xs
xsm
sm
md
lg

Thaksin Ample Rich, Thais Ample Poor!!!

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล

หลังจากประสบความล้มเหลวในการบริหารประเทศอย่างรอบด้าน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มุกการตลาดแบบโปรโมชันของทักษิณที่เคยออกมาเป็นชุดๆ เริ่มสิ้นมนต์ขลัง ไม่ว่าจะเป็น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการกองทุนหมู่บ้าน การแก้ไขปัญหามาเฟีย (คือปราบมาเฟียฝ่ายตรงข้าม ส่งให้เหลือแต่มาเฟียพวกตัวเอง) ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาของเกษตรกร ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ปัญหาความโปร่งใสในการบริหารประเทศ ฯลฯ

รวมไปถึง ปัญหาความบกพร่องเชิงคุณธรรม และจริยธรรมในจิตใจตนเอง!

ล่าสุดทักษิณก็เริ่มท่องบทสวด บทใหม่ด้วยการกล่าวว่าจะเร่งแก้ไขปัญหาความยากจนของคนไทยโดยประกาศว่า ตนเองจะเดินหน้าทำงาน แก้ไขปัญหาความยากจนของชาติต่อไป อย่างไม่สนใจเสียงเรียกร้องของคนเรือนแสน (ที่ลานพระบรมรูปฯ ในวันที่ 4 ก.พ.) และคนอีกนับล้านๆ ทั่วประเทศให้ลาออกจากตำแหน่ง และลาออกไปจากประเทศไทยเสีย

จริงๆ ตัวผมเองนั้นก็คันไม้คันมืออยากจะเขียนถึงเรื่อง "การแก้ไขปัญหาความยากจนของคนไทย" นี้มาตั้งแต่ทักษิณ แสดงละคร เล่นปาหี่เรื่อง 'โมเดลการแก้ไขปัญหาความยากจนที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด' แล้ว แต่ยังไม่สบโอกาสเหมาะเสียทีจนกระทั่งวันนี้ที่ ทักษิณและขี้ข้าออกมาพูดย้ำไปย้ำมาเป็นแผ่นเสียงตกร่องว่า ประชาชนจะไล่ยังไงทักษิณและรัฐบาลก็จะไม่ไปเพราะสัญญาไว้แล้วว่า ต้องขจัดคนจนให้หมดประเทศไทยเสียก่อนภายใน 3 ปีนี้

พูดตรงๆ ได้ยินประโยคนี้ทีไร ผมหัวเราะแทบตกเก้าอี้ทุกครั้ง เพราะมันเป็นคำพูดที่โกหกทั้งเพ และหลอกลวงประชาชนแบบโคตรหน้าด้าน!

เนื่องจาก ในขณะที่ทักษิณและขี้ข้ากำลังบอกว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาความยากจนของคน 63 ล้านคน สมาชิกในตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ไม่กี่คนก็ประกาศขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปให้กับเทมาเสก โฮลดิ้งของสิงคโปร์ผ่านบริษัทนอมินี 2 บริษัท และได้เงินสดมานอนซุก 73,000 ล้านบาทเตรียมไว้ย่ำยีประเทศชาติโดยไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว (ทั้งๆ ที่มีความจงใจจะเลี่ยงภาษีอย่างเห็นได้ชัด) พร้อมกันนั้นทักษิณ และสุวรรณ วลัยเสถียร โฆษกตระกูลก็ออกมาย้ำแล้วย้ำอีกว่า การซื้อ-ขายบริษัทชิน คอร์รัปชันแบบไม่เสียภาษีครั้งนี้ถูกกฎหมาย 100 เปอร์เซนต์ ส่วนกรณีของบริษัทโคตรรวย Ample Rich ที่ทักษิณดอดไปตั้งซุกหุ้นไว้ที่เกาะบริติช เวอร์จินนั้น ใครๆ เขาก็ทำกัน!?!

