ ทั้งกรอบกฎหมายและกรอบรัฐธรรมนูญ แต่ตัวนายกเองซึ่งควรปฏิบัติ ให้อยู่ในกรอบของจริยธรรมของความเป็นผู้นำ
ดันแหกกรอบศีลธรรมจรรยา ของความเป็นผู้นำออกมา อย่างหน้าเฉยตาเฉย !
แถมยังลอยหน้าลอยตามาบอกว่า ทำถูกต้องทุกอย่าง โดยไม่ยอมพูดเรื่อง in government trading ซึ่งคำๆ นี้ ไม่มีในทางวิชาการสอบสวนคดีอาญาความผิดทางเศรษฐกิจ เหมือนกับ insider trading แต่ผมแค่คิดขึ้นมา เพื่อใช้วิพากษ์วิจารณ์ พฤติกรรมของคุณทักษิณโดยเฉพาะ
แปลให้เร้าใจได้อารมณ์ ตามสำนวนไทยดั้งเดิม แบบลำตัดเมืองสุพรรณของแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ คือ
“การทำมา-หาแดก...ในระหว่างเป็นรัฐบาล!”
นายกรัฐมนตรีบ้านเราที่ชอบพูด ‘อังกิด’ ด้วยสำเนียงพิกล จะให้ลิ่วล้อเขียนป้ายเป็นภาษาปะกิต เอาไปติดที่ทำการรัฐบาล ว่า “Tam-Ma-Ha-Dak Government” ผมก็ไม่ห้าม (อยากเอา ‘ไม้เอก’ ใส่ตรง Ha ชะมัด!)
คุณทักษิณแกเอาตำแหน่งผู้นำของชาติ มาเป็นประโยชน์ในการทำมาค้าขาย พอคนท้วงเข้า ก็แสดงอาการคล้ายแม่ค้ายืนเท้าสะเอว จีบปากจีบคอกับพูดกับประชาชนที่เป็นลูกค้า ในทำนอง ว่า
“กูเป็นคนค้าขาย พวกมึงเสือกเลือกกูมาเป็นนายก กูก็ยังจะค้าจะขาย ไม่เห็นมีกฎหมายอะไรมาห้าม...กูว่ากูทำถูกต้องแล้ว....
....แล้วพวกมึงจะร้องแรก แหกกระเชอทำไม!?”
เออ...จริงแฮะ...ก็อย่างนี้ จึงไม่แปลกเลย ที่สื่อมวลชนทำตารางการเพิ่มของทรัพย์สินของคุณทักษิณ ระหว่างการครองตำแหน่งนายกมา ๕ ปี มูลค่าทรัพย์สินของแกสูงขึ้นกว่า ๕๐๐ เปอร์เซ็นต์จากวันที่เข้ารับตำแหน่ง
อืมม์...เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วค้าขายไปด้วย ทำมาหากินได้ดีกว่า ตอนเป็นพ่อค้าเป็นไหนๆ ตอนนี้ชักติดใจ ยุบสภาแล้วจึงต้องดิ้นรนกลับมาอีกให้ได้
ตอนนายกเป็นตำรวจ พรรคพวกเขาก็เรียกแกว่าเป็น “ตำรวจ-พาณิชย์” เพราะรับราชการเป็นอดิเรก แต่มุ่งค้าขายเป็นงานหลัก พอมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่เลิกนิสัยเดิม เป็นนายกไปด้วยค้าขายเพลิดเพลินจำเริญใจไปด้วย
อย่างนั้นเอาฉายา “นายก-พาณิชย์” หรือ “พ่อค้า-นายก” หรือ “นายก-พ่อค้า” ไปเหมือนตอนเป็นตำรวจอีกก็แล้วกัน สุดแท้แต่ท่านผู้อ่านจะชอบฉายาไหน
...เฮ้อ...สันดอนนี่ มันขุดง่ายจริงๆนะ !
ก่อนที่จะมีเรื่องการขายหุ้นอื้อฉาว ของครอบครัวคุณทักษิณ ผมพูดเอาไว้ใน
กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๑๔ “ปีใหม่...ทักษิณต้องเปลี่ยน...ปากใหม่ ! ” ว่า
“....การเป็นคนสำคัญระดับนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นเรื่องที่ดีสำหรับคุณทักษิณ แต่ในสายตาของประชาชนแล้ว...การที่นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ‘คนดี’ สำคัญสำหรับประชาชน มากกว่าการที่มีคุณทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรียิ่งนัก ! (อยากให้นายกฯและบรรดาไพร่พล ‘อ่านทวน’ ตรงนี้หลายๆเที่ยวหน่อย ก็คงจะดี)
ประชาชนเขาต้องการนายกที่สุขมรอบคอบ มีปัญญาแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมือง และต้องเป็นผู้นำที่คนในชาติ ไม่เคลือบแคลงสงสัยในความสุจริต
จำใส่ใจเอาไว้ด้วยว่า นายกรัฐมนตรีที่ไม่ดีนั้น ถูกประชาชน ‘ถีบกระเด็น’ ตกจากตำแหน่ง มานักต่อนักแล้ว !!”