ขณะเดียวกัน ก็มีรายงานข่าวจากทางหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่หารายได้เข้าคลังว่า ในปี 2549 นี้ รัฐบาลจะไล่บี้ภาษีเพิ่มจากประชาชนอีก 56,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยกับการเก็บภาษี/รายได้ไม่ได้ตรงตามเป้าหมายของอีกสองหน่วยงานคือ กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิต

รายงานจาก หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549 กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า จากการประเมินข้อมูลการจัดเก็บรายได้ในช่วง 3 เดือนแรก (ต.ค.2548-ธ.ค.2548) นั้นมีการคาดการณ์ว่าปีงบประมาณ 2549 นี้ เนื่องจากกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรจะจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการราว 36,000 ล้านบาท ประกอบกับหน่วยงานอื่นๆ คาดว่าจะเก็บจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายราว 20,000 ล้านบาท ทำให้ในปีงบประมาณ 2549 นี้ กรมสรรพากรต้องพยายามรีดภาษีจากประชาชนเพิ่มขึ้นอีก 56,000 ล้านบาท เพื่อให้รัฐบาลมีเงินใช้จ่ายอย่างเพียงพอ

จากเนื้อข่าวดังกล่าว สะท้อนให้เราเห็นถึงปัญหาอะไรบ้าง?

ประการที่หนึ่ง - รัฐบาลถังแตกจริง

ดังที่เคยมีข่าวเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2548 ระบุว่า 'รัฐบาลถังแตก' เนื่องจากนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลมีรายได้ไม่พอใช้ และเงินสดขาดมือทำให้ต้องหันไปกู้ยืมเงินระยะสั้นด้วยการออกตั๋วเงินคลังจำนวน 80,000 ล้านบาทนั้น กระแสข่าวดังกล่าวเป็นความจริง

ปัญหาก็คือในสภาวะที่รัฐบาลโคตรเมกะโปรเจกต์ เงินกำลังขาดมือและยินยอมให้คนมีเงินเป็นหมื่นๆ ล้านหลีกเลี่ยงภาษี เวรกรรมก็ต้องตกอยู่กับประชาชนหาเช้ากินค่ำ กรรมกร ข้าราชการ พนักงานบริษัท เจ้าของกิจการ เถ้าแก่เอสเอ็มอี และทุกคนที่ไม่มีปัญญาหลีกเลี่ยงภาษีเหมือนครอบครัวนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา กรมสรรพากรก็รีดภาษีจากประชาชนตาดำๆ ได้เหนือกว่าประมาณการไปแล้วมากกว่าร้อยละสิบ

คือ ในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549 แม้กรมสรรพากรจะเก็บรายได้เข้าคลังแล้วมากกว่า 194,977 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการที่กำหนดร้อยละ 10.3 ทั้งยังคาดการณ์ไว้ว่าในปี 2549 นี้กรมสรรพากรจะเก็บภาษีได้ 1.009 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปี 2548 ที่จัดเก็บภาษีได้ 937,105 ล้านบาทถึง 70,000 กว่าล้านบาท แต่รัฐบาลก็ยังตั้งเป้าภาษีเพิ่มสูงไปอีกโดยเพิ่มจาก 1.009 ล้านล้านบาท เป็น 1.065 ล้านล้านบาท

ขณะที่ประมาณการการจัดเก็บภาษีในปี 2549 ของเดิมนั้นก็เหนือเป้าอยู่แล้ว แต่รัฐบาลกลับพยายามรีดภาษีรายได้บุคคลธรรมดาจากพนักงานทั่วไปเพิ่มขึ้นอีกด้วยวิธีการดึง ค่าใช้จ่าย ค่าพาหนะ หรือแม้แต่ค่าทุนการศึกษาของบุตรก็ยังไม่ละเว้น ให้นำมาคิดเป็นเงินได้หรือรายได้รวมเพื่อคำนวณภาษีด้วย!

ประการที่สอง - เศรษฐกิจไทยในปี 2548 และ 2549 นั้นไม่ได้ดีอย่างที่คิด

การที่ประมาณการจัดเก็บภาษีของกรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตนั้นต่ำกว่าเป้าหมาย 36,000 ล้านบาทนั้นกำลังบ่งชี้ให้เราเห็นว่า เศรษฐกิจในปี 2549 นั้นจะไม่ได้ดีอย่างที่รัฐบาลคุยไว้ เนื่องจากตัวเลขรายได้จากการเก็บภาษีของสองหน่วยงานนี้นั้นถือเป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจชั้นดี

หากกรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตเก็บภาษี/รายได้ ได้น้อยก็แสดงว่า ภาวะการบริโภคของประชาชนกำลังมีปัญหา ประชาชนไม่ได้มีเงินสดหมุนเวียนเพื่อใช้จ่ายและบริโภคคล่องมือเหมือนแต่ก่อนแล้ว

สภาวะดังกล่าวสอดคล้องกับประมาณการของบริษัทบัตรเครดิตระดับโลก คือ มาสเตอร์การ์ดที่เมื่อเร็วๆ นี้ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไทย (Consumer Sentiment Index) ในปี 2549 นั้นอยู่ในระดับไม่มีความเชื่อมั่น หรือ No Confidence เนื่องจากดัชนีตกลงมาอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 อันถือว่าเป็นความตกต่ำที่สุดในรอบเจ็ดปี

ดูตัวเลขแล้วเหลียวมาดูสภาวะความเป็นจริงกันบ้าง มีเพื่อนของผมบางคนเล่าให้ฟังสภาวะธุรกิจฝืดเคืองของเศรษฐกิจในวันนี้ว่า กิจการร้านปะยางมอร์เตอร์ไซค์ที่บ้านมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่ต้องมาปะยางแต่เงินสดขาดมือ ทั้งยังเป็นหนี้เป็นสินถึงขนาดที่ว่าเวลาเข้าร้านปะยาง ต้องยอมเอาสร้องทองไปจำนำ หรือไม่ก็ทิ้งหมวกกันน็อกไว้ที่ร้านเป็นตัวประกันก่อน

ไม่เพียงแต่ภาวะการบริโภคจะน่ากังวล แต่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีก 3 เครื่องคือ การลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐ รวมไปถึงการส่งออก ก็ดูเหมือนว่าไม่น่าจะรอดสันดอน เนื่องจากภภาวะอัตราดอกเบี้ยที่กำลังขึ้นจะไปชะลอการลงทุน ภาวะความไม่โปร่งใสของการบริหารงานและการฉ้อราษฎร์บังหลวงแบบโกงทั้งโคตรจะไปกระตุกให้การใช้จ่าย/ลงทุนในภาครัฐชะงักงัน ขณะที่ภาวะราคาน้ำมันที่ไม่แน่นอนรวมไปถึงค่าเงินบาทที่แข็งตัวก็จะชะลอตัวเลขการส่งออกไม่ให้เติบโตได้อย่างที่ควรจะเป็น

ประการที่สาม - ช่องว่างทางรายได้ของคนมี กับคนไม่มีก็จะถูกถ่างให้กว้างขึ้นๆ

เมื่อโครงสร้างการเก็บภาษีถูกบิดเบือนโดยคนรวยเสียภาษีน้อย คนจนเสียภาษีมาก (เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนรายได้) เนื่องจากมีคนหัวหมอพยายามใช้อำนาจทางการเมืองและหาช่องว่างทางกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ขณะที่ผู้ใหญ่ในกรมสรรพากรอย่างเช่น ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ คนหาเช้ากินค่ำ และผู้ที่ไม่มีปัญญาและอำนาจในการฉ้อฉลและเล่นกลในก็จะต้องถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เพื่อทดแทนภาษีในส่วนที่คนรวยหลีกเลี่ยง

อย่างที่เขาว่ากันว่า โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีๆ กรณีนี้ก็เช่นกันในเมื่อครอบครัว-เครือญาติแสนล้านของ นายกฯ ไม่เสียภาษี คนที่ต้องเสียแทนก็คือประชาชนคนไทยที่เหลือ

ลองเอาวิสัชนา ทั้ง 3 ประการจากคำถามข้างต้นมาพิจารณาดู ท่านผู้อ่านก็คงจะพอทราบคำตอบได้ว่าทุกวันนี้นายกรัฐมนตรีไทยนาม ทักษิณ ชินวัตร กำลังพยายามจะทำให้คนไทย โคตรรวย (Ample Rich) ได้อย่างตระกูลตัวเอง หรือโคตรจน (Ample Poor) ลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ กันแน่
กำลังโหลดความคิดเห็น