นั่นเป็นสิ่งที่ผมเขียนเตือนให้ระวังจะโดนถีบ เมื่อปีใหม่ (ฉบับ ๓ มกราคม ๒๕๔๙) หยกๆนี่เอง ไม่น่าเชื่อว่าอีกสองสามอาทิตย์ถัดมาเท่านั้น
เรื่องการขายหุ้นของนายก จะ ‘โผล่หางแดงโร่’ ออกมาให้ประชาชนได้เห็นกัน
การกระทำของนายกที่ไม่เหมาะสม กับสถานะของความเป็นผู้นำ เพราะเป็นการทำร้ายจิตใจประชาชนจำนวนมาก และได้ห้ำหั่นศรัทธาผู้คนที่เคยเทใจให้คะแนน ไปจนเหี้ยนเตียนอย่างน่าตกใจแทน
การคัดค้านและการแสดงความเกลียดชังตัวนายก อย่างโจ่งแจ้งไม่ปิดบัง จึงกระจายไปทั่วประเทศอย่างนึกไม่ถึงเลยทีเดียว
สิ่งที่ได้เห็นกันในวันนี้ นายกได้ถูกประชาชนหลายหลายสาขาอาชีพ แม้แต่คนระดับครูบาอาจารย์ นักปราชญ์ราชบัณฑิตที่ผู้คนยกย่องนับถือ มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ ร่วมมือร่วมใจด้วยการจัดตั้ง ‘สหสามัคคีบาทา’
รวมพลังถีบ นายกให้ตกจากเก้าอี้ไปให้ได้ !
ผู้นำที่เก่งแต่ปาก แสดงความตกใจหัวตั้งตาแหกขวัญหาย ไม่กล้าเผชิญหน้าฝูงชน กลับเลือกเอาหนทางกดปุ่มยุบสภา ดีดตัวให้พ้นจากสถานการณ์ร้ายไปชั่วคราว แบบนักบินที่เครื่องบินถูกยิงใกล้ร่วง ต้องกดปุ่มฉุกเฉินดีดที่นั่งออกจากเครื่องเพื่อรักษาชีวิต
ถ้าหล่นกลับลงมาบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง เชื่อแน่ว่าพวกที่ ‘เงื้อตีนค้าง’ เอาไว้แล้ว เขาจะไม่ยอมง้างอวัยวะเบื้องล่าง ให้เมื่อยต้นขาฟรีๆหรอกน่า
คงต้องจองเวรจองกรรม ตามขย้ำ ‘ไล่ถีบ’ นายกคนชื่อ ‘ทักษิณ’ ต่อไปอีกนานเท่านาน
คอยดูกันไปเถอะ !!
...................................
ท้ายบท
ได้เล่าเรื่องเซอร์ฟรานซีส นอลลีส์ ไว้ในกาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๔๖ และในตอนเดียวกันนั้น ผมบอกว่าเมืองไทยเรามีคนดีเช่นเดียวกับท่านเซอร์ และได้กล่าวถึงอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศเราท่านหนึ่ง ที่เป็นสุภาพบุรุษและชายชาตรีชาติอาชาไนย ที่ปฏิบัติตามกฎหมายในฐานะพลเมืองดีศรีประเทศ ไม่ยอมหลีกเลี่ยงการเสียภาษีหรือเลือกใช้ช่องทางที่เสียภาษีให้น้อยลง ทั้งๆที่สามารถทำได้เหมือนคนอื่นเขาทำกัน แต่อดีตนายกท่านนี้กลับเลือกเสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะท่านถือว่า
การเสียภาษีเป็น ‘หน้าที่’ ของพลเมืองไทยทุกคน
จนได้รับการสรรเสริญ จากสื่อมวลชนและผู้คนในบ้านเมืองกันยิ่งนัก
อยากให้ท่านลองคลิกเข้าไปดู เมื่อท่านอ่านแล้ว โปรดพิจารณาความประพฤติของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านที่ผมเขียนถึง แล้วนำไปเปรียบเทียบกับคนที่เพิ่งกดปุ่มดีดตัว กระเด้งหนีฝูงชนออกไป
รับรองว่า ท่านจะมีความรู้สึกเหมือนกำลังมองดู ความแตกต่างระหว่าง
“ฟ้ากับเหว